"หายห่วงได้เลย ไม่มีเคสไหนที่ล้มเหลวคามือผม คุณหนูหลีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะฟื้น"เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็โล่งใจฟู่ซิวเป่ยยื่นมือไปตบไหล่เขา "เหนื่อยไหม..."ใครจะรู้ว่าในวินาทีต่อมา ท่าทางของเขาจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไป๋สี่เจี้ยนเอียงศีรษะไปถูกับไหล่เขา "พี่ใหญ่ ฉันทุ่มเทขนาดนี้ แค่ชมเชยไม่กี่คำก็จบแล้ว ไม่ยุติธรรมเลย"ฟู่ซิวเป่ยจับหัวเขาไว้แล้วพูดว่า "อยากได้อะไรก็พูดมา แม้แต่ดวงจันทร์บนท้องฟ้า ฉันก็จะสอยลงมาให้นาย"ไป๋สี่เจี้ยนดีใจ "พี่ใหญ่ พี่พูดเองนะ อย่าผิดคำพูดล่ะ"พูดจบ ไป๋สี่เจี้ยนก็อ้าปากหาววอด "ผ่าตัดมาตั้งนาน ผมง่วงจะแย่อยู่แล้ว ขอไปนอนก่อน วันหลังค่อยมาขอรางวัลจากพี่"ฟู่ซิวเป่ยพยักหน้า บอดี้การ์ดข้างหลังก็เดินเข้ามาพาไป๋สี่เจี้ยนไปพักผ่อนกลับมาที่เดิมในห้องผ่าตัด แพทย์ที่สวมชุดกาวน์สีขาวต่างก็ส่งเสียงชื่นชม"นี่… เป็นไปได้ยังไง สมองคนไข้ขาดออกซิเจนเป็นเวลานานขนาดนั้น ตอนนี้กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น""นี่มันปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ชัด ๆ""หมอไป๋สุดยอดจริง ๆ""ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เคสนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับเขียนว
"คุณหลี ผมจะอยู่ที่นี่หรือไม่อยู่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่?"ฮั่วจิ้นเฉิงแสดงจุดยืนของเขาหลีหานรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ จึงเตือนเพียงประโยคเดียว "ประธานฮั่ว เวลาคนเราตกรถไฟก็ยังรู้จักปล่อยผ่านแล้วซื้อตั๋วขึ้นขบวนถัดไป เพราะคนฉลาดจะรู้ว่าถึงจะจมจ่อมอยู่กับขบวนที่ตัวเองพลาด รถไฟก็ไม่วิ่งย้อนกลับมา ประโยคนี้ประธานฮั่วคงจะเข้าใจ"พูดจบ หลีหานก็พาหลีหรานเดินจากไป"พี่ใหญ่ จะปล่อยให้เขาอยู่เฝ้าแบบนี้น่ะเหรอ?"หลีหรานยังไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่หลีหานกลับพูดว่า "ถ้าเขาไม่ไปซะอย่าง เราจะทำอะไรได้""แต่น้องสี่ไม่อยากเจอหน้าเขานะ!""เราต้องเชื่อใจน้องสี่ เธอมีจิตสำนึกเพียงพอ ต้องรู้ว่าใครคือคนที่คู่ควรจะฝากชีวิตไว้"หลีหรานฟังคำพูดนี้แล้วก็ใจเย็นลงบ้าง "ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ!"การนอนหลับครั้งนี้ หลีเกอรู้สึกเหมือนตัวเองหลับไปนานมาก เธอฝันย้อนไปยาวนานทีเดียวเธอฝันถึงเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เธอได้เจอกับฮั่วจิ้นเฉิงเป็นครั้งแรกตอนนั้นเธอยังเรียนปริญญาโทอยู่ที่คณะออกแบบในมหาวิทยาลัยโคลอมเบีย เธอห่างบ้านไปอยู่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก ตระกูลหลีทั้งบ้านต่างก็เป็นห่วง"น้องสี่ พี่ซื้อบ้าน
กว่าจะได้เจอกันอีกครั้งก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนหลีเกอเรียนวิชาเอกเสร็จ ออกมาจากอาคารเรียน ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งหัวเราะเยาะกันระนาวจากนั้นก็มีเสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยความหยาบคาย "พวกคนจีนนี่โง่จริง ๆ เหมือนหมาเร่ร่อนเลย""เมื่อก่อนพวกแกเป็นแค่คนกากของเอเชียตะวันออก ตอนนี้ก็ยังกากอยู่เหมือนเดิม""ผ่านมาหลายปี พวกคนจีนก็ยังถูกเราเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้า""..."หลีเกอได้ยินดังนั้น คิ้วขมวดมุ่น เปลวไฟในอกลุกโชนสุดขีด คนต่างชาติพวกนี้เป็นบัดซบอะไรกันกล้าด่าพวกเราแบบนี้ได้ยังไง!เธอกำลังจะเดินไปโต้แย้งแต่ยังไม่ทันได้เดินถึงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงต่อยกันและเสียงร้องโอดโอยของผู้ชายส่วนใหญ่ พร้อมกับเสียงตะโกนอย่างไม่ยอมแพ้"บ้าอะไรวะ กล้าดียังไงมาต่อยกู!" ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนชกเข้าที่ใบหน้าอีกครั้ง"สมน้ำหน้า! อยากปากหมาด่าพวกเราเอง วันนี้เดี๋ยวจะประเคนให้รู้จักว่ากังฟูจีนแท้ ๆ เป็นยังไง!"ชายหนุ่มพูดจบก็ต่อยเข้าที่ใบหน้าของเขาอีกครั้งได้ยินเสียงร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดหลีเกอเดินเข้าไป เห็นเด็กหนุ่มผิวเหลืองคนหนึ่งกำลังจัดการกับชาวต่างชาติกลุ่มนั้น ท่าทางของเขาคล่องแคล่วเหมือนสาย
รูมเมทเห็นผู้ชายตามมาส่งเธอ จึงซุบซิบนินทาว่า "เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นใครเหรอ แฟนหรือเปล่า? หล่อจังเลย!""จริงด้วย กล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ดีจัง มาดแมนสุด ๆ ไปเลย!""เธอมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย""..."เมื่อเผชิญกับคำถามมากมายของรูมเมท หลีเกอรีบอธิบาย "เขาไม่ใช่แฟนฉัน อย่าคิดไปเองสิ""ไงนะ? ไม่ใช่แฟนเธอ แล้วเขาชื่ออะไรล่ะ พอจะแนะนำให้ฉันรู้จักได้ไหม?"คำถามนี้ทำเอาหลีเกออึ้งไปเลย พวกเขาเจอกันมาสองครั้งแล้ว แต่เธอยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย"เอ่อ ไว้ครั้งหน้าฉันจะถามเขาแล้วมาบอกพวกเธออีกทีนะ"รูมเมทดูผิดหวังเล็กน้อย ส่วนหลีเกอก็ขมวดคิ้วไม่คลายในใจคิดว่าครั้งต่อไปจะต้องถามให้รู้เรื่องแน่ ๆ ว่าเขาชื่ออะไร เรียนคณะอะไร... ข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก็ต้องถามให้หมดอย่างไรก็ตาม การพบกันครั้งต่อไปที่หลีเกอรอคอยมาถึงเร็วกว่าที่คิดวันรุ่งขึ้น หลีเกอก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง"หลีเกอ นั่นไม่ใช่ผู้ชายที่พาเธอมาส่งเมื่อวานเหรอ? ทำไมเขาโดนเรียกไปที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาล่ะ?"รูมเมทดึงเธอเข้ามาแล้วถามซักไซ้!หลีเกอแปลกใจรีบตามไปทันที เธอแอบอยู่ที่หน้าห้องฝ่ายกิจการนักศึกษา เห็นชาวต่างชาต
หลีเกอยิ้มแย้ม "ไม่เป็นไรหรอก คุณเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม เมื่อวานพวกมันพูดจาเกินเลยขนาดนั้น ถ้าเป็นฉันเองก็คงจะซ้อมพวกเขาให้เจ็บแสบ"แต่ชายหนุ่มกลับพูดว่า "ผู้หญิงไม่ควรลงมือทำอะไรแบบนี้ เรื่องแบบนี้ปล่อยให้ผู้ชายทำดีกว่า!"จากนั้นชายหนุ่มก็หยุดเดินน้ำเสียงครึ่งหนึ่งเหมือนหยอกเล่น อีกครึ่งหนึ่งจริงจัง ถามว่า "ลืมถามคุณไปเลย คุณชื่ออะไรล่ะ?""หลีเกอ หลีรุ่งอรุณ เกอบทเพลง"ชายหนุ่มร้องอืมเสียงหนึ่ง "จะจำไว้"หลีเกอรีบถาม "แล้วคุณล่ะชื่ออะไร ฉันจะได้ไม่ต้องเรียกคุณว่า เฮ้ ในครั้งหน้า"ชายหนุ่มหัวเราะ ดวงตาที่อยากรู้อยากเห็นของเขามองเธอเขม็ง จากนั้นก็พูดว่า "อยากรู้ชื่อผมเหรอ งั้นบ่ายสามโมงครึ่งวันมะรืน เจอกันที่ประตูฝั่งตะวันตกของมหาวิทยาลัย อย่าลืมนะ แล้วผมจะบอกชื่อ"หลีเกอโมโห "อะไรกันเนี่ย!"แต่ชายหนุ่มโบกมือให้เธอ "บ่ายสามโมงครึ่งวันมะรืน อย่าลืมล่ะ ไว้เจอกัน!"หลีเกอเม้มริมฝีปาก ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ในใจก็อดคาดหวังไม่ได้เวลาผ่านไปช้ามาก ช้ากว่าการเคลื่อนที่ของหอยทากเสียอีก หลีเกอรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดก็ถึงวันมะรืนเธอแต่งตัวและแต่งหน้าตั้งแต่เช้า เลือกชุดที
เธอได้ยินชื่อของเขาจากปากคนอื่น นั่นคือ ‘ฮั่วจิ้นเฉิง’ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อนี้ก็เหมือนกับมนตร์สะกดที่ฝังลึกอยู่ในใจของเธอ และกลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเรื่องราวหลังจากนั้นราวกับมีอะไรกำหนดไว้ล่วงหน้าเธอได้ช่วยคุณย่าของฮั่วจิ้นเฉิงไว้โดยบังเอิญเมื่อรู้ว่าคุณย่าฮั่วกำลังมองหาคู่ชีวิตให้ฮั่วจิ้นเฉิง เธอก็ไม่ลังเลที่จะเสนอตัว จนกลายมาเป็นคุณผู้หญิงฮั่วชีวิตแต่งงานสามปีราวกับภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ในหัวของเธอทีละฉาก ชีวิตอันยุ่งเหยิงคอยย้ำเตือนให้เธอระลึกถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งนั้นอยู่เสมอแต่เธอใช้เวลาสามปี ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฮั่วจิ้นเฉิงถึงจำเธอไม่ได้บนเตียงในโรงพยาบาล ขนตาของหลีเกอสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจมูกของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ สมองค่อย ๆ กลับมาทำงาน เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน"คุณหนูหลี ตื่นแล้วเหรอ?"เสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจดังขึ้นข้างหู หลีเกอกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง หันไปมองฟู่ซิวเป่ยแล้วยิ้มออก "พี่ซิวเป่ย ฉันหลับไปนานไหมคะ?""คุณหมดสติไปสามวันเลย พวกเราร้อนใจกันหมด โชคดีจริง ๆ ที่เธอฟื้นแล้ว"หลีเกอนึกถึงตอนที
วันออกจากโรงพยาบาล ฟู่ซิวเป่ยถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาให้เธอ "คุณหนูหลี ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขในทุกวันนับจากนี้นะครับ"หลีเกอรับช่อดอกไม้มาแล้วส่งยิ้มหวาน "ขอบคุณค่ะ พี่ซิวเป่ย…"หลีหรานก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาสลับมองไปมาระหว่างทั้งสอง"พี่จะบอกให้นะยัยน้อง คราวนี้พวกเราตกใจกันแทบตาย""เธอไม่รู้หรอกว่าวันนั้นสถานการณ์มันวิกฤตแค่ไหน โชคดีที่ซิวเป่ยไปตามตัวหมอไป๋มา ถึงช่วยยื้อเธอกลับมาจากความตายได้ พวกเราต้องขอบคุณเขาให้มากเลยล่ะ"เมื่อพูดถึงไป๋สี่เจี้ยนหลีหรานถึงได้สังเกตว่าตั้งแต่วันที่เขาทำการผ่าตัดให้หลีเกอ ไป๋สี่เจี้ยนก็หายไปจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า "หมอไป๋ล่ะ ทำไมไม่เห็นหน้าค่าตาเขาเลย"ฟู่ซิวเป่ยอธิบาย "กลับไปพักผ่อนแล้วล่ะ เขาเป็นคนแบบนี้ตลอด เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย ไม่ต้องสนใจหรอก""ไม่ว่ายังไง เขาก็คือคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ถ้ามีโอกาสต้องขอบคุณเขาต่อหน้า" หลีเกอพูดอย่างจริงจังฟู่ซิวเป่ยพยักหน้า "ไว้ว่าง ๆ ค่อยนัดเขามาเจอแล้วกัน"ทุกคนเดินออกจากห้องผู้ป่วย เดินตามทางออกไป แต่จู่ ๆ ทุกคนก็หยุดเดินพร้อมกันเห็นฮั่วจิ้นเฉิงยืนอยู่ไม่ไกลนัก สายตาจ้องมาที่หลี
เมื่อเห็นว่าเธอมาแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้ถามอะไรเลย พูดเพียงว่า "ขึ้นรถเถอะ!"หลีเกอขึ้นรถไปนั่งเงียบ ๆ จากนั้นรถก็สตาร์ทแล้วค่อย ๆ ขับออกไปสายตาของหลีเกอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ในใจรู้สึกเศร้าโศกอย่างบอกไม่ถูก จะไม่ให้เศร้าได้ยังไงนั่นคือชีวิตวัยเยาว์ของเธอ เขาคือคนที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอดห้าปีเต็ม!ชีวิตคนเราจะมีช่วงเวลารุ่งโรจน์ในห้าปีสักกี่รอบกันเพียงแต่ว่าหลีเกอรับได้ ปล่อยวางได้ เคยทุ่มเทสุดหัวใจจนไม่กลัวตาย ตอนนี้แม้จะจบลงอย่างน่าเสียดาย ก็แค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อยเท่านั้นเองหยุดคิดไปสักพัก หลีเกอก็ละสายตาแล้วถามว่า "คนที่วางยาฉันอยู่ไหนคะ?"หลีหรานกระแอมไอเบา ๆ แล้วพูดว่า "ถามทำไม เรื่องนี้พี่ ๆ จัดการกันเอง ไม่ต้องให้ถึงมือเธอหรอก"แต่หลีเกอกลับพูดว่า "ฉันอยากเจอพวกมัน"หลีหรานกับฟู่ซิวเป่ยสบตากัน ฟู่ซิวเป่ยพูดว่า "ตอนนี้พวกเขาถูกคนของพี่ใหญ่คุณควบคุมตัวอยู่ ถ้าอยากเจอก็ต้องถามความเห็นของหลีหานก่อน"หลีเกอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากำลังจะกดโทร แต่หลีหรานห้ามไว้ "น้องสี่ เธอนี่มันหัวรั้นจริง ๆ เอาควายเก้าตัวมาฉุดก็ยังรั้งไว้ไม่อยู่ เอาเถอะ ฉันจะบอกให้คนขับพาไป"คนขับรถไ