เพียงแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้ก็ได้แต่คิดเท่านั้นการว่าราชกิจในเช้าวันที่สอง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงได้เอ่ยถึงปัญหานี้ออกมาอย่างระมัดระวัง “สี่เดือนก่อนแคว้นต้าฉู่ของข้าประสบภัยแล้งครั้งใหญ่มาแรมเดือน แม้ว่าภายหลังจะมีฝนตกหนักลงมาหลายครั้ง แต่ในยามนั้นมีพืชผลบางส่วนที่แห้งจนล้มตายไป”เขาเอ่ยเสร็จก็มองไปรอบ ๆ จนเห็นว่าทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตา และมีท่าทางไม่กล้าที่จะเอ่ย“ราชเลขากรมคลังเล่า ? ” ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นเหล่าขุนนางเป็นแบบนี้ภายในใจก็โกรธเคืองแต่กลับอดกลั้นเอาไว้ราชเลขากรมคลังรีบเดินขึ้นไปด้านหน้าแล้วคุกเข่าลงไป “กระหม่อมกัวผิง ราชเลขากรมคลัง ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เรื่องที่ข้าเอ่ย เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”แต่กัวผิงผู้นั้นกลับตอบออกมาอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น “ทูลฝ่าบาท คิดว่าไร้อุปสรรคพ่ะย่ะค่ะ…”แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับหยิบเอาพระราชสาส์นสักอันหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนไปใส่ศีรษะของราชเลขากรมคลังจนทำให้หมวกอูซาที่สวมอยู่บนศีรษะเบี้ยว แต่เขาจะขยับก็ไม่กล้าจึงทำเพียงแค่หมอบลงไปกับพื้นโดยที่ไม่กล้าลุกขึ้นมา“คิดว่า คิดว่า ทุกวันนี้พวกเจ้าอาศัยทำแค่เรื่องที่อยากทำอย่างนั้นเหรอ ? ”“ข้าให
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ถามออกมาอย่างเคร่งขรึมองค์รัชทายาทจึงรีบตอบออกมาอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อทรงมีพระปรีชา กระหม่อมเห็นว่าสิ่งที่สด็จพ่อทรงเอ่ยออกมามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง ดังนั้นควรหาวิธีการรับมือเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้าแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร และทำเพียงแค่รอคำอธิบายขององค์รัชทายาท“จากที่กระหม่อมเห็น การหาทางรับมือไว้แต่เนิ่น ๆ สามารถป้องกันเรื่องอย่างการอดอยากของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติในภายภาคหน้าได้พ่ะย่ะค่ะ”พูดจบก็เงยศีรษะขึ้นไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่หนึ่งครั้งแล้วก็เอ่ยต่อ “เรื่องที่ควรจะทำเป็นอันดับแรกแน่นอนว่าคือการยกเว้นภาษี เสบียงอาหารของประชาชนก็ให้ประชาชนนำมาใช้จ่ายกันภายในครอบครัว และก็ยังต้องดูสถานการณ์ที่กรมคลังสืบมาได้ ถ้าเกิดว่าไม่เพียงพอก็จำเป็นที่จะต้องเปิดคลังเสบียงเพื่อนำมาแจกจ่าย”“รอจนกระทั่งเดือนห้าหรือเดือนหก ก็ยังต้องให้ขุนนางท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบ และบรรเทาทุกข์ สำหรับจำนวนที่ดินทำกินที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ตำแหน่ง และจำนวนของผู้ที่ประสบภัยพิบัติจะต้องถูกบันทึกลงในบันทึกทั้งหมดแล้วส่งมาที่ราชสำนัก ถึงตอนนั้นค
พูดแล้วก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายของลู่ชิงหว่าน เมื่อเห็นว่านางนอนโยกอยู่ที่เก้าอี้อย่างสบายใจภายในใจก็อดผ่อนคลายขึ้นมาไม่ได้แล้วก็เหม่อไปครู่หนึ่งถึงนึกเป้าหมายในการมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นออก “เสด็จป้า กระหม่อมไปที่จวนโหวกวงฉินให้เร็วหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้ลุกยืนขึ้น “ทำไมถึงรีบร้อนเพียงนี้”“ยามนี้มีเรื่องในราชสำนักมากนัก วันนี้เสด็จพ่อยังทรงไปพิโรธอยู่ในราชสำนักอีก เอ่ยว่ากรมคลังไม่ทำหน้าที่ของตนเองยามนี้กำลังปวดหัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ !”“ปวดหัวอีกแล้วหรือ ? เมื่อก่อนฝ่าบาทก็สุขภาพดีมาโดยตลอด” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอยพึมพำ“อาจเป็นเพราะเรื่องในราชสำนักมีมากจนไม่มีเวลาว่าง และเป็นกังวลมากจนเกินไป กระหม่อมก็ควรที่จะช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบา” องค์รัชทายาทเอ่ยแล้วหันไปยังทิศทางของห้องทรงอักษรพร้อมยกมือขึ้นมาคารวะ[ในนิยายไม่ได้บอกว่าเสด็จพ่อมีเรื่องปวดหัวนี่ ? ][ไม่ถูกสิ จากเวลาในนิยายหรงอ๋องยังไม่ได้ทำการช่วงชิงบัลลังก์เสด็จพ่อก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงนะ ! ][นี่มันยังไงกันแน่ ? หรือจะบอกว่าเดิมทีเสด็จพ่อก็ไม่ได้มีชีวิตยืดยาว ? ]ได้ยินคำพูดในใจของลู่ชิงหว่านพระสนมเฉินก
ในตอนที่กลุ่มขององค์รัชทายาทไปถึงจวนโจกวงฉิน เด็กน้อยที่เฝ้าประตูอยู่เห็นว่าเป็นรถม้าของพระราชวังจึงได้รีบไปเปิดประตูแล้วต้อนรับองค์รัชทายาทให้เข้ามาด้านในแม้ว่ายามเช้าจะมีขันทีน้อยมาแจ้งกับทางจวนโหวกวงฉินแล้วแต่ก็มาเร็วกว่าองค์รัชทายาทไม่เท่าไร เมื่อคนของจวนโหวได้รับแจ้งก็ยุ่งอยู่ตั้งแต่ลานด้านหลังไปจนถึงลานด้านหน้าเมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทรออยู่ที่ภายในโถงหลักโหวกวงฉินจึงรีบเข้าไปคารวะ “เป็นกระเหมาะให้การต้อนรับไม่ดีขอพระองค์ทรงลงโทษ”องค์รัชทายาทจึงรีบเข้าไปพยุงโหวกวงฉินขึ้นมา “ขอท่านโหวให้อภัย เป็นข้าที่มาอย่างกระทันหันจึงไม่ได้มาแจ้งกับท่านโหวก่อน”โหวกวงฉินก็เอ่ยถึงความผิดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอีกองค์รัชทายาทถึงได้เอ่ยถึงเหตุผลที่มา “วันนั้นต้องขอบคุณฮูหยินก่วนที่มอบโอสถให้ บาดแผลขององค์ชายสองถึงได้หายเร็วเช่นนี้ วันนี้ข้ามาที่จวนโหวก็เพื่อมาขอบคุณฮูหยินก่วน”องค์รัชทายาทเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีแล้วยกมือขึ้นมาคารวะคนของจวนโหวกวงฉินจึงรีบพากันคารวะกลับ“นี่คือซื่อจื่อเผยแห่งอันกั๋วกงคิดว่าวันนั้นท่านโหวคงได้พบแล้ว”โหวกวงฉงรีบตอบกลับ “แน่นอนว่าพบเจอแล้ว ซื่อจื่อเผยอ
แม้ว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อให้พวกนางเลิกระแวงจึงได้พยักหน้าพระสนมหนิงเฟยจึงนวดไปที่จุดชีพจรบนศีรษะของฮ่องเต้ต้าฉู่จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งจิบชาถึงได้เอ่ยถาม “ฝ่าบาทรู้สึกดีขึ้นหรือไม่เพคะ ? ”ฮ่องเต้เต้ต้าฉู่ถึงได้ลืมตาขึ้นมา และจึงพบว่าสายตานั้นกระจ่างใสขึ้น “ได้ผลจริง ๆ ด้วย ? ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นเขาเป็นเช่นนี้จึงเอ่ยอย่างขบขัน “หม่อมฉันเคยเอ่ยกับฝ่าบาทแล้วว่าน้องสาวหนิงเป็นหมอเทวดา ! ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักแล้วจับไปที่มือของพระสนมหนิงผิน “นึกไม่ถึงว่าสตรีในห้องหอเช่นเจ้าจะมีวิชาแพทย์เช่นนี้ ขุนนางแห่งศาลต้าหลีสอนบุตรสาวได้ดีจริง ๆ ”คนไม่กี่คนถึงได้หัวเราะขึ้นมาแต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่พอใจขึ้นมา [ท่านแม่ยังจะมาหัวเราะอีก! ตอนนี้สามีของท่านกำลังจับมือของผู้อื่นอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านยังจะหัวเราะออกมาได้อีก] [โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเรานั้นสามีมีภรรยาเพียงแค่ผู้เดียว ในตอนนั้นท่านเซียนตงหยางเกิดความรู้สึกกับสตรีผู้หนึ่งแล้วต้องการที่จะทอดทิ้งภรรยาคนแรกของตนเองเพื่อแต่งงานกับอีกคน ในขณะนั้นจึงถูกลงโทษให้ตกลงไปในมรรคา
เห็นองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักก็มองไปที่เขาอย่างสงสัยเพียงแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้งกลับ“สำหรับการยกเลิกเก็บภาษีแน่นอนว่าไม่ต้องเอ่ยถึง จากที่กระหม่อมเห็นควรจะยกเลิกเก็บเป็นเวลาสองปี ยามนี้คลังเสบียงของแคว้นก็มีมากพอ แจกจ่ายให้กับประชาชนเยอะหน่อยเพื่อคลีคลายสถานการณ์ช่วงหนึ่งถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”“ส่วนการแจกจ่ายแน่นอนว่าเริ่มทำมันตั้งแต่ตอนนี้ นำประกาศส่งไปให้กับขุนนางท้องถิ่นเพื่อให้ขุนนางท้องถิ่นทำการจดบันทึกจำนวนที่ดินทำกิน จำนวนหมู่บ้าน และประชาชน จำนวนสำมะโนครัวรวมไปถึงจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่อยู่ในเขตการจัดการของตนเองทั้งหมดส่งมาที่ราชสำนัก”“เมื่อเสด็จพ่อได้อ่าน ถึงตอนนั้นค่อยให้ขุนนางขั้นสูงตัดสินใจเรื่องจำนวนในการเปิดคลังเสบียงเพื่อนำออกมาแจกจ่าย0rjvwfhvjko”“แน่นอนว่าเพื่อป้องกันการทุจริตของขุนนางจึงต้องให้ราชสำนักส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับ ๆ และก็สามารถติดประกาศแจ้งตามศาลของเมืองหลวงหรือมณฑลต่าง ๆ และตามตรอกซอยของถนนว่าหากการแจกจ่ายเสบียงอาหารมีตรงไหนที่ไม่เป็นธรรม ประชาชนก็สามารถเข้ามารายงานกับขุนนางขั้นสูงได้โดยตรง”“เพียงแต่จำนวนในตอนนี้แน่
แม้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะหมดหนทางทั้งยังไม่สามารถจะอธิบายกับนางได้ จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้สมองน้อย ๆ ของนางคิดเพ้อเจ้อไปอย่างไร้ขีดจำกัดและภายในจวนของโหวกวงฉินก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจเพราะเรื่องการเข้าวังครั้งแรกของต้วนอวิ๋นอี“ตั้งแต่เช้าฮูหยินโหวกวงฉินก็มาที่เรือนของพวกเขาสองสามีภรรยา แล้วก็ดูว่าการแต่วตัวของนางมีปัญหาหรือไม่พร้อมทั้งเอ่ยปลอบโยนนางไปด้วย “เจ้าไม่ต้องกังวลใจ แม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในวัยออกเรือนจะมีความสัมพันธ์ต่อจวนของเรา แต่ข้าเองก็เคยเห็น นางเป็นคนที่มีนิสัยแจ่มใส่ และไม่มีทางที่จะทำร้ายคนได้มากที่สุด”ต้วนอวิ๋นอีเห็นมารดาของสามีเอ่ยเช่นนี้จึงรีบพยักหน้า “ท่านแม่วางในเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง”และก่วนหลางสือก็มาส่งนางอยู่ที่ด้านนอกของประตูวัง “ไม่ต้องตื่นตระหนก”แล้วก็เอ่ยปลอบนางอยู่หลายประโยคพร้อมมองดูจนนางเปลี่ยนเกี้ยวถึงได้แยกตัวออกมาภายในใจของต้วนอวิ๋นอีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเยาะเย้ยตัวเอง ก็เพราะว่าตนเข้ามาที่พระราชวังแห่งนี้ตามลำพังสามีถึงได้ให้ความสำคัญกับตนเองขึ้นมาเช่นนี้และเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นต้วนอวิ๋นอีเข้ามาที่ด้านในตำหนักจึงรี
“เมื่อตอนงานแข่งตีคลีแม่นางต้วนเคยมาหาข้า” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยเมื่อเห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องในวันที่มีการแข่งตีคลีต้วนอวิ๋นอีก็ร้อนรนใจขึ้นมา หรือว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะตำหนิตนขึ้นมาเพราะเรื่องในวันนั้น ? แต่แล้วครู่หนึ่งพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เอ่ยขึ้น “เอ่ยอย่างไม่ปิดบังแม่นาง ข้า และก่วนหลางสือมีความสัมพันธ์ในวันเยาว์ เมื่อก่อนคนในเมืองหลวงก็ล้วนแต่รับรู้กันหมด เพียงแค่แม่นางเอ่ยถามก็ทราบได้ในทันที”ต้วนอวิ๋นอียิ่งรู้สึกตกใจ นางได้ยินคนรอบข้างเอ่ยว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นผู้ที่โผงผางตรงไปตรงมา แต่กลับตรงไปตรงมามากจนถึงขั้นนี้เลยหรือ ?“ข้าก็ไม่รู้ว่าก่วนหลางสือเอ่ยกับเจ้าอย่างไร เพียงแต่ในตอนนี้พวกเราทั้งสองต่างก็แต่งงานกันแล้ว ขอแค่ให้แม่นางต้วนวางใจก็พอแล้ว แต่ไหนแต่ไรข้าก็เป็นผู้ที่มองไปข้างหน้าในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้วก็จะไม่มีทางหันหลังกลับ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีด้วยสายตาแน่วแน่แต่ช่วงระยะหนึ่งต้วนอวิ๋นอีกลับมีสีหน้าประทับใจ “พระสนม…”“วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้าเข้ามาที่วัง ก็เพื่อที่จะได้อธิบายเรื่องนี้กับเจ้า จะได้ไม่ทำให้พวกเจ้าสามีภรรยา รว