“พี่ชาย เชื่อฉันนะ แม่กับฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะนังตัวซวย” ฮั่วซินกลัวว่าฮั่วจิ้นเฉิงจะไม่เชื่อ ดังนั้นใบหน้าของเธอจึงแดงก่ำด้วยความวิตกกังวลหลี่ซูฉินกำลังจะลุกขึ้นและพูดต่อ แต่ดวงตากลับดับมืดลงไป เนื่องจากความตื่นเต้นเกินลิมิตที่ร่างกายรับไหว เป็นลมไปอีกครั้งอย่างรวดเร็วหลีเกอคุ้นเคยกับกลอุบายนี้เมื่อนานมาแล้ว เธอเม้มริมฝีปากและยิ้มประชดประชัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ใช่ ฉันทำแบบนั้นจริง ๆ”เธอไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับคนเหล่านี้มากเกินไป จึงหันหลังกลับเพื่อกลับไปที่เลานจ์ แต่ฮั่วจิ้นเฉิงปิดกั้นประตูไว้หลีเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตีตัวออกห่าง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลีกไป”ฮั่วจิ้นเฉิงมองไปที่หลี่ซูฉินและฮั่วซินที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ความสมดุลในใจของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง“จะยังโกรธกันอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”ดวงตาของฮั่วจิ้นเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย เสียงของเขาเรียบเรื่อยหลีเกอคิดว่านี่คงเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เธอได้ยินในวันนี้ “ฉันโกรธอะไร?”“คุณไม่ได้โกรธแค้นพวกเขา เพราะอดีตอันเจ็บปวดที่ตัวเองเคยถูกรังแกสมัยอยู่ในตระกูลฮั่ว ถึงโจมตีพวกเขาหรอกเหรอ?”“
ฉีอวิ๋นเทียนแตกต่างจากพ่อหนุ่มจอมตื๊อก่อนหน้านี้ เพียงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าสินะ”หลีเกอพูดด้วยใบหน้าตรง “แน่นอน ฉันไม่ได้ร้องไห้”“ผมคิดว่าคุณจะเป็นเหมือนครั้งที่แล้วซะอีก ผมเลยเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้สองผืนเป็นพิเศษ” ฉีอวิ๋นเทียนหยิบผ้าเช็ดหน้าอีกผืนหนึ่งออกมาพร้อมรอยยิ้มในดวงตา “เป็นไง ผมใส่ใจใช่ไหมล่ะ”หลีเกอจำค่ำคืนบนดาดฟ้ากลางดูไบ ตอนที่เธอร้องไห้ต่อหน้า ‘ศัตรู’ ของตัวเองด้วยอารมณ์อ่อนไหวอย่างถึงที่สุด ซึ่งหาได้ยากตามวิสัยปกติ “ฉันไปทำแบบนั้นตอนไหน คุณคงจำคนผิดแล้ว"ฉีอวิ๋นเทียนไม่ได้โต้เถียงกับเธอ แต่พยักหน้า “ผมอาจจำผิดก็ได้”เขามองดูใบหน้าที่ไม่มีความสุขของหลีเกอ คิดว่าครั้งก่อนที่เธอร้องไห้อาจเป็นเพราะฮั่วจิ้นเฉิง...“อยากให้ผมไปทุบเขาสักป้าบไหม?” ฉีอวิ๋นเทียนมองเธอด้วยความจริงจังขณะถามคำถามนี้ ทำท่าทางเตรียมพร้อม “ผมพร้อมจะทำตามคำสั่งของคุณ”“นั่นเพื่อนคุณ คงแปลกดีที่คุณไม่เข้าข้างเขา” หลีเกอยักไหล่ราวกับไม่เชื่อฉีอวิ๋นเทียนตบหน้าอกของเขาอย่างแรง จนสำลักไอสองครั้ง “ที่ไหนกันล่ะ ผมน่ะเป็นผู้ส่งสารแห่งความยุติธรรม จะเข้าข้างเขาแค่เ
“ฉันไม่ว่างเลยน่ะสิคะ” หลีเกอยิ้มจ้าวเหิงและแม่ของหลีเกอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นับตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต จ้าวเหิงและฟู่ลี่กั๋วก็คอยดูแลหลานสาวของพวกเขามาโดยตลอด จนกระทั่งหลีเกอบรรลุนิติภาวะตอนอายุสิบแปดปี จ้าวเหิงถึงยอมปล่อยและเริ่มออกเดินทางรอบโลกจ้าวเหิงทำหน้าที่เป็นแม่ทดแทนวัยเด็กของหลีเกอมาโดยตลอด และหลีเกอก็ถือว่าเธอเป็นญาติที่แท้จริงมานานแล้วหลีเกอมองไปรอบ ๆ ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับจ้าวเหิง “ป้าเหิงคะ ทำไมวันนี้ไม่เห็นลุงลี่เลย?”“ไปพูดถึงเขาทำไม!” จ้าวเหิงแสร้งทำเป็นโกรธ “อย่าไปพูดถึงเขาเลย”“โอ้” หลีเกอเม้มริมฝีปากและกลั้นยิ้มจ้าวเหิงและฟู่ลี่กั๋วเป็นคู่ชีวิตที่ไม่หวือหวา ตอนอยู่ด้วยกันพวกเขามักจะทะเลาะกันเสมอ แต่เมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันก็มักจะห่วงใยกัน สมัยยังอายุไม่มาก พวกเขาเคยหย่าร้างกันด้วยความโกรธ แต่หลังจากนั้นฟู่ลี่กั๋วก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตอันขมขื่นด้วยการตามง้อภรรยาเขาถึงขั้นไม่แยแสธุรกิจอย่างติ่งลี่กรุ๊ป ส่งมอบโดยตรงให้กับฟู่ซิวเป่ยซึ่งอายุไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำในเวลานั้น แล้วไล่ตามภรรยาของเขาไปทั่วโลก“ยัยหนู ฉั
เจอกันได้ทุกที่เลยสิน่า...“จิ้นเฉิง ฉันดีใจมากเลยนะคะที่คุณยอมมาหาฉันในครั้งนี้” เฉียวซีอวิ๋นพูดเบา ๆขณะที่เธอพูดแบบนี้ เธอต้องการจับมือของฮั่วจิ้นเฉิง แต่เขาหลีกเลี่ยงเธอโดยไม่เปิดโอกาสใด ๆ“ตรงนั้นมีคนรู้จักอยู่พอดี ขอผมไปคุยกับเขาหน่อย” ฮั่วจิ้นเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหินเดินไปหาใครคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชนเฉียวซีอวิ๋นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่เธอถูกส่งตัวมาอยู่ที่ประเทศ F ฮั่วจิ้นเฉิงไม่เคยโทรหาเธอเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่เธออยากอยู่ใกล้กับฮั่วจิ้นเฉิงจะแย่แม้ที่เขายอมมาจะเพื่อลูกก็ตาม!เธอเหลือบมองฮั่วจิ้นเฉิงอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นหันกลับมา พบว่าหลีเกอยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างกายเธอคือหญิงวัยกลางคนที่ยังคงสวยสมวัยมุมปากของเธอโค้งงอด้วยรอยยิ้ม จงใจแอ่นหน้าท้องให้ชัดเจนขึ้น แล้วค่อย ๆ เยื้องย้างเข้าไปหาหลีเกออย่างภาคภูมิใจ ราวกับตัวเองเป็นฮองเฮา“ทำไมเธอถึงได้ไปโผล่ทุกที่เลยนะ?”หลีเกอไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ “ฉันก็อยากจะถามคุณแบบนี้เหมือนกัน”เฉียวซีอวิ๋นกัดฟันแล้วพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่หลังหย่าเธอทำตัวโลดแล่นไปกับอิสระแทบตาย แต่ตอนนี้เธอกลับ
“ฉันบอกให้เธอขอโทษ!”“ไม่มีทาง!” เฉียวซีอวิ๋นไม่กลัวเลยสักนิด “ฉันเป็นคุณหนูมาจากตระกูลร่ำรวย เรื่องอะไรต้องขอโทษมนุษย์ป้าอย่างคุณด้วย?”“เผียะ!”จ้าวเหิงทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอรีบกระชากคอเสื้อของเฉียวซีอวิ๋นและตบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง“ไร้การศึกษา!”เฉียวซีอวิ๋นทำให้จ้าวเหิงโกรธมาก ถึงจะลงมือตบไปแล้ว เธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจ และอยากตบซ้ำเป็นครั้งที่สองเสียเดี๋ยวนั้นหลีเกอยกนิ้วให้จ้าวเหิงเงียบ ๆ เดินเข้ามายืนข้างเธอแล้วพูดเสียงแผ่ว “ป้าเหิง พอแล้วค่ะ”“จะเป็นไรไป เวลาอีกแค่ไม่กี่นาที ทำไมป้าจะสะสางกับคนแบบนี้ไม่ได้?” จ้าวเหิงยิ้ม “ตราบใดที่ป้าเหิงอยู่ที่นี่ เธอแค่ยืนเฉย ๆ ก็พอ”เมื่อเห็นจ้าวเหิงปกป้องตนอย่างเต็มกำลังแบบนี้ หลีเกอก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้งนี่คือญาติผู้ใหญ่ที่เธอนับถือเหมือนญาติแท้ ๆ ความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อเอาใจเธอเลย แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังเต็มใจที่จะยืนหยัดเพื่อเธอฝ่ามือนี้ทรงพลังมาก จนเฉียวซีอวิ๋นต้องจับเสาด้านข้างเอาไว้เพื่อให้สองเท้ายังสามารถยืนอย่างมั่นคงเสียงตบดึงดูดค
เฉียวซีอวิ๋นไม่เคยถูกเฉียวเว่ยดุเสียงดังขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าของเธอก็สูญเสียความสงบทันทีเธอไม่เต็มใจที่จะก้มศีรษะอันสูงส่งของเธอต่อหน้าคนนอก ไม่ต้องพูดถึงว่าคนนอกคนนั้นคือหลีเกอตอนนี้เธอไม่สามารถกลับไปที่ปินเฉิง แต่ต้องอยู่ในประเทศ F ก็เพราะผู้หญิงคนนี้ขณะที่เธอกำลังจะลงหลังจากเสือ เฉียวซีอวิ๋นก็เหลือบไปเห็นว่าฮั่วจิ้นเฉิงกำลังเดินมาทางนี้เธอมีแผนในใจ เดินไปหาหลีเกอทีละก้าว ไม่หยุดจนร่างทั้งสองเกือบจะชนชิดกันหลีเกอเหลือบมองเฉียวซีอวิ๋นขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างระมัดระวัง “คิดจะทำอะไรน่ะ?”ดวงตาแวววาวของเฉียวซีอวิ๋นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ยิ้มอย่างเย็นชา “หลีเกอ เธอบังคับให้ฉันทำอย่างนี้เอง…”“กรี๊ด…”เธอกรีดร้องเสียงดังลั่น โถมตัวล้มไปข้างหลังจนชนแจกันด้านข้างขณะที่แจกันขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณครึ่งตัวคนล้มลงกับพื้น เฉียวซีอวิ๋นก็ล้มลงกับพื้นเช่นกัน ร่างของเธอกระแทกเสาและหมดสติไปหลีเกอมองภาพตรงหน้าอย่างเฉยเมย กิจวัตรที่คุ้นเคย เธอคุ้นชินกับมารยาของเฉียวซีอวิ๋นเสียแล้ว...ฮั่วจิ้นเฉิงก้าวไปข้างหน้า ช่วยเฉียวซีอวิ๋นให้ลุกขึ้น ดุเฉียวเว่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณอยู่ข้างเธอแท้ ๆ ท
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปจีนสักสองวัน หลังวันครบรอบการตายค่อยกลับมา”เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉียวหร่านและฮั่วเซียว พี่ชายคนโตของเขา ฮั่วจิ้นเฉิงจึงอดทนต่อเฉียวซีอวิ๋นเหนือสิ่งอื่นใดมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเฉียวซีอวิ๋นลูบท้องของเธอ สีหน้าของเข้มขึ้นและมืดมนมากกว่าเดิม สงสัยครั้งนี้เธอต้องพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะได้กลับไปอยู่ในปินเฉิง เธอไม่ต้องการอยู่ในสถานที่ผีสิงแห่งนี้ต่อแม้แต่ครู่เดียวหลีเกอ นังตายยาก ฉันอยากรู้นักว่าแกจะให้ท่าผู้ชายของฉันยังไง…หลังจากที่หลีเกอไล่ตัวปัญหาออกไปได้แล้ว เธอก็อารมณ์ดี พูดคุยกับจ้าวเหิงเป็นเวลานานเกี่ยวกับประสบการณ์ระหว่างการเดินทางของเธอหลังจากงานทุกอย่างจบลง จ้าวเหิงก็โทรแจ้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ให้ปิดทำงาน โดยพนักงานอยู่ข้างในจะให้บริการเฉพาะเธอกับหลีเกอเท่านั้นหลีเกอล้มตัวนอนบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ร้องขอความเมตตา “ป้าเหิงคะ สมแล้วที่คุณเป็นผู้หญิงที่เคยข้ามช่องแคบมะละกา ความแข็งแกร่งทางร่างกายของคุณน่าทึ่งมาก ฉันยอมใจเลย”จ้าวเหิงขอให้คนรับใช้วางถุงบรรจุสินค้าฟุ่มเฟือยที่ตัวเองซื้อ ส่งยิ้มให้ “ฉันไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าให้
หลีเกอมาถึงสเตเดียมผู้จัดการของหลีหรานรออยู่ที่ทางเข้าแล้ว เธอส่งมอบกุญแจให้ผู้จัดการ แล้วเดินมายังที่นั่ง VVIP ที่หลีหรานจองไว้ ซึ่งอยู่ห่างจากเวทีเพียงหนึ่งก้าวอัฒจันทร์ทั้งสเตเดียมเต็มไปด้วยป้ายไฟสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีด้อมเฉพาะของหลีหราน ชื่อบนสเตจของหลีหรานอย่างไซมอน ก็ถูกเขียนไว้บนอัฒจันทร์เหล่านั้นเช่นเดียวกันเมื่อไฟในฮอลล์หรี่ลง แฟนคลับก็เขย่าแท่งไฟฟลูออเรสเซนต์ เพียงครู่เดียวพวกมันก็กลายเป็นเหมือนมหาสมุทรสีฟ้าเสียงดนตรีอลังการเรียกความสนใจของหลีเกอ ท่ามกลางกลุ่มนักแดนเซอร์ เธอมองเห็นหลีหรานได้อย่างรวดเร็วเพลงที่มีจังหวะการร้องและสเต็ปการเต้นรำที่มีชีวิตชีวาเพิ่งจบลงหมาด ๆ หลีหรานหายใจหอบและยืนอยู่ตรงกลางเวทีโดยทำท่าทางค้างไว้ ในเวลานี้ สปอตไลท์มุ่งความสนใจไปที่เขา ดูเหมือนว่าเขาคือราชาแห่งโลกดนตรีตรงหน้าแฟน ๆ ต่างกรีดร้องด้วยความสุข กู่ร้องตะโกนเพื่อแสดงความรักภายในใจพวกเขา“ไซมอน! เรารักคุณ!”“ฉันจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากคุณ!”เมื่อหลีหรานเห็นหลีเกอ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าอันทรงเสน่ห์ของเขา เขาถูกกล้องจับภาพไว้และส่งขึ้นจอใหญ่ทันที แฟน ๆ ที่เป็นผู้หญิงจึงยิ่งคลั่งไค