“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”
“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”
“ถูกต้อง”
เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง
“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”
แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่
แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย
เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำ
บุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำ
จันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำ
แต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้ง
เธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวัง
บุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมือง
ร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กล
เธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…
เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา
“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”
แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดา
แสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
“ข้าเห็นหมู่เฮาทุกคน… ในอดีต”
ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“ข้าเห็นหมู่เฮาอยู่ในเมืองโบราณ เมืองที่รุ่งเรืองที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น… แต่ในคืนนั้น มันถูกทำลายลง”
“เวียงแสนพรหม…” จันทน์ผากระซิบ
แสงคำพยักหน้า น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าเห็นหมู่เฮาสู้… ข้าเห็นหมู่เฮาสัญญากัน… และข้าเห็น…”
เธอกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพูดต่อ
“ข้าเห็นหมู่เฮาทรยศกันเอง”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนลมหายใจของตัวเองสะดุด
“ทรยศกันเอง?” มังคละพึมพำ
“ไม่จริง… หมู่เฮาจะทรยศกันได้ยังไง?” จันทน์ผาพูดเสียงสั่น “หมู่เฮาสนิทกันขนาดนั้น !”
“แต่ในอดีต… มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว” แสงคำเอ่ยเสียงเศร้า “หมู่เฮาเคยเชื่อใจกัน… แต่สุดท้าย มีใครบางคนที่เปิดประตูเมืองให้ศัตรูเข้ามา”
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าใครทำ?” อินทร์แปงถาม
แสงคำหลับตาลง น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาที่แก้มของเธอ จันทน์ผาเช็ดน้ำตาให้แสงคำอย่างทะนุถนอม แสงคำเงยขึ้นมองหน้าจันทน์ผาราวกับอยากบอกอะไรบางอย่าง
“ข้าจำได้แค่ว่า… หมู่เฮาต่างปกป้องสิ่งที่เรารักมากที่สุด”
“ข้ารับไม่ได้!” มังคละส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อว่าหมู่เฮาจะทำแบบนั้น!”
“แต่เราอาจทำมันไปแล้ว” บุญปั๋นพูดเสียงต่ำ
“ถึงเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่ปัจจุบันเราเปลี่ยนได้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลย !” พูดจบจันทน์ผาก็ทิ้งตัวนั่งลงอย่างคนหมดแรง
“แล้วทำไมหมู่เฮาถึงต้องกลับมาเกิดใหม่พร้อมกัน?”
แสงคำพูด “ทำไมหมู่เฮาถึงจำได้แต่เรื่องของเวียงแสนพรหม? ทำไมเงานั้นถึงยังตามเรามา?”
มังคละเงียบไป เขาเองก็ไม่อยากเชื่อ… แต่ในใจของมังคละรู้ดีว่า มันบังเอิญอย่างน่าเหลือเชื่อ และมันเป็นไปได้
“หมู่เฮากลับมาเพื่อแก้ไขเรื่องราวบางอย่าง”
แสงคำหยุดนิ่งทบทวนก่อนจะพูดต่อ
“เพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในอดีต… และเพื่อไถ่บาปที่หมู่เฮาเคยทำไว้”“แต่ข้ากลัว” มังคละพูดเสียงสั่น “ข้ากลัวว่าถ้าเรารู้ความจริง… ข้าอาจจะเป็นคนทรยศคนนั้น”
“ข้าก็กลัว” จันทน์ผากระซิบ
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าข้าเป็นใครในอดีต” บุญปั๋นพูดเบา ๆ
“ข้าก็กลัวความจริงเหมือนกัน ความจริงที่ตัวข้าอาจรับไม่ได้” แสงคำยอมรับ
อินทร์แปงมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ถ้าพวกเจ้าไม่หาความจริง… เรื่องนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด”
“เงานั้นจะตามพวกเจ้าไปทุกชาติภพ… และเวียงแสนพรหมจะไม่มีวันได้ฟื้นขึ้นมาอย่างที่ควรจะเป็น”
ทุกคนเงียบฟังสงบแต่ภายในใจแต่ละคนต่างหนักอึ้งราวกับถูกหินผาก่อนใหญ่ทับไว้
อากาศรอบตัวเย็นเยือก แต่ภายในใจของพวกเขากลับร้อนรุ่มด้วยคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในหัว
“แล้ว… เราจะเริ่มจากตรงไหน?” มังคละเอ่ยขึ้น
แสงคำเงยหน้ามองเขา… ดวงตาของเธอแน่วแน่
“จากสถานที่ที่มันเริ่มต้น”
“เวียงแสนพรหมแม่นก่แ?” บุญปั๋นถาม
แสงคำพยักหน้า คราวนี้เธอดูสงบลง
“นั่นเป็นเหตุผลหมู่เฮาต้องกลับมาที่นี่ ทุกคน !”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง
“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้ที่แท้จริง”
แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่ที่จะบอกสิ่งที่เธอเห็นให้ทุกคนรับรู้ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจโพล่งบอก
“ข้าไม่อยากเก็บเรื่องนี้ไว้ในอก ไม่งั้นข้าอาจอกแตกตายเป็นแน่ ข้าเห็น... จันทน์ผา… เป็นคนทรยศ!”
“ข้า… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?” จันทน์ผาเอ่ยขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงของเธอบ่งบอกอารมณ์สับสนระคนตกใจ
ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยความตระหนกและความกลัว
“นั่นคือสิ่งที่ข้าเห็น!”
“เจ้าแน่ใจหรือว่า… เจ้าเห็นความจริงทั้งหมด?”
คำพูดของจันทน์ผาทำให้แสงคำชะงัก
“ข้าหมายความว่ายังไง?”
“เจ้าคิดว่าอดีต… มีแค่เพียงด้านเดียวหรือ?”
จันทน์ผากอดอก สายตาของเธอสงบจนน่ากลัว“เจ้ากำลังมองมันจากสายตาของตัวเองในอดีต… แล้วเจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจำทุกอย่างได้ถูกต้อง?”
“ข้าจำไม่ได้ทั้งหมด! แต่ข้าเห็นว่าเจ้าคือคนที่ทำให้ข้าเผาเมือง!”
จันทน์ผาถอนหายใจ เธอส่ายศีรษะช้า ๆ
“บางครั้ง ความจริง… ก็อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
“ข้าไม่เข้าใจ!”
แสงคำตะโกนลั่น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกต้อนให้จนมุม
“ถ้าเจ้าไม่ใช่คนทรยศ แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ตรงนั้น?”
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” จันทน์ผาพูดเรียบ ๆ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่แน่ใจตัวเอง แต่เธอเชื่อว่าเธอไม่เคยคิดทรยศเจ้านางสร้อยคำและเวียงแสนพรหมอย่างแน่นอน
“หรือบางที… ข้าอาจจะมีเหตุผลของข้า”
“เหตุผลอะหยัง?”
จันทน์ผามองเธอเงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาช้า ๆ
“เจ้าต้องดูให้ครบ… ก่อนที่จะตัดสิน”
ทันใดนั้นภาพในอดีตก็ฉายให้แสงคำได้เห็นชัดเจนอีกครั้ง เปลวเพลิงลุกโหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังระงม และตัวเธอในอดีต… กำลังเผชิญหน้ากับจันทน์ผา หรือในอดีตคือ เจ้านางบัวระวงศ์
“เจ้าทรยศข้า เจ้านางบัวระวงศ์ “
‘เจ้านางสร้อยคำ ข้า ๆ ไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียงแค่…” พูดเสียงสั่น
“เจ้าทำให้ศัตรูเข้ามาในเมือง… เจ้าทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”
“เจ้านางสร้อยคำ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถิด!”
แต่จันทน์ผาในปัจจุบัน… กลับยืนอย่างสงบ
“เจ้ามั่นใจหรือว่า… ข้าเป็นคนทำ?”
“ข้าเห็นทุกอย่างกับตา!”
“บางครั้ง สิ่งที่เจ้าเห็น… อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด”
ดวงตาของจันทน์ผาเต็มไปด้วยบางอย่างที่ซับซ้อน มันไม่ใช่แววตาของคนที่มีความผิด
แต่มัน… คือแววตาของคนที่รู้อะไรบางอย่าง
“เจ้ามั่นใจหรือว่า เจ้าตัดสินใจถูกแล้ว?”
เจ้านางสร้อยคำกำคบเพลิงในมือแน่น เปลวไฟสะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ
“ข้าไม่มีทางเลือกแล้ว”
“เจ้ามี”
“ข้าไม่มี!”
เจ้านางบัวระวงศ์ หรือ จันทน์ผาในอดีต มองเธอเงียบ ๆ
“งั้นก็เผามันซะ”
“โอ้ยยยย!อย่าบีบคั้นข้าก่ะ ข้าจะเป็นบ้าแล้ว!”
แสงคำตะโกน เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดใจ
“ขอถามครั้งที่ร้อย ข้าเป็นคนเผาเมืองนี้จริง ๆ ใช่ไหม?”
อินทร์แปงตอบเสียงเรียบ
“ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าท่านเป็นคนทำ แต่ตอนนี้ท่านยังไม่รู้ว่าท่านทำไป… เพื่ออะไรกันแน่”
แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผา หญิงสาวผู้นั้นยังคงยืนนิ่ง… เหมือนรอให้เธอหาคำตอบเอง
“ข้าต้องทำยังไง…” เธอพึมพำ “ข้าถึงจะเข้าใจทุกอย่าง?”
อินทร์แปงที่เฝ้ามองทุกอย่าง ประเมินสถานการณ์ ก่อนจะพูดขึ้นมาช้า ๆ
“เจ้ายังมีสิ่งที่ต้องเห็นอีกมาก”
“และมีใครบางคนที่รอเจ้าอยู่ในอดีต”
“ไผ บอกข้ามาเลย บ่ะเดี่ยวนี้ ?”
เขาสบตาเธอ ก่อนจะพูดคำที่ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ อึดอัดมากยิ่งขึ้น
“ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าจะถูกเปิดเผย… ก็ต่อเมื่อเจ้าพบเขา”
“และคนคนนั้น… คือกุญแจของทุกอย่าง”
“เขาเป็นไผ? ทำไมเจ้าไม่บอกตอนนี้ นี่เจ้าอยากทำให้ข้าเกิดโทสะใช่ไหม ฮึ่ม!”
แสงคำแทบจะกระโจนไปเขย่าไหล่อินทร์แปง ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความโกรธระคนสับสน
“ขะใจ๋บอกข้ามาบ่ะเดี่ยวนี้! ใครคือเขาที่เจ้าอู้ถึง?”
อินทร์แปงมองเธอด้วยสีหน้านิ่งสงบ เหมือนครูผู้รู้ทุกอย่างแต่ไม่คิดจะบอกนักเรียนทันที
“เจ้ายังไม่ควรรู้ตอนนี้”
“อ้าว! อ้ายอินทร์แปง จะมาเล่นกับอารมณ์ข้าทำไม เดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าไปอีกคนแน่ !”
“ท่านต้องเจอเขาด้วยตัวท่านเอง”
“โอ้ย! แล้วทำไมข้าต้องเป็นคนที่ต้องเจออะไรแบบนี้ตลอดเลย!”
มังคละ ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เขามองแสงคำที่กำลังแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นเสี่ยง ๆ แล้วหัวเราะเบา ๆ
“ข้าเริ่มคิดว่าเจ้าคงเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในหมู่หมู่เฮาแล้วล่ะ”
“เฮ้ย! นี่เจ้ายังคิดไม่แน่ใจเตื้อกา!”
บุญปั๋นเดินมาข้าง ๆ ก่อนจะตบบ่ะเธอเบา ๆ สีหน้าของเขาดูมีเมตตาเหมือนพี่ชายใจดี
“เจ้าต้องทำใจนะเจ้าแสงคำ บางครั้งโชคชะตาก็บังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่เราบ่ะอยากเจอ”
แสงคำหันขวับไปหาเขา ดวงตาลุกวาวเหมือนจะแผดเผาได้
“ข้าบ่ะได้อยากเจออะหยังทั้งนั้น! ข้าแค่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวจี่กับแม่อุ้ยของข้า!”
“ข้าว่าตอนนี้เจ้าบ่ะมีทางเลือกแล้วล่ะ” บุญปั๋นหัวเราะแห้ง ๆ
“ฮือออ ! ข้าอยากจะเป็นลมอีกแล้ว!”
“แล้วเจ้าคิดว่าเขาเป็นใคร?” จันทน์ผาถามขึ้น เธอจ้องมองอินทร์แปงด้วยสายตานิ่ง ๆ
“ข้าว่าคน ๆ นั้นต้องเป็นคนที่มีฤทธาและอำนาจมาก ๆ ในตอนนั้นและอาจจะหมายรวมถึงตอนนี้ด้วย” จันทน์ผาปรารภด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“มีอำนาจและเก่งขนาดไหนกั๋น?”
แสงคำรีบถามทันที ถ้าเธอต้องไปเจอใครสักคนที่ถูกเรียกว่ากุญแจของทุกอย่างเธอควรรู้ไว้ก่อนจะช็อกตาย!
อินทร์แปงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบตามเคย
“เป็นคนที่รู้จักเจ้าดีกว่าใคร”
“ขอร้องเต๊อะ! ข้าเบื่อ ข้าไม่ชอบคำตอบแบบนี้เลย”
“เป็นคนที่เจ้ามีสายสัมพันธ์ด้วย”
“ยิ่งไม่ชอบเข้าไปอีก!”
“และเป็นคนที่เคยอยู่ในใจเจ้ามากที่สุด”
“ห้ะ!”แสงคำทำหน้าตกใจสุดขีด เธอชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา
“ข้ามีเขาที่อยู่ในใจข้าหยั่งอั้นก๋า!”
“ใช่”
“แล้วข้าไปสนิทกับใครขนาดนั้นตั้งแต่มะใด? ดูแล้วไม่น่ามีใครอยากคบคนใจร้ายทำลายเมืองตัวเองอย่างข้าสักเต้าใดนัก”
อินทร์แปงไม่ตอบ เขาเพียงอมยิ้มแววตาอ่อนโยนเมื่อมองมายังแสงคำ
มังคละ ตาลุกวาว ยิ้มมีเลศนัย “ข้าชักอยากรู้แล้วสิว่าเขาที่ว่าเป็นไผ?”
“ข้าอยากรู้ยิ่งกว่าพวกเจ้าทุกคนอีก!”
บุญปั๋นหัวเราะเบา ๆ “บางทีเขาอาจจะเป็นคนรักของเจ้าก็ได้นะ แสงคำ”
“เพ้อเจ้อ ! อู้ไปเรื่อยละนี่นา ยั้งปากหมู่สูเขา หยุด !”
แสงคำแทบจะพุ่งไปเขย่าตัวบุญปั๋น เธออ้าปากค้างจนแทบจะร้องกรี๊ด
“เดี๋ยวก่อนนะ! ข้าต้องมีคนรักแหมกา?”
มังคละ ยักไหล่ “ข้าว่ามันก็มีความเป็นไปได้สูง”
“หยุด ! ข้าเพิ่งรับรู้ว่าข้าเป็นเจ้านาง! ข้าต้องรับรู้ว่าข้าเผาเมืองตัวเอง! ข้ามีลูกชายคืออ้ายบ่าวคนนั้น ถึงจะเป็นลูกที่บ่าได้อุ้มท้องมาก็เถอะ แล้วตอนนี้ข้าต้องรับรู้ว่าข้ามีคนรักแหมอิ๊กา?”
จันทน์ผากอดอก สีหน้าของเธอราบเรียบ แต่ดูเหมือนเธอจะเริ่มสนุกกับปฏิกิริยาของแสงคำ
“หากเขาเป็นคนรักของเจ้า ก็น่าสนใจดีบ่อใจ้กา ?”
“ข้าคิดว่านี่เป็นฝันร้ายที่สุดที่ข้าเคยเจอ!”
“ว่าแต่อ้ายอินทร์แปง แล้วข้าจะไปหาเขาได้หยั่งใด?”
แสงคำหันไปหาอินทร์แปงอีกครั้ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกปนความตื่นเต้น
อินทร์แปงมองเธออึดใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาช้า ๆ
“เขากำลังรอเจ้าอยู่”
“รอข้าที่ไหน?”
อินทร์แปงหันไปมองทางทิศตะวันตกของเวียงแสนพรหม ในขณะเดียวกันก็มีสายลมเย็นพัดผ่านมาอย่างบังเอิญ
“ที่ป่ากลางศิลากัลป์!”
“หา ! ที่นั่นอั้นกา ข้าเคยได้ยินชื่อนี้?” มังคละขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะรู้จักสถานที่นี้ดี
บุญปั๋นพึมพำ “นั่นเป็นสถานที่ต้องห้ามบ่อใจ้กา? ข้าก่อเหมือนคุ้นเคยที่นี้น!ะ”
แสงคำตัวสั่นไปหมด เธอไม่ได้รู้จักชื่อป่านี้… แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนเคยไปที่นั่นมาก่อน!?
“ข้ารู้สึกแปลก ๆ กับชื่อนี้” เธอพูดเสียงเบา “ข้ารู้สึกเหมือน… ข้าเคยอยู่ที่นั่น”
จันทน์ผามองเธอด้วยสายตาคาดเดาไม่ได้ แต่เธอไม่ได้พูดอะไร
“แล้ว… ใครเป็นคนพาเราไปที่นั่นล่ะ?” มังคละถามขึ้น
อินทร์แปงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ไม่ต้องมีใครพาไป เจ้านางสร้อยคำจะพาพวกเจ้าไปด้วยตัวเอง”
“แล้วมันคือที่ไหน ? ตอบวนอยู่นั่นแหล่ะ ข้าชักรำคาญเจ้าละ”
“คุกใต้ดินของพระราชวัง !”
“และที่นั่น… เจ้านางจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นศัตรูของเมืองนี้”
“คุกใต้ดิน!”
แสงคำแทบสำลักอากาศ เธออ้าปากค้างจนแทบกลืนลมหายใจตัวเอง
“ข้าต้องไปที่คุกใต้ดินกา?”
อินทร์แปงพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าของเขายิ้มกริ่มราวกับกำลังพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยว
“แม่นที่นั่นไม่ผิดเป้าหมาย”
“เฮ้ยย! บ่ะได้ ๆ ข้าพอแล้ว! ไปกันใหญ่แล้ว ข้าบ่ะอยากรู้อะไรอีกแล้ว!”
เธอหมุนตัวกลับ เตรียมจะเผ่นแนบออกจากตรงนี้
แต่อินทร์แปงเคลื่อนไหวเร็วกว่านั้น
“ฟึ่บบบบ!”
ร่างของเขาแวบเข้ามาขวางหน้าเธอ เร็วจนเธอสะดุ้งสุดตัว!
“โอ้ยยย! อย่าโผล่มาแบบนั้น! ข้าจะเป็นลมแล้ว!”
อินทร์แปงเลิกคิ้ว “เจ้ากลัวข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“ข้ากลัวทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าตอนนี้เลยต่างหาก!”
มังคละยกมือขึ้นแตะดาบของเขา จ้องมองอินทร์แปงด้วยสายตาระแวดระวัง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าคุกใต้ดินมีคำตอบ?”
“ข้าไม่แน่ใจ” อินทร์แปงตอบเรียบ ๆ
“อ้าว!” แสงคำร้องเสียงสูง “แล้วเจ้าจะให้หมู่ข้าไปที่นั่นทำไม?”
“เพราะข้ารู้สึกว่าคำตอบอยู่ที่นั่น”
“เหอะ! ข้าบ่ะอยากเดินตามความรู้สึกของเจ้าเลย!”
บุญปั๋นขมวดคิ้ว “แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าใต้พระราชวังมีอะไรซ่อนอยู่”
จันทน์ผาพยักหน้า “ในอดีต… คุกใต้ดินของเวียงแสนพรหมถูกใช้กักขังนักโทษสำคัญ เจ้ากึ้ดว่าจะเป็นไปได้ไหมว่า…”
เธอเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“…ว่ามีใครบางคนที่ถูกกักขังอยู่ที่นั่น… และเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง?”
แสงคำตัวแข็งทื่อ หัวใจของเธอเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
“หมายความว่า…” เธอกลืนน้ำลายลงคอ “มีใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับข้า… ถูกขังอยู่ที่นั่น?”
อินทร์แปงยิ้มมุมปาก ราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าเธอจะคิดแบบนั้น
“หรือไม่ก็…”
เขาโน้มตัวเข้าใกล้แสงคำ ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ท่านคือคนที่ขังเขาไว้เอง”
แสงคำกระโดดถอยหลังแทบจะสามก้าว เธอสะบัดมือเป็นพัลวัน
“ไม่! ไม่! ไม่มีทาง! ข้าไม่น่าจะไปจับใครขังไว้ใต้ดินได้!”
“แต่ท่านก็สั่งให้ข้าฆ่าคน” อินทร์แปงเตือนเสียงเรียบ
“เฮ้ย! เจ้าอย่าพูดอะไรแบบนั้นแบบหน้าตาเฉยได้ก่อ! “
มังคละยกมือกุมขมับ เขาเริ่มปวดหัวกับบทสนทนาไร้ที่สิ้นสุดนี้แล้ว
“แล้วเราจะไปที่คุกใต้ดินกันยังไง?”
“ง่ายมาก” อินทร์แปงตอบ
“ยังไง?”
อินทร์แปงหันไปสบตาแสงคำ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“ให้เจ้านางเดินนำไป”
“หาาาาาา!”
“เฮ้ย! ทำไมต้องข้า?”
“เพราะเจ้าเป็นคนเดียวที่มีสายสัมพันธ์กับที่นั่น”
“ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวกับคุกใต้ดินสักนิด!”
“แต่ข้าคิดว่าเท้าของเจ้าจะพาเจ้าไปเอง”
“ถามจริง ! จะอะไรกันนักกันหนากับข้าเนี่ย เดี๋ยวนั่น! เดี๋ยวนี่! ทับถมมาหมด”
อินทร์แปงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ถ้าท่านไม่เชื่อ… ก็ลองเดินไปทางพระราชวังดูสิ”
“ข้าไม่เดิน!”
“ท่านแน่ใจหรือ?”
“แน่ใจ!”
“งั้นข้าจะรอดู”
แสงคำกอดอกแน่น เธอเชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจ
“ข้าจะไม่.........”
“หมับ!”
ขาของเธอขยับไปข้างหน้าเอง!
“เฮ้ยยยยย!”
เธอพยายามจะหยุดเดิน แต่เหมือนมีแรงบางอย่างดึงเธอไปข้างหน้า
“ข้าควบคุมขาของตัวเองไม่ได้!”
มังคละ บุญปั๋น และจันทน์ผามองตาค้าง พวกเขาเห็นกับตาว่าแสงคำกำลังถูกอะไรบางอย่างดึงไปทางพระราชวัง
“ช่วยด้วย! นี่มันเวทมนต์ดำอะหยังเนี่ย!”
อินทร์แปงหัวเราะ “ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามีสายสัมพันธ์กับที่นั่น”
“แล้วเจ้าจะปล่อยให้ข้าโดนดึงไปแบบนี้กา ? “
“ก็ข้าอยากเห็นว่าท่านจะไปที่ไหน”
“เฮ้ย! ไม่ใช่เวลามาเล่นสนุกนะ!”
“ไปกันเถอะ”
มังคละพูดขึ้น ก่อนจะเดินตามหลังแสงคำไป
จันทน์ผากับบุญปั๋นสบตากัน ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินตามไปติด ๆ
จันทน์ผาถือธนูไม้แน่น สีหน้าของเธอเริ่มจริงจังขึ้น
อินทร์แปงยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย
และพวกเขา… ก็มุ่งหน้าเข้าสู่พระราชวังเวียงแสนพรหม
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในพระราชวัง…
อากาศเย็นยะเยือกผิดปกติ
ราวกับที่แห่งนี้… ยังคงเก็บเงาของอดีตเอาไว้
“ข้ารู้สึกขนลุกไปหมดแล้ว” แสงคำพึมพำ เธอยังคงถูกบางอย่างนำทางไปเอง
“คุกใต้ดินอยู่ข้างล่างนี้” อินทร์แปงเอ่ยขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่บันไดหินที่ทอดลงไปใต้พื้นดิน
บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบ
เหมือนพวกเขากำลังก้าวเข้าสู่สถานที่ต้องห้าม
“ข้าเริ่มบ่อแน่ใจแล้วว่าข้าอยากจะเจออะหยังตี้อยู่ข้างล่างฮั่น” บุญปั๋นกระซิบ
“ถ้าบ่ะอยากเจอ ก็กลับขึ้นไปได้” อินทร์แปงพูดเสียงเย็น
“แต่ข้าจะไม่กลับ ไปกันหลายคน มีอินทร์แปงอยู่ ก็ยังแควนมาหน้อย(ค่อยยังชั่ว)”
“ข้าก็ไม่กลับ” จันทน์ผาเสริม เธอจับด้ามหน้าไม้แน่นขึ้น
“ข้าก็เหมือนกัน” มังคละพยักหน้า
แสงคำอยากจะพูดว่า “ข้าจะกลับ” สุด ๆ แต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก
เธอถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะก้าวลงบันไดไปเป็นคนแรก
ทันทีที่พวกเขาก้าวลงไปถึงคุกใต้ดิน…
“กึก…”
“กรรรรรรร….”
เสียงครางแหบต่ำดังขึ้นจากเงามืด
และประตูหินที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา… ก็เปิดออกเองอย่างช้า ๆ
อินทร์แปงยิ้มเย็น แววตาวาวโรจน์ราวกับพึงพอใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาช้า ๆ
“เจ้าพร้อมหรือยัง… เจ้านางของข้า?”
“เพราะข้างหลังประตูนี้… คือความจริงทั้งหมด”
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้