“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันที
กลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง...
...บางสิ่งที่ขยับได้
“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลง
ดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด
“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”
“ฟึ่บบบบ!”
จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหว
และร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืด
แสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้น
แต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึง
นักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดิน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”
เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก
“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”
แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่
เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด
“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่น
แม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชายคนนั้น… คือชายร่างสูงใหญ่
“ข้า คือคนที่เจ้าสั่งให้อินทร์แปงขังไว้นานหลายร้อยปี”
“และเจ้าก็เป็นคนที่ทรยศข้า… ด้วยมือตัวเอง”
“หา !.....”
แสงคำร้องลั่น เธอแทบจะถอยหลังไปกระแทกกำแพง!
“ขะ ขะ ข้าทำแบบนั้นแต้ ๆ กา? เจ้าจำผิดคนแล้วก้า? ข้าว่าถึงแม้ข้าจะขี้เกียจ ปากหมา แต่นิสัยข้าดีกว่าที่เจ้าคิดนะ อย่างน้อยก่อบ่ะเกยคิดจะขังไผไว้ในขุมนรกแบบนี้ ฮือ ๆ “
อินทร์แปงพยักหน้าเบา ๆ เขายังคงยืนเงียบ แต่แววตาของเขามีบางอย่างที่ซับซ้อน
มังคละขยับมือจับดาบแน่นขึ้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
บุญปั๋นหันไปกระซิบจันทน์ผา “เรื่องนี้มันบานปลายไปเรื่อย ๆ แล้วนะ”
“มันบานตั้งแต่เราก้าวเข้าเวียงแสนพรหมแล้วล่ะ” จันทน์ผาตอบเสียงเรียบ
“เจ้านาง…”
เสียงของชายผู้นั้น แผ่วเบา แต่กลับดังก้องไปทั่วคุกใต้ดิน
“เจ้าคงไม่ลืมข้า… ใช่ไหมเจ้านางที่รักยิ่งของข้า ?”
“.....ข้าคือเจ้าทิพย์อมร คนที่เจ้ารับหมั้นในอดีต…”
“และข้าก็คือคนที่เจ้าทำลาย… ด้วยมือของเจ้าเอง...”
แสงคำรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบแน่น เธอหายใจไม่ออก มือเย็นเฉียบ แต่หัวใจกลับร้อนระอุ
คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ดังก้องอยู่ในหัวเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนถูกให้จองจำกับความรู้สึกผิดให้กับเธอ
เธอเคยรักเขา?
แล้วเธอเป็นคน ‘ทรยศ’ เขา? เธอเป็นคนสั่งให้จับเขาขังไว้ใต้ดินเอง?“เดี๋ยวก่อนนะ…” เธอพึมพำ “ข้าว่าเรื่องนี้มันผิดพลาดแน่ ๆ คือข้าเพิ่งอายุเพิ่ง 16 ปี บ้านอยู่หมู่บ้านเวียงขมิ้น ทั้งชีวิตไม่เคยออกจากหมู่บ้านไปไหน เพื่อนก็ไม่มี เอ้อ! แต่ตอนนี้มี 3 คน แล้วข้าไปทำอย่างที่เจ้าพูดตอนไหน? อย่ามาจุข้าให้ข้าใจเสียเล่น ๆ เน่อ บ่ะดีอู้ไปเรื่อย!”
มังคละขมวดคิ้ว จดจ้องเจ้าทิพย์อมร ไม่วางตา มือของเขากำดาบแน่นขึ้น ก่อนจะโพล่งถาม
“ถ้าเจ้าถูกจับขังไว้ที่นี่…” เขาพูดเสียงเรียบ “แล้วทำไมเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ เจ้าต้องมีอายุหลายร้อยปีแล้วสิ?”
แสงคำสะดุ้งเฮือก นั่นสิ! คุกใต้ดินของเวียงแสนพรหมล่มสลายไปพร้อมกับเมือง! แล้วทำไมเขายังอยู่ที่นี่?
เจ้าทิพย์อมร ยกยิ้มบาง ๆ สายตาของเขาฉายแววอาฆาตแค้นสลับกับอ่อนโยน
“เพราะข้าไม่ได้ตาย…”
“หา! แล้วนี้ผ่านไปตั้งหลายร้อยปี แล้วเจ้ารอดมาได้ยังไง?”
“เพราะเจ้าเป็นคนทำให้ข้าไม่มีวันตายไงล่ะ”
“เฮ้ยยย! นี่ข้าไปทำอะไรอีกแล้ว??”
แสงคำแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพง เธอเริ่มปวดหัวกับความจริงที่โผล่มาเป็นระลอก ๆ เหมือนถูกทุบหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เจ้ารู้หรือไม่…” เจ้าทิพย์อมร ก้าวออกมาจากเงามืดทีละนิด เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวแต่ยังคงความสง่างาม
“ว่าเจ้าเคยสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป”
“หา? ไม่รู้ จะรู้ได้หยั่งใด ข้าเพิ่งเคยเจอกับเจ้าครั้งแรก”
“แต่สุดท้าย…” ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาบ เต็มไปด้วยแรงอาฆาตที่กดดันจนแสงคำขนลุกซู่
“เจ้านั่นแหละที่เป็นคนหักหลังข้า”
“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ นะ” แสงคำรีบยกมือขึ้น เธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวร้ายในเรื่องนี้ซะเอง!
“ข้าหักหลังเจ้าเรอะ! แต่ข้าจำไม่ได้เลยว่าเคยสัญญาอะไรกับเจ้า!”
เจ้าทิพย์อมร ยิ้มเยือกเย็น ก่อนจะยื่นมือออกไปช้า ๆ
“เจ้าจำไม่ได้… แต่ร่างกายของเจ้าจะจำได้เอง มาสิ ! ข้าจะทำให้เจ้าจำทุกอย่างได้”
“ฟึ่บบบบ!”
ทันใดนั้น แสงคำรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดกระชากในหัวของเธอ
“ข้าสัญญา…”
เสียงของเธอเอง ดังก้องอยู่ในความมืด
“ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้า”
“ข้าจะปกป้องเจ้า… ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“เราจะอยู่ด้วยกัน… ตลอดไป”
แสงคำสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้าง
“เฮ้ยยยย! นั่นเสียงข้าและตัวข้า ข้าพูดแบบนั้นจริง ๆ หรือ? ทำไมข้าจำไม่ได้ ?”
มังคละ บุญปั๋น และจันทน์ผามองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาบ่งบอกว่า เรื่องนี้เริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว พร้อมกับปัญหาที่พวกเขาจะต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
“เจ้านางสร้อยคำ…” เจ้าทิพย์อมร ก้าวเข้ามาใกล้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยทั้งความโกรธและความปวดร้าว
“เจ้าทำให้ข้ากลายเป็น ปีศาจ”
“หา! ข้า...บ่ะได้.......”
“เจ้าทำให้ข้าอยู่ได้… โดยที่ไม่มีวันตาย”
“เจ้าเป็นคนใช้เวทมนตร์ผูกมัดข้าไว้กับคำสาปของเวียงแสนพรหม”
“และเจ้าก็คือคนที่ทำลายข้าด้วยน้ำมือท่านเอง”
“โอ้ยยยย! หยุดก่อน! หยุดก่อน!” แสงคำยกมือกุมหัว เธอแทบรับข้อมูลทั้งหมดไม่ไหวแล้ว!
“ข้าสร้างดาบสังหารอย่างอินทร์แปงแล้ว! ข้ากลายเป็นเจ้านางที่เผาเมืองแล้ว!” “แล้วข้ายังเป็นแม่มดสาปคนแหมกา?”
อินทร์แปงหัวเราะเบา ๆ แต่สายตาของเขาดูระแวดระวังยิ่งขึ้น
“แม่น”
“เจ้าเป็นเจ้านาง… ที่มีพลังของแม่มด”
“และเจ้าคือคนที่ทำให้ข้ากับเขา… ต้องอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย”
มังคละถอนหายใจ เขายกมือขึ้นกุมขมับแล้วพึมพำเบา ๆ
“เฮ้อออ … เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย เห็นทีแสงคำลำบากแน่ ๆ “
บุญปั๋นพยักหน้า “ข้าก็คิดว่าเรื่องนี้แค่มีเจ้านางคนหนึ่งที่ทำลายเมืองตัวเอง…”
“แต่กลายเป็นว่าเจ้านางคนนั้นยังมีความสามารถขั้นสูงเป็นจอมเวทโบราณอีก”
จันทน์ผาเสริม
แสงคำหันไปมองพวกเขา ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่น
“เฮ้ยยยย! ตอนนี้พวกเจ้าควรจะปลอบใจข้า ไม่ใช่ช่วยกันซ้ำเติมว่า ข้าโคตรจะเป็นตัวร้าย ได้ก่อ? เอ็นดูข้าเต๊อะหมู่สู !”
เจ้าทิพย์อมร ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ราวกับรอให้เธอพูดอะไรสักอย่าง
“เจ้า… ยังจำข้าไม่ได้จริง ๆ หรือ?”
น้ำเสียงของเขา… ฟังดูเหมือนเขากำลังเจ็บปวดจริง ๆ
แสงคำเม้มปากแน่น เธอไม่รู้จะตอบว่าอะไร
เพราะในหัวของเธอ… มันเริ่มมีภาพบางอย่างผุดขึ้นมาช้า ๆ
ภาพของเธอ ที่กำลังกอดชายคนนี้ไว้แน่น
ภาพของเธอ ที่กำลังยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ภาพของเธอ ที่กำลังสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งเขาและภาพสุดท้าย…
ภาพของเธอที่ใช้เวทมนตร์สาปเขา
แสงคำหอบหายใจหนัก เธอรู้แล้ว…
ชายคนนี้ ไม่ใช่แค่ใครบางคนที่เธอรู้จัก
แต่เขาคือคนที่เธอเคยรักสุดหัวใจ และเขาก็คือคนที่เธอ ‘ฆ่า’ ด้วยมือตัวเองเขาคือ เจ้าทิพย์อมร เจ้าเมืองผู้ครองเมืองเวียงโคมคำ
“เจ้านาง…”
“เจ้าจำข้าได้แล้วใช่ไหม?”
เสียงเจ้าทิพย์อมรเหมือนดังวนอยู่ในประสาทรับรู้
“เจ้านาง… เจ้าจำข้าได้แล้วใช่ไหม?”
แสงคำยืนแข็งทื่อเหมือนรูปปั้น ภาพในหัวเธอปั่นป่วนวุ่นวาย
ใบหน้าของเจ้าทิพย์อมรเด่นชัดในความทรงจำ … เสียงของเขาที่เคยได้ยิน…
เธอจำได้แล้ว!
เขา… คือคนที่เธอเคยหมั้นหมายจริง ๆ และเธอ… คือคนที่ทำลายเขาด้วยตัวเอง
แต่… ทำไม?
ทำไมเธอถึงสาปคนที่เป็นคู่หมั้นของเธอ?
“ข้า…” แสงคำพูดเสียงแผ่ว ดวงตาและความคิดเต็มไปด้วยความสับสน
“ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น… แต่ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะทำร้ายเจ้าโดยไม่มีเหตุผล”
เจ้าทิพย์อมร ยิ้มเย็น แววตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นทันที
“แน่นอนว่าเจ้ามีเหตุผล…”
เสียงของเขาเปลี่ยนไป เย็นเยียบ ดุดัน เต็มไปด้วยแรงแค้น
“และเหตุผลของเจ้าก็คือ…”
“เจ้าหักหลังข้า… เพื่อช่วยศัตรูของข้า”
“หา?” แสงคำร้องลั่น “เดี๋ยวก่อนนะ! ศัตรูของเจ้า!? ข้าไปช่วยใครอีก?”
“เจ้าช่วยมัน” เจ้าทิพย์อมร เน้นเสียงหนักแน่น ราวกับเพียงแค่พูดถึงมันก็ทำให้เขาเดือดดาลได้ทันที
“‘มันที่ทำให้เวียงแสนพรหมล่มสลาย”
แสงคำตาโต “แล้วข้าช่วยคนแบบนั้นไปแต้ ๆกา ข้าหยั่งมาง่าวแต้ง่าวว่า !”
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ…” ดวงตาของเขาเปล่งประกายแววอาฆาต
“เพราะเจ้าหลงเชื่อคำลวงของมันเจ้าถึงต้องสาปข้า… เพื่อปกป้องมัน”
“ข้า…?” แสงคำหันไปหาอินทร์แปง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสับสน
“อินทร์แปง! เรื่องนี้แต้ก่อ? เป๋นอย่างตี้เขาอู้ก่อ?”
อินทร์แปงเม้มปากแน่น แววตาของเขาเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง
“มันซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิดนัก”
“โอ้ย! ข้าบ่ะอยากได้ยินคำนี้อีกแล้ว!”
“เจ้าจะหลอกตัวเองไปถึงเมื่อไหร่?” เจ้าทิพย์อมรก้าวเข้ามาใกล้เผยให้เห็นใบหน้าอิดโรยและซูบผอมของเขา
“ความจริงมันชัดเจนอยู่แล้ว…”
เขายกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยสัญลักษณ์สีดำสนิทที่สลักบนท่อนแขน
“นี่คือเครื่องหมายจากคำสาปของเจ้า”
“ข้าติดอยู่ในร่างนี้…”
เขากำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายราวกับเปลวเพลิง
“ติดอยู่ในความเจ็บปวดนี้… เพราะเจ้า”
“ข้าไม่เชื่อ!” แสงคำส่ายหน้ารัว ๆ
“ข้าไม่มีวันช่วยศัตรูหรอก!”
“งั้นข้าจะช่วยให้เจ้าจำมันได้เอง…”
“ฟึ่บบบบ!”
เจ้าทิพย์อมร เหวี่ยงมือขึ้นกลางอากาศ
ม่านหมอกสีดำทะลักออกจากฝ่ามือของเขา ราวกับเถาวัลย์สีดำที่มีชีวิต มันพุ่งตรงเข้าใส่แสงคำอย่างรวดเร็ว!
“ฟุบ!”
มังคละพุ่งตัวเข้ามาดึงแสงคำหลบไปด้านข้างทันที
ม่านหมอกสีดำพุ่งปะทะกำแพงหินจนเกิดเสียงดังสนั่น
“ตู้มมมมม!”
หินแหว่งเป็นรอยไหม้ดำสนิท
“โอ้ยยยยย!” แสงคำร้องลั่น “เจ้าจะเล่นของใส่ข้าทำไม?”
เจ้าทิพย์อมร ยิ้มเย็น แววตาของเขาแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม
“เพราะเจ้าต้องจำให้ได้… จำว่าคนที่เจ้าเลือกจะปกป้องมันเป็นใคร”
อินทร์แปงก้าวมาข้างหน้า ดวงตาของเขาเย็นชาแข็งกร้าว
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมให้เจ้าทำร้ายเจ้านางของข้าเรอะ?”
“เจ้านั่นแหละที่ควรระวัง” เจ้าทิพย์อมร ตอบเสียงเย็นชา “เพราะเจ้านั่นแหละที่เป็นหุ่นเชิดของเจ้านาง”
อินทร์แปงชะงัก “ข้าทำตามคำสั่งของเจ้านางเพื่อปกป้องเวียงแสนพรหม”
“ปกป้องงั้นหรือ?” เจ้าทิพย์อมร แค่นหัวเราะ “เจ้าเรียกการฆ่าว่าการปกป้องงั้นหรือ?”
“พอได้แล้ว!” แสงคำตะโกนลั่น เธอก้าวมาข้างหน้า แม้หัวใจจะเต้นรัวเหมือนกลองศึก แข้งขาพาลสั่นเอาดื้อ ๆ
“ข้าไม่สนแล้วว่าความจริงมันคืออะหยัง!”
“ถ้าเจ้าไม่หยุด ข้าจะ....”
“จะอะไร?” เจ้าทิพย์อมร ตวาดกลับ “เจ้าจะสาปข้าอีกครั้งหรือ?”
“กรรรรรรร!”
เสียงคำรามต่ำดังขึ้นจากเงามืดอีกด้านของคุกใต้ดิน
ม่านหมอกสีดำค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมา เผยให้เห็นเงาสีดำรูปร่างประหลาด
มันสูงใหญ่ นัยน์ตาแดงฉานราวกับถ่านไฟที่ลุกโชน
“เห้ยยย! นั่นตั๋วอะหยัง!” แสงคำร้องเสียงหลง
อินทร์แปงขยับตัวไปยืนขวางหน้าเธอทันที ดวงตาของเขาเปล่งประกายดุดัน
“ปีศาจเสือดำ” เขาพูดเสียงต่ำ “และดูท่าว่ามัน… จะมาทวงบางอย่างคืน”
“มันคืออะหยัง??”
“มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากคำสาปของเจ้า…” เจ้าทิพย์อมร พูดเสียงเย็นชา
“และมันคือหลักฐานที่บอกว่า… เจ้าคือคนที่ทำให้เวียงแสนพรหมล่มสลาย”
“นั่น ! ข้าจะบ้าตายแล้ว!” แสงคำร้องเสียงหลง
“เอาไงดี ๆ ๆ ข้าต้องทำหยั่งใด ขะใจ๋บอกข้ากำ?”
มังคละชักดาบออกมา “เอางี้ก่อนนะ… ถ้ามันวิ่งมา ข้าฟัน”
บุญปั๋นยกหอกขึ้น “ถ้ามันไม่ตาย ข้าก็แทงซ้ำ”
จันทน์ผาง้างธนูไม้ “ถ้ายังไม่ตายอีก ข้ายิงซ้ำเลย!”
“แล้วข้าทำอะไร?” แสงคำโวยวาย
“เจ้า…” อินทร์แปงหันมามองเธอ
“เจ้าไปหาทาง ‘ถอนคำสาป’ ของเจ้าซะ”
“เดี๋ยวๆๆๆ!” แสงคำร้องลั่น “ข้าจะถอนคำสาปได้ยังไง? ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าสาปมันไว้ยังไงด้วยซ้ำ!”
อินทร์แปงยิ้มเย็น เหมือนคนที่รอดูคนอื่นแก้ปัญหาแทน
“ก็นั่นแหละ… เรื่องของท่าน”
“อ้าว ! อินทร์แปง เจ้าหยังมานิสัยบ่าดีจะอี้ ไผก็ได้พาข้าปิ๊กบ้านกำเต๊อะ!”
“กรรรรรร!”
เสียงคำรามต่ำดังขึ้นอีกครั้ง ปีศาจเสือดำเริ่มขยับตัว
ร่างสีดำสูงใหญ่ของมันดูบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ ดวงตาสีแดงฉานจับจ้องมายังแสงคำโดยตรง
“มันมองมาทางข้า! ทำไมต้องมองข้าด้วย! หรือข้าจะงามสะดุดต๋ามัน ? “
จันทน์ผายกธนูไม้ขึ้นเล็ง “เพราะเจ้าเป็นคนสาปมันไง!”
“แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยสาปมัน!”
“งั้นเจ้าก็ต้องรีบจำให้ได้ก่อนที่มันจะเข้ามาขยุ้มเจ้าจริง ๆ!”
“โฮกกกกก!”
ปีศาจเสือดำคำรามก้อง มันกระโจนพรวดเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าตกใจไปกว่านั้น! ร่างของมันใหญ่เกินเสือธรรมดาหลายเท่า
“เฮ้ย! มันมาแล้ว! ทุกคนระวังตัวให้ดี !”
มังคละก้าวออกมาขวาง ฟันดาบเหล็กในมือออกไปสุดแรง
“ฉั๊วะ!!”
ปลายดาบฟันเข้ากลางร่างปีศาจเสือดำ…
แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“อ้าวเฮ้ย?” มังคละอุทาน “ฟันแล้วมันไม่สะเทือนเลยเรอะ!”
“ข้าขอไปบ้าง!” บุญปั๋นตะโกนก่อนจะพุ่งเข้าไป
“ฉึกกก!”
หอกในมือบุญปั๋นเสียบเข้าที่กลางอกปีศาจเสือดำเต็ม ๆ
“ต้องเจอคนเก่งอย่างบุญปั๋น เป็นไงล่ะ! สะเทือนบ้างไหม?”
ปีศาจเสือดำ… หันมามองบุญปั๋นช้า ๆ
แล้วยิ้ม
“โอ๊ยยยยยย! มันยิ้มใส่ข้า!” บุญปั๋นร้องลั่น รีบดึงหอกออกแล้ววิ่งกลับมาแบบไม่คิดชีวิต
“งั้นต้องเจอข้า!” จันทน์ผายกธนูไม้เล็งเป๊ะ แล้วยิงทันที
“พึ่บ!” ลูกธนูพุ่งเข้าไปปักกลางหน้าผากปีศาจเสือดำ
ปีศาจเสือดำ… ดึงลูกธนูออกแล้วปาใส่พวกเธอกลับมาแทน!
“เฮ้ย! หลบเร็ว!”
ทุกคนกระโจนหลบกันคนละทิศคนละทาง
เหมือนมันจ้องจะเล่นงานแต่แสงคำ มันกระโจนเข้ามาหาเธอ แต่อินทร์แปงกระโดดเข้ามาขวางไว้ ก่อนจะใช้ดาบฟันมัน แต่ดาบไม่ระคายผิวมันแม้แต่นิด ซ้ำร้ายมันยังตะปปร่างของอินทร์แปง โชคดีที่เขากระโดดหลบทันแต่ถึงกระนั้นก็โดนกรงเล็บของมันจนเลือดออกเป็นทางยาว
“อินทร์แปง !” แสงคำร้องตะโกน “พวกเจ้าจะทำอะไรมันไม่ได้เลยก๋า?”
มังคละรีบหันมาหาเธอ “เจ้าจะตะโกนอะไรตอนนี้? รีบหาทางถอนคำสาปเร็วเข้าสิ!”
“ข้าจะไปหาที่ไหนล่ะ? คำสาปผีบ้าอะหยังก่อบ่ะฮู้ ข้ายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าข้าสาปมันไว้ยังไง!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจและหาทางต่อสู้กำปีศาจเสือดำอยู่นั้น มีเสียง ๆ หนึ่งดังก้องกังวานขึ้น
“เจ้านาง…”
เสียงของเจ้าทิพย์อมร ดังขึ้นจากเงามืด
เขาก้าวออกมาอย่างสง่างาม แม้จะดูน่ากลัวแต่ในแววตายังแฝงความเศร้า
“เจ้าจะจำไม่ได้จริง ๆ หรือ…”
“เจ้าสาปมันเพราะเจ้าปกป้องใครบางคน”
“ใคร?” แสงคำตะโกน “ใครที่ข้าต้องปกป้อง?”
เจ้าทิพย์อมร เม้มปากแน่น ดวงตาของเขาสั่นไหว
“เจ้าปกป้อง… ข้า”
แสงคำยืนอ้าปากค้าง “ข้าสาปมัน… เพื่อปกป้องเจ้า?”
“ใช่”
“แล้วทำไมเจ้าถึงกลายเป็นคนที่ถูกขัง?”
เจ้าทิพย์อมร แค่นหัวเราะเบา ๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เจ็บปวดจนจับใจ
“เพราะหลังจากที่เจ้าสาปมัน… ศัตรูของเจ้าใช้เวทมนตร์ย้อนกลับคำสาปนั้น”
“มันทำให้ปีศาจนั้นไม่เพียงถูกขัง…”
“แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีวันตาย”
“และร่างกายรวมทั้งจิตของข้าก็เป็นของเซ่นสังเวยเพื่อให้มันคงอยู่ในร่างนั้น…”
“โธ่เอ้ย ! เจ้าคือของสังเวยงั้นหรือ”
เจ้าทิพย์อมร พยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า
“และตอนนี้… มันกำลังจะชำระแค้น”
“เจ้านางสร้อยคำ ถ้าเจ้าจะช่วยข้า…”
“เจ้าต้องเรียกคำสาปเดิมที่เจ้าเคยใช้… กลับมา”
“โอ้ยยย! จะให้ข้าไปจำได้ยังไง?” แสงคำกุมหัวแทบจะลงไปนั่งกับพื้น
“คิดดี ๆ เจ้านาง…” เจ้าทิพย์อมร พูดเสียงแผ่ว “คำสาปนั้น… เจ้าสร้างมันขึ้นมาจากสิ่งที่เจ้ารักที่สุด”
“สิ่งที่ข้ารักที่สุด?…”
ภาพในหัวแสงคำแล่นวาบขึ้นมา
มือหนึ่ง… ยื่นผ้าคลุมสีแดงสดมาให้เธอ
เสียงของเธอในอดีตพูดเบา ๆ
“ข้าปกป้องเมืองนี้… ด้วยหัวใจของข้าเอง”
“ข้า… นึกออกแล้ว สิ่งที่ข้ารักที่สุดคือ...เวียงแสนพรหม!”
แสงคำตะโกนลั่น ก่อนจะหลับตาแน่น ยื่นมือออกไปข้างหน้า
“ข้าเรียกคืน…”
“ด้วยเลือดและหัวใจแห่งเจ้านางเวียงแสนพรหม…”
“ข้าขอทวงคำสาปคืน!”
“ฟู่วววววววว!”
แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นจากมือของเธอ พุ่งตรงไปหาปีศาจเสือดำ!
“อ๊ากกกกกก!”
ปีศาจเสือดำคำรามก้อง ร่างของมันบิดเบี้ยวราวกับกำลังถูกฉีกออกจากภายใน
ดวงตาสีแดงของมันสั่นไหว ก่อนจะค่อย ๆ แหลกสลายเป็นเถ้าธุลี ไม่เหลือเศษซากร่างปิศาจแม้แต่น้อย
“ฟู่มมมมมมมมมม!”
ทุกอย่างเงียบสนิท…
เหลือเพียงเถ้าดำที่ปลิวล่องลอยในอากาศ
“ข้า…” แสงคำหอบหายใจหนัก “ข้าทำได้แล้ว…”
มังคละ บุญปั๋น และจันทน์ผาวิ่งเข้ามาล้อมเธอ สีหน้าโล่งอกสุดชีวิต
“เฮ้ออออ… ข้าคิดว่าเราจะไม่รอดแล้ว” บุญปั๋นพูดพลางนอนแผ่หลากับพื้น
“เจ้าก็แทบไม่ช่วยอะไรเลยนะ” จันทน์ผาค้อนขวับ
แผลของอินทร์แปงหายไปราวกับปาฎิหาริย์ เหลือแต่รอยฟกช้ำที่เกิดจากการล้มลง
เจ้าทิพย์อมร มองแสงคำด้วยรอยยิ้มชื่นชมระคนเศร้า
“เจ้า… ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”
แสงคำมองเขานิ่ง ๆ… และรู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้… ยังไม่จบ
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“แสงคำ! แสงคำเอ๊ย! สูอยู่นี่ก่อ?”เสียงแม่อุ้ยคำก๋อง ดังลอดออกมาจากครัวหลังบ้าน แสงคำ ซึ่งกำลังนั่งขัดไม้กระบอกสำหรับตักน้ำอยู่ที่ชานเรือนถึงกับสะดุ้ง“อู้ววว… จะฮ้องอะหยังแต่เจ๊าจี้ น่าเบื่อขนาด ฮ้องอยู่หั้นนะ…” แสงคำบ่นอุบพลางปัดเศษไม้จากมือแสงคำ เป็นเด็กสาววัยสิบหกปี เรือนร่างสูงโปร่ง สมส่วน ผิวขาวเหลือง ผมดำขลับยาวประบ่ะ ใบหน้าคมคายแฝงด้วยแววตาดื้อรั้น เธอเป็นคนหัวไว ฉลาดเจ้าเล่ห์ และมีความกล้าหาญเกินวัยแสงคำอาศัยอยู่กับ แม่อุ้ยคำก๋อง หญิงชราที่มีฝีปากคมราวกับมีดหมอ เป็นหญิงสูงวัยที่อารมณ์ร้อนขี้บ่นแต่จิตใจดีและยังมี แม่คำปัน หญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ที่เป็นแม่ของแสงคำ นางใจดี พูดจาอ่อนโยน เป็นที่รักของคนทั้งหมู่บ้านและสุดท้ายคือ ป้าคำป้อ หญิงร่างท้วมอารมณ์ขัน ที่ไม่ว่าบ้านนี้จะมีเรื่องใหญ่แค่ไหน นางก็จะหาเรื่องให้ทุกคนหัวเราะได้เสมอ“แสงคำ! มัวยะหยังอยู่น่ะ แม่บอกให้มาช่วยดังไฟ นึ่งข้าว ตั้งแต่ตะเจ๊า ! ยังบ่ะมาเตื้อกา หยังมาหลึ่ง มาดื้อแต้ อิลูกคนนี้”เสียงแม่คำปันดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แสงคำไม่มีข้ออ้างใด ๆ เธอรีบวางไม้ขัดกระบอกน้ำ แล้วเดินมาทางครัว“ข้าเจ้ากำลังขัดกระบอกน้ำอยู่
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้