พูดแล้วก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายของลู่ชิงหว่าน เมื่อเห็นว่านางนอนโยกอยู่ที่เก้าอี้อย่างสบายใจภายในใจก็อดผ่อนคลายขึ้นมาไม่ได้แล้วก็เหม่อไปครู่หนึ่งถึงนึกเป้าหมายในการมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นออก “เสด็จป้า กระหม่อมไปที่จวนโหวกวงฉินให้เร็วหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้ลุกยืนขึ้น “ทำไมถึงรีบร้อนเพียงนี้”“ยามนี้มีเรื่องในราชสำนักมากนัก วันนี้เสด็จพ่อยังทรงไปพิโรธอยู่ในราชสำนักอีก เอ่ยว่ากรมคลังไม่ทำหน้าที่ของตนเองยามนี้กำลังปวดหัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ !”“ปวดหัวอีกแล้วหรือ ? เมื่อก่อนฝ่าบาทก็สุขภาพดีมาโดยตลอด” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอยพึมพำ“อาจเป็นเพราะเรื่องในราชสำนักมีมากจนไม่มีเวลาว่าง และเป็นกังวลมากจนเกินไป กระหม่อมก็ควรที่จะช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบา” องค์รัชทายาทเอ่ยแล้วหันไปยังทิศทางของห้องทรงอักษรพร้อมยกมือขึ้นมาคารวะ[ในนิยายไม่ได้บอกว่าเสด็จพ่อมีเรื่องปวดหัวนี่ ? ][ไม่ถูกสิ จากเวลาในนิยายหรงอ๋องยังไม่ได้ทำการช่วงชิงบัลลังก์เสด็จพ่อก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงนะ ! ][นี่มันยังไงกันแน่ ? หรือจะบอกว่าเดิมทีเสด็จพ่อก็ไม่ได้มีชีวิตยืดยาว ? ]ได้ยินคำพูดในใจของลู่ชิงหว่านพระสนมเฉินก
ในตอนที่กลุ่มขององค์รัชทายาทไปถึงจวนโจกวงฉิน เด็กน้อยที่เฝ้าประตูอยู่เห็นว่าเป็นรถม้าของพระราชวังจึงได้รีบไปเปิดประตูแล้วต้อนรับองค์รัชทายาทให้เข้ามาด้านในแม้ว่ายามเช้าจะมีขันทีน้อยมาแจ้งกับทางจวนโหวกวงฉินแล้วแต่ก็มาเร็วกว่าองค์รัชทายาทไม่เท่าไร เมื่อคนของจวนโหวได้รับแจ้งก็ยุ่งอยู่ตั้งแต่ลานด้านหลังไปจนถึงลานด้านหน้าเมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทรออยู่ที่ภายในโถงหลักโหวกวงฉินจึงรีบเข้าไปคารวะ “เป็นกระเหมาะให้การต้อนรับไม่ดีขอพระองค์ทรงลงโทษ”องค์รัชทายาทจึงรีบเข้าไปพยุงโหวกวงฉินขึ้นมา “ขอท่านโหวให้อภัย เป็นข้าที่มาอย่างกระทันหันจึงไม่ได้มาแจ้งกับท่านโหวก่อน”โหวกวงฉินก็เอ่ยถึงความผิดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอีกองค์รัชทายาทถึงได้เอ่ยถึงเหตุผลที่มา “วันนั้นต้องขอบคุณฮูหยินก่วนที่มอบโอสถให้ บาดแผลขององค์ชายสองถึงได้หายเร็วเช่นนี้ วันนี้ข้ามาที่จวนโหวก็เพื่อมาขอบคุณฮูหยินก่วน”องค์รัชทายาทเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีแล้วยกมือขึ้นมาคารวะคนของจวนโหวกวงฉินจึงรีบพากันคารวะกลับ“นี่คือซื่อจื่อเผยแห่งอันกั๋วกงคิดว่าวันนั้นท่านโหวคงได้พบแล้ว”โหวกวงฉงรีบตอบกลับ “แน่นอนว่าพบเจอแล้ว ซื่อจื่อเผยอ
แม้ว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อให้พวกนางเลิกระแวงจึงได้พยักหน้าพระสนมหนิงเฟยจึงนวดไปที่จุดชีพจรบนศีรษะของฮ่องเต้ต้าฉู่จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งจิบชาถึงได้เอ่ยถาม “ฝ่าบาทรู้สึกดีขึ้นหรือไม่เพคะ ? ”ฮ่องเต้เต้ต้าฉู่ถึงได้ลืมตาขึ้นมา และจึงพบว่าสายตานั้นกระจ่างใสขึ้น “ได้ผลจริง ๆ ด้วย ? ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นเขาเป็นเช่นนี้จึงเอ่ยอย่างขบขัน “หม่อมฉันเคยเอ่ยกับฝ่าบาทแล้วว่าน้องสาวหนิงเป็นหมอเทวดา ! ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักแล้วจับไปที่มือของพระสนมหนิงผิน “นึกไม่ถึงว่าสตรีในห้องหอเช่นเจ้าจะมีวิชาแพทย์เช่นนี้ ขุนนางแห่งศาลต้าหลีสอนบุตรสาวได้ดีจริง ๆ ”คนไม่กี่คนถึงได้หัวเราะขึ้นมาแต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่พอใจขึ้นมา [ท่านแม่ยังจะมาหัวเราะอีก! ตอนนี้สามีของท่านกำลังจับมือของผู้อื่นอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านยังจะหัวเราะออกมาได้อีก] [โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเรานั้นสามีมีภรรยาเพียงแค่ผู้เดียว ในตอนนั้นท่านเซียนตงหยางเกิดความรู้สึกกับสตรีผู้หนึ่งแล้วต้องการที่จะทอดทิ้งภรรยาคนแรกของตนเองเพื่อแต่งงานกับอีกคน ในขณะนั้นจึงถูกลงโทษให้ตกลงไปในมรรคา
เห็นองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักก็มองไปที่เขาอย่างสงสัยเพียงแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้งกลับ“สำหรับการยกเลิกเก็บภาษีแน่นอนว่าไม่ต้องเอ่ยถึง จากที่กระหม่อมเห็นควรจะยกเลิกเก็บเป็นเวลาสองปี ยามนี้คลังเสบียงของแคว้นก็มีมากพอ แจกจ่ายให้กับประชาชนเยอะหน่อยเพื่อคลีคลายสถานการณ์ช่วงหนึ่งถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”“ส่วนการแจกจ่ายแน่นอนว่าเริ่มทำมันตั้งแต่ตอนนี้ นำประกาศส่งไปให้กับขุนนางท้องถิ่นเพื่อให้ขุนนางท้องถิ่นทำการจดบันทึกจำนวนที่ดินทำกิน จำนวนหมู่บ้าน และประชาชน จำนวนสำมะโนครัวรวมไปถึงจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่อยู่ในเขตการจัดการของตนเองทั้งหมดส่งมาที่ราชสำนัก”“เมื่อเสด็จพ่อได้อ่าน ถึงตอนนั้นค่อยให้ขุนนางขั้นสูงตัดสินใจเรื่องจำนวนในการเปิดคลังเสบียงเพื่อนำออกมาแจกจ่าย0rjvwfhvjko”“แน่นอนว่าเพื่อป้องกันการทุจริตของขุนนางจึงต้องให้ราชสำนักส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับ ๆ และก็สามารถติดประกาศแจ้งตามศาลของเมืองหลวงหรือมณฑลต่าง ๆ และตามตรอกซอยของถนนว่าหากการแจกจ่ายเสบียงอาหารมีตรงไหนที่ไม่เป็นธรรม ประชาชนก็สามารถเข้ามารายงานกับขุนนางขั้นสูงได้โดยตรง”“เพียงแต่จำนวนในตอนนี้แน่
แม้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะหมดหนทางทั้งยังไม่สามารถจะอธิบายกับนางได้ จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้สมองน้อย ๆ ของนางคิดเพ้อเจ้อไปอย่างไร้ขีดจำกัดและภายในจวนของโหวกวงฉินก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจเพราะเรื่องการเข้าวังครั้งแรกของต้วนอวิ๋นอี“ตั้งแต่เช้าฮูหยินโหวกวงฉินก็มาที่เรือนของพวกเขาสองสามีภรรยา แล้วก็ดูว่าการแต่วตัวของนางมีปัญหาหรือไม่พร้อมทั้งเอ่ยปลอบโยนนางไปด้วย “เจ้าไม่ต้องกังวลใจ แม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในวัยออกเรือนจะมีความสัมพันธ์ต่อจวนของเรา แต่ข้าเองก็เคยเห็น นางเป็นคนที่มีนิสัยแจ่มใส่ และไม่มีทางที่จะทำร้ายคนได้มากที่สุด”ต้วนอวิ๋นอีเห็นมารดาของสามีเอ่ยเช่นนี้จึงรีบพยักหน้า “ท่านแม่วางในเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง”และก่วนหลางสือก็มาส่งนางอยู่ที่ด้านนอกของประตูวัง “ไม่ต้องตื่นตระหนก”แล้วก็เอ่ยปลอบนางอยู่หลายประโยคพร้อมมองดูจนนางเปลี่ยนเกี้ยวถึงได้แยกตัวออกมาภายในใจของต้วนอวิ๋นอีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเยาะเย้ยตัวเอง ก็เพราะว่าตนเข้ามาที่พระราชวังแห่งนี้ตามลำพังสามีถึงได้ให้ความสำคัญกับตนเองขึ้นมาเช่นนี้และเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นต้วนอวิ๋นอีเข้ามาที่ด้านในตำหนักจึงรี
“เมื่อตอนงานแข่งตีคลีแม่นางต้วนเคยมาหาข้า” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยเมื่อเห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องในวันที่มีการแข่งตีคลีต้วนอวิ๋นอีก็ร้อนรนใจขึ้นมา หรือว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะตำหนิตนขึ้นมาเพราะเรื่องในวันนั้น ? แต่แล้วครู่หนึ่งพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เอ่ยขึ้น “เอ่ยอย่างไม่ปิดบังแม่นาง ข้า และก่วนหลางสือมีความสัมพันธ์ในวันเยาว์ เมื่อก่อนคนในเมืองหลวงก็ล้วนแต่รับรู้กันหมด เพียงแค่แม่นางเอ่ยถามก็ทราบได้ในทันที”ต้วนอวิ๋นอียิ่งรู้สึกตกใจ นางได้ยินคนรอบข้างเอ่ยว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นผู้ที่โผงผางตรงไปตรงมา แต่กลับตรงไปตรงมามากจนถึงขั้นนี้เลยหรือ ?“ข้าก็ไม่รู้ว่าก่วนหลางสือเอ่ยกับเจ้าอย่างไร เพียงแต่ในตอนนี้พวกเราทั้งสองต่างก็แต่งงานกันแล้ว ขอแค่ให้แม่นางต้วนวางใจก็พอแล้ว แต่ไหนแต่ไรข้าก็เป็นผู้ที่มองไปข้างหน้าในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้วก็จะไม่มีทางหันหลังกลับ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีด้วยสายตาแน่วแน่แต่ช่วงระยะหนึ่งต้วนอวิ๋นอีกลับมีสีหน้าประทับใจ “พระสนม…”“วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้าเข้ามาที่วัง ก็เพื่อที่จะได้อธิบายเรื่องนี้กับเจ้า จะได้ไม่ทำให้พวกเจ้าสามีภรรยา รว
[เหมือนว่าในนิยายตอนที่แคว้นต้าฉู่อยู่ในช่วงความไม่สงบ พระสนมเหวินเฟยจึงได้พาองค์ชายสี่กลับไปที่แคว้นต้าลี่ด้วย และเหตุการณ์ในภายหลังก็ไม่ได้มีการอธิบายเอาไว้][แล้วหรงอ๋องผู้นั้นยังมีความคิดจะทำการไม่ดี และต้องการที่จะข่มเหงพระสนมเหวินเฟยแต่กลับถูกองค์ชายสี่ผู้นั้นแท่งไปหนึ่งครั้ง บาดแผลถูกแทงยังไม่ทันได้ถูกรักษาจนหายดีก็ถูกเสด็จที่สองจัดการเสียก่อน]ฟังจากที่ลู่ชิงหว่านพร่ำบ่นภายในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดนึกไม่ได้ว่าเรื่องอย่างการพาองค์ชายสี่กลับไปที่แคว้นนั้นเป็นเรื่องที่พระสนมเหวินเฟยสามารถทำมันได้ตอนนี้ตนเข้าวังมาได้เพียงไม่กี่ปีก็เห็นหน้าของพระสนมเหวินเฟยแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ภายหลังพระสนมเหวินเฟยก็ไม่ค่อยได้ออกมาจากตำหนักเพราะเอ่ยว่าไม่ค่อยสบายตนจึงไม่ได้เห็นนางอีกในตอนที่กำลังคิดก็เห็นว่าพระสนมเหวินเฟยได้เดินเข้ามาแล้ว“พี่สาวเหวิน มีเรื่องอะไรที่ไปรบกวนจนทำให้ท่านต้องมาถึงที่นี้หรือ?“ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเดินเข้าไปจูงมือพระสนมเหวินเฟยอย่างกระตือรือร้น[โห พระสนมเหวินเหยผู้นี้งดงามจริง ๆ ด้วย แม้ว่าจะสวมใส่เพียงแค่ชุดของพระราชวังธรรมดา ๆ แต่กลับทำให้มีรูปร่างสูงบาง ม
[นึกไม่ถึงว่าเหวินเฟยจะเป็นคนมีน้ำใจขนาดนี้ หน้าตาดูเฉยๆ ก็ชอบช่วยเหลือ]ในตอนนี้ จิ่นอวี้ที่ไปแจ้งเหมยหลานจู๋จวี๋เสร็จก็กลับมาพอดี "ทำไมพระสนมถึงเชื่อคําพูดของเหวินเฟยขนาดนี้ ในวังหลังนี้..."จิ่นอวี้พูดไม่ทันจบก็มองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟย"จะว่าไปแล้ว เหวินเฟยก็ต่อข้ามาตลอด คิดว่าคงเป็นเพราะสำนึกบุญคุณท่านพ่อที่เคยช่วยชีวิต"[อืม? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ท่านแม่รีบเล่าให้ฟังหน่อย]ลู่ซิงหว่านไม่ค่อยเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับเหวินเฟยในหนังสือนิทานเท่าไหร่ คิดว่าเป็นตัวประกอบที่ไม่สำคัญ ตอนนี้พอได้ยินท่านแม่พูดขึ้นมา ก็เลยเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินลู่ซิงหว่านพูดแบบนี้ ก็แกล้งทำเป็นพูดกับจิ่นอวี้"หลายสิบปีก่อน ตอนที่ท่านพ่อเฝ้าอยู่ที่ชายแดนแคว้นเยว่เฟิงกับแคว้นต้าลี่ แล้วบังเอิญตอนที่แคว้นเยว่เฟิงเจรจาสันติภาพกับแคว้นต้าลี่ เดิมทีก็ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่คิดว่าแคว้นเยว่เฟิงได้ซุ่มโจมตี จู่ๆ ก็พลิกหน้ามือเป็นหลัง จับทูตผู้มาเจรจาสันติภาพคนนั้นไปเพื่อข่มขู่แคว้นต้าลี่"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดพลางมองลู่ซิงหว่าน เห็นดวงตาโตของนางเปล่งประกายกำลังตั้งใจฟังอย่างละเอียด
ถึงอย่างไรก็เป็นพระชายาของพี่ชายองค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกทั้งหานซีเยว่ดีต่อนางมากจริงๆ การเข้าวังครั้งนี้ ยังนําของเล่นพื้นบ้านมาให้นางไม่น้อยเลย[คนดีๆแบบนี้ต้องไม่ตายแน่]คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงหว่านถึงกับขอบตาแดงก่ำ[ในนิยาย หานซีเยว่ตายเพื่อพี่รัชทายาท คงเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องจะมีตัวแปรมากมายขนาดนี้ แต่โชคชะตาของพี่หญิงตระกูลหานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง!][พี่ฉยงหัวต้องรักษาได้แน่ๆ ]ซ่งชิงเหยียนจึงหันไปมองลู่ซิงหว่านที่ดวงตาแดงก่ำ กอดนางไว้ในอ้อมแขนและตบนางเบาๆ “หวานหว่านไม่ต้องกังวล พี่หญิงหานของเจ้าเป็นคนดีขนาดนี้ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”“ฝ่าบาทเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ในขณะที่สองแม่ลูกกําลังเสียใจเพราะหานซีเยว่ เสียงของเมิ่งเฉวียนเต๋อก็ดังขึ้นจากข้างนอก“พระมเหสีเสด็จ” ทันทีที่เมิ่งเฉวียนเต๋อพูดจบ ก็มีเสียงของขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นซ่งชิงเหยียนปล่อยลู่ซิงหว่านแล้วจูบนาง “หวานหว่านอยู่ดีๆ นะ แม่จะไปพบเสด็จพ่อดีไหม”ลู่ซิงหว่านพยักหน้าอย่างหนักแน่น แต่ไม่สนใจซ่งชิงเหยียนอีก เพียงมองไปทางหานซีเยว่เมื่อซ่งชิงเหยียนปรากฏตัวที่นอกประตู ทุกคนต่างก็ตกตะลึงแต่โชคร้า
“พี่ไป๋หลิง ตอนนี้เสด็จพี่ไม่อยู่แล้ว คนทั้งวังต่างก็รังแกข้า วันนั้นข้าถูกไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านรังแกอีกแล้ว” พูดจบประโยค องค์หญิงหกก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งความไม่พอใจในใจของไป๋หลิงเมื่อสักครู่ถูกลู่ซิงหุยแก้ไขทันทีใช่แล้ว ตอนนี้พระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่อยู่แล้ว องค์ชายสามก็ถูกกักบริเวณแล้ว คนที่องค์หญิงหกสามารถพึ่งพาได้มีเพียงตนเองเท่านั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ไป๋หลิงก็ตบหลังองค์หญิงหกเบาๆ “องค์หญิงวางใจเถิด สิ่งใดที่ทําให้องค์หญิงไม่สบายใจ ล้วนต้องได้รับผลกรรม”ในทิศทางที่ลู่ซิงหุยมองไม่เห็น ดวงตาของไป๋หลิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังแม้แต่อิงหงก็ไม่กล้าสบตานางโดยตรง ก้มหน้าลงสิ่งที่ไป๋หลิงพูดในครั้งนี้ถูกต้อง ซ่งชิงเหยียนได้รับ"กรรมตามสนอง" อย่างที่นางพูดอย่างรวดเร็วเมื่อหานซีเยว่ออกจากวัง ซ่งชิงเหยียนก็ไปส่งนางที่ด้านนอก ซ่งชิงเหยียนก็ถูกลอบสังหารที่ถนนนอกตำหนักชิงอวิ๋นได้ยินมาว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมากส่วนนางกํานัลที่ลอบสังหารคนนั้น หลังจากลอบสังหารสําเร็จแล้ว ก็ปาดคอตายอยู่บนถนนทันทีข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังอย่างรวดเร็วในเวลานี้ไป๋หลิงกําลังอยู่กับลู่ซิงหุย เมื่อลู่ซิงหุ
ในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับหานซีเยว่ลู่ซิงหุยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาหลายวันในที่สุดก็ได้พบกับไป๋หลิงทันทีที่ไป๋หลิงเข้าไปในห้องด้านใน ลู่ซิงหุยก็ขว้างถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างหน้าเขาไปที่เท้าของนางด้วยความโกรธ "เจ้ายังรู้ว่าจะมา!"“ตอนนี้เจ้าได้รับความโปรดปรานจากหญิงชั่วคนนั้นของฮองเฮาใช่หรือไม่? ลืมเสด็จแม่ของข้าไปจนสิ้นแล้ว!”ลู่ซิงหุยตอนนี้อาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ย่อมรู้ว่าบ่าวไพร่ของตําหนักจิ่นซิ่วเคารพไป๋หลิงเพียงใด และรู้ว่าตอนนี้ในใจของฮองเฮาพึ่งพาไป๋หลิงเป็นอย่างมากนอกจากนี้ไป๋หลิงไม่ได้ปรากฏตัวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงสงสัยส่วนอิงหงที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่ซิงหุย รีบก้าวเข้าไปปิดปากนางอย่างรวดเร็ว “องค์หญิง!”จากนั้นก็ปล่อยมือ “องค์หญิงระวังคําพูด ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง”“ฮึ” ลู่ซิงหุยส่งเสียงหึในลําคออย่างเย็นชา แล้วหันไปมองไป๋หลิงที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าช่างเป็นคนที่รู้จักหลบๆ ซ่อนๆ เสียจริง เมื่อก่อนต้องมาที่ตำหนักของข้าทุกวัน”“ตั้งแต่พี่สามถูกเสด็จพ่อกักบริเวณอยู่ในตําหนักฉางชิว เจ้าก็ไม่ปราก
คิดในใจ ลู่ซิงหว่านจึงใช้ทั้งมือและเท้าเดินกลับไปหาหานซีเยว่อีกครั้ง แล้วประคองโต๊ะเล็กให้ลุกขึ้นตอนนี้หานซีเยว่เปิดกล่องนั้นแล้ว เป็นกําไลหยกที่โปร่งใสซ่งชิงเหยียนถึงยิ้มแล้วพูดต่อ “ไม่ถือว่าเป็นกําไลที่ดีอะไรหรอก แต่เป็นของฮองเฮาองค์ก่อนทิ้งเอาไว้”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือของหานซีเยว่ที่ถือกําไลนั้นถึงกับสั่นนางวางกําไลนั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วผลักไปตรงหน้าซ่งชิงเหยียน “พระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้จริงๆ”ซ่งชิงเหยียนกลับยิ้มพลางยืนขึ้น หยิบกําไลหยกนั้นไว้ในมือ เดินไปตรงหน้าหานซีเยว่ แล้วสวมแทนนาง “การแต่งงานของเจ้ากับองค์รัชทายาท พวกข้าพอใจมาก ฮองเฮาองค์ก่อนก็ต้องพอใจมากเช่นกัน”ตอนนี้เมื่อซ่งชิงเหยียนพูดถึงซ่งชิงหย่าอีกครั้ง นางก็รู้สึกสงบมากขึ้นกว่าเดิม“กําไลวงนี้เป็นของฮองเฮาองค์ก่อนทิ้งเอาไว้ บอกว่าจะมอบให้ว่าที่ลูกสะใภ้ “น่าเสียดายที่นางเองไม่มีโอกาสได้มอบมันให้กับเจ้าด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงต้องให้น้องสาวอย่างข้าทําแทน”“เดิมทีจะมอบให้เจ้าในพิธีปักปิ่นของเจ้า แต่วันที่เจ้าเข้าพิธีปักปิ่นนั้น ข้าเกรงว่าจะมีธุระไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้ ดังนั้นจึ
หลังจากได้ยินคําพูดของซ่งชิงเหยียน ฉยงหัวก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ“จะได้หรือ?” คําพูดของฉยงหัวแฝงความหมายหยั่งเชิงอยู่บ้าง นางย่อมยินยอมไปหลายวันมานี้นางก็คิดได้แล้ว ดีชั่วตอนนี้ตนเองสูญเสียพลังจิตวิญญาณไปแล้ว แทนที่จะมัวยึดติดกับการตามหาหวานหว่าน สู้สงบจิตสงบใจ เสพสุขกับชีวิตในตอนนี้จะดีกว่าบางทีหลังจากที่อาจารย์ของหวานหว่านออกจากการเก็บตัวแล้ว เห็นว่าตัวเองก็ไม่อยู่แล้ว ย่อมมาช่วยเองอยู่แล้ว“แน่นอน ข้าจะไปถามความหมายของฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”“คิดว่าฝ่าบาทคงไม่ปฏิเสธแน่ ฝีมือการรักษาของแม่นางฉยงหัวยอดเยี่ยมมาก หากได้แม่นางฉยงหัวมาอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วย นั่นคงจะดีไม่น้อย”แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของซ่งชิงเหยียนเท่านั้น ที่นางอยากพาฉยงหัวออกไปก็เพราะหวานหว่านหวานหว่านชอบพี่ฉยงหัวขนาดนี้ ย่อมต้องอยากอยู่กับนางตลอดไปอยู่แล้วจิ่นซินและจิ่นอวี้เก็บข้าวของเกือบทั้งคืน พวกนางเอาเข้าไป ซ่งชิงเหยียนเอาออกมา แบบนี้ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ทิ้งกล่องใหญ่สองใบไว้ซ่งชิงเหยียนประนีประนอมแล้วนางพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ให้คนขับรถม้าของฝ่าบาทเหนื่อยหน่อยละกัน!ก่อนออกเดินทาง นางยังมีเรื่องสําคั
ต้องบอกว่าของข้างนอกอร่อยกว่าของในวังจริงๆในนิทานล้วนบอกว่าชีวิตของพระสนมหวงกุ้ยเฟยในวังนั้นงดงามและสบายแค่ไหน แต่ลู่ซิงหว่านกลับรู้สึกว่า ไม่ได้สบายอยู่ข้างนอก[ถ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกก็คงดีไม่น้อย ยังไงก็มีเงิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อเลย][อยากกินอะไรก็ซื้อได้เลย สามารถกินอาหารที่พ่อครัวทําได้มากมาย พ่อครัวทำขนมในวังเหล่านี้ ข้ากินจนเบื่อแล้ว][เสด็จย่ากินมาตั้งหลายปี ยังกินไม่เบื่ออีกหรือ?]ซ่งชิงเหยียนบ่นในใจว่า เบื่อสิ แน่นอนว่านางกินจนเบื่อแล้ว ขนมที่องค์หญิงใหญ่นํามาจากหอฝูหม่านครั้งที่แล้ว ไทเฮาพูดตรงๆ เลยว่าอร่อยตอนนี้ซิงรั่วเกือบจะส่งคนมาส่งที่วังทุกสองวันก็ถือว่ามีใจแล้วจริงๆ เมื่อซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่ ฉยงหัวก็มาหานางมองท่าทางของจิ่นซินและจิ่นอวี้ที่กําลังยุ่งอยู่ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง"พระสนมหวงกุ้ยเฟยนี่คือ..."คําพูดที่เหลือฉยงหัวไม่กล้าพูดออกมา ถูกโจรปล้นหรือ?“พี่ฉยงหัว!” ลู่ซิงหว่านพูดพลางพลิกตัวลงจากเตียง แล้ววิ่งไปหาฉยงหัวซ่งชิงเหยียนมองท่าทางคล่องแคล่วของลู่ซิงหว่านแล้วก็ตกตะลึงนางรู้ว่าหวานหว่านชอบพี่สาวฉยงหัวคนนี้มาก แต่เตียงนุ่มที่สูงขนาดนี้ น
คิดถึงตรงนี้ องค์หญิงหกก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางของฮ่องเต้ต้าฉู่อีกครั้ง ในใจเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นณ ตําหนักข้างของตําหนักเหวินอิงในเวลานี้ สนมเยว่กุ้ยเหรินก็กําลังพบท่านแม่ของตนเช่นกัน“เดิมคิดว่าเจ้าเป็นเพียงกุ้ยเหรินเล็กๆ ข้าไม่มีโอกาสเข้าวัง” ตอนนี้ฮูหยินเจิ้ง แม่ของสนมเยว่กุ้ยเหรินกําลังอยู่ในตําหนักของสนมเยว่กุ้ยเหริน มองสิ่งของในวังของนางไปๆมาๆ สัมผัสไปๆมาๆ ในใจรู้สึกน่าทึ่งเป็นมาก“ของในวังนี้ดีจริงๆ ทุกชิ้นประณีตขนาดนี้”เพราะรู้พฤติกรรมของแม่ตัวเอง สนมเยว่กุ้ยเหรินจึงไล่สาวใช้ข้างกายออกไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้นางแค่นั่งอยู่บนตั่งนุ่ม มองใบหน้าละโมบของแม่ตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เดิมทีนางก็ไม่อยากเจอแม่ของตัวเองอยู่แล้วแม่ของคนอื่นๆ เข้าวังด้วยความห่วงใยและสงสารลูกสาวของพวกเขาแล้วแม่ของตัวเองล่ะเอาแต่โทษตัวเองที่ไร้ประโยชน์ โทษตัวเองที่แย่งความรักไม่เป็น โทษตัวเองที่ให้กําเนิดลูกไม่ได้เมื่อสนมเยว่กุ้ยเหรินคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินเจิ้งพลันหันหน้ามา เดินมาข้างกายนางอย่างลึกลับ ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของตัวเอง แล้วยัดใส่มือสนมเยว่กุ้ยเหริน“เจ้าเป็นคนที่ไม่เอาไห
เดิมคิดว่าเสด็จพ่อจะให้รางวัลตัวเอง แต่การไปเรียนหนังสือจะถือเป็นรางวัลอะไรได้เมื่อก่อนนางเคยได้ยินลู่ซิงยุ่นบ่นว่าอาจารย์คนนี้เข้มงวดขนาดไหน ยังต้องทําการบ้านอีก นั่นไม่แตกต่างจากการคัดลอกพระคัมภีร์ในตําหนักเหยียนหัวของนางหรอกหรือนางไม่อยากไปหรอก!เมื่อเห็นท่าทางของลู่ซิงหุย ลู่ซิงหว่านก็อดหัวข้าะคิกคักไม่ได้[เสด็จพ่อ ดูเหมือนว่าลูกสาวของท่านดูเหมือนจะไม่ชอบเรียนหนังสือนะ][แต่ก็ใช่ เด็กบ้านไหนชอบเรียนหนังสือกัน เดิมคิดว่าเสด็จพ่อจะให้รางวัลอะไรแก่นาง การเรียนหนังสือนี้นับเป็นรางวัลอะไรได้]ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่สนใจ ในฐานะที่เป็นองค์หญิง ไม่เรียนหนังสือย่อมไม่ได้อยู่แล้วองค์หญิงทุกคนล้วนถูกส่งไปที่ห้องเรียนเมื่ออายุหกขวบ แม้ว่าจะแตกต่างจากเหล่าองค์ชาย แต่ก็มีอาจารย์สอนพิเศษฮ่องเต้ต้าฉู่หันไปมองพระสนมเหวินเฟยอีกครั้ง “ตอนนี้ซิงเหยียนอยู่ข้างกายเจ้า รู้สึกสบายใจกว่าเมื่อก่อนมากนะ”“เพียงแต่ตอนนี้ต้องพาเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้มาด้วย ลําบากเจ้าแล้วจริงๆ”เด็กๆ มีความสุขหรือไม่นั้น มักจะมองปราดเดียวก็รู้แล้วลู่ซิงเหยียนเป็นเพียงเด็กอายุสามขวบเท่านั้น เมื่อก่อนสนมซูผินดูแลเองไม่มาก
ครั้งนี้ลู่ซิงหว่านเดาผิดแล้วที่ลู่ซิงหุยพูดประจบด้วยเป็รเรื่องจริง นางกลัวที่จะไปคัดลอกหนังสือธรรมมะที่ตําหนักเหยียนหัวแล้วจริงๆ จึงไม่กล้าทะเลาะกับพี่น้องของตนอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้วเพราะพอเสด็จพ่อทรงกริ้วขึ้นมา มันน่ากลัวมากเลยเพราะว่าเมื่อก่อนสนมซูผินปฏิบัติต่อองค์หญิงเจ็ดเพียงแค่เป็นของเล่นเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจนางมากนักพูดตามคําพูดขององค์หญิงรอง เสด็จแม่ของพวกนางเลี้ยงดูพวกนางสองพี่น้อง ก็ไม่มีอะไรมากไปแค่ให้มีกินมีใส่ ขอเพียงไม่อดตายก็พอแล้วดังนั้นหลังจากที่องค์หญิงเจ็ดมาถึงข้างกายของพระสนมเหวินเฟยแล้ว จึงสามารถไปเที่ยวที่อุทยานหลวงได้บ่อยๆ และแน่นอนว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นลู่ซิงหุยนางชี้ไปที่ลู่ซิงและพึมพําว่า"พี่สาวคนสวย"[ตาบอดตั้งแต่อายุยังน้อย][ฮึ่ม ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าอีกแล้ว เจ้าเด็กขี้ประจบ]ประโยคนี้ขององค์หญิงเจ็ดทําให้ลู่ซิงหุยพอใจจริงๆ ลู่ซิงหุยจึงย่อตัวลงทันทีและเข้าไปใกล้หน้าองค์หญิงเจ็ด “ซิงเหยียนเป็นเด็กดี”เป็นเด็กดีมากเมื่อเทียบกับไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านนั่นต้องบอกว่าวันนี้ลู่ซิงหุยโชคดีมาก ในขณะที่นางเล่นกับลู่ซิงเหยียน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เดินผ่านส