“แสงคำ! แสงคำเอ๊ย! สูอยู่นี่ก่อ?”
เสียงแม่อุ้ยคำก๋อง ดังลอดออกมาจากครัวหลังบ้าน แสงคำ ซึ่งกำลังนั่งขัดไม้กระบอกสำหรับตักน้ำอยู่ที่ชานเรือนถึงกับสะดุ้ง
“อู้ววว… จะฮ้องอะหยังแต่เจ๊าจี้ น่าเบื่อขนาด ฮ้องอยู่หั้นนะ…” แสงคำบ่นอุบพลางปัดเศษไม้จากมือ
แสงคำ เป็นเด็กสาววัยสิบหกปี เรือนร่างสูงโปร่ง สมส่วน ผิวขาวเหลือง ผมดำขลับยาวประบ่ะ ใบหน้าคมคายแฝงด้วยแววตาดื้อรั้น เธอเป็นคนหัวไว ฉลาดเจ้าเล่ห์ และมีความกล้าหาญเกินวัย
แสงคำอาศัยอยู่กับ แม่อุ้ยคำก๋อง หญิงชราที่มีฝีปากคมราวกับมีดหมอ เป็นหญิงสูงวัยที่อารมณ์ร้อนขี้บ่นแต่จิตใจดี
และยังมี แม่คำปัน หญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ที่เป็นแม่ของแสงคำ นางใจดี พูดจาอ่อนโยน เป็นที่รักของคนทั้งหมู่บ้าน
และสุดท้ายคือ ป้าคำป้อ หญิงร่างท้วมอารมณ์ขัน ที่ไม่ว่าบ้านนี้จะมีเรื่องใหญ่แค่ไหน นางก็จะหาเรื่องให้ทุกคนหัวเราะได้เสมอ
“แสงคำ! มัวยะหยังอยู่น่ะ แม่บอกให้มาช่วยดังไฟ นึ่งข้าว ตั้งแต่ตะเจ๊า ! ยังบ่ะมาเตื้อกา หยังมาหลึ่ง มาดื้อแต้ อิลูกคนนี้”
เสียงแม่คำปันดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แสงคำไม่มีข้ออ้างใด ๆ เธอรีบวางไม้ขัดกระบอกน้ำ แล้วเดินมาทางครัว
“ข้าเจ้ากำลังขัดกระบอกน้ำอยู่ ! เดี๋ยวก็แป๋งเสร็จแล้ว !” แสงคำแกล้งตะโกนตอบ
“อุ้ยได้ยินว่าขัดกระบอกน้ำมาตั้งแต่เช้าแล้วเน่อ หยั่งใดล้ำเหลือ!” แม่อุ้ยคำก๋อง กระแอมเสียงดุ
แสงคำถึงกับย่นจมูก ก่อนจะเดินมาทางครัวอย่างอิดออด
ภายในครัว แม่คำปันกำลังพยายามจุดเตาไฟ ส่วนป้าคำป้อกำลังตักน้ำจากหม้อดินด้วยความทุลักทุเล
“แม่ ๆ ข้าวนึ่งไหม้ละ!” แสงคำชี้ไปที่หวดนึ่งข้าวที่มีควันฟุ้งออกมา
“โอ๊ย ! ข้าวของข้า หยั่งมาเป๋นจะอี้นี่ ! “
แม่คำปันร้องลั่น ก่อนจะรีบเปิดหวดเพื่อระบายความร้อนออก
ป้าคำป้อหัวเราะคิกคัก “ข้าวนึ่งบ่ะตันได้สุก น้ำแห้งเหียก่อน เก่งแต้ ๆ ละ ฮ่า ๆ ๆ”
“ไค่หัวอะหยังป้า ! ข้าวจะไหม้แล้ว !” แสงคำรีบใช้ใบลานสานปัดควันโบกไปมา
แม่อุ้ยคำก๋อง เดินเข้ามาในครัวด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ข้าก้าย (รำคาญ) หมู่สูเขาขนาดเน่อ ! กะแค่นึ่งข้าวหยังมาวุ่นวายป่วงขนาดนี้!”
แม้ชีวิตของพวกเธอจะเต็มไปด้วยเสียงบ่น เสียงหัวเราะ และความวุ่นวาย แต่แสงคำรู้ดีว่า… ที่นี่คือบ้าน
บ้านที่แม้จะไม่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็อบอุ่นกว่าที่ใด
สายหมอกยามเช้าคลอเคลียตามยอดเขาที่โอบล้อมหมู่บ้านเล็ก ๆ ไว้ดั่งอ้อมกอดของแม่ใหญ่แห่งขุนเขา บ้านไม้ยกพื้นสูงหลังคามุงแป้นเกล็ดตั้งเรียงรายท่ามกลางป่าสีเขียวสด กลิ่นไอดินชื้นของป่าฝนอบอวลไปทั่ว ขับให้เสียงนกร้องและกระแสน้ำที่ไหลผ่านลำธารสายเล็ก ๆ เบื้องล่างยิ่งกังวานก้อง
กลางลานบ้านที่ปูด้วยไม้เก่าแก่แต่ยังแข็งแรง เด็กสาวรุ่นคนหนึ่งกำลังนั่งซุกตัวอยู่ข้างกองฟืน สวมเสื้อม่อฮ่อมเก่าซึ่งมีรอยปะชุน ฝ่ามือเล็กถือใบตองพับเป็นรูปเรือ เล่นกับสายลมยามเช้า เมื่อนึกได้ว่างานที่แม่อุ้ยคำก๋อง ผู้เป็นยายไหว้วานให้ขัดไม้กระบอกยังไม่เสร็จ จึงรีบตะลีตะลานลุกไปหามีดกับกระบอกไม้ไผ่ ก่อนจะนั่งลงทำอย่างรีบเร่ง ด้วยเกรงว่าจะโดนดุและก่นจ่ม ซึ่งอันที่จริง ตั้งแต่จำความได้ แม่อุ้ยไม่เคยตีหล่อนเลย แม้แต่สักครั้ง ทั้งที่แสงคำทั้งซนทั้งดื้อออกอย่างนั้น
แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่า ๆ ของเรือนเล็กในหมู่บ้านชายขอบหุบเขา หมู่บ้านเวียงขมิ้น
กลิ่นหอมของข้าวเหนียวที่เพิ่งนึ่งสุกใหม่ ๆ ลอยอวลไปทั่วบ้าน เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล บ่งบอกว่าฟ้าเช้ากำลังทอแสงสว่าง
ยามเย็นวันเดียวกัน หลังจากชาวบ้านกลับจากไร่นา ทุกคนก็มักจะมารวมตัวกันที่ลานกลางหมู่บ้านเพื่อพูดคุยข่าวคราว
“หมู่หนานรินเขาไปเซาะหาของป่า เขาเล่ากั๋นมาว่ากันว่ามีตั๋วอะหยังบ่ะฮู้ซุ่มอยู่ในป่า ต๋ามันเป๋นสีแดงใหญ่ ละก่อหมู่แมงหมู่สัตว์ตี้อยู่ในนั้นก่อหายไปหมด เหมือนมันปากันหนีสัตว์ร้ายไปอยู่ตี้อื่นกั๋น”
เสียงปู่ถา ผู้อาวุโสประจำหมู่บ้านเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแสดงความหวาดกลัว แม้ไม่เห็นกับตา แต่สิ่งที่ได้ยินมาก็ทำเอาผู้อาวุโสรู้สึกหวาดหวั่น
“ข้าก่อบ่ะแน่ใจว่ามันเป็นตั๋วอะหยัง แต่ข้าเห็นดวงตาสีแดงส่องสว่างในความมืด…”
“ปู่ก็อย่าไปกลัวนักเลย มันอาจเป็นแค่สัตว์ป่าหลงทางก่อได้ก็ได้” แม่คำปันพยายามปลอบ
“บ่ะใจ้ ๆ ๆ” ปู่ถาส่ายหน้า “ข้าเคยได้ยินว่ามีสิ่งที่ถูกสาปถูกขังไว้ในป่านั้น…”
แสงคำ ฟังเรื่องเล่าของปู่ถาด้วยความสนใจ แม้คนในหมู่บ้านจะขนลุกขนพองและพยายามไม่พูดถึง แต่แสงคำกลับรู้สึกว่า…
“ข้าต้องไปดูฮื่อได้…”
คืนนั้น แสงคำนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงจันทร์ส่องแสงนวลเหนือป่าทึบในหุบเขา
บางสิ่งในป่านั้น… คืออะไรกันแน่?
เธอไม่รู้หรอกว่า… การตัดสินใจออกไปดูในคืนนั้น
จะเปลี่ยนโชคชะตาของเธอ… และหมู่บ้านเวียงขมิ้นไปตลอดกาล
“แสงคำ… แสงคำ…”
เธอสะดุ้งโหยง เมื่อเสียงใครบางคน…กำลังเรียกชื่อเธอจากกลางป่า
“ไผน่ะ? ไผฮ้องชื่อเฮา! “ เธอพึมพำกับตัวเอง แต่ทว่าไม่มีเสียงตอบรับ
ใจหนึ่งอยากวิ่งออกไปดู แต่ในใจลึก ๆ ก็รู้ว่ามันอันตรายเกินไป
“เอาเต๊อะ อยู่ตี้นี่ก่อบ่ะฮู้ว่ามันคืออะหยัง ถ้าอั้นวันพรุ่งนี้… ข้าจะไปดูด้วยสองตาข้าเอง”
แสงคำเอนตัวลงบนสลีตี้นอน(ฟูก) ฟังเสียงลมพัดผ่านเบา ๆ
เธอไม่รู้เลยว่า… สิ่งที่รออยู่ในป่านั้น จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล
บ้านเรือนหลังเล็กหลังน้อยที่ตั้งเรียงราย มีควันไฟสีขาวลอยอยู่ เสียงจอกแจกจอแจของหมู่บ้านค่อย ๆ ดังขึ้น ชาวบ้านทยอยออกไปทุ่งนาและสวนผัก แต่ที่บ้านของแสงคำ… ทุกอย่างยังคงอลหม่านเช่นเดิม
“แสงคำ! ตื่นได้แล้ววว!”
เสียงของแม่คำปันดังลั่นจนแม้แต่ไก่ที่กำลังคุ้ยเขี่ยหน้าบ้านยังสะดุ้งเฮือก
“โคะ ! อิแม่ก่อดาย ข้าเพิ่งฝันดีไปได้ครึ่งเดียวเอง! รอให้ข้าฝันจ๋นจบจนแล้วก่อบ่ะได้” เสียงแสงคำโวยวายลอดมาจากห้องนอน
แม่อุ้ยคำก๋อง นั่งขัดหมากอยู่บนแคร่หน้าเรือน หัวเราะหึ ๆ พลางส่ายหน้า
“ถ้าสูฝันว่าได้กิ๋นไก่ปิ้ง… ก่อขะใจ๋ตื่นเต๊อะ เจ้าไก่มันล่น(วิ่ง)เลยหน้าบ้านเข้าไปในป่าปู้นแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ!” เสียงป้าคำป้อหัวเราะดังลั่น พร้อมยกหม้อน้ำขึ้นรดต้นไม้
ในที่สุด แสงคำก็เดินเซออกจากห้องนอนด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าบูดบึ้งราวกับเด็กน้อยที่กำลังงอน
“ข้าจะฝันว่าได้เป็นเจ้านางแห่งเวียงวังตี้ไหนสักตี้อยู่แล้วเชียว!”
ป้าคำป้อหัวเราะคิกคัก
“ปัดโทะ ธัมโม ! สังโฆ ! สูจะได้เป็นเจ้านางแห่งรังหนูก่อนน่ะสิ ดูผมเผ้าหน้าตาตั๋วเก่าเหียก่อนเต๊อะ!”
แสงคำรีบคว้าไม้สางผมที่วางอยู่แถวนั้น พลางจัดผมแล้วเกล้ามวยอย่างลวก ๆ
“ก็ข้าไม่ได้อยากตื่นนี่นา…” เธอบ่นพึมพำพลางเดินไปช่วยแม่คำปันทำกับข้าว
แม่คำปันกำลังสาละวนกับการหั่นผักและตั้งหม้อนึ่งข้าวเหนียว กลิ่นข้าวหอมลอยอบอวล
“เอ้า! อั้นก่อช่วยหั่นผักนี่ให้ข้า แล้วห้ามเอาไปกิ๋นก่อนล่ะ!”
“อู้วว… แม่นี่บ่ะไว้ใจลูกสักกำน่อ”
แสงคำทำปากยื่น พลางหยิบมีดมาหั่นผักด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น
“ก็เพราะข้าไว้ใจ๋เจ้านี่แหละ ข้าเลยต้องบอกก่อน!” แม่คำปันยิ้มขำ ๆ
แม้บรรยากาศในครอบครัวจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ใจของแสงคำกลับยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่ปู่ถาพูดเมื่อวันก่อน
“…ดวงตาสีแดงในป่า…”
บางสิ่งในป่านั้นคืออะไรกันแน่?
เธอวางมีดลงอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ
“ข้าต้องไปดูให้ได้”
ตกเย็น หลังจากกินข้าวเสร็จ แสงคำรีบเก็บจานชามเร็วกว่าปกติจนแม่อุ้ยคำก๋อง ต้องเอ่ยแซว
“อู้ว… วันนี้หยังมาหมั่นจนผิดแผก หรือเจ้ากึ้ดจะทำการใหญ่อะหยัง?”
“บ่ะใจ้ ๆๆๆ” แสงคำรีบปฏิเสธ แต่สายตาลอกแลกจนแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่
“ถ้าเจ้าจะหนีแอ่ว บอกข้าเลยดีกว่า… จะได้เตรียมไม้แส้ไว้รอ!” แม่คำปันหันขวับมาทันที
“เฮ้ย! บ่ะใจ้จะอั้นแม่กับอุ้ย ใจ๋เย็น ๆ ชุ่ม ๆ ก่อน ข้าจะออกไปหา… เอ่อ… ไปเอาไม้หลัว(ฟืน)มาเพิ่มเฉย ๆ!”
“ไม้หลัวอะหยังต้องไปเอาถึงในป่าฮั่น” แม่อุ้ยคำก๋อง ย่นคิ้ว
“ก็ไม้หลัวฟืนแห้ง ๆ ข้าหันวันก่อนว่ามันมีอยู่แถวนั้น!”
“หืม…” แม่คำปันจ้องหน้าเธอเขม็ง “อย่าไปซนแถวป่าเด็ดขาด ฮู้ก่อ?”
“ฮู้แล้วเจ้า!” แสงคำรีบตอบ แต่ในใจกลับคิดว่า… ข้าก็จะไปอยู่ดี!
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ป่าทึบที่เคยดูสงบนิ่ง กลับกลายเป็นสถานที่ชวนขนลุกยามค่ำคืน
ต้นไม้ใหญ่โยกไหวตามแรงลม เสียงใบไม้เสียดสีกันดังกระซิบแผ่ว ๆ ราวกับมีใครกำลังพูดกันในความมืด
แสงคำกลืนน้ำลายเอื๊อก
“บะหันมีอะหยังเลย ! คนอย่างแสงคำบ่ะเกยกลัวอะหยัง ฮึ ! เรื่องแค่นี้ ข้าบ่กลัวหรอก!” เธอพยายามปลุกใจตัวเอง แต่หัวใจกลับเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก
“แสงคำ…”
เธอสะดุ้งเฮือก!
“ไผ… ไผตี้ไหนมาฮ้องข้า?” แสงคำหันซ้ายหันขวา แต่รอบตัวกลับมีเพียงเงาต้นไม้ไหววูบไปมา
“แสงคำ…”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใกล้กว่าเดิม
เธอรีบคว้าไม้แห้งข้างทางขึ้นมากำไว้แน่น “ถ้าเป็นผี ก็อย่าโผล่มาฮื่อข้าหันเน่อ!”
ท่ามกลางหมอกจาง ๆ ที่คลอเคลียพื้นดิน…
เธอเห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว
ร่างหนึ่ง… ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
เงาดำทะมึน… ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ส่องประกายในความมืด
“เฮ้ยยยยย!” แสงคำตะโกนลั่น ก่อนจะหันหลังวิ่งสุดชีวิต
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ วิ่งตามมาติด ๆ เสียงลมหายใจหอบแรงดังไล่หลังเธอ
“อย่าเข้ามา!” เธอร้องลั่น แต่ยิ่งวิ่ง… เสียงฝีเท้าก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ทันใดนั้น
“โครมมม!”
เธอสะดุดรากไม้ ล้มกลิ้งลงไปบนพื้นดินเปียกชื้น
เสียงฝีเท้าหยุดกึก… เงาดำยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
ดวงตาสีแดงของมันจ้องมองเธอเขม็ง มันแสยะยิ้ม… ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบพร่าเย็นเยียบ
“เจ้า…นาง...ในที่สุด ....ข้าก็หาเจ้าเจอ...”
แสงคำหายใจหอบหนัก ร่างกายสั่นสะท้าน
เธอไม่รู้หรอกว่า…
คืนนี้คือจุดเริ่มต้นของโชคชะตาที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างเธอไปตลอดกาล
ลมเหนือพัดผ่านไหล่เขา เสียงใบไม้เสียดสีกันดังก้องในความเงียบ หมู่บ้าน “เวียงขมิ้น” ตั้งอยู่กลางหุบเขาภาคเหนือติดชายแดนพม่า เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูงชันและแม่น้ำสายเล็กที่ไหลรินตลอดปี บ้านเรือนปลูกสร้างจากไม้สักเก่าแก่ หลังคามุงจากเรียงตัวเป็นระเบียบ ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลือจากกาลเวลาในยามเช้า… หมอกสีขาวจางปกคลุมทั่วทั้งหมู่บ้าน คล้ายผ้าคลุมบางเบาที่บดบังความลับของสถานที่แห่งนี้จากโลกภายนอกที่เรือนปลายหมู่บ้าน หญิงชรานั่งเคี้ยวหมากอยู่หน้าชานบ้าน “แม่อุ้ยคำก๋อง” ผู้เฒ่าที่ใคร ๆ ต่างขนานนามว่าผู้เฝ้ามองอดีต“แสงคำ! สูอยู่ตี้ไหนน่ะ อุ้ยบ่ะหัน” เสียงแม่อุ้ยคำก๋องดังขึ้นและเสียงดังกว่ากลองสะบัดชัยที่ใช้ตีในงานบุญเสียงฝีเท้าตึงตังดังมาจากในเรือน ก่อนที่เด็กสาวคนหนึ่งจะโผล่หน้าออกมา ผมยุ่งเหยิงเหมือนรังนกกระจอก“ฮานี่บ่ะเห้ย ! อุ้ยจะฮ้องหาข้าเจ้าแต่เช้าตรู่ไปยิหยัง? ข้ายังบ่ะได้ล้างหน้าล้างต๋าเลย!”“ก่อดูหน้าต๋าสูฮั่น ! เหมือนผีกะยักษ์หลุดมาจากป่าช้าขนาดนี้ ยังจะอู้ว่าเป็นคนแหมกานิ?”แสงคำมุ่นคิ้ว เธอเป็นเด็กสาวอายุสิบหกที่เติบโตมากับแม่อุ้ยคำก๋อง คำพูดติดป
ป่าดงเลือด…..แม้เงาดำจะจางหายไปแล้ว แต่ความเย็นยะเยือกยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ แสงคำยืนตัวแข็งทื่อ เธอรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งยังเฝ้ามองเธออยู่ แม้ว่าดวงตาสีแดงเหล่านั้นจะหายไปจากสายตาแล้วก็ตาม“เวียงแสนพรหม… เมืองที่เจ้าทำลาย”คำพูดของเงาดังก้องอยู่ในหัว มันวนเวียนซ้ำ ๆ เหมือนเสียงสะท้อนจากอดีตเธอหายใจลึก พยายามกลั้นความรู้สึกปั่นป่วนในใจ“ข้าบ่ะเข้าใจ…” เธอพึมพำกับตัวเองแม่คำปันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองเธอด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ“เจ้ากำลังจะเข้าใจ ในไม่ช้าเจ้าจะรู้ความจริงทั้งหมด รวมทั้งเรื่องพ่อของเจ้า”“แม่…” แสงคำหันไปมองเธอ “ข้าเจ้ายังไม่พร้อม”แม่คำปันยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจหรือ?”“ข้าแน่ใจ๋!เจ้าแม่ แต้ ๆ นา ข้าบ่ะได้จุ” แสงคำพยักหน้าเร็วจี๋ “แต่ว่า ข้ายังไม่พร้อมเลยสักนิด! ข้ารู้สึกเหมือนสมองข้ากำลังจะระเบิด! ข้าเพิ่งถูกผีบอกว่าข้าคือคนที่ทำลายเมืองหนึ่งทั้งเมือง! ข้าจะพร้อมได้หยั่งใดกั๋น!”แม่คำปันยิ้มเอ็นดู แต่ประโยคที่พูดต่อมานั้น...“ถ้าเจ้าไม่พร้อม เจ้าจะก้าวมาถึงตรงนี้ไม่ได้หรอก”“หา?” แสงคำร้องเสียงหลง “แม่! ข้าถูกลากมา! ข้าไม่ได้เดินมาด้วยความเ
“แม่ ! ช่วยข้าเจ้าโตย!”เสียงของแสงคำดังลั่นขณะที่ร่างของเธอ ร่วงดิ่งลงไปในเงามืดลมแรงปะทะหน้า ต้นไม้สูงใหญ่เบื้องล่างพุ่งเข้ามาเร็วขึ้นทุกขณะ“ข้าจะต้องต๋ายแน่ ๆ! ฮือ ๆๆๆ อิแม่มาช่วยข้าเวยเวย!!”แต่แล้ว…“ตุบ!”แสงคำไม่ได้ตกกระแทกพื้น แต่ตกลงไปบนกิ่งไม้ใหญ่“โอ๊ยยย!” เธอกลิ้งหลุน ๆ กระแทกกิ่งไม้หลายต่อหลายครั้ง“โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!”สุดท้ายเธอก็ตกลงมากองอยู่บนพื้น ในสภาพที่แทบไม่เหลือเค้าแสงคำผู้ปราดเปรียวและแข็งแกร่งเลย“แม่คำปัน ข้าจังอิแม่ขนาดเน่อ ยะหยังบ่ะช่วยข้าเจ้าเลย!”เสียงฝีเท้าดังมาจากข้างบนแสงคำเงยหน้าขึ้นทันเวลา เห็นแม่คำปันกระโดดลงมาตามหลังอย่างสง่างาม ราวกับนางเป็นนกที่กำลังร่อนลงพื้น“ตุ๊บ!”แม่คำปันย่อตัวลงก่อนจะยืนขึ้นอย่างสงบนิ่ง สง่างาม ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแสงคำมองตาปริบ ๆ ก่อนจะก้มดูแขนขาตัวเอง มีแต่รอยถลอกเต็มไปหมด“บ่ะยุติธรรม! ผ่ออิแม่ยังบ่ะเป๋นอะหยัง แต่ข้ามีก้ารอยเถิก เจ็บไปหมด”แม่คำปันมองลูกสาวที่หงายหลังลงนอนแผ่กับพื้น ก่อนจะถอนหายใจ“เจ้าควรจะขอบคุณที่โชคดียังมีชีวิตอยู่”“ข้าเจ้าบ่ะขอบคุณไผทั้งนั้น ข้าจังแม่ จังแมงผีบ้าตั๋วนั้น มันยะฮื่อข้าเจ็บ ฮือออ!
“เจ้าชื่ออะหยัง?เจ้าเป๋นไผ? ออ!! รู้ละ! หรือว่าเจ้าเป็นญาติของข้า คนตี้แม่คำปันบอกจะพามาหา?”เสียงของแสงคำสั่นเครือ เบือนหน้าหนีทันทีที่ถามจบ เธอกลั้นใจรอฟังคำตอบ… ถ้ามันจะตอบเงาดำทะมึน ยืนนิ่งเงียบ!เงียบมาก!เงียบจนน่าขนลุก เงียบจนแสงคำเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าและจากนั้น… มันก็ขยับ“……”ริมฝีปากที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัด ค่อย ๆ ขยับขึ้นราวกับกำลังเปล่งเสียงแสงคำเบิกตากว้างแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย“เฮ้ย!” แสงคำสะดุ้ง ขนแขนกระทั่งผมลุกชัน“มันจะพูด หรือมันจะสวาปามกลืนข้าลงท้องกันแน่ บรึ๊ยย! “แม่คำปันยืนกอดอก มองเงานั้นอย่างสงบ“ดูเหมือนว่ามันอยากจะตอบ แต่ตอบไม่ได้”“หา! ผีติดอ่างอั้นกาเจ้าแม่?”แม่คำปันถอนหายใจส่ายหัวเบา ๆ“มันบ่ะได้ติดอ่าง”เธอหันไปมองเงาดำ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ“เจ้าถูกปิดปากใช่หรือไม่?”ทันใดนั้นเงานั้นขยับตัวอย่างรุนแรง!“อึก… กรรรร…”เสียงแหบพร่าดังลอดออกมาจากเงาดำนั้น ราวกับว่ามันกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่างร่างของมันสั่นสะท้าน เหมือนกำลังดิ้นรนต่อสู้กับบางสิ่งที่มองไม่เห็นแสงคำตัวแข็งทื่อ เธอรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงผิดปกติ
“โอ๊ย!ข้าบ่ะอยากเป็นนักรบ! ข้าอยากปิ๊กบ้านไปนึ่งข้าวเผาปลาให้อุ้ยคำก๋องกิ๋นลำ ๆ ฮึ !นี่แน่ะ ๆ ต๋ายไปให้หมด หมู่ผีบ้า!”แสงคำกรีดร้องขณะที่เหวี่ยงท่อนไม้ไปมา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความสับสนและความหวาดกลัวสุดขีด“เจ้ามีทางเลือกก๋า”มังคละตะโกน ก่อนจะฟันดาบเหล็กใส่ร่างประหลาดอีกตัวที่พุ่งเข้ามาฟั่บ!“ข้าบ่ะอยากเลือกอะไรทั้งนั้น!”“งั้นเจ้าก่อเลือกเป็นข้าวต้มกล้วยใส่ถั่วดำสำหรับพวกมันเหียเต๊อะ น่าจะดีที่สุด !”“ฮึบ! ข้าจะตีแล้วนะ!”แสงคำตั้งท่ายืนให้มั่นแล้วตวัดท่อนไม้เต็มแรง“ปั่ก!”ไม้ฟาดเข้ากลางหน้าของร่างประหลาดตัวหนึ่ง เสียงกระแทกดังสะใจ ก่อนที่มันจะกระเด็นไปกลิ้งลงข้างทาง“เฮ้ย !นี่ข้าทำได้แหมแล้วกานิ!”“ข้าว่าเจ้าอาจมีพรสวรรค์ด้านการตีหัวคน”บุญปั๋นพูดขึ้น ขณะที่ใช้หอกจ้วงแทงศัตรูที่ใกล้เข้ามา“ข้าไม่ต้องการพรสวรรค์แบบนี้!”“แต่เจ้าใช้มันได้ดี” จันทร์ผาเสริมพลางยิงลูกธนูใส่เป้าหมายที่พุ่งมาจากอีกด้าน“ข้าขอพรสวรรค์ในการนึ่งข้าวให้นุ่มกว่านี้ได้ก่อ?”มังคละหัวเราะเสียงดัง“ไม่ได้แล้วล่ะ! ตอนนี้เจ้าเป็นนักรบไปแล้ว!”แสงคำหน้าบิดเบี้ยว “ฮึ!ข้าบ่ะอยากเป็น!”“งั้นก็ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ ยอ
“กู้เวียงแสนพรหม?”แสงคำแทบสำลักอากาศ นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกแล้วเธอกลับมาที่เวียงแสนพรหม เมืองที่เธอเคยทำลายเธอคือเจ้านาง ผู้ที่ถูกจดจำเธอมีลูกชาย และเขากำลังบอกให้เธอกู้คืนเมืองนี้“นี่ข้าต้องเป็นเจ้านางคนนั้นแต้ ๆ กานิ?”เธอหันขวับไปมองอินทร์แปง หวังว่าจะได้รับคำอธิบายดี ๆ สักอย่างแม่คำปันยืนกอดอก สีหน้าของนางนิ่งสนิทราวกับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว“แม่!” แสงคำเรียกเสียงหลง “ข้าเจ้าควรจะทำจะใดดี?”“เจ้าเป็นเจ้านาง” แม่คำปันตอบสั้น ๆ “เจ้าต้องตัดสินใจเอง”“เฮ้อ! ขอเต๊อะบ่ะเอาคำตอบแบบนี้ได้ก่อ!”“ใจเย็นก่อน เจ้านางสร้อยคำ”เสียงทุ้มของอินทร์แปงดังขึ้น เขามองแสงคำด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น“ท่านอาจจำอะไรไม่ได้ แต่ข้ามั่นใจว่า… ความรู้สึกของท่านที่มีต่อเวียงแสนพรหม ยังไม่เปลี่ยนไป”“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร!”แสงคำพยายามจะถอยหนี แต่ทุกสายตารอบตัวกลับจับจ้องเธออย่างแน่วแน่ชาวเมืองมองเธอเหมือนเป็นความหวังอินทร์แปงมองเธอเหมือนเป็นคำตอบอินทร์แปงมองเธอเหมือนเป็นปริศนาที่เธอต้องแก้ให้ได้เองและที่สำคัญที่สุดเธอเองก็มองตัวเองไม่ออกว่
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้