เมื่อเห็นว่าเส็ดจแม่เป็นเช่นนี้องค์ชายสองก็หัวเราะ จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยปากถาม "เสด็จแม่ วันนี้ตอนที่พวกข้ากลับวังหลวง องค์ชายสามไปคอยหน้าประตูวังอย่างเป็นห่วง เมื่อก่อนองค์ชายสามเกลียดแค้นพี่ชายใหญ่ยิ่งกว่าอะไร เสด็จแม่รู้ไหมว่าเกดิอะไรขึ้นกับเขาช่วงนี้?"พระสนมหลานเฟยส่ายหัว "ไม่เคยได้ยิน เพียงแค่วันนั้นหลังจากผ่อนการกักบริเวณก็คุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงอักษรอยู่นานมาก ขอให้ฮ่องเต้โปรดประทานอภัยให้ หลังจากเข้าไปในห้องทรงอักษรก็ไม่รู้แล้ว"ส่วนฝั่งรัชทายาท ไปที่ตำหนักชิงอวิ๋นและสั่งให้เหล่านางกำนัลและขันทีออกไป เหลือเพียงแค่ตนและพระสนมเฉินกุ้ยเฟยสองคน และแน่นอนว่าจะขาดหวานหว่านน้อยของเราไปไม่ได้"เสด็จป้า" รัชทายาทเรียกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยหนึ่งคำ แต่ไม่พูดอะไรต่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นเขาจริงจังขนาดนี้ก็ไม่รบกวน เพียงแค่มองรัชทายาทเงียบ ๆกลับกลายว่าเป็นลู่ซิงหว่านเองที่อดทนรอไม่ไหว[สองคนนี้กำลังทำอะไรเนี่ย! เชื่อมจิต?][แคว้นต้าฉู่มีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?]"เสด็จป้า ข้าตัดสินใจว่าจะเป็นรัชทายาทนี้ให้ดี" รัชทายาทพูดจบก็เงยหน้ามองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยสายตาแน่วแน่"จิ่นเหยา?" พระ
ในใจพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิด 'นางไม่ใช่แค่ฟังรู้เรื่องหรอก นางยังคุยกับเจ้าได้ด้วย!'แต่ปากกลับยิ้มตอบ "หวานหว่านให้กำลังใจเจ้าอยู่น่ะ! ขอแค่อย่าทำให้ตัวเองลำบากก็พอ"ทั้งสองคุยกันต่ออีกสักพักรัชทายาทก็ออกจากตำหนักชิงอวิ๋นไปยังตำหนักเหยียนเหอ ถ้าน้องชายสองตื่นแล้วตนต้องไปเยี่ยมเขาสักหน่อยถึงจะวางใจเมื่อรัชทายาทกลับไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงเรียกเผยฉู่เยี่ยนมาหา "วันนั้นขอยืมยาจากจวนโหวกวงฉิน พวกเราต้องไปเยือนสักหน่อยแล้วล่ะ"แต่เผยฉู่เยี่ยนกลับคุกเข่าลง "กระหม่อมผิดมีความผิด"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเข้าไปประคองเขาขึ้นแล้วแสร้งทำเป็นโกรธ "ทำอะไรเนี่ย มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดี ๆ สิ""วันนั้นที่ไปจวนโหวกวงฉิน กระหม่อมคิดว่าช่วงก่อนมีข่าวลือในวังหลวงจึงตัดสินใจเอง อ้างชื่อองค์รัชทายาท บอกแค่ว่าองค์รัชทายาทต้องการใช้ยา"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับหัวเราะออกมา "ความผิดอะไรกัน เจ้าทำเพื่อข้าทั้งนั้น บัดนี้ให้รัชทายาทไปเยือนหน่อยก็ดี"พูดจบก็เรียกจิ่นอวี้เข้ามา "ไปเตรียมของ ให้องค์รัชทายาทไปเยือนจวนโหวกวงฉิน ที่เหลือเจ้าจัดการเองแล้วกัน เพียงแต่ในห้องเก็บของของข้ามีโสมร้อยปีหนึ่งหัวจำเป็นต้องเอาไปด้วย
"เดิมทีคิดว่าตอนนี้เรื่องในวังมีไม่มาก ให้เจ้าพักผ่อนและพวกเจ้าสองแม่ลูกออกไปผ่อนคลายหน่อยก็ดี แต่ไม่คิดว่าจะพบเจอกับเรื่องเช่นนี้" ฮ่องเต้ต้าฉู่เอ่ยด้วยอารมณ์[ก็ใช่น่ะสิ! ตั้งแต่ข้าเกิดมาได้ออกนอกวังแค่สองครั้ง ครั้งแรกกลับบ้านท่านตาท่านยาย พอกลับมาก็ถูกคนลอบสังหาร][ครั้งนี้ก็ถูฏคนลอบสังหารอีก][อ้อใช่ แล้วก็ตอนคลอด ท่านแม่เกือบและข้าเกือบตายท้องกลมแล้ว][โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็เหมือนกัน ถูกคนปองร้ายจนทะลุมาในนิยาย ตอนเป็นคนก็ต้องน่าอนาถเช่นนี้อีก][ข้าก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งจะทำอะไรคนอื่นได้! ข้าไม่ได้จะแย่งชิงบัลลังก์เหมือนพวกเขาสักหน่อย][ชิงบัลลังก์?]ลู่ซิงหว่านพูดคำนี้จบก็หันมองฮ่องเต้ต้าฉู่ทันที[พวกเขาคิดจะปองร้ายพี่รัชทายาทแต่แรกอยู่แล้วหรือเปล่า เพราะท่านแม่และพี่รัชทายาทก็ถือว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด จึงลงมือจากรอบนอกกำจัดข้าและท่านแม่ก่อน][น่ากลัวจังเลยน่ากลัวจังเลย]คำพูดของลู่ซิงหว่านได้เตือนสติฮ่องเต้ต้าฉู่การลอบสังหารหลายครั้งนี้เหมือนรัชทายาทจะอยู่ด้วยตลอด หรือจะเป็นเรื่องจริง?หรือว่านอกจากหรงอ๋องแล้วยังมีคนอื่นที่ไม่จงรักภักดี?ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อ
เพียงแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้ก็ได้แต่คิดเท่านั้นการว่าราชกิจในเช้าวันที่สอง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงได้เอ่ยถึงปัญหานี้ออกมาอย่างระมัดระวัง “สี่เดือนก่อนแคว้นต้าฉู่ของข้าประสบภัยแล้งครั้งใหญ่มาแรมเดือน แม้ว่าภายหลังจะมีฝนตกหนักลงมาหลายครั้ง แต่ในยามนั้นมีพืชผลบางส่วนที่แห้งจนล้มตายไป”เขาเอ่ยเสร็จก็มองไปรอบ ๆ จนเห็นว่าทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตา และมีท่าทางไม่กล้าที่จะเอ่ย“ราชเลขากรมคลังเล่า ? ” ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นเหล่าขุนนางเป็นแบบนี้ภายในใจก็โกรธเคืองแต่กลับอดกลั้นเอาไว้ราชเลขากรมคลังรีบเดินขึ้นไปด้านหน้าแล้วคุกเข่าลงไป “กระหม่อมกัวผิง ราชเลขากรมคลัง ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เรื่องที่ข้าเอ่ย เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”แต่กัวผิงผู้นั้นกลับตอบออกมาอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น “ทูลฝ่าบาท คิดว่าไร้อุปสรรคพ่ะย่ะค่ะ…”แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับหยิบเอาพระราชสาส์นสักอันหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนไปใส่ศีรษะของราชเลขากรมคลังจนทำให้หมวกอูซาที่สวมอยู่บนศีรษะเบี้ยว แต่เขาจะขยับก็ไม่กล้าจึงทำเพียงแค่หมอบลงไปกับพื้นโดยที่ไม่กล้าลุกขึ้นมา“คิดว่า คิดว่า ทุกวันนี้พวกเจ้าอาศัยทำแค่เรื่องที่อยากทำอย่างนั้นเหรอ ? ”“ข้าให
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ถามออกมาอย่างเคร่งขรึมองค์รัชทายาทจึงรีบตอบออกมาอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อทรงมีพระปรีชา กระหม่อมเห็นว่าสิ่งที่สด็จพ่อทรงเอ่ยออกมามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง ดังนั้นควรหาวิธีการรับมือเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้าแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร และทำเพียงแค่รอคำอธิบายขององค์รัชทายาท“จากที่กระหม่อมเห็น การหาทางรับมือไว้แต่เนิ่น ๆ สามารถป้องกันเรื่องอย่างการอดอยากของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติในภายภาคหน้าได้พ่ะย่ะค่ะ”พูดจบก็เงยศีรษะขึ้นไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่หนึ่งครั้งแล้วก็เอ่ยต่อ “เรื่องที่ควรจะทำเป็นอันดับแรกแน่นอนว่าคือการยกเว้นภาษี เสบียงอาหารของประชาชนก็ให้ประชาชนนำมาใช้จ่ายกันภายในครอบครัว และก็ยังต้องดูสถานการณ์ที่กรมคลังสืบมาได้ ถ้าเกิดว่าไม่เพียงพอก็จำเป็นที่จะต้องเปิดคลังเสบียงเพื่อนำมาแจกจ่าย”“รอจนกระทั่งเดือนห้าหรือเดือนหก ก็ยังต้องให้ขุนนางท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบ และบรรเทาทุกข์ สำหรับจำนวนที่ดินทำกินที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ตำแหน่ง และจำนวนของผู้ที่ประสบภัยพิบัติจะต้องถูกบันทึกลงในบันทึกทั้งหมดแล้วส่งมาที่ราชสำนัก ถึงตอนนั้นค
พูดแล้วก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายของลู่ชิงหว่าน เมื่อเห็นว่านางนอนโยกอยู่ที่เก้าอี้อย่างสบายใจภายในใจก็อดผ่อนคลายขึ้นมาไม่ได้แล้วก็เหม่อไปครู่หนึ่งถึงนึกเป้าหมายในการมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นออก “เสด็จป้า กระหม่อมไปที่จวนโหวกวงฉินให้เร็วหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้ลุกยืนขึ้น “ทำไมถึงรีบร้อนเพียงนี้”“ยามนี้มีเรื่องในราชสำนักมากนัก วันนี้เสด็จพ่อยังทรงไปพิโรธอยู่ในราชสำนักอีก เอ่ยว่ากรมคลังไม่ทำหน้าที่ของตนเองยามนี้กำลังปวดหัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ !”“ปวดหัวอีกแล้วหรือ ? เมื่อก่อนฝ่าบาทก็สุขภาพดีมาโดยตลอด” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอยพึมพำ“อาจเป็นเพราะเรื่องในราชสำนักมีมากจนไม่มีเวลาว่าง และเป็นกังวลมากจนเกินไป กระหม่อมก็ควรที่จะช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบา” องค์รัชทายาทเอ่ยแล้วหันไปยังทิศทางของห้องทรงอักษรพร้อมยกมือขึ้นมาคารวะ[ในนิยายไม่ได้บอกว่าเสด็จพ่อมีเรื่องปวดหัวนี่ ? ][ไม่ถูกสิ จากเวลาในนิยายหรงอ๋องยังไม่ได้ทำการช่วงชิงบัลลังก์เสด็จพ่อก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงนะ ! ][นี่มันยังไงกันแน่ ? หรือจะบอกว่าเดิมทีเสด็จพ่อก็ไม่ได้มีชีวิตยืดยาว ? ]ได้ยินคำพูดในใจของลู่ชิงหว่านพระสนมเฉินก
ในตอนที่กลุ่มขององค์รัชทายาทไปถึงจวนโจกวงฉิน เด็กน้อยที่เฝ้าประตูอยู่เห็นว่าเป็นรถม้าของพระราชวังจึงได้รีบไปเปิดประตูแล้วต้อนรับองค์รัชทายาทให้เข้ามาด้านในแม้ว่ายามเช้าจะมีขันทีน้อยมาแจ้งกับทางจวนโหวกวงฉินแล้วแต่ก็มาเร็วกว่าองค์รัชทายาทไม่เท่าไร เมื่อคนของจวนโหวได้รับแจ้งก็ยุ่งอยู่ตั้งแต่ลานด้านหลังไปจนถึงลานด้านหน้าเมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทรออยู่ที่ภายในโถงหลักโหวกวงฉินจึงรีบเข้าไปคารวะ “เป็นกระเหมาะให้การต้อนรับไม่ดีขอพระองค์ทรงลงโทษ”องค์รัชทายาทจึงรีบเข้าไปพยุงโหวกวงฉินขึ้นมา “ขอท่านโหวให้อภัย เป็นข้าที่มาอย่างกระทันหันจึงไม่ได้มาแจ้งกับท่านโหวก่อน”โหวกวงฉินก็เอ่ยถึงความผิดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอีกองค์รัชทายาทถึงได้เอ่ยถึงเหตุผลที่มา “วันนั้นต้องขอบคุณฮูหยินก่วนที่มอบโอสถให้ บาดแผลขององค์ชายสองถึงได้หายเร็วเช่นนี้ วันนี้ข้ามาที่จวนโหวก็เพื่อมาขอบคุณฮูหยินก่วน”องค์รัชทายาทเอ่ยจบก็มองไปที่ต้วนอวิ๋นอีแล้วยกมือขึ้นมาคารวะคนของจวนโหวกวงฉินจึงรีบพากันคารวะกลับ“นี่คือซื่อจื่อเผยแห่งอันกั๋วกงคิดว่าวันนั้นท่านโหวคงได้พบแล้ว”โหวกวงฉงรีบตอบกลับ “แน่นอนว่าพบเจอแล้ว ซื่อจื่อเผยอ
แม้ว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อให้พวกนางเลิกระแวงจึงได้พยักหน้าพระสนมหนิงเฟยจึงนวดไปที่จุดชีพจรบนศีรษะของฮ่องเต้ต้าฉู่จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งจิบชาถึงได้เอ่ยถาม “ฝ่าบาทรู้สึกดีขึ้นหรือไม่เพคะ ? ”ฮ่องเต้เต้ต้าฉู่ถึงได้ลืมตาขึ้นมา และจึงพบว่าสายตานั้นกระจ่างใสขึ้น “ได้ผลจริง ๆ ด้วย ? ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นเขาเป็นเช่นนี้จึงเอ่ยอย่างขบขัน “หม่อมฉันเคยเอ่ยกับฝ่าบาทแล้วว่าน้องสาวหนิงเป็นหมอเทวดา ! ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักแล้วจับไปที่มือของพระสนมหนิงผิน “นึกไม่ถึงว่าสตรีในห้องหอเช่นเจ้าจะมีวิชาแพทย์เช่นนี้ ขุนนางแห่งศาลต้าหลีสอนบุตรสาวได้ดีจริง ๆ ”คนไม่กี่คนถึงได้หัวเราะขึ้นมาแต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่พอใจขึ้นมา [ท่านแม่ยังจะมาหัวเราะอีก! ตอนนี้สามีของท่านกำลังจับมือของผู้อื่นอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านยังจะหัวเราะออกมาได้อีก] [โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรของพวกเรานั้นสามีมีภรรยาเพียงแค่ผู้เดียว ในตอนนั้นท่านเซียนตงหยางเกิดความรู้สึกกับสตรีผู้หนึ่งแล้วต้องการที่จะทอดทิ้งภรรยาคนแรกของตนเองเพื่อแต่งงานกับอีกคน ในขณะนั้นจึงถูกลงโทษให้ตกลงไปในมรรคา