แต่แล้วกลับหยุดลงอย่างกะทันหันฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่อยากฟังคําแก้ตัวของนาง "อวิ๋นกุ้ยเหริน ทำพิธีมนต์ดำในพระราชวังเป็นโทษร้ายแรงมาก ต้องประหารชีวิต ส่วนครอบครัวของนางก็ลงโทษด้วย"พูดจบก็โบกมือและไม่มองนางอีก"ฝ่าบาท โปรดประธานอภัยเพคะ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยใส่ร้ายข้า..." พูดยังไม่จบ ก็ถูกขันทีสองคนอุดปากและลากออกไปก่อนฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย "วันนี้ทำเจ้าต้องน้อยใจเลย"จากนั้นก็หันไปมองฟางกุ้ยเหริน "เจ้าจะว่าอย่างไร?"ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุดันฟางกุ้ยเหรินเห็นดังนั้น ก็ล้มลุกคลุกคลานลงมาจากเตียงอย่างรีบร้อนและหมอบลงบนพื้น "ข้า ข้าโดนมนต์สะกดของอวิ๋นกุ้ยเหรินเลย... เอ่อ..."ในที่สุดก็พูดไม่ออกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับโมโห ชี้ฟางกุ้ยเหรินแล้วด่าว่า "ครั้งที่แล้วเจ้าก็ใส่ร้ายเฉินกุ้ยเฟย ตอนนี้ก็มาทำผิดซ้ำเดิมอีก""พระสนมเฉินกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีขนาดนี้ นางพยายามขอข้าหลายครั้ง แต่เจ้ากลับทำแบบนี้""ใจยักษ์ใจมานกันทั้งนั้น""เมิ่งฉวนเต๋อส่งฟางกุ้ยเหรินไปที่วัดผู่เหวิน ชาตินี้อย่าให้ข้าเห็นนางอีก"ฟางกุ้ยเหรินได้ยินดังนั้น ก็ทรุดนั่งลงกับพื้น ครั้งนี้นางแพ้ และต้องเดิมพันด้
ส่วนทางด้านไทเฮานั้น มีคนมารายงานข่าวคราวที่เกิดขึ้นที่ตำหนักหานกวางให้นางตั้งนานแล้ว นางคิดว่าตอนนี้ประเทศชาติสงบสุข และวังหลังก็สงบสุข ถือเป็นสัญญาณแห่งความรุ่งเรือง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีนางสนมในวังหลังมาใช้มนตร์ดำในวังเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากฮ่องเต้วิชาคาถามนต์ดำเช่นนี้ จะต้องลงโทษผู้ที่นำมาใช้อย่างรุนแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง จึงได้ออกรับสั่งเพียงว่าฮ่องเต้มีความเมตตา แต่ผู้ที่ใช้มนต์ดำเหล่านี้ไม่ควรให้อภัย ต้องฆ่าล้างโคตรอวิ๋นกุ้ยเหรินเพื่อเป็นตัวอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่เกรงว่าไทเฮาจะโกรธเพราะเรื่องนี้ จึงรีบไปที่ตำหนักหรงเล่อเมื่อมาถึงก็เห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาถึงก่อนนานแล้ว ตอนนี้นางกําลังบีบไหล่ให้ไทเฮาเบาๆ "ไทเฮาอย่าโกรธไปเลยเพคะ ลงโทษแล้วก็แล้วไป อย่าโมโหให้เสียสุขภาพเลยนะเพคะ"แม้ว่าในสายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นางรู้สึกว่าการลงโทษนี้หนักหนาเกินไป แต่นางจะไม่แสดงอาการต่อหน้าไทเฮาไทเฮากลับตบมือของเฉินกุ้ยเฟยแล้วบอกว่า "เรื่องนี้ทำเจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจ"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับส่ายหัวและมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่แล้วบอกว่า “ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระปรีชาส
เขาเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่เขาเดินต่อไปทีละก้าวเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาค่อยจัดการองค์รัชทายาท เรื่องขึ้นครองบัลลังก์ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้นและเรื่องนี้ย่อมมาถึงหูของฮ่องเต้ต้าฉู่ ในขณะที่ทุกคนคิดว่าฮ่องเต้จะลงโทษองค์ชายสาม ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับพูดเพียงประโยคเดียวว่า "เจ้าเป็นคนกตัญญูดีนี่"นี่จึงทำให้องค์ชายทั้งสามเชื่อมั้นในแผนการของซิ่นเทียนมากขึ้นเดิมทีชุยชื่อก็ดูถูกคนอย่างฟางกุ้ยเหริน แม้ว่านางเองก็เคยไม่ถูกกับกับเฉินกุ้ยเฟยมาก่อน แต่ฟางกุ้ยเหรินที่เป็นแค่กุ้ยเหรินกลับกล้าใส่ร้ายกุ้ยเฟยครั้งแล้วครั้งเล่า ในยังจะใช้เวทมนต์คาถาในวังอีก สมควรตายจริงๆแต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาจิ่นเฉินส่งจดหมายมาบอกให้ตัวเองไปดึงฟางกุ้ยเหรินมาเป็นพวก ปลูกฝังความเกลียดชังต่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไว้ในใจของนาง คนคนนี้ยังมีประโยชน์อีกในอนาคต"น้องฟางต้องดูแลสุขภาพให้ดีนะ" ชุยชื่อแสดงความห่วงใย "ฝ่าบาทก็ทรงใจร้ายจริงๆ เจ้าเพิ่งถึงจะคลอดก่อนกำหนด ก็ส่งเจ้ามาที่ที่เงียบเงาเช่นนี้"ฟางกุ้ยเหรินไม่ทันได้ตอบ นางก็กวักมือให้ไป๋จื่อที่อยู่ข้างหลังบอกว่า "นี่เป็นผ้าห่มสองผืน กลางคืนมันหนาว น้องหญิงต
หลังจากเกิดเรื่องต่างๆ มากมายขนาดนี้ องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ที่จวนตัวเองก็นั่งไม่ติดแล้วเหมือนกันในวันนี้จึงขอพระราชทานพระราชานุญาตเข้าเยี่ยมไทเฮาในวังครั้งสุดท้ายที่นางเข้าวังมาถวายพระพรก็ไม่ได้พบเสด็จย่า นับๆ แล้วนี่ก็ไม่ได้เจอเสด็จย่ามาเกือบหนึ่งปีแล้ว"เสด็จย่า หลานคิดถึงเสด็จจังเลยเพคะ" องค์หญิงใหญ่ได้ใกล้ชิดกับไทเฮามากก่อนออกจากพระราชวังไป ครั้งนี้ก็เดินทางไปเจียงหนานจึงไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้"อืมๆ ๆ หลานสาวคนดีของย่า จดหมายที่เจ้าเขียนมาย่าได้อ่านหมดแล้ว ดูท่าทางเจ้าไปเจียงหนานครั้งนี้จะไม่เลวนะ" ไทเฮาเห็นองค์หญิงใหญ่หมอบลงบนตักตัวเองจึงตบหลังนางเบาๆแม่นมที่อยู่ข้างๆ เห็นสองย่าหลานดูมีความสุขและอดไม่ได้ที่จะต้องปาดน้ำตาองค์หญิงใหญ่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีเยี่ยมจากฮ่องเฮาองค์ก่อน ไม่ว่าลมแรงหรือฝนก็ต้องมาถวายพระพรไทเฮาที่ตำหนักหรงเล่อตลอด แม้ภายหลังจะออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ไม่กี่วันก็จะกลับเข้ามามาเยี่ยมทีปีนี้ไทเฮาก็บ่นถึงองค์หญิงใหญ่ไม่ขาดปาก จึงเอ่ยปากว่า "องค์หญิงใหญ่กลับมาแล้ว ไทเฮาคิดถึงท่านมากเลยเพคะ""นังคนนี่ เจ้าฟ้องเรื่องข้าหรือ" ไทเฮาไม่ได้โกรธจริง แค่แสร
นางจึงเร่งฝีเท้าไปที่ตำแหน่งชิงอวิ๋น ท่านน้าอาศัยอยู่ในวังมานานนางต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน"ท่านน้ารู้ไหมเพคะว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับลู่ซิงเสวี่ย?" องค์หญิงองค์ใหญ่ทำความเคารพเสร็จก็จับมือกุ้ยเฟยเฉินเดินไปที่ห้องด้านในเฉินกุ้ยเฟยกลับถูกนางทำให้สับสน "เกิดอะไรขึ้น"พูดจบเหมือนนึกอะไรออกจึงถามว่า "เจ้าเจอนางระหว่างทางแล้ว ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ"องค์หญิงใหญ่กลับลุกขึ้นจากม้านั่งอย่างแรง ทําให้กุ้ยเฟยตกใจรีบเข้าไปประคอง "เจ้าระวังหน่อย กำลังท้องกำลังไส้"ลู่ซิงหว่านมองอยู่ข้างๆ อดพูดไม่ได้ว่า[ดูเหมือนว่านิสัยของพี่สาวคนโตของข้าไม่เหมือนท่านป้าเลย ฮองเฮาคนก่อนในหนังสือนิทานบอกว่าเป็นคนที่อ่อนโยนเป็นที่สุด พี่สาวคนโตท่าทางป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนท่านแม่ข้ามากกว่า]ฝ่ายเฉินกุ้ยเฟยก็คิดในใจว่า “ลูกรักของแม่ นี่เจ้าชมหรือว่าข้ากันแน่”องค์หญิงใหญ่รีบจับมือของเฉินกุ้ยเฟย "ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่นาง... นาง... ทักทายข้าน่ะสิ !"[ฮ่าๆ ๆ พี่ใหญ่น่ารักมาก ข้าชอบเล่นกับพี่ใหญ่ เดี่ยวถ้าหลานคลอดแล้วข้าต้องไปเยี่ยมเจ้าตัวเล็กสักหน่อย][ช่างเถอะ เด็กเล็กวุ่นวายเกินไป ไม่ไปดีกว่า]เฉินกุ้ยเฟยเองก็สงสัย
ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรออกขึ้นมา นางมองไปที่เฉินกุ้ยเฟย "ตอนนี้ท่านน้าดูแลตำหนักทั้งหกอยู่นี่เพคะ ไม่สู้น้าช่วยจัดแจงให้นางหน่อยดีไหม"เฉินกุ้ยเฟยกลับมององค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้างงงวย "อะไรกัน นี่ข้ากลายเป็นแม่สื่อไปแล้วหรือ""ดูนางน่าสงสารนี่เพคะ ข้าก็ช่วยท่านน้าเป็นธุระด้วยอีกแรงดีไหมเพคะ" องค์หญิงใหญ่เขย่าแขนของนางเฉินกุ้ยเฟยกลับดีดหน้าผากของนาง "เจ้านี่ก็ช่างใจดี ที่นางทำเจ้าไว้แต่ก่อนไม่ถือสาแล้วหรือ"องค์หญิงใหญ่กลับถอนหายใจ "ถึงยังไงก็เป็นน้องสาวของตัวเอง จะให้ข้าดูนางกระโดดเข้ากองไฟอยู่เฉยๆ หรือ"[พี่สาวคนโตของข้าไม่เพียงแต่สดใสมีชีวิตชีวาและฉลาดหนักแหลมเท่านั้น แต่ยังงดงามและน่าประทับใจ แถมมีน้ำใจด้วย ได้มีภรรยาเป็นเช่นนี้ สามีจะขออะไรอีก]เฉินกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว หวานหว่านคิดอะไรอยู่นี่พอคิดมาถึงตรงนี่ก็อุ้มหวานหว่านขึ้นมา แล้วมองไปที่องค์หญิงใหญ่ "เจ้าจะไปหาจิ่นหยูใช่ไหม""ย่อมต้องไปอยู่แล้วสิเพคะ แต่ดันมาถูกซิงเสวี่ยขัดจังหวะเสียก่อน ไม่เช่นนั้นข้าคงไปนานแล้ว" องค์หญิงใหญ่รีบลุกขึ้นตามเฉินกุ้ยเฟยไปเฉินกุ้ยเฟยจึงยัดลู่ซิงหว่านเข้าไปในอ้อมแขนของจิ่นซินและ
เฉินกุ้ยเฟยก็ยิ้ม "ไม่เป็นไร ตอนนี้หย่งอันก็ไม่ได้เป็นไรแล้ว"พวกเขาคุยกันอีกสองสามคําแล้วเฉินกุ้ยเฟยก็ปล่อยมือและพูดว่า "พี่สาวของเจ้าจะไปเยี่ยมพี่สอง งั้นข้าก็ไม่อยู่คุยเล่นกับพวกเจ้าแล้ว"องค์ชายสามจึงคำนับนางและมองดูเฉินกุ้ยเฟยและคณะจากไป เสร็จแล้วจึงหันหลังมาดึงองค์หญิงหกก็เดินไปที่ตำหนักฉางชิวองค์หญิงห้าก็ถูกนางกำนัลของนางพากลับไปที่ตำหนักเหวินอิงเมื่อเข้าไปในตำหนักฉางชิวแล้ว องค์ชายสามก็มององค์หญิงหกด้วยความโมโห แต่ก็พยายามใจเย็นก่อนพูดว่า "ตอนนี้ท่านแม่สนมถูกลดตำแหน่ง เจ้าอยู่ในวังจะพูดจะทำอะไรต้องระวังให้มาก ต่อไปก็อย่าไปมาหาสู่กับซิงยุ่นนัก"องค์หญิงหกพยักหน้ารับ แต่หลังจากที่องค์ชายสามจากไปนางก็กวาดสิ่งของบนโต๊ะลงกับพื้น "ลู่ซิงหว่าน ทั้งหมดเป็นเจ้า ทั้งหมดเป็นเจ้าคนเดียว"ส่วนทางฝั่งองค์หญิงใหญ่ก็อึ้งอีกครั้งนางถามว่า “ท่านน้า องค์ชายสาม... ก็โดนผีเข้าด้วยหรือ”เฉินกุ้ยเฟยรีบเอามือปิดปากนาง "เรื่องแบบนี้พูดที่ตำหนักชิงหยุนได้เท่านั้น ก่อนหน้านี้อวิ๋นกุ้ยเหรินเพิ่งจะก่อเรื่องนั้นไว้ เจ้าอยู่ในวังพูดอะไรก็ระวังหน่อย"องค์หญิงใหญ่รับพยักหน้า พอเฉินกุ้ยเฟยปล่อยมือแล้ว
องค์หญิงใหญ่เห็นองค์หญิงสองเป็นแบบนี้ เลยพูดติดตลกว่า "ข้าว่าน้องสองคงไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานแล้ว ควรออกไปเดินเล่นหน่อยจะได้เจอชายหนุ่มดีๆ บ้าง"องค์หญิงสองกลับยิ้มขมขื่น "เสด็จพี่อย่ามาล้อเล่นข้าเลย อีกอย่าง ข้ามีอิสระแบบเสด็จพี่ที่ไหน"องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้น ก็เหมือนนึกอะไรได้ รีบมองไปที่สองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและหลานเฟย "พระสนมเฉิน พระสนมหลาน ตอนนี้อากาศก็อบอุ่นขึ้นแล้ว ตระกูลฉินมีสวนแห่งหนึ่งในเมืองหลวงสวยงามมาก เก็บกวาดเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว เราไปจัดงานแต่งบทกวีกันดีหรือไม่"ดวงตาทั้งสองข้างมองเฉินกุ้ยเฟยด้วยแววตาเป็นประกาย แต่เฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลตัวเองออกจากวังสองครั้งก่อน ก็เจอการลอบสังหารทั้งสองครั้ง เพื่อความปลอดภัยของหวานหว่านน่าจะอยู่ในวังดีกว่าไหมลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ กลับตบโต๊ะด้วยความดีใจ[ดีจัง หวานหว่านชอบเดินเที่ยวสวนที่สุด ถึงตอนนั้นหวังว่าพี่สาวคนโตจะเชิญคนมาเยอะๆ หวานหว่านชอบความคึกคักที่สุดเลย][ท่านแม่ของข้าก็ชอบความคึกคัก! ข้าชอบพี่สาวคนโตที่สุดเลย!][ถึงตอนนั้นท่านแม่ต้องตามเกาะแกะคุณหนูตระกูลขุนนางพวกนั้นให้เล่าเรื่องซุบซิบของคนอื่นให้ฟังแน
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ