แม้ว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อให้พวกนางเลิกระแวงจึงได้พยักหน้าพระสนมหนิงเฟยจึงนวดไปที่จุดชีพจรบนศีรษะของฮ่องเต้ต้าฉู่จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งจิบชาถึงได้เอ่ยถาม “ฝ่าบาทรู้สึกดีขึ้นหรือไม่เพคะ ? ”ฮ่องเต้เต้ต้าฉู่ถึงได้ลืมตาขึ้นมา และจึงพบว่าสายตานั้นกระจ่างใสขึ้น “ได้ผลจริง ๆ ด้วย ? ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นเขาเป็นเช่นนี้จึงเอ่ยอย่างขบขัน “หม่อมฉันเคยเอ่ยกับฝ่าบาทแล้วว่าน้องสาวหนิงเป็นหมอเทวดา ! ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักแล้วจับไปที่มือของพระสนมหนิงผิน “นึกไม่ถึงว่าสตรีในห้องหอเช่นเจ้าจะมีวิชาแพทย์เช่นนี้ ขุนนางแห่งศาลต้าหลีสอนบุตรสาวได้ดีจริง ๆ ”คนไม่กี่คนถึงได้หัวเราะขึ้นมาแต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่พอใจขึ้นมา [ท่านแม่ยังจะมาหัวเราะอีก! ตอนนี้สามีของท่านกำลังจับมือของผู้อื่นอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านยังจะหัวเราะออกมาได้อีก] [โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเรานั้นสามีมีภรรยาเพียงแค่ผู้เดียว ในตอนนั้นท่านเซียนตงหยางเกิดความรู้สึกกับสตรีผู้หนึ่งแล้วต้องการที่จะทอดทิ้งภรรยาคนแรกของตนเองเพื่อแต่งงานกับอีกคน ในขณะนั้นจึงถูกลงโทษให้ตกลงไปในมรรคา
เห็นองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักก็มองไปที่เขาอย่างสงสัยเพียงแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้งกลับ“สำหรับการยกเลิกเก็บภาษีแน่นอนว่าไม่ต้องเอ่ยถึง จากที่กระหม่อมเห็นควรจะยกเลิกเก็บเป็นเวลาสองปี ยามนี้คลังเสบียงของแคว้นก็มีมากพอ แจกจ่ายให้กับประชาชนเยอะหน่อยเพื่อคลีคลายสถานการณ์ช่วงหนึ่งถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”“ส่วนการแจกจ่ายแน่นอนว่าเริ่มทำมันตั้งแต่ตอนนี้ นำประกาศส่งไปให้กับขุนนางท้องถิ่นเพื่อให้ขุนนางท้องถิ่นทำการจดบันทึกจำนวนที่ดินทำกิน จำนวนหมู่บ้าน และประชาชน จำนวนสำมะโนครัวรวมไปถึงจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่อยู่ในเขตการจัดการของตนเองทั้งหมดส่งมาที่ราชสำนัก”“เมื่อเสด็จพ่อได้อ่าน ถึงตอนนั้นค่อยให้ขุนนางขั้นสูงตัดสินใจเรื่องจำนวนในการเปิดคลังเสบียงเพื่อนำออกมาแจกจ่าย0rjvwfhvjko”“แน่นอนว่าเพื่อป้องกันการทุจริตของขุนนางจึงต้องให้ราชสำนักส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับ ๆ และก็สามารถติดประกาศแจ้งตามศาลของเมืองหลวงหรือมณฑลต่าง ๆ และตามตรอกซอยของถนนว่าหากการแจกจ่ายเสบียงอาหารมีตรงไหนที่ไม่เป็นธรรม ประชาชนก็สามารถเข้ามารายงานกับขุนนางขั้นสูงได้โดยตรง”“เพียงแต่จำนวนในตอนนี้แน่
แม้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะหมดหนทางทั้งยังไม่สามารถจะอธิบายกับนางได้ จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้สมองน้อย ๆ ของนางคิดเพ้อเจ้อไปอย่างไร้ขีดจำกัดและภายในจวนของโหวกวงฉินก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจเพราะเรื่องการเข้าวังครั้งแรกของต้วนอวิ๋นอี“ตั้งแต่เช้าฮูหยินโหวกวงฉินก็มาที่เรือนของพวกเขาสองสามีภรรยา แล้วก็ดูว่าการแต่วตัวของนางมีปัญหาหรือไม่พร้อมทั้งเอ่ยปลอบโยนนางไปด้วย “เจ้าไม่ต้องกังวลใจ แม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในวัยออกเรือนจะมีความสัมพันธ์ต่อจวนของเรา แต่ข้าเองก็เคยเห็น นางเป็นคนที่มีนิสัยแจ่มใส่ และไม่มีทางที่จะทำร้ายคนได้มากที่สุด”ต้วนอวิ๋นอีเห็นมารดาของสามีเอ่ยเช่นนี้จึงรีบพยักหน้า “ท่านแม่วางในเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง”และก่วนหลางสือก็มาส่งนางอยู่ที่ด้านนอกของประตูวัง “ไม่ต้องตื่นตระหนก”แล้วก็เอ่ยปลอบนางอยู่หลายประโยคพร้อมมองดูจนนางเปลี่ยนเกี้ยวถึงได้แยกตัวออกมาภายในใจของต้วนอวิ๋นอีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเยาะเย้ยตัวเอง ก็เพราะว่าตนเข้ามาที่พระราชวังแห่งนี้ตามลำพังสามีถึงได้ให้ความสำคัญกับตนเองขึ้นมาเช่นนี้และเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นต้วนอวิ๋นอีเข้ามาที่ด้านในตำหนักจึงรี
“เมื่อตอนงานแข่งตีคลีแม่นางต้วนเคยมาหาข้า” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยเมื่อเห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องในวันที่มีการแข่งตีคลีต้วนอวิ๋นอีก็ร้อนรนใจขึ้นมา หรือว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะตำหนิตนขึ้นมาเพราะเรื่องในวันนั้น ? แต่แล้วครู่หนึ่งพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เอ่ยขึ้น “เอ่ยอย่างไม่ปิดบังแม่นาง ข้า และก่วนหลางสือมีความสัมพันธ์ในวันเยาว์ เมื่อก่อนคนในเมืองหลวงก็ล้วนแต่รับรู้กันหมด เพียงแค่แม่นางเอ่ยถามก็ทราบได้ในทันที”ต้วนอวิ๋นอียิ่งรู้สึกตกใจ นางได้ยินคนรอบข้างเอ่ยว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นผู้ที่โผงผางตรงไปตรงมา แต่กลับตรงไปตรงมามากจนถึงขั้นนี้เลยหรือ ?“ข้าก็ไม่รู้ว่าก่วนหลางสือเอ่ยกับเจ้าอย่างไร เพียงแต่ในตอนนี้พวกเราทั้งสองต่างก็แต่งงานกันแล้ว ขอแค่ให้แม่นางต้วนวางใจก็พอแล้ว แต่ไหนแต่ไรข้าก็เป็นผู้ที่มองไปข้างหน้าในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้วก็จะไม่มีทางหันหลังกลับ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีด้วยสายตาแน่วแน่แต่ช่วงระยะหนึ่งต้วนอวิ๋นอีกลับมีสีหน้าประทับใจ “พระสนม…”“วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้าเข้ามาที่วัง ก็เพื่อที่จะได้อธิบายเรื่องนี้กับเจ้า จะได้ไม่ทำให้พวกเจ้าสามีภรรยา รว
[เหมือนว่าในนิยายตอนที่แคว้นต้าฉู่อยู่ในช่วงความไม่สงบ พระสนมเหวินเฟยจึงได้พาองค์ชายสี่กลับไปที่แคว้นต้าลี่ด้วย และเหตุการณ์ในภายหลังก็ไม่ได้มีการอธิบายเอาไว้][แล้วหรงอ๋องผู้นั้นยังมีความคิดจะทำการไม่ดี และต้องการที่จะข่มเหงพระสนมเหวินเฟยแต่กลับถูกองค์ชายสี่ผู้นั้นแท่งไปหนึ่งครั้ง บาดแผลถูกแทงยังไม่ทันได้ถูกรักษาจนหายดีก็ถูกเสด็จที่สองจัดการเสียก่อน]ฟังจากที่ลู่ชิงหว่านพร่ำบ่นภายในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดนึกไม่ได้ว่าเรื่องอย่างการพาองค์ชายสี่กลับไปที่แคว้นนั้นเป็นเรื่องที่พระสนมเหวินเฟยสามารถทำมันได้ตอนนี้ตนเข้าวังมาได้เพียงไม่กี่ปีก็เห็นหน้าของพระสนมเหวินเฟยแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ภายหลังพระสนมเหวินเฟยก็ไม่ค่อยได้ออกมาจากตำหนักเพราะเอ่ยว่าไม่ค่อยสบายตนจึงไม่ได้เห็นนางอีกในตอนที่กำลังคิดก็เห็นว่าพระสนมเหวินเฟยได้เดินเข้ามาแล้ว“พี่สาวเหวิน มีเรื่องอะไรที่ไปรบกวนจนทำให้ท่านต้องมาถึงที่นี้หรือ?“ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเดินเข้าไปจูงมือพระสนมเหวินเฟยอย่างกระตือรือร้น[โห พระสนมเหวินเหยผู้นี้งดงามจริง ๆ ด้วย แม้ว่าจะสวมใส่เพียงแค่ชุดของพระราชวังธรรมดา ๆ แต่กลับทำให้มีรูปร่างสูงบาง ม
[นึกไม่ถึงว่าเหวินเฟยจะเป็นคนมีน้ำใจขนาดนี้ หน้าตาดูเฉยๆ ก็ชอบช่วยเหลือ]ในตอนนี้ จิ่นอวี้ที่ไปแจ้งเหมยหลานจู๋จวี๋เสร็จก็กลับมาพอดี "ทำไมพระสนมถึงเชื่อคําพูดของเหวินเฟยขนาดนี้ ในวังหลังนี้..."จิ่นอวี้พูดไม่ทันจบก็มองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟย"จะว่าไปแล้ว เหวินเฟยก็ต่อข้ามาตลอด คิดว่าคงเป็นเพราะสำนึกบุญคุณท่านพ่อที่เคยช่วยชีวิต"[อืม? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ท่านแม่รีบเล่าให้ฟังหน่อย]ลู่ซิงหว่านไม่ค่อยเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับเหวินเฟยในหนังสือนิทานเท่าไหร่ คิดว่าเป็นตัวประกอบที่ไม่สำคัญ ตอนนี้พอได้ยินท่านแม่พูดขึ้นมา ก็เลยเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินลู่ซิงหว่านพูดแบบนี้ ก็แกล้งทำเป็นพูดกับจิ่นอวี้"หลายสิบปีก่อน ตอนที่ท่านพ่อเฝ้าอยู่ที่ชายแดนแคว้นเยว่เฟิงกับแคว้นต้าลี่ แล้วบังเอิญตอนที่แคว้นเยว่เฟิงเจรจาสันติภาพกับแคว้นต้าลี่ เดิมทีก็ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่คิดว่าแคว้นเยว่เฟิงได้ซุ่มโจมตี จู่ๆ ก็พลิกหน้ามือเป็นหลัง จับทูตผู้มาเจรจาสันติภาพคนนั้นไปเพื่อข่มขู่แคว้นต้าลี่"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดพลางมองลู่ซิงหว่าน เห็นดวงตาโตของนางเปล่งประกายกำลังตั้งใจฟังอย่างละเอียด
ทุกคนในวังวังรู้อยู่แล้วว่าเหวินเฟยมิชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งเหยิงเหล่านี้ จึงไม่มีใครเข้าไปทูลนางเลยพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและคณะตรงไปที่ตำหนักด้านข้างของฟางกุ้ยเหรินมาถึงก็เห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่นั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว"ถวายพระพรฝ่าบาท" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอุ้มลู่ซิงทำความเคารพฮ่องเต้ เสร็จแล้วจึงส่งนางให้จิ่นอวี้ที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นก็มองไปที่ฟางกุ้ยเหรินบนเตียง "ได้ข่าวว่าฟางกุ้ยเหรินคลอดก่อนกำหนด เกิดอะไรขึ้นหรือ"อวิ๋นกุ้ยเหรินที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำเสียงกระฟัดกระเฟียด "พระสนมกุ้ยเฟยถามตัวเองดีว่าเพคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยทำท่าสงสัย "อวิ๋นกุ้ยเหรินพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"ในขณะนี้ ฟางกุ้ยเหรินที่อยู่บนเตียงเหมือนจะเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแล้ว นางถอยเข้าไปด้านในของเตียงด้วยความหวาดกลัว ปากก็พึมพำว่า "พระสนมกุ้ยเฟยปล่อยข้าน้อยไปเถิด พระสนมปล่อยข้าน้อยไปเถิด... องค์หญิงหย่งอันก็ได้รับความโปรดปรานขนาดนี้แล้ว ทำไมพระสนมยังต้องมารังความข้าด้วย""หึ..." พระสนมเฉินกุ้ยเฟยหัวเราะออกมาก่อนจะนั่งลง "เช่นนั้นกุ้ยเหรินก็ลองพูดมาหน่อยเถิดว่า ข้าตามรังควานเจ้าอย่างไร"ฟางกุ้ยเหร
เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่พูดแบบนี้ อวิ๋นกุ้ยเหรินกลัวว่าพระองค์จะห้ามไม่ให้ค้นวัง จึงรีบขึ้นหน้าไปหาฮ่องเต้ต้าฉู่ฉี่และถอนสายบัว "ฝ่าบาทเพคะ ข้าน้อยก็ยินดีให้ค้นตำหนัก เพื่อให้น้องหญิงได้สบายใจเพคะ"เมื่อเห็นว่าอวิ๋นกุ้ยเหรินยืนกรานอย่างนี้ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เอ่ยปากว่า "เพื่อความยุติธรรม อย่างนั้นก็ให้เมิ่งฉวนเต๋อคนสนิทของฝ่าบาทจะพาคนไปค้นดีกว่าไหมเพคะ"พูดจบก็หันไปมองเมิ่งฉวนเต๋อ “รบกวนมหาขันทีเมิ่งด้วยนะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นพวกนางยืนยันที่จะทำเช่นนี้ จึงได้แต่ต้องพยักหน้าและสั่งให้เมิ่งฉวนเต๋อไปจัดการอวิ๋นกุ้ยเหรินอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะเยาะในใจ คนในวังต่างก็บอกว่าเฉินกุ้ยเฟยใจดีและมีเมตตา แต่ตัวเองกลับรู้สึกว่านางก็แค่คนไร้สมองคนหนึ่ง ชาติกำเนิดจะดีแล้วจะยังไง? ให้กำเนิดองค์หญิงหย่งอันแล้วจะยังไง? วันนี้เป็นจะวันตายของเจ้าฟางกุ้ยเหรินเห็นอวิ๋นกุ้ยเหรินส่งสายตาให้ก็วางใจนางไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ วันนี้ตัวเองถึงคลอดก่อนกำหนด นางเองต้องไม่รู้อยู่แล้ว แต่อวิ๋นกุ้ยเหรินโผล่หน้ามาหานางเองและบอกว่าหากนางเต็มใจที่จะร่วมมือกับนางใส่ร้ายพระสนมเฉินกุ้ยเฟยนางจะทำให้ตัวเองได้ตำแหน่งผินแต่ทำไมน