หลีเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก็ละสายตาจากไป"ไม่มีอะไรค่ะ""ยืนเฉยอยู่ทำไมเล่า รินให้เต็ม รินให้เต็มแก้ว..." เจี่ยงอีอีถือแก้วเบียร์แล้วรินแจกจ่าย บรรยากาศเริ่มครึกครื้นมาก"ดื่มกันอย่างเดียวก็ไม่มีอะไรสนุกน่ะสิ! งั้นมาเล่นอะไรสนุก ๆ กันดีกว่า!" จู้หว่านอี้เสนอ สายตาของเธอวนเวียนอยู่ที่เจินซินและหลีหรานทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันแท้ ๆ แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรกันเลยในฐานะเพื่อนสนิทของพวกเธอ สองสาวถือเป็นตัวชงชั้นดีที่สุดดังนั้น จู้หว่านอี้และเจี่ยงอีอีจึงสบตากันครู่หนึ่ง แล้วดึงหลีเกอและฟู่ซิวเป่ยให้มานั่งเล่นเกมด้วยกันหลีเกอถาม"เล่นเกมอะไรกันดี?"จู้หว่านอี้ม้วนริมฝีปาก แสดงให้เห็นรอยยิ้มจางๆ "ยังจะถามอีกเหรอ แน่นอนว่าเป็นเกม จริง หรือ ท้า สิ...""เย่! ดีเลย!"เจี่ยงอีอีตอบรับเป็นคนแรก ทุกคนจึงมานั่งล้อมวงกัน"ฉันจะบอกกฎก่อนนะ! ง่ายมาก เราจะหมุนขวดเหล้าขวดนี้ ปากขวดหันไปทางใคร คนนั้นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างพูดความจริง หรือรับคำท้า ห้ามโกง แต่คนที่แพ้ต้องดื่มนะ..."จู้หว่านอี้รีบเสริม "ไม่มีปัญหา! มาเริ่มกันเลย!..."พูดจบ จู้หว่านอี้ก็หมุนขวดแก้วเป็นคนแรก "ห้า สี่ ส
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ของหวานมาแล้วค่ะ…”พนักงานเสิร์ฟเดินมาวางของหวานตรงหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็ว ทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นอะไรหลังจากที่พนักงานเสิร์ฟเดินออกไป อีกฝ่ายก็จัดการล็อกประตูห้องเอาไว้กู้หว่านชิงถอดกุญแจออกจากเบ้า สีหน้ามืดมัวหลีเกอ แกไม่ให้ฉันมีชีวิตที่ดี ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องตายกันไปข้าง...กู้หว่านชิงไปหยิบน้ำมันมาจากที่ไหนสักแห่งสาดน้ำมันไปทั่วประตูห้องและทางเดินของร้านคาราโอเกะโดยไม่ลังเลหลังจากที่ราดน้ำมันเสร็จ เธอก็หยิบไฟแช็กขึ้นมาแล้วโยนไปตรงน้ำมันทันทีภายในพริบตาไฟก็ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็วกู้หว่านชิงระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งหลีเกอ หลีเกอ วันนี้คือวันตายของแก!“กรี๊ด... ไฟไหม้... ไฟไหม้แล้ว…” พนักงานที่เดินผ่านมาเป็นคนแรกที่เห็นไฟไหม้ จึงรีบกดสัญญาณเตือนภัย!ชั่วพริบตาโถงทางเดินเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย... ไฟไหม้... ทุกคนวิ่งหนีไปเร็ว”ในห้องส่วนตัวฟู่ซิวเป่ยเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว “แย่แล้ว ไฟไหม้”พูดจบก็ดึงหลีเกอไปที่ประตูโดยไม่ลังเล!ทุกคนต่างก็ตกใจ รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู“อะไรกันเนี่ย ประตูเปิดไม่ออก”
แต่เจินซินกลับสำลักไออย่างรุนแรงและส่ายหน้าน้ำตาไหลอาบแก้ม พูดอย่างยากลำบาก“หลีหราน จริง ๆ ฉันอยากบอกนายมานานแล้วว่า ฉัน... ฉันชอบนายมานานแล้ว นานมาก ๆ แล้วด้วย…”แต่หลีหรานกลับไม่ได้ยินคำพูดของเธอเห็นว่าเธอทรมานมาก จึงกอดเธอไว้ตลอดเวลาพูดแค่ว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตอนนี้ออกซิเจนน้อยลงเรื่อย ๆ ถ้าพูดต่อไปจะยิ่งหายใจไม่ออก”แต่เจินซินก็ไม่สนใจเธอกลับรู้สึกว่าความตายคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ...แม้ว่าจะไอรุนแรงจนแทบลืมตาไม่ขึ้น แต่เธอก็ยังคงกอดหลีหรานไว้แน่นแม้ว่าจะเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิต เธอก็ยังอยากอยู่กับเขาทุกคนต่างก็น้ำตาคลอเบ้าบรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข กลับตกอยู่ในสภาวะเฉียดใกล้ความตาย...เวลานี้ฟู่ซิวเป่ยเห็นถังดับเพลิงบนผนังด้านนอก เขาไม่ลังเลเลยที่จะถอดเสื้อผ้าออก แล้วชุบน้ำคลุมหัวตัวเองไว้แล้ววิ่งออกไป“พี่ซิวเป่ย…”เนื้อตัวฟู่ซิวเป่ยถูกไฟเผาไหม้แต่เขาก็รีบหยิบถังดับเพลิงบนผนังลงมาอย่างรวดเร็ว เปิดฝาแล้วฉีดไปทางต้นเพลิง “หลีเกอ รีบออกมา… ทุกคนรีบออกมาเร็ว…”พร้อมกับเสียงของเขาทุกคนก็รีบวิ่งไปยังทางออกจนกระทั่งวินาทีสุดท้
สายตาของหลีหานมองด้วยความเครียดแล้วพูดว่า “หลีเกอ คราวนี้เธอทำให้ทุกคนตกใจแทบแย่”“โดยเฉพาะคุณปู่ ท่านไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว”หลีเกอหันไปมองหลีเจิ้งเฟยด้วยความรู้สึกผิด “คุณปู่ ขอโทษนะคะ”หลีเจิ้งเฟยจับมือเธอไว้ “เด็กคนนี้ ขอโทษปู่ทำไมกัน! เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขนาดนี้ จะว่าบาดเจ็บสาหัสก็ว่าได้ โชคดีที่พ่อหนุ่มตระกูลฟู่ไม่กลัวตาย เข้าไปช่วยเธอออกมาจากกองเพลิง…”เมื่อพูดถึงฟู่ซิวเป่ยหลีเกอมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นร่างของเขา จึงถามว่า “คุณปู่ พี่ซิวเป่ยอยู่ไหนคะ?”หลีหานกับหลีหรานที่ยืนอยู่ด้านหลังสบตากัน สุดท้ายหลีหานก็พูดว่า “วางใจได้ ฟู่ซิวเป่ยไม่เป็นอะไร! แค่แขนกับหลังมีแผลไฟไหม้นิดหน่อย ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยข้าง ๆ คุณป้าเฝ้าเขาอยู่น่ะ”หลีเกอทนนอนนิ่งไม่ไหวอีกต่อไปรีบลุกขึ้น “พี่ว่าไงนะ พี่ซิวเป่ยได้รับบาดเจ็บเหรอ?”พูดถึงเรื่องนี้หลีหรานก็รู้สึกผิดมาก ตอนนั้นเขามัวปกป้องเจินซิน แต่ไม่ได้ปกป้องหลีเกอ จึงถูกคุณปู่และบรรดาพี่ ๆ ตำหนิอย่างรุนแรงคราวนี้ต้องขอบคุณฟู่ซิวเป่ยเขาคือผู้มีพระคุณที่แท้จริงของตระกูลหลี“อย่าห่วงเลย หมอฝีมือดีที่สุดในโลกกำลังรั
“งั้นก็ดีเลย แล่เนื้อเถือหนังเป็นชิ้นยังน้อยเกินไป เรื่องนี้ฝากพวกเธอจัดการแทนด้วย”ตระกูลหลีและตระกูลฟู่ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยบทสรุปสุดท้ายของกู้หว่านชิงนั้นพอจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้วภายในห้องที่ทั้งมืดและอับชื้นมือและเท้าของกู้หว่านชิงถูกมัดติดกันหมดอย่างแน่นหนา สองตาก็ถูกผ้าดำผืนหนึ่งคาดปิดไว้ ปากถูกยัดด้วยถุงเท้าเหม็นเน่า ทำให้พูดอะไรไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้...ในเวลานี้ประตูห้องมืดถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าเดินตรงเข้ามาหา กู้หว่านชิงรู้สึกว่ามีคนเข้ามา ก็พยายามดิ้นรนร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน ปากส่งเสียงอู้อี้ราวกับจะขอร้องคนที่เข้ามาหลีเกอยืนอยู่ที่นั่น มองเธอจากมุมสูงด้วยสายตาเย็นยะเยือก สุดท้ายก็พูดว่า “...ฉันเอง หลีเกอ”เมื่อเสียงดังขึ้นการเคลื่อนไหวทั้งหมดของกู้หว่านชิงก็หยุดชะงักลงทันทีเธอหันไปทางหลีเกอ แต่มองไม่เห็นอะไรเลยหลีเกอเอื้อมมือไปแกะผ้าดำออก ทันใดนั้นดวงตาของกู้หว่านชิงก็เต็มไปด้วยความลนลานหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาไม่หยุดหลีเกอหัวเราะเยาะ“กลัวเป็นด้วยเหรอ ตอนวางเพลิงไม่เห็นจะกลัวเลย”กู้หว่านชิงส่ายหัวรัว ๆเพราะความกลัว ดวงตาคู่นั้นจึงเจิ่ง
สิ้นเสียงกรีดร้องกู้หว่านชิงก็เป็นลมไปทันทีนอกห้อง ทุกคนเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านกล้องวงจรปิดหลีหรานอดหัวเราะเยาะไม่ได้ แววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “งูตัวนี้ไม่มีพิษด้วยซ้ำ ดันกลัวจนเป็นลมไปซะได้”หลีลั่วอดถากถางไม่ได้“ธรรมชาติของผู้หญิงทุกคนกลัวงูอยู่แล้ว ต่อให้จะเป็นงูเหลือมธรรมดาก็เถอะ แต่วันนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้น”“เราจะปล่อยงูเข้าไปทุกวัน ดูซิว่าเธอจะทนได้สักแค่ไหน!”“กล้ามาหาเรื่องเจ้าหญิงตระกูลหลี ถ้าไม่ทำให้เสียสติหรือโง่ไปเลย คงจะไม่สาสมกับสิ่งที่เธอกระทำ”“...”หลีหรานขนลุกซู่ไปทั้งตัว“ได้ งั้นทำตามแผนเลย”หลีเกอไม่สนใจเรื่องราวต่อจากนี้ของกู้หว่านชิง หลังจากมอบหมายให้พี่ชายทั้งสองจัดการต่อแล้วเธอก็ไม่ได้ถามอะไรอีก กลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูแลฟู่ซิวเป่ยอย่างใกล้ชิดที่จริงแล้วอาการของฟู่ซิวเป่ยไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นแต่เพราะถูกพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายกวดขัน เขาจึงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลกว่าครึ่งเดือนถึงจะออกมาได้หลีเกอที่อยู่ในประเทศ F ตลอด จึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองปินเฉิงจนกระทั่งหลีหรานส่งข่าวที่เห็นในอินเทอร์เน็ตให้อ่าน “นี่ไง งานแสดงแฟชั่นโ
แต่หลีหานกลับมองไปที่หลีเกอ“เสี่ยวเกอ! เมื่อกี้เจิ้งหลิ่วโทรมา…”เมื่อพูดถึงเจิ้งหลิ่ว หลีเกอก็เดาได้คร่าว ๆ ว่าเป็นเรื่องอะไร “เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในงานแสดงแฟชั่นโชว์หรือเปล่าคะ?”หลีหานพยักหน้า“เจอตัวคนร้ายที่ตัดชุดแล้ว เขาสารภาพว่าเข้าไปในห้องหลังเวที ใช้กรรไกรตัดชุดหลักที่ใช้เดินแบบ และสารภาพว่าซ่อนใบมีดไว้ในรองเท้าส้นสูงของนางแบบด้วย…”หลีเกอโกรธจนกัดฟันกรอด“แล้วไงต่อ”หลีหานพูดต่อ “แต่พี่เช็กแล้ว เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีภาระและพันธะ ไม่มีอะไรเลย”“บัญชีธนาคารของเขามีเงินโอนเข้ามาหนึ่งล้านหยวนก่อนเกิดเหตุ แต่ตรวจสอบไม่ได้ว่ามาจากไหน”“และเขาก็เอาแต่ปิดปากเงียบ สารภาพแค่ว่าตัวเองทำเรื่องพวกนี้เอง แต่ไม่ยอมรับว่าใครเป็นคนสั่งให้ทำ…”“...”เมื่อได้ยินแบบนี้ หลีเกอก็เข้าใจได้คร่าว ๆ “หมายความว่าสาวไปหาต้นตอไม่ได้แล้วสินะ”หลีหานพยักหน้า“เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อจ้องเล่นงานเธอ แบบนี้ป้องกันได้ยาก ลองคิดแบบจริงจังดูซิว่าเธอเคยไปขัดขาใครบ้าง?”หลีเกอเกาหัว “อันนี้… ฉันก็ไม่รู้ค่ะ”“แต่คนที่ไม่ชอบฉันมีเยอะมาก”สีหน้าของหลีหานยิ่
หลีหานเห็นเธอพูดแบบนี้ จึงตกลงยอมให้เธอเดินทางไปจากประเทศ Fเมื่อกลับมาที่เมืองปินเฉิง สิ่งแรกที่หลีเกอทำคือไปเยี่ยมศาสตราจารย์โม่มหาวิทยาลัยปินเฉิง ห้องพักคณาจารย์ตอนนี้ศาสตราจารย์โม่กำลังพานักศึกษากลุ่มหนึ่งชมผลงานของหลีเกองานแฟชั่นโชว์ครั้งนี้“...ศาสตราจารย์โม่ งานแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่วนใหญ่มาจากผลงานการออกแบบชุดหลักครั้งนี้” โจวผอ นักศึกษารายหนึ่งของศาสตราจารย์โม่กล่าวศาสตราจารย์โม่พยักหน้าเห็นด้วย“ใช่แล้ว การออกแบบครั้งนี้โดดเด่นมาก ภาควิชาของเราได้รับคำเชิญจากงานแสดงแฟชั่นระดับนานาชาติหลายแห่ง”“จริงเหรอคะ อาจารย์! งั้นพวกเรามีโอกาสไปดูงานแสดงแฟชั่นต่างประเทศด้วยหรือเปล่าคะ?” นักศึกษารายหนึ่งตาโตเป็นประกาย“แน่อยู่แล้ว! เพียงแต่โอกาสแบบนี้หายากนัก”“ก่อนหน้านี้วงการแฟชั่นนานาชาติมักปฏิเสธผลงานของเรา แม้กระทั่งดูถูกเราว่าเราออกแบบเสื้อผ้าคนละระดับกับแฟชั่นนานาชาติ แต่ตอนนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเราแล้ว”“ช่างน่าปลาบปลื้มใจจริง ๆ เลยค่ะ”...กลุ่มนักศึกษาอายุยี่สิบต้น ๆ ต่างก็ตื่นเต้นกันมากมีเพียงคนเดียวที่ไม่มีสีหน้ายินดีแม้แต่น