เมื่อเจินซินเห็นปฏิกิริยาของผู้ชม เธอก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจถูกต้อง การให้หลีเกอเดินปิดงานนับว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมมากฉีอวิ๋นเทียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ตกตะลึงไม่แพ้คนอื่น ๆเขาไม่คิดว่าจะเจอหลีเกอที่นี่ เพราะก่อนหน้านี้เขาเศร้าโศกและคับแค้นใจอย่างมาก ฉีอวิ๋นเทียนรู้สึกว่าโชคชะตาเล่นตลก และเสียใจที่ผลักไสเทพธิดาด้วยมือของตนเองเขาจึงตัดสินใจที่จะยอมรับการกระทำของตนเอง และไม่ยุ่งเกี่ยวกับหลีเกออีกต่อไปแต่หลังจากเห็นเธอปรากฏตัวบนเวที หัวใจของเขาพลันเต้นแรงอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่พบเธอบนดาดฟ้าในคืนนั้น…“แม่ ดูสิคะ เราเจอยายตัวซวยอีกแล้ว!” ฮั่วซินที่อยู่มุมเวทีดึงแขนหลี่ซูฉินและพูดอย่างระมัดระวังหลี่ซูฉินพูดด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด “แม่เห็นแล้ว ไม่ต้องเรียกหรอก”“ค่ะ” ฮั่วซินปิดปากเงียบเมื่อถูกตำหนิหลังจากถูกจับเป็นครั้งที่สอง ตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวหลี่ซูฉินจ้องมอง ‘น้ำตาแห่งมหาสมุทร’ และครุ่นคิดในใจ ‘ทำไมเธอไม่กัดฟันซื้อสร้อยเส้นนี้เพื่อขโมยความสนใจล่ะ’ในช่วงเวลานี้ ชื่อเสียงของตระกูลฮั่วได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพราะหลีเกอทำให้เธออับอาย
“มันเป็นความผิดของคุณยาย!”หลี่ซูฉินกัดฟันพูดคำเหล่านี้ แล้วดึงฮั่วซินให้วิ่งหนีไปยังสถานที่ที่มีคนน้อยนักข่าวกลุ่มหนึ่งพยายามไล่ตามไป ช่วงเวลานั้นมีชีวิตชีวายิ่งกว่าช่วงแสดงโชว์เสียอีกนิทรรศการสิ้นสุดลงหลีเกอกลับมาที่หลังเวที วางสร้อย ‘น้ำตาแห่งมหาสมุทร’ ไว้ด้านข้างอย่างไม่ได้พิถีพิถันอะไรเจี่ยงอีอีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องแต่งตัวอีกห้องหนึ่งเธอกำลังนั่งดูรูปถ่ายสด ๆ ร้อน ๆ ที่เจี่ยงอีอีแชร์เข้าในแชทกลุ่มอีซินอีอี้ [เพื่อนสาว ดูสิ! พวกเราทุกคนสวยกันจังเลย]ซุ่ยเยว่ชอบร้องเพลง [มินิฮาร์ท]พี่สาวจู้แฮปปี้ [ถ้าฉันไม่ต้องไปทำงานต่างประเทศ ฉันแทบไม่อยากพลาดเลย ไหนมากอดหน่อยซิ]เจินรักคุณซิน [ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักในวันนี้! ตอนเย็นเราไปฉลองกันเถอะ]อีซินอีอี้ [วันนี้ฉันหัวเราะแทบตายจริง ๆ นะ ความมั่นหน้าของหลี่ซูฉินทำฉันหัวเราะจนน้ำตาเล็ดเลยล่ะ]ซุ่ยเยว่ชอบร้องเพลง [หล่อนยังเป็นปีศาจหน้าเลือดไม่เปลี่ยน]ขณะที่พวกเธอพูดคุยเกี่ยวกับสองแม่ลูกคู่นั้น ประตูด้านหลังก็ถูกผลักเปิดออก หลี่ซูฉินและฮั่วซินเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาด้วยความโกรธริมฝีปากของหลี่เกอโค้งเป็นรอยยิ้ม
“พี่ชาย เชื่อฉันนะ แม่กับฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะนังตัวซวย” ฮั่วซินกลัวว่าฮั่วจิ้นเฉิงจะไม่เชื่อ ดังนั้นใบหน้าของเธอจึงแดงก่ำด้วยความวิตกกังวลหลี่ซูฉินกำลังจะลุกขึ้นและพูดต่อ แต่ดวงตากลับดับมืดลงไป เนื่องจากความตื่นเต้นเกินลิมิตที่ร่างกายรับไหว เป็นลมไปอีกครั้งอย่างรวดเร็วหลีเกอคุ้นเคยกับกลอุบายนี้เมื่อนานมาแล้ว เธอเม้มริมฝีปากและยิ้มประชดประชัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ใช่ ฉันทำแบบนั้นจริง ๆ”เธอไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับคนเหล่านี้มากเกินไป จึงหันหลังกลับเพื่อกลับไปที่เลานจ์ แต่ฮั่วจิ้นเฉิงปิดกั้นประตูไว้หลีเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตีตัวออกห่าง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลีกไป”ฮั่วจิ้นเฉิงมองไปที่หลี่ซูฉินและฮั่วซินที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ความสมดุลในใจของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง“จะยังโกรธกันอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”ดวงตาของฮั่วจิ้นเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย เสียงของเขาเรียบเรื่อยหลีเกอคิดว่านี่คงเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เธอได้ยินในวันนี้ “ฉันโกรธอะไร?”“คุณไม่ได้โกรธแค้นพวกเขา เพราะอดีตอันเจ็บปวดที่ตัวเองเคยถูกรังแกสมัยอยู่ในตระกูลฮั่ว ถึงโจมตีพวกเขาหรอกเหรอ?”“
ฉีอวิ๋นเทียนแตกต่างจากพ่อหนุ่มจอมตื๊อก่อนหน้านี้ เพียงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าสินะ”หลีเกอพูดด้วยใบหน้าตรง “แน่นอน ฉันไม่ได้ร้องไห้”“ผมคิดว่าคุณจะเป็นเหมือนครั้งที่แล้วซะอีก ผมเลยเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้สองผืนเป็นพิเศษ” ฉีอวิ๋นเทียนหยิบผ้าเช็ดหน้าอีกผืนหนึ่งออกมาพร้อมรอยยิ้มในดวงตา “เป็นไง ผมใส่ใจใช่ไหมล่ะ”หลีเกอจำค่ำคืนบนดาดฟ้ากลางดูไบ ตอนที่เธอร้องไห้ต่อหน้า ‘ศัตรู’ ของตัวเองด้วยอารมณ์อ่อนไหวอย่างถึงที่สุด ซึ่งหาได้ยากตามวิสัยปกติ “ฉันไปทำแบบนั้นตอนไหน คุณคงจำคนผิดแล้ว"ฉีอวิ๋นเทียนไม่ได้โต้เถียงกับเธอ แต่พยักหน้า “ผมอาจจำผิดก็ได้”เขามองดูใบหน้าที่ไม่มีความสุขของหลีเกอ คิดว่าครั้งก่อนที่เธอร้องไห้อาจเป็นเพราะฮั่วจิ้นเฉิง...“อยากให้ผมไปทุบเขาสักป้าบไหม?” ฉีอวิ๋นเทียนมองเธอด้วยความจริงจังขณะถามคำถามนี้ ทำท่าทางเตรียมพร้อม “ผมพร้อมจะทำตามคำสั่งของคุณ”“นั่นเพื่อนคุณ คงแปลกดีที่คุณไม่เข้าข้างเขา” หลีเกอยักไหล่ราวกับไม่เชื่อฉีอวิ๋นเทียนตบหน้าอกของเขาอย่างแรง จนสำลักไอสองครั้ง “ที่ไหนกันล่ะ ผมน่ะเป็นผู้ส่งสารแห่งความยุติธรรม จะเข้าข้างเขาแค่เ
“ฉันไม่ว่างเลยน่ะสิคะ” หลีเกอยิ้มจ้าวเหิงและแม่ของหลีเกอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นับตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต จ้าวเหิงและฟู่ลี่กั๋วก็คอยดูแลหลานสาวของพวกเขามาโดยตลอด จนกระทั่งหลีเกอบรรลุนิติภาวะตอนอายุสิบแปดปี จ้าวเหิงถึงยอมปล่อยและเริ่มออกเดินทางรอบโลกจ้าวเหิงทำหน้าที่เป็นแม่ทดแทนวัยเด็กของหลีเกอมาโดยตลอด และหลีเกอก็ถือว่าเธอเป็นญาติที่แท้จริงมานานแล้วหลีเกอมองไปรอบ ๆ ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับจ้าวเหิง “ป้าเหิงคะ ทำไมวันนี้ไม่เห็นลุงลี่เลย?”“ไปพูดถึงเขาทำไม!” จ้าวเหิงแสร้งทำเป็นโกรธ “อย่าไปพูดถึงเขาเลย”“โอ้” หลีเกอเม้มริมฝีปากและกลั้นยิ้มจ้าวเหิงและฟู่ลี่กั๋วเป็นคู่ชีวิตที่ไม่หวือหวา ตอนอยู่ด้วยกันพวกเขามักจะทะเลาะกันเสมอ แต่เมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันก็มักจะห่วงใยกัน สมัยยังอายุไม่มาก พวกเขาเคยหย่าร้างกันด้วยความโกรธ แต่หลังจากนั้นฟู่ลี่กั๋วก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตอันขมขื่นด้วยการตามง้อภรรยาเขาถึงขั้นไม่แยแสธุรกิจอย่างติ่งลี่กรุ๊ป ส่งมอบโดยตรงให้กับฟู่ซิวเป่ยซึ่งอายุไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำในเวลานั้น แล้วไล่ตามภรรยาของเขาไปทั่วโลก“ยัยหนู ฉั
เจอกันได้ทุกที่เลยสิน่า...“จิ้นเฉิง ฉันดีใจมากเลยนะคะที่คุณยอมมาหาฉันในครั้งนี้” เฉียวซีอวิ๋นพูดเบา ๆขณะที่เธอพูดแบบนี้ เธอต้องการจับมือของฮั่วจิ้นเฉิง แต่เขาหลีกเลี่ยงเธอโดยไม่เปิดโอกาสใด ๆ“ตรงนั้นมีคนรู้จักอยู่พอดี ขอผมไปคุยกับเขาหน่อย” ฮั่วจิ้นเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหินเดินไปหาใครคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชนเฉียวซีอวิ๋นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่เธอถูกส่งตัวมาอยู่ที่ประเทศ F ฮั่วจิ้นเฉิงไม่เคยโทรหาเธอเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่เธออยากอยู่ใกล้กับฮั่วจิ้นเฉิงจะแย่แม้ที่เขายอมมาจะเพื่อลูกก็ตาม!เธอเหลือบมองฮั่วจิ้นเฉิงอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นหันกลับมา พบว่าหลีเกอยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างกายเธอคือหญิงวัยกลางคนที่ยังคงสวยสมวัยมุมปากของเธอโค้งงอด้วยรอยยิ้ม จงใจแอ่นหน้าท้องให้ชัดเจนขึ้น แล้วค่อย ๆ เยื้องย้างเข้าไปหาหลีเกออย่างภาคภูมิใจ ราวกับตัวเองเป็นฮองเฮา“ทำไมเธอถึงได้ไปโผล่ทุกที่เลยนะ?”หลีเกอไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ “ฉันก็อยากจะถามคุณแบบนี้เหมือนกัน”เฉียวซีอวิ๋นกัดฟันแล้วพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่หลังหย่าเธอทำตัวโลดแล่นไปกับอิสระแทบตาย แต่ตอนนี้เธอกลับ
“ฉันบอกให้เธอขอโทษ!”“ไม่มีทาง!” เฉียวซีอวิ๋นไม่กลัวเลยสักนิด “ฉันเป็นคุณหนูมาจากตระกูลร่ำรวย เรื่องอะไรต้องขอโทษมนุษย์ป้าอย่างคุณด้วย?”“เผียะ!”จ้าวเหิงทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอรีบกระชากคอเสื้อของเฉียวซีอวิ๋นและตบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง“ไร้การศึกษา!”เฉียวซีอวิ๋นทำให้จ้าวเหิงโกรธมาก ถึงจะลงมือตบไปแล้ว เธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจ และอยากตบซ้ำเป็นครั้งที่สองเสียเดี๋ยวนั้นหลีเกอยกนิ้วให้จ้าวเหิงเงียบ ๆ เดินเข้ามายืนข้างเธอแล้วพูดเสียงแผ่ว “ป้าเหิง พอแล้วค่ะ”“จะเป็นไรไป เวลาอีกแค่ไม่กี่นาที ทำไมป้าจะสะสางกับคนแบบนี้ไม่ได้?” จ้าวเหิงยิ้ม “ตราบใดที่ป้าเหิงอยู่ที่นี่ เธอแค่ยืนเฉย ๆ ก็พอ”เมื่อเห็นจ้าวเหิงปกป้องตนอย่างเต็มกำลังแบบนี้ หลีเกอก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้งนี่คือญาติผู้ใหญ่ที่เธอนับถือเหมือนญาติแท้ ๆ ความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อเอาใจเธอเลย แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังเต็มใจที่จะยืนหยัดเพื่อเธอฝ่ามือนี้ทรงพลังมาก จนเฉียวซีอวิ๋นต้องจับเสาด้านข้างเอาไว้เพื่อให้สองเท้ายังสามารถยืนอย่างมั่นคงเสียงตบดึงดูดค
เฉียวซีอวิ๋นไม่เคยถูกเฉียวเว่ยดุเสียงดังขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าของเธอก็สูญเสียความสงบทันทีเธอไม่เต็มใจที่จะก้มศีรษะอันสูงส่งของเธอต่อหน้าคนนอก ไม่ต้องพูดถึงว่าคนนอกคนนั้นคือหลีเกอตอนนี้เธอไม่สามารถกลับไปที่ปินเฉิง แต่ต้องอยู่ในประเทศ F ก็เพราะผู้หญิงคนนี้ขณะที่เธอกำลังจะลงหลังจากเสือ เฉียวซีอวิ๋นก็เหลือบไปเห็นว่าฮั่วจิ้นเฉิงกำลังเดินมาทางนี้เธอมีแผนในใจ เดินไปหาหลีเกอทีละก้าว ไม่หยุดจนร่างทั้งสองเกือบจะชนชิดกันหลีเกอเหลือบมองเฉียวซีอวิ๋นขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างระมัดระวัง “คิดจะทำอะไรน่ะ?”ดวงตาแวววาวของเฉียวซีอวิ๋นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ยิ้มอย่างเย็นชา “หลีเกอ เธอบังคับให้ฉันทำอย่างนี้เอง…”“กรี๊ด…”เธอกรีดร้องเสียงดังลั่น โถมตัวล้มไปข้างหลังจนชนแจกันด้านข้างขณะที่แจกันขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณครึ่งตัวคนล้มลงกับพื้น เฉียวซีอวิ๋นก็ล้มลงกับพื้นเช่นกัน ร่างของเธอกระแทกเสาและหมดสติไปหลีเกอมองภาพตรงหน้าอย่างเฉยเมย กิจวัตรที่คุ้นเคย เธอคุ้นชินกับมารยาของเฉียวซีอวิ๋นเสียแล้ว...ฮั่วจิ้นเฉิงก้าวไปข้างหน้า ช่วยเฉียวซีอวิ๋นให้ลุกขึ้น ดุเฉียวเว่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณอยู่ข้างเธอแท้ ๆ ท