หลีเกอยิ้มเยาะก่อนเดินเข้าไปหาฮั่วซิน “ทำไมเธอถึงตกใจขนาดนี้ล่ะ โทรหาตำรวจสิ! ฉันจะรอ”ฮั่วซินกังวลมากจนเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก เธอกำโทรศัพท์แน่นและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป“เธอสงสัยไหมว่าทำไมสร้อยข้อมือที่ควรอยู่ในกระเป๋าฉันถึงไปอยู่ในกระเป๋าเธอได้?”ฮั่วซินตกตะลึง “ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร”“เธอคิดว่าฉันไม่เห็นว่าเธอจงใจเอาของสิ่งนั้นไว้ในกระเป๋าฉันเหรอ?” หลีเกอถามอย่างเคร่งขรึมขณะฮั่วซินกำลังลงมือ หลีเกอบังเอิญเดินผ่านกระจกด้านข้างร้าน เมื่อฮั่วซินหันกลับไป เธอจึงหย่อนมันกลับลงไปในกระเป๋าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วไม่นานเจี่ยงอีอีก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ฮั่วซินเอ๋ย ฮั่วซิน เธอจงใจทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้จริง ๆ สินะ ไม่คิดเลยว่าอายุยังน้อย แต่เจ้าเล่ห์ไม่เบา!”“ครั้งที่แล้วฉันไม่ได้จะให้เธอติดคุกจริง ๆ เธอถึงไม่ได้รับบทเรียนสักที ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันจะลงโทษเธอแทนตระกูลฮั่วเอง!” หลีเกอหันไปหาพนักงานแล้วพูดว่า “โทรแจ้งตำรวจ!”“อย่าแจ้งตำรวจ! อย่าแจ้งตำรวจนะ!”ฮั่วจิ้นเฉิงรั้งพนักงานเอาไว้ไม่ให้โทรแจ้งตำรวจตอนนั้นเอง.ฮั่วจิ้นเฉิงก็โทรมาหาฮั่วซิน เธอจึงรับสายทั้
ฮั่วซินเดินเข้าไปหาหลีเกออย่างไม่เต็มใจ จากนั้นพูดเสียงเบาราวกับเสียงแมลงวัน “ฉัน... ขอโทษก็แล้วกัน”เจี่ยงอีอีโมโหมาก “ไม่ได้ยิน ดังกว่านี้อีก!”ฮั่วซินกำหมัด ก่อนหลับตาแล้วเปล่งเสียงออกมาสองสามครั้ง “ฉันบอกว่าขอโทษไงล่ะ! ขอโทษ!”“แค่นี้ใช่ไหม?” เธอหันไปมองฮั่วจิ้นเฉิง “พี่คะ...”สีหน้าของเธอบิดเบี้ยวกว่าตอนร้องไห้เสียอีกฮั่วจิ้นเฉิงตอบอย่างเฉยเมย “ถามหลีเกอ ไม่ต้องถามพี่”ฮั่วซินมองหลีเกออย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง“ถ้าคำขอโทษมีประโยชน์ขนาดนั้น แล้วจะมีตำรวจไว้ทำไม? อีกอย่างฉันบอกเหรอ ว่าถ้าเธอขอโทษแล้วจะไม่ไปโรงพัก? คุณฮั่วยุติธรรมเกินไปแล้ว” ริมฝีปากสีแดงของหลีเกอยิ้มเยาะ ทำให้ฮั่วจิ้นเฉิงสับสนอย่างมาก“เธอใส่ร้ายฉันอย่างไม่มีเหตุผล แล้วคิดจะใช้ชื่อเสียงของตระกูลฮั่วเพื่อลบล้างความผิดเหรอ?”เป็นเพราะความผิดซ้ำซากของตระกูลฮั่วทำให้ฮั่วซินกล้าหาญมากขึ้นเรื่อง ๆ ดังนั้นหลีเกอจึงไม่สามารถทิ้งโอกาสลงโทษฮั่วซินได้เจินซินโทรหาตำรวจทันทีที่ได้ยินหลีเกอพูด เมื่อตำรวจมาถึง เขาก็พาตัวฮั่วซินที่ร้องไห้ฟูมฟายออกไปทันทีใบหน้าของฮั่วจิ้นเฉิงมืดมนลง ขณะมองฮั่วซินถูกพาตัวไปขึ้นรถตำรวจ“
เมื่อเจินซินเห็นปฏิกิริยาของผู้ชม เธอก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจถูกต้อง การให้หลีเกอเดินปิดงานนับว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมมากฉีอวิ๋นเทียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ตกตะลึงไม่แพ้คนอื่น ๆเขาไม่คิดว่าจะเจอหลีเกอที่นี่ เพราะก่อนหน้านี้เขาเศร้าโศกและคับแค้นใจอย่างมาก ฉีอวิ๋นเทียนรู้สึกว่าโชคชะตาเล่นตลก และเสียใจที่ผลักไสเทพธิดาด้วยมือของตนเองเขาจึงตัดสินใจที่จะยอมรับการกระทำของตนเอง และไม่ยุ่งเกี่ยวกับหลีเกออีกต่อไปแต่หลังจากเห็นเธอปรากฏตัวบนเวที หัวใจของเขาพลันเต้นแรงอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่พบเธอบนดาดฟ้าในคืนนั้น…“แม่ ดูสิคะ เราเจอยายตัวซวยอีกแล้ว!” ฮั่วซินที่อยู่มุมเวทีดึงแขนหลี่ซูฉินและพูดอย่างระมัดระวังหลี่ซูฉินพูดด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด “แม่เห็นแล้ว ไม่ต้องเรียกหรอก”“ค่ะ” ฮั่วซินปิดปากเงียบเมื่อถูกตำหนิหลังจากถูกจับเป็นครั้งที่สอง ตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวหลี่ซูฉินจ้องมอง ‘น้ำตาแห่งมหาสมุทร’ และครุ่นคิดในใจ ‘ทำไมเธอไม่กัดฟันซื้อสร้อยเส้นนี้เพื่อขโมยความสนใจล่ะ’ในช่วงเวลานี้ ชื่อเสียงของตระกูลฮั่วได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพราะหลีเกอทำให้เธออับอาย
“มันเป็นความผิดของคุณยาย!”หลี่ซูฉินกัดฟันพูดคำเหล่านี้ แล้วดึงฮั่วซินให้วิ่งหนีไปยังสถานที่ที่มีคนน้อยนักข่าวกลุ่มหนึ่งพยายามไล่ตามไป ช่วงเวลานั้นมีชีวิตชีวายิ่งกว่าช่วงแสดงโชว์เสียอีกนิทรรศการสิ้นสุดลงหลีเกอกลับมาที่หลังเวที วางสร้อย ‘น้ำตาแห่งมหาสมุทร’ ไว้ด้านข้างอย่างไม่ได้พิถีพิถันอะไรเจี่ยงอีอีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องแต่งตัวอีกห้องหนึ่งเธอกำลังนั่งดูรูปถ่ายสด ๆ ร้อน ๆ ที่เจี่ยงอีอีแชร์เข้าในแชทกลุ่มอีซินอีอี้ [เพื่อนสาว ดูสิ! พวกเราทุกคนสวยกันจังเลย]ซุ่ยเยว่ชอบร้องเพลง [มินิฮาร์ท]พี่สาวจู้แฮปปี้ [ถ้าฉันไม่ต้องไปทำงานต่างประเทศ ฉันแทบไม่อยากพลาดเลย ไหนมากอดหน่อยซิ]เจินรักคุณซิน [ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักในวันนี้! ตอนเย็นเราไปฉลองกันเถอะ]อีซินอีอี้ [วันนี้ฉันหัวเราะแทบตายจริง ๆ นะ ความมั่นหน้าของหลี่ซูฉินทำฉันหัวเราะจนน้ำตาเล็ดเลยล่ะ]ซุ่ยเยว่ชอบร้องเพลง [หล่อนยังเป็นปีศาจหน้าเลือดไม่เปลี่ยน]ขณะที่พวกเธอพูดคุยเกี่ยวกับสองแม่ลูกคู่นั้น ประตูด้านหลังก็ถูกผลักเปิดออก หลี่ซูฉินและฮั่วซินเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาด้วยความโกรธริมฝีปากของหลี่เกอโค้งเป็นรอยยิ้ม
“พี่ชาย เชื่อฉันนะ แม่กับฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะนังตัวซวย” ฮั่วซินกลัวว่าฮั่วจิ้นเฉิงจะไม่เชื่อ ดังนั้นใบหน้าของเธอจึงแดงก่ำด้วยความวิตกกังวลหลี่ซูฉินกำลังจะลุกขึ้นและพูดต่อ แต่ดวงตากลับดับมืดลงไป เนื่องจากความตื่นเต้นเกินลิมิตที่ร่างกายรับไหว เป็นลมไปอีกครั้งอย่างรวดเร็วหลีเกอคุ้นเคยกับกลอุบายนี้เมื่อนานมาแล้ว เธอเม้มริมฝีปากและยิ้มประชดประชัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ใช่ ฉันทำแบบนั้นจริง ๆ”เธอไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับคนเหล่านี้มากเกินไป จึงหันหลังกลับเพื่อกลับไปที่เลานจ์ แต่ฮั่วจิ้นเฉิงปิดกั้นประตูไว้หลีเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตีตัวออกห่าง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลีกไป”ฮั่วจิ้นเฉิงมองไปที่หลี่ซูฉินและฮั่วซินที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ความสมดุลในใจของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง“จะยังโกรธกันอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”ดวงตาของฮั่วจิ้นเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย เสียงของเขาเรียบเรื่อยหลีเกอคิดว่านี่คงเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เธอได้ยินในวันนี้ “ฉันโกรธอะไร?”“คุณไม่ได้โกรธแค้นพวกเขา เพราะอดีตอันเจ็บปวดที่ตัวเองเคยถูกรังแกสมัยอยู่ในตระกูลฮั่ว ถึงโจมตีพวกเขาหรอกเหรอ?”“
ฉีอวิ๋นเทียนแตกต่างจากพ่อหนุ่มจอมตื๊อก่อนหน้านี้ เพียงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าสินะ”หลีเกอพูดด้วยใบหน้าตรง “แน่นอน ฉันไม่ได้ร้องไห้”“ผมคิดว่าคุณจะเป็นเหมือนครั้งที่แล้วซะอีก ผมเลยเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้สองผืนเป็นพิเศษ” ฉีอวิ๋นเทียนหยิบผ้าเช็ดหน้าอีกผืนหนึ่งออกมาพร้อมรอยยิ้มในดวงตา “เป็นไง ผมใส่ใจใช่ไหมล่ะ”หลีเกอจำค่ำคืนบนดาดฟ้ากลางดูไบ ตอนที่เธอร้องไห้ต่อหน้า ‘ศัตรู’ ของตัวเองด้วยอารมณ์อ่อนไหวอย่างถึงที่สุด ซึ่งหาได้ยากตามวิสัยปกติ “ฉันไปทำแบบนั้นตอนไหน คุณคงจำคนผิดแล้ว"ฉีอวิ๋นเทียนไม่ได้โต้เถียงกับเธอ แต่พยักหน้า “ผมอาจจำผิดก็ได้”เขามองดูใบหน้าที่ไม่มีความสุขของหลีเกอ คิดว่าครั้งก่อนที่เธอร้องไห้อาจเป็นเพราะฮั่วจิ้นเฉิง...“อยากให้ผมไปทุบเขาสักป้าบไหม?” ฉีอวิ๋นเทียนมองเธอด้วยความจริงจังขณะถามคำถามนี้ ทำท่าทางเตรียมพร้อม “ผมพร้อมจะทำตามคำสั่งของคุณ”“นั่นเพื่อนคุณ คงแปลกดีที่คุณไม่เข้าข้างเขา” หลีเกอยักไหล่ราวกับไม่เชื่อฉีอวิ๋นเทียนตบหน้าอกของเขาอย่างแรง จนสำลักไอสองครั้ง “ที่ไหนกันล่ะ ผมน่ะเป็นผู้ส่งสารแห่งความยุติธรรม จะเข้าข้างเขาแค่เ
“ฉันไม่ว่างเลยน่ะสิคะ” หลีเกอยิ้มจ้าวเหิงและแม่ของหลีเกอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นับตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต จ้าวเหิงและฟู่ลี่กั๋วก็คอยดูแลหลานสาวของพวกเขามาโดยตลอด จนกระทั่งหลีเกอบรรลุนิติภาวะตอนอายุสิบแปดปี จ้าวเหิงถึงยอมปล่อยและเริ่มออกเดินทางรอบโลกจ้าวเหิงทำหน้าที่เป็นแม่ทดแทนวัยเด็กของหลีเกอมาโดยตลอด และหลีเกอก็ถือว่าเธอเป็นญาติที่แท้จริงมานานแล้วหลีเกอมองไปรอบ ๆ ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับจ้าวเหิง “ป้าเหิงคะ ทำไมวันนี้ไม่เห็นลุงลี่เลย?”“ไปพูดถึงเขาทำไม!” จ้าวเหิงแสร้งทำเป็นโกรธ “อย่าไปพูดถึงเขาเลย”“โอ้” หลีเกอเม้มริมฝีปากและกลั้นยิ้มจ้าวเหิงและฟู่ลี่กั๋วเป็นคู่ชีวิตที่ไม่หวือหวา ตอนอยู่ด้วยกันพวกเขามักจะทะเลาะกันเสมอ แต่เมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันก็มักจะห่วงใยกัน สมัยยังอายุไม่มาก พวกเขาเคยหย่าร้างกันด้วยความโกรธ แต่หลังจากนั้นฟู่ลี่กั๋วก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตอันขมขื่นด้วยการตามง้อภรรยาเขาถึงขั้นไม่แยแสธุรกิจอย่างติ่งลี่กรุ๊ป ส่งมอบโดยตรงให้กับฟู่ซิวเป่ยซึ่งอายุไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำในเวลานั้น แล้วไล่ตามภรรยาของเขาไปทั่วโลก“ยัยหนู ฉั
เจอกันได้ทุกที่เลยสิน่า...“จิ้นเฉิง ฉันดีใจมากเลยนะคะที่คุณยอมมาหาฉันในครั้งนี้” เฉียวซีอวิ๋นพูดเบา ๆขณะที่เธอพูดแบบนี้ เธอต้องการจับมือของฮั่วจิ้นเฉิง แต่เขาหลีกเลี่ยงเธอโดยไม่เปิดโอกาสใด ๆ“ตรงนั้นมีคนรู้จักอยู่พอดี ขอผมไปคุยกับเขาหน่อย” ฮั่วจิ้นเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหินเดินไปหาใครคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชนเฉียวซีอวิ๋นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่เธอถูกส่งตัวมาอยู่ที่ประเทศ F ฮั่วจิ้นเฉิงไม่เคยโทรหาเธอเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่เธออยากอยู่ใกล้กับฮั่วจิ้นเฉิงจะแย่แม้ที่เขายอมมาจะเพื่อลูกก็ตาม!เธอเหลือบมองฮั่วจิ้นเฉิงอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นหันกลับมา พบว่าหลีเกอยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างกายเธอคือหญิงวัยกลางคนที่ยังคงสวยสมวัยมุมปากของเธอโค้งงอด้วยรอยยิ้ม จงใจแอ่นหน้าท้องให้ชัดเจนขึ้น แล้วค่อย ๆ เยื้องย้างเข้าไปหาหลีเกออย่างภาคภูมิใจ ราวกับตัวเองเป็นฮองเฮา“ทำไมเธอถึงได้ไปโผล่ทุกที่เลยนะ?”หลีเกอไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ “ฉันก็อยากจะถามคุณแบบนี้เหมือนกัน”เฉียวซีอวิ๋นกัดฟันแล้วพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่หลังหย่าเธอทำตัวโลดแล่นไปกับอิสระแทบตาย แต่ตอนนี้เธอกลับ