คนอื่นภายในรถม้าไม่ตอบอะไร เมื่อกลับเมืองหลวงการต่อสู้แย่งชิงก็จะดำเนินต่อไปส่วนฝั่งขององค์ชายสาม เมื่อวานเมื่อกลับมายังตำหนักฉางชิวก็ได้พิจารณาไตร่ตรองอย่างดี สุดท้ายก็ตัดสินใจฟังคำแนะนำของซิ่นเทียนบัดนี้ตนไม่มีอำนาจเส้นสายในวังหลัง การที่มีคนเต็มใจสนับสนุนตนก็โชคดีแค่ไหนแล้ว จะกล้าเลือกมากได้อย่างไรดังนั้นเมื่อวานก่อนมื้อค่ำเขาจึงมายังหน้าห้องทรงอักษร ยกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลงไป จนทหารรักษาพระองค์ที่อยู่หน้าประตูตกใจกันหมด"เสด็จพ่อ ลูกชายอกตัญญูจิ่นเฉินได้กักบริเวณเป็นเวลาหนึ่งเดือน บัดนี้ได้สำนึกผิดแล้วจึงมาขอเสด็จพ่อโปรดประทานอภัยให้" พูดจบก็คุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงอักษรไม่ยอมลุกขณะที่เมิ่งฉวนเต๋อเข้ามารายงาน ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่เข้าใจ "จิ่นเฉินอย่างนั้นหรือ?""กราบทูลฝ่าบาท คือองค์ชายสาม จะให้เชิญพระองค์เข้ามาไหมพะย่ะค่ะ?"ฮ่องเต้ต้าฉู่ครุ่นคิดสักครู่ สุดท้ายก็พยักหน้า"เสด็จพ่อ" เมื่อองค์ชายสามเข้ามาก็คุกเข่าทันที "กระหม่อมมาทำความเคารพเสด็จพ่อโดยเฉพาะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้ององค์ชายสามที่พื้นองค์ชายสามก็ไม่รีบร้อน เพียงแค่คุกเข่าอย่างสงบเสงี่ยมรอฮ
เมื่อเห็นว่าขบวนเสด็จของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยใกล้ถึงแล้ว องค์ชายสามก็รีบเดินมาหน้ารถม้า"ทำความเคารพพระสนมเฉิน พี่รัชทายาท พี่ชายสองเป็นอย่างไรบ้าง? " องค์ชายสามไม่สนใจอย่างอื่นมีเพียงแค่ความห่วงใยที่มีต่อองค์ชายสองหลายคนในรถม้าสบตากันแต่ไม่ได้พูดอะไรรัชทายาทจึงเปปิดม่านรถม้าออกแล้วลงมา "น้องชายสามเป็นห่วงแล้ว"แต่ในสายตากลับเต็มไปด้วยความห่างเหินองค์ชายสามกลับทำเป็นมองไม่เห็น "ข้ากำลังคุยเรื่องงานกับเสด็จพ่อที่ห้องทรงอักษร เมื่อได้ยินว่าพี่ชายสองบาดเจ็บและขบวนเสด็จของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะกลับวังวันนี้ จึงคอยอยู่ที่นี่แต่เช้าแล้ว พี่รัชทายาทสบายดีไหม?""ขอบใจน้องชายสามมาก ข้าสบายดี แค่ทำให้จิ่นหยูเดือดร้อนต้องรับมีดนี้แทนข้า" พูดจบก็ถอนหายใจองค์ชายสามรีบปลอบ "ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่รัชทายาทไม่ต้องคิดมากหรอก"จิ่นอวี้ประคองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยลงรถม้าจากข้างหลังองค์ชายสามเข้าไปทำความเคารพด้วยความเดารพทุกคนแสร้งถามไถ่กันอีกสักครู่ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงค่อยเอ่ย "จิ่นเหยา ส่งจิ่นหยูกลับตำหนักเหยียนเหอก่อนเถิด พระสนมหลานของเจ้าคงเป็นห่วงแทบแย่แล้ว"ตำหนักเหยียนเหอ คือตำหนักที่องค์ชายสอง
พูดจบก็โบกมือให้เมิ่งฉวนเต๋อให้เขาดูแลฮ่องเต้ต้าฉู่ให้ดี แล้วตนก็ออกจากตำหนักหลงเซิง ไปยังตำหนักเหยียนเหอที่พระสนมหลานพำนักเดินไปไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนใจกะทันหัน หมุนตัวไปยังตำหนักชิงอวิ๋นส่วนพวกพระสนมเฉินกุ้ยเฟpเมื่อมาถึงตำหนักเหยียนเหอ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็รีบลงจากเกี้ยวแล้วอุ้ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมอกให้จิ่นซินข้าง ๆ แล้วรีบเข้าไปประคองหพระสนมหลานเฟยและทำความเคารพอย่างจริงจังพระสนมหลานเฟยตื่นตกใจรีบประคองนางขึ้นมา "น้องหญิงทำอะไรกัน?""พี่หญิง ข้าไม่ได้ดูแลจิ่นหยูให้ดีเอง" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองพระสนมหลานเฟยอย่างรู้สึกผิด"น้องหญิงก็พูดไป ถ้าจะบอกว่าไม่ปวดใจก็คงเกินจริง แต่น้องหญิงดีกับจิ่นหยูมากคงปวดใจไม่น้อยไปกว่าข้า" พระสนมหลานเฟยรีบปลอบใจพระสนมเฉินกุ้ยเฟย "พวกเราล้วนไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บถึงแก่อันตรายมาก พักฟื้นไม่กี่วันก็หายแล้ว"เพราะองค์ชายสองบาดเจ็บดังนั้นเกี้ยวจึงช้าเล็กน้อย ทั้งสองพูดปลอบใจกันและกันอยู่สักพักถึงค่อยเห็นเกี้ยวขององค์ชายสองเข้ามายังตำหนักเหยียนเหอทั้งสองรีบเข้าไปประคององค์ชายสอง องค์ชายสองพูดปลอบใจพระสนมหลานเฟยก่อน "เสด
เมื่อเห็นว่าเส็ดจแม่เป็นเช่นนี้องค์ชายสองก็หัวเราะ จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยปากถาม "เสด็จแม่ วันนี้ตอนที่พวกข้ากลับวังหลวง องค์ชายสามไปคอยหน้าประตูวังอย่างเป็นห่วง เมื่อก่อนองค์ชายสามเกลียดแค้นพี่ชายใหญ่ยิ่งกว่าอะไร เสด็จแม่รู้ไหมว่าเกดิอะไรขึ้นกับเขาช่วงนี้?"พระสนมหลานเฟยส่ายหัว "ไม่เคยได้ยิน เพียงแค่วันนั้นหลังจากผ่อนการกักบริเวณก็คุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงอักษรอยู่นานมาก ขอให้ฮ่องเต้โปรดประทานอภัยให้ หลังจากเข้าไปในห้องทรงอักษรก็ไม่รู้แล้ว"ส่วนฝั่งรัชทายาท ไปที่ตำหนักชิงอวิ๋นและสั่งให้เหล่านางกำนัลและขันทีออกไป เหลือเพียงแค่ตนและพระสนมเฉินกุ้ยเฟยสองคน และแน่นอนว่าจะขาดหวานหว่านน้อยของเราไปไม่ได้"เสด็จป้า" รัชทายาทเรียกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยหนึ่งคำ แต่ไม่พูดอะไรต่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นเขาจริงจังขนาดนี้ก็ไม่รบกวน เพียงแค่มองรัชทายาทเงียบ ๆกลับกลายว่าเป็นลู่ซิงหว่านเองที่อดทนรอไม่ไหว[สองคนนี้กำลังทำอะไรเนี่ย! เชื่อมจิต?][แคว้นต้าฉู่มีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?]"เสด็จป้า ข้าตัดสินใจว่าจะเป็นรัชทายาทนี้ให้ดี" รัชทายาทพูดจบก็เงยหน้ามองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยสายตาแน่วแน่"จิ่นเหยา?" พระ
ในใจพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิด 'นางไม่ใช่แค่ฟังรู้เรื่องหรอก นางยังคุยกับเจ้าได้ด้วย!'แต่ปากกลับยิ้มตอบ "หวานหว่านให้กำลังใจเจ้าอยู่น่ะ! ขอแค่อย่าทำให้ตัวเองลำบากก็พอ"ทั้งสองคุยกันต่ออีกสักพักรัชทายาทก็ออกจากตำหนักชิงอวิ๋นไปยังตำหนักเหยียนเหอ ถ้าน้องชายสองตื่นแล้วตนต้องไปเยี่ยมเขาสักหน่อยถึงจะวางใจเมื่อรัชทายาทกลับไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงเรียกเผยฉู่เยี่ยนมาหา "วันนั้นขอยืมยาจากจวนโหวกวงฉิน พวกเราต้องไปเยือนสักหน่อยแล้วล่ะ"แต่เผยฉู่เยี่ยนกลับคุกเข่าลง "กระหม่อมผิดมีความผิด"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเข้าไปประคองเขาขึ้นแล้วแสร้งทำเป็นโกรธ "ทำอะไรเนี่ย มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดี ๆ สิ""วันนั้นที่ไปจวนโหวกวงฉิน กระหม่อมคิดว่าช่วงก่อนมีข่าวลือในวังหลวงจึงตัดสินใจเอง อ้างชื่อองค์รัชทายาท บอกแค่ว่าองค์รัชทายาทต้องการใช้ยา"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับหัวเราะออกมา "ความผิดอะไรกัน เจ้าทำเพื่อข้าทั้งนั้น บัดนี้ให้รัชทายาทไปเยือนหน่อยก็ดี"พูดจบก็เรียกจิ่นอวี้เข้ามา "ไปเตรียมของ ให้องค์รัชทายาทไปเยือนจวนโหวกวงฉิน ที่เหลือเจ้าจัดการเองแล้วกัน เพียงแต่ในห้องเก็บของของข้ามีโสมร้อยปีหนึ่งหัวจำเป็นต้องเอาไปด้วย
"เดิมทีคิดว่าตอนนี้เรื่องในวังมีไม่มาก ให้เจ้าพักผ่อนและพวกเจ้าสองแม่ลูกออกไปผ่อนคลายหน่อยก็ดี แต่ไม่คิดว่าจะพบเจอกับเรื่องเช่นนี้" ฮ่องเต้ต้าฉู่เอ่ยด้วยอารมณ์[ก็ใช่น่ะสิ! ตั้งแต่ข้าเกิดมาได้ออกนอกวังแค่สองครั้ง ครั้งแรกกลับบ้านท่านตาท่านยาย พอกลับมาก็ถูกคนลอบสังหาร][ครั้งนี้ก็ถูฏคนลอบสังหารอีก][อ้อใช่ แล้วก็ตอนคลอด ท่านแม่เกือบและข้าเกือบตายท้องกลมแล้ว][โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็เหมือนกัน ถูกคนปองร้ายจนทะลุมาในนิยาย ตอนเป็นคนก็ต้องน่าอนาถเช่นนี้อีก][ข้าก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งจะทำอะไรคนอื่นได้! ข้าไม่ได้จะแย่งชิงบัลลังก์เหมือนพวกเขาสักหน่อย][ชิงบัลลังก์?]ลู่ซิงหว่านพูดคำนี้จบก็หันมองฮ่องเต้ต้าฉู่ทันที[พวกเขาคิดจะปองร้ายพี่รัชทายาทแต่แรกอยู่แล้วหรือเปล่า เพราะท่านแม่และพี่รัชทายาทก็ถือว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด จึงลงมือจากรอบนอกกำจัดข้าและท่านแม่ก่อน][น่ากลัวจังเลยน่ากลัวจังเลย]คำพูดของลู่ซิงหว่านได้เตือนสติฮ่องเต้ต้าฉู่การลอบสังหารหลายครั้งนี้เหมือนรัชทายาทจะอยู่ด้วยตลอด หรือจะเป็นเรื่องจริง?หรือว่านอกจากหรงอ๋องแล้วยังมีคนอื่นที่ไม่จงรักภักดี?ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อ
เพียงแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้ก็ได้แต่คิดเท่านั้นการว่าราชกิจในเช้าวันที่สอง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงได้เอ่ยถึงปัญหานี้ออกมาอย่างระมัดระวัง “สี่เดือนก่อนแคว้นต้าฉู่ของข้าประสบภัยแล้งครั้งใหญ่มาแรมเดือน แม้ว่าภายหลังจะมีฝนตกหนักลงมาหลายครั้ง แต่ในยามนั้นมีพืชผลบางส่วนที่แห้งจนล้มตายไป”เขาเอ่ยเสร็จก็มองไปรอบ ๆ จนเห็นว่าทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตา และมีท่าทางไม่กล้าที่จะเอ่ย“ราชเลขากรมคลังเล่า ? ” ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นเหล่าขุนนางเป็นแบบนี้ภายในใจก็โกรธเคืองแต่กลับอดกลั้นเอาไว้ราชเลขากรมคลังรีบเดินขึ้นไปด้านหน้าแล้วคุกเข่าลงไป “กระหม่อมกัวผิง ราชเลขากรมคลัง ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เรื่องที่ข้าเอ่ย เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”แต่กัวผิงผู้นั้นกลับตอบออกมาอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น “ทูลฝ่าบาท คิดว่าไร้อุปสรรคพ่ะย่ะค่ะ…”แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับหยิบเอาพระราชสาส์นสักอันหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนไปใส่ศีรษะของราชเลขากรมคลังจนทำให้หมวกอูซาที่สวมอยู่บนศีรษะเบี้ยว แต่เขาจะขยับก็ไม่กล้าจึงทำเพียงแค่หมอบลงไปกับพื้นโดยที่ไม่กล้าลุกขึ้นมา“คิดว่า คิดว่า ทุกวันนี้พวกเจ้าอาศัยทำแค่เรื่องที่อยากทำอย่างนั้นเหรอ ? ”“ข้าให
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ถามออกมาอย่างเคร่งขรึมองค์รัชทายาทจึงรีบตอบออกมาอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อทรงมีพระปรีชา กระหม่อมเห็นว่าสิ่งที่สด็จพ่อทรงเอ่ยออกมามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง ดังนั้นควรหาวิธีการรับมือเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ถึงจะดีพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้าแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร และทำเพียงแค่รอคำอธิบายขององค์รัชทายาท“จากที่กระหม่อมเห็น การหาทางรับมือไว้แต่เนิ่น ๆ สามารถป้องกันเรื่องอย่างการอดอยากของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติในภายภาคหน้าได้พ่ะย่ะค่ะ”พูดจบก็เงยศีรษะขึ้นไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่หนึ่งครั้งแล้วก็เอ่ยต่อ “เรื่องที่ควรจะทำเป็นอันดับแรกแน่นอนว่าคือการยกเว้นภาษี เสบียงอาหารของประชาชนก็ให้ประชาชนนำมาใช้จ่ายกันภายในครอบครัว และก็ยังต้องดูสถานการณ์ที่กรมคลังสืบมาได้ ถ้าเกิดว่าไม่เพียงพอก็จำเป็นที่จะต้องเปิดคลังเสบียงเพื่อนำมาแจกจ่าย”“รอจนกระทั่งเดือนห้าหรือเดือนหก ก็ยังต้องให้ขุนนางท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบ และบรรเทาทุกข์ สำหรับจำนวนที่ดินทำกินที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ตำแหน่ง และจำนวนของผู้ที่ประสบภัยพิบัติจะต้องถูกบันทึกลงในบันทึกทั้งหมดแล้วส่งมาที่ราชสำนัก ถึงตอนนั้นค