เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ถามออกมาอย่างเคร่งขรึมองค์รัชทายาทจึงรีบตอบออกมาอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อทรงมีพระปรีชา กระหม่อมเห็นว่าสิ่งที่สด็จพ่อทรงเอ่ยออกมามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง ดังนั้นควรหาวิธีการรับมือเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้าแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร และทำเพียงแค่รอคำอธิบายขององค์รัชทายาท“จากที่กระหม่อมเห็น การหาทางรับมือไว้แต่เนิ่น ๆ สามารถป้องกันเรื่องอย่างการอดอยากของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติในภายภาคหน้าได้พ่ะย่ะค่ะ”พูดจบก็เงยศีรษะขึ้นไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่หนึ่งครั้งแล้วก็เอ่ยต่อ “เรื่องที่ควรจะทำเป็นอันดับแรกแน่นอนว่าคือการยกเว้นภาษี เสบียงอาหารของประชาชนก็ให้ประชาชนนำมาใช้จ่ายกันภายในครอบครัว และก็ยังต้องดูสถานการณ์ที่กรมคลังสืบมาได้ ถ้าเกิดว่าไม่เพียงพอก็จำเป็นที่จะต้องเปิดคลังเสบียงเพื่อนำมาแจกจ่าย”“รอจนกระทั่งเดือนห้าหรือเดือนหก ก็ยังต้องให้ขุนนางท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบ และบรรเทาทุกข์ สำหรับจำนวนที่ดินทำกินที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ตำแหน่ง และจำนวนของผู้ที่ประสบภัยพิบัติจะต้องถูกบันทึกลงในบันทึกทั้งหมดแล้วส่งมาที่ราชสำนัก ถึงตอนนั้นค
พูดแล้วก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายของลู่ชิงหว่าน เมื่อเห็นว่านางนอนโยกอยู่ที่เก้าอี้อย่างสบายใจภายในใจก็อดผ่อนคลายขึ้นมาไม่ได้แล้วก็เหม่อไปครู่หนึ่งถึงนึกเป้าหมายในการมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นออก “เสด็จป้า กระหม่อมไปที่จวนโหวกวงฉินให้เร็วหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้ลุกยืนขึ้น “ทำไมถึงรีบร้อนเพียงนี้”“ยามนี้มีเรื่องในราชสำนักมากนัก วันนี้เสด็จพ่อยังทรงไปพิโรธอยู่ในราชสำนักอีก เอ่ยว่ากรมคลังไม่ทำหน้าที่ของตนเองยามนี้กำลังปวดหัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ !”“ปวดหัวอีกแล้วหรือ ? เมื่อก่อนฝ่าบาทก็สุขภาพดีมาโดยตลอด” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอยพึมพำ“อาจเป็นเพราะเรื่องในราชสำนักมีมากจนไม่มีเวลาว่าง และเป็นกังวลมากจนเกินไป กระหม่อมก็ควรที่จะช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบา” องค์รัชทายาทเอ่ยแล้วหันไปยังทิศทางของห้องทรงอักษรพร้อมยกมือขึ้นมาคารวะ[ในนิยายไม่ได้บอกว่าเสด็จพ่อมีเรื่องปวดหัวนี่ ? ][ไม่ถูกสิ จากเวลาในนิยายหรงอ๋องยังไม่ได้ทำการช่วงชิงบัลลังก์เสด็จพ่อก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงนะ ! ][นี่มันยังไงกันแน่ ? หรือจะบอกว่าเดิมทีเสด็จพ่อก็ไม่ได้มีชีวิตยืดยาว ? ]ได้ยินคำพูดในใจของลู่ชิงหว่านพระสนมเฉินก
ในตอนที่กลุ่มขององค์รัชทายาทไปถึงจวนโจกวงฉิน เด็กน้อยที่เฝ้าประตูอยู่เห็นว่าเป็นรถม้าของพระราชวังจึงได้รีบไปเปิดประตูแล้วต้อนรับองค์รัชทายาทให้เข้ามาด้านในแม้ว่ายามเช้าจะมีขันทีน้อยมาแจ้งกับทางจวนโหวกวงฉินแล้วแต่ก็มาเร็วกว่าองค์รัชทายาทไม่เท่าไร เมื่อคนของจวนโหวได้รับแจ้งก็ยุ่งอยู่ตั้งแต่ลานด้านหลังไปจนถึงลานด้านหน้าเมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทรออยู่ที่ภายในโถงหลักโหวกวงฉินจึงรีบเข้าไปคารวะ “เป็นกระเหมาะให้การต้อนรับไม่ดีขอพระองค์ทรงลงโทษ”องค์รัชทายาทจึงรีบเข้าไปพยุงโหวกวงฉินขึ้นมา “ขอท่านโหวให้อภัย เป็นข้าที่มาอย่างกระทันหันจึงไม่ได้มาแจ้งกับท่านโหวก่อน”โหวกวงฉินก็เอ่ยถึงความผิดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอีกองค์รัชทายาทถึงได้เอ่ยถึงเหตุผลที่มา “วันนั้นต้องขอบคุณฮูหยินก่วนที่มอบโอสถให้ บาดแผลขององค์ชายสองถึงได้หายเร็วเช่นนี้ วันนี้ข้ามาที่จวนโหวก็เพื่อมาขอบคุณฮูหยินก่วน”องค์รัชทายาทเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีแล้วยกมือขึ้นมาคารวะคนของจวนโหวกวงฉินจึงรีบพากันคารวะกลับ“นี่คือซื่อจื่อเผยแห่งอันกั๋วกงคิดว่าวันนั้นท่านโหวคงได้พบแล้ว”โหวกวงฉงรีบตอบกลับ “แน่นอนว่าพบเจอแล้ว ซื่อจื่อเผยอ
แม้ว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อให้พวกนางเลิกระแวงจึงได้พยักหน้าพระสนมหนิงเฟยจึงนวดไปที่จุดชีพจรบนศีรษะของฮ่องเต้ต้าฉู่จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งจิบชาถึงได้เอ่ยถาม “ฝ่าบาทรู้สึกดีขึ้นหรือไม่เพคะ ? ”ฮ่องเต้เต้ต้าฉู่ถึงได้ลืมตาขึ้นมา และจึงพบว่าสายตานั้นกระจ่างใสขึ้น “ได้ผลจริง ๆ ด้วย ? ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นเขาเป็นเช่นนี้จึงเอ่ยอย่างขบขัน “หม่อมฉันเคยเอ่ยกับฝ่าบาทแล้วว่าน้องสาวหนิงเป็นหมอเทวดา ! ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักแล้วจับไปที่มือของพระสนมหนิงผิน “นึกไม่ถึงว่าสตรีในห้องหอเช่นเจ้าจะมีวิชาแพทย์เช่นนี้ ขุนนางแห่งศาลต้าหลีสอนบุตรสาวได้ดีจริง ๆ ”คนไม่กี่คนถึงได้หัวเราะขึ้นมาแต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่พอใจขึ้นมา [ท่านแม่ยังจะมาหัวเราะอีก! ตอนนี้สามีของท่านกำลังจับมือของผู้อื่นอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านยังจะหัวเราะออกมาได้อีก] [โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเรานั้นสามีมีภรรยาเพียงแค่ผู้เดียว ในตอนนั้นท่านเซียนตงหยางเกิดความรู้สึกกับสตรีผู้หนึ่งแล้วต้องการที่จะทอดทิ้งภรรยาคนแรกของตนเองเพื่อแต่งงานกับอีกคน ในขณะนั้นจึงถูกลงโทษให้ตกลงไปในมรรคา
เห็นองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักก็มองไปที่เขาอย่างสงสัยเพียงแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้งกลับ“สำหรับการยกเลิกเก็บภาษีแน่นอนว่าไม่ต้องเอ่ยถึง จากที่กระหม่อมเห็นควรจะยกเลิกเก็บเป็นเวลาสองปี ยามนี้คลังเสบียงของแคว้นก็มีมากพอ แจกจ่ายให้กับประชาชนเยอะหน่อยเพื่อคลีคลายสถานการณ์ช่วงหนึ่งถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”“ส่วนการแจกจ่ายแน่นอนว่าเริ่มทำมันตั้งแต่ตอนนี้ นำประกาศส่งไปให้กับขุนนางท้องถิ่นเพื่อให้ขุนนางท้องถิ่นทำการจดบันทึกจำนวนที่ดินทำกิน จำนวนหมู่บ้าน และประชาชน จำนวนสำมะโนครัวรวมไปถึงจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่อยู่ในเขตการจัดการของตนเองทั้งหมดส่งมาที่ราชสำนัก”“เมื่อเสด็จพ่อได้อ่าน ถึงตอนนั้นค่อยให้ขุนนางขั้นสูงตัดสินใจเรื่องจำนวนในการเปิดคลังเสบียงเพื่อนำออกมาแจกจ่าย0rjvwfhvjko”“แน่นอนว่าเพื่อป้องกันการทุจริตของขุนนางจึงต้องให้ราชสำนักส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับ ๆ และก็สามารถติดประกาศแจ้งตามศาลของเมืองหลวงหรือมณฑลต่าง ๆ และตามตรอกซอยของถนนว่าหากการแจกจ่ายเสบียงอาหารมีตรงไหนที่ไม่เป็นธรรม ประชาชนก็สามารถเข้ามารายงานกับขุนนางขั้นสูงได้โดยตรง”“เพียงแต่จำนวนในตอนนี้แน่
แม้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะหมดหนทางทั้งยังไม่สามารถจะอธิบายกับนางได้ จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้สมองน้อย ๆ ของนางคิดเพ้อเจ้อไปอย่างไร้ขีดจำกัดและภายในจวนของโหวกวงฉินก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจเพราะเรื่องการเข้าวังครั้งแรกของต้วนอวิ๋นอี“ตั้งแต่เช้าฮูหยินโหวกวงฉินก็มาที่เรือนของพวกเขาสองสามีภรรยา แล้วก็ดูว่าการแต่วตัวของนางมีปัญหาหรือไม่พร้อมทั้งเอ่ยปลอบโยนนางไปด้วย “เจ้าไม่ต้องกังวลใจ แม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในวัยออกเรือนจะมีความสัมพันธ์ต่อจวนของเรา แต่ข้าเองก็เคยเห็น นางเป็นคนที่มีนิสัยแจ่มใส่ และไม่มีทางที่จะทำร้ายคนได้มากที่สุด”ต้วนอวิ๋นอีเห็นมารดาของสามีเอ่ยเช่นนี้จึงรีบพยักหน้า “ท่านแม่วางในเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง”และก่วนหลางสือก็มาส่งนางอยู่ที่ด้านนอกของประตูวัง “ไม่ต้องตื่นตระหนก”แล้วก็เอ่ยปลอบนางอยู่หลายประโยคพร้อมมองดูจนนางเปลี่ยนเกี้ยวถึงได้แยกตัวออกมาภายในใจของต้วนอวิ๋นอีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเยาะเย้ยตัวเอง ก็เพราะว่าตนเข้ามาที่พระราชวังแห่งนี้ตามลำพังสามีถึงได้ให้ความสำคัญกับตนเองขึ้นมาเช่นนี้และเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นต้วนอวิ๋นอีเข้ามาที่ด้านในตำหนักจึงรี
“เมื่อตอนงานแข่งตีคลีแม่นางต้วนเคยมาหาข้า” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยเมื่อเห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องในวันที่มีการแข่งตีคลีต้วนอวิ๋นอีก็ร้อนรนใจขึ้นมา หรือว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะตำหนิตนขึ้นมาเพราะเรื่องในวันนั้น ? แต่แล้วครู่หนึ่งพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เอ่ยขึ้น “เอ่ยอย่างไม่ปิดบังแม่นาง ข้า และก่วนหลางสือมีความสัมพันธ์ในวันเยาว์ เมื่อก่อนคนในเมืองหลวงก็ล้วนแต่รับรู้กันหมด เพียงแค่แม่นางเอ่ยถามก็ทราบได้ในทันที”ต้วนอวิ๋นอียิ่งรู้สึกตกใจ นางได้ยินคนรอบข้างเอ่ยว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นผู้ที่โผงผางตรงไปตรงมา แต่กลับตรงไปตรงมามากจนถึงขั้นนี้เลยหรือ ?“ข้าก็ไม่รู้ว่าก่วนหลางสือเอ่ยกับเจ้าอย่างไร เพียงแต่ในตอนนี้พวกเราทั้งสองต่างก็แต่งงานกันแล้ว ขอแค่ให้แม่นางต้วนวางใจก็พอแล้ว แต่ไหนแต่ไรข้าก็เป็นผู้ที่มองไปข้างหน้าในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้วก็จะไม่มีทางหันหลังกลับ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีด้วยสายตาแน่วแน่แต่ช่วงระยะหนึ่งต้วนอวิ๋นอีกลับมีสีหน้าประทับใจ “พระสนม…”“วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้าเข้ามาที่วัง ก็เพื่อที่จะได้อธิบายเรื่องนี้กับเจ้า จะได้ไม่ทำให้พวกเจ้าสามีภรรยา รว
[เหมือนว่าในนิยายตอนที่แคว้นต้าฉู่อยู่ในช่วงความไม่สงบ พระสนมเหวินเฟยจึงได้พาองค์ชายสี่กลับไปที่แคว้นต้าลี่ด้วย และเหตุการณ์ในภายหลังก็ไม่ได้มีการอธิบายเอาไว้][แล้วหรงอ๋องผู้นั้นยังมีความคิดจะทำการไม่ดี และต้องการที่จะข่มเหงพระสนมเหวินเฟยแต่กลับถูกองค์ชายสี่ผู้นั้นแท่งไปหนึ่งครั้ง บาดแผลถูกแทงยังไม่ทันได้ถูกรักษาจนหายดีก็ถูกเสด็จที่สองจัดการเสียก่อน]ฟังจากที่ลู่ชิงหว่านพร่ำบ่นภายในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดนึกไม่ได้ว่าเรื่องอย่างการพาองค์ชายสี่กลับไปที่แคว้นนั้นเป็นเรื่องที่พระสนมเหวินเฟยสามารถทำมันได้ตอนนี้ตนเข้าวังมาได้เพียงไม่กี่ปีก็เห็นหน้าของพระสนมเหวินเฟยแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ภายหลังพระสนมเหวินเฟยก็ไม่ค่อยได้ออกมาจากตำหนักเพราะเอ่ยว่าไม่ค่อยสบายตนจึงไม่ได้เห็นนางอีกในตอนที่กำลังคิดก็เห็นว่าพระสนมเหวินเฟยได้เดินเข้ามาแล้ว“พี่สาวเหวิน มีเรื่องอะไรที่ไปรบกวนจนทำให้ท่านต้องมาถึงที่นี้หรือ?“ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเดินเข้าไปจูงมือพระสนมเหวินเฟยอย่างกระตือรือร้น[โห พระสนมเหวินเหยผู้นี้งดงามจริง ๆ ด้วย แม้ว่าจะสวมใส่เพียงแค่ชุดของพระราชวังธรรมดา ๆ แต่กลับทำให้มีรูปร่างสูงบาง ม
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต