“กู้เวียงแสนพรหม?”
แสงคำแทบสำลักอากาศ นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกแล้ว
เธอกลับมาที่เวียงแสนพรหม เมืองที่เธอเคยทำลาย
เธอคือเจ้านาง ผู้ที่ถูกจดจำ
เธอมีลูกชาย และเขากำลังบอกให้เธอกู้คืนเมืองนี้
“นี่ข้าต้องเป็นเจ้านางคนนั้นแต้ ๆ กานิ?”
เธอหันขวับไปมองอินทร์แปง หวังว่าจะได้รับคำอธิบายดี ๆ สักอย่าง
แม่คำปันยืนกอดอก สีหน้าของนางนิ่งสนิทราวกับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
“แม่!” แสงคำเรียกเสียงหลง “ข้าเจ้าควรจะทำจะใดดี?”
“เจ้าเป็นเจ้านาง” แม่คำปันตอบสั้น ๆ “เจ้าต้องตัดสินใจเอง”
“เฮ้อ! ขอเต๊อะบ่ะเอาคำตอบแบบนี้ได้ก่อ!”
“ใจเย็นก่อน เจ้านางสร้อยคำ”
เสียงทุ้มของอินทร์แปงดังขึ้น เขามองแสงคำด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น
“ท่านอาจจำอะไรไม่ได้ แต่ข้ามั่นใจว่า… ความรู้สึกของท่านที่มีต่อเวียงแสนพรหม ยังไม่เปลี่ยนไป”
“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร!”
แสงคำพยายามจะถอยหนี แต่ทุกสายตารอบตัวกลับจับจ้องเธออย่างแน่วแน่
ชาวเมืองมองเธอเหมือนเป็นความหวัง
อินทร์แปงมองเธอเหมือนเป็นคำตอบ
อินทร์แปงมองเธอเหมือนเป็นปริศนาที่เธอต้องแก้ให้ได้เอง
และที่สำคัญที่สุด
เธอเองก็มองตัวเองไม่ออกว่าเธอคือใครกันแน่
“ข้า…” แสงคำกลืนน้ำลาย เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงเข้าสู่บทบาทที่เธอไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี
“ข้าจะกู้เมืองได้ยังไง ถ้าข้ายังไม่รู้ว่าข้าทำอะไรไว้กับมัน?”
อินทร์แปงมองเธอเงียบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาช้า ๆ
“ท่านต้องเริ่มจากการระลึกถึงมัน”
“ข้าจะระลึกถึงมันได้ยังไง?”
อินทร์แปงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดคำที่ทำให้แสงคำขนลุกวาบ
“โดยการกลับไปเป็นเจ้านางอีกครั้ง”
“หา! เจ้าว่าอะหยังเก๊าะ ! หยั่งใด ! “
“ข้าจะพาท่านกลับไปยังตำหนักเจ้านาง”
“เดี๋ยวก่อน! ข้ายังไม่พร้อม!”
“ท่านคือเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม” อินทร์แปงกล่าวเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าท่านพร้อมหรือไม่ ท่านต้องไป”
“ข้าอยากปฏิเสธได้ก่อ?”
“บ่ะได้”
“ คำตอบจะอี้แหมละน่าเบื่อ! ก้าย ๆๆๆ “
อินทร์แปงยืนกอดอก มองแสงคำพลางหัวเราะ “เจ้าเป็นเจ้านางสร้อยคำจริง ๆ ด้วยสินะ พวกข้ารอท่านมานานมากแล้ว ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ตามหาถึงหมู่บ้านดงขมิ้น”
“ข้ากำลังจะเป็นบ้าต่างหาก!” แสงคำตวาดแวด
บุญปั๋นตบบ่าเธอเบา ๆ “ถ้าเจ้าเป็นเจ้านางจริง ๆ เจ้าคงมีข้าทาสบริวารเต็มไปหมดเลยสิ”
“ข้าหรือ? ข้ากำลังจะเป็นคนที่ถูกพาตัวไปอยู่ในตำหนักที่ข้าไม่รู้จักน่ะก่ะ ดีบ่ะดีเขาจะเอาข้าไปฆ่าก่อบ่ะฮู้!”
จันทร์ผาพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้ากำลังจะเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเอง”
“ข้าบ่ะอยากเผชิญ!”
อินทร์แปงยิ้มอินดู แต่สายตาของเขาจริงจังขึ้น
“แต่ท่านไม่มีทางเลือกแล้ว”
“โอ้ยยย! นี่มันขู่บังคับกันแต้ ๆ เลือดเย็นที่สุด ไหนบอกว่าเป็นลูกข้าไง! เจ้าเป็นลูกทรพีกา ?”
“ข้าว่าเจ้าเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป แต่เดี๋ยวค่อยอธิบาย เรารีบไปกันก่อนที่พวกผีกองกอยจะเข้ามาดูดเลือดพวกเจ้ากันเถอะ”
บุญปั๋นกระโจนเข้ามาอยู่ในกลางวงอย่างหวาดกลัว
“เจ้าจะให้ข้าไปเดี๋ยวนี้เลยเรอะ??”
“ใช่”
“แล้วข้าจะทำยังไง?”
“ท่านเพียงแค่เดินเข้าไป”
“แล้วข้าจะรู้ทุกอย่างเลยก่อ?”
“อาจจะ”
“อ้าว ! อาจจะ! หมายความว่ายังบ่ะแน่นอนอิ๊กา ?”
“ท่านต้องลองดูเอง”
“เหอะ! ข้าอยากจะเป็นหมูในคอก กิ๋นแล้วนอน บ่าต้องมารับรู้อะหยังสักอย่าง ยังจะดีกว่ามาเป๋นเจ้านางนี่ เซ็ง ๆๆๆ !”
ชาวเมืองที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่เริ่มส่งเสียงฮือฮา ดูเหมือนพวกเขากำลังรอให้เธอก้าวไปข้างหน้า ซึ่งเป็นประตูเข้าเมืองแบบล้านนาโบราณ คนเหล่านี้คือผู้คนที่เฝ้ารอเธอมาหลายร้อยปีด้วยภักดี หากเธอทำร้ายพวกเขาจริง เธอก็ควรจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เธอเคยทำไว้
พวกเขาต้องการให้เธอกลับไปเป็นเจ้านางจริง ๆ
เธอหันไปมองแม่คำปันเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าจะได้รับคำตอบที่ดีกว่าคำว่าเจ้าต้องทำเอง
แม่คำปันสบตาเธอ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ไปเถอะ แสงคำ ไม่ใช่สิ เจ้านางสร้อยคำ”
“มันถึงเวลาแล้ว”
“แล้วแม่คำปันลอเจ้า แม่จะเข้าไปกับข้าก่อ”
แม่คำปันเดินมาตรงหน้าแสงคำ มองดูลูกสาวด้วยความรัก นางลูบผมมวยดำขลับที่เกล้าอย่างลวก ๆ อย่างรักใคร่และอาลัย
“แม่ส่งลูกได้ถึงที่นี่ หน้าที่ของแม่หมดลงแล้ว แม่ต้องปิ๊กไปหาอุ้ยคำก๋องและป้าคำปัน ลูกเข้าใจ๋แม่แม่นก่อ”
แสงคำปาดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม เธอสวมกอดแม่คำปันอยู่ครู่หนึ่งอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ หันหลังให้แม่ผู้เป็นที่รัก และค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ แต่หนักแน่น มังคละ บุญปั๋น จันทน์ผา เดินตามนางเข้าไปติด ๆ อินทร์แปงอยู่รั้งท้าย
ทุกย่างก้าวของเธอ เหมือนถูกพาเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง
เสียงรอบตัวเงียบลงทีละนิด ลมเย็นพัดผ่านราวกับกระซิบบางอย่างให้เธอฟัง
และที่เบื้องหน้า
ตำหนักเจ้านาง ตั้งตระหง่านราวกับรอคอยเธอกลับมา
อินทร์แปงรีบเดินขนาบข้างเธอ เขามองเธอด้วยสายตาลึกลับที่อ่านไม่ออก
“เจ้านางสร้อยคำ”
“อย่าเรียกข้าแบบนั้น! ขนลุกขนพอง เรียกข้าว่า แสงคำดีกว่า”
“แต่ท่านคือเจ้านาง!”
“ฮื่อตายเต๊อะ ! ข้าแค่คนธรรมดาที่บังเอิญมีอดีตลึกลับ! “
“แล้วท่านจะเข้าใจทุกอย่างในไม่ช้า”
แสงคำกัดฟันแน่น ก่อนจะมองไปยังประตูตำหนักที่เปิดกว้างออก…
และภายในนั้น
ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่
นางก้าวลงจากเรือนหลวงด้วยท่วงท่าสง่างาม ผ้าซิ่นไหมคำทอประกายทองยามต้องแสงตะวัน เสื้อไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกเหมยด้วยดิ้นทองขับผิวขาวผ่องให้เปล่งปลั่ง สไบไหมเนื้อบางเบาสีเดียวกับเสื้อพาดเฉียงไหล่ซ้าย ปิ่นทองปักผมมวยสูงประดับด้วยดอกเอื้องคำส่งให้ใบหน้างามหวานล้ำ เครื่องประดับทองคำและอัญมณีที่นางสวมใส่เปล่งประกายระยิบระยับ สะท้อนความสูงศักดิ์และสง่างามของเจ้านางแห่งนครแห่งนี้
เธอแต่งกายในชุดเจ้านางเต็มยศ ใบหน้างามสง่าแต่ทว่าเต็มไปด้วยความเศร้า
และที่น่าตกใจที่สุดคือ…
เธอมีใบหน้าเหมือนแสงคำทุกกระเบียดนิ้ว
“เฮ้ย! ภาพลวงตาแม่นก่อ ?นี่ข้ากำลังหันตัวข้าแหมคนกานิ!”
แสงคำถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก
เธอกำลังจ้องมองอดีตของตัวเองอยู่จริงหรือ?
หญิงสาวในตำหนักมองเธอกลับมา ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“เจ้า… กลับมาแล้ว”
“ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกิน”
แสงคำตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป เธอมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง
หญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนเธอราวกับเป็นคนคนเดียวกัน
เส้นผมดำขลับยาวสยายถึงเอว ผิวขาวเนียนราวกับหยก นัยน์ตาสีดำลึกล้ำ เต็มไปด้วยความโศกเศร้าปะปนไปกับความหวัง
เธอเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนเธอจากอีกโลกหนึ่ง
แสงคำก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เธอไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง
“นี่มัน… เป็นไปบ่ะได้”
มังคละ บุญปั๋น และจันทร์ผายืนตัวแข็งไม่ต่างกัน พวกเขากำลังเห็นสิ่งเดียวกับแสงคำ ร่างของหญิงสาวที่เหมือนเป็นเงาสะท้อนของเธอ
“นี่มัน…” มังคละ พึมพำ “สิ่งที่ข้าไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นกับตา”
“ข้าก็เช่นกัน” บุญปั๋นพูดเบา ๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
จันทร์ผากอดธนูไม้แน่น แม้เธอจะพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเหนือธรรมชาติยิ่งกว่าฝันร้ายใด ๆ
“นี่คือ…” จันทร์ผากระซิบ “ตัวตนของแสงคำในอดีต!”
“ข้าบ่ะเข้าใจ!”
แสงคำตะโกนออกมาในที่สุด เธอหันขวับไปมองอินทร์แปง
“ท่าน! บอกข้ามากำว่านี่คืออะหยัง?”
อินทร์แปงยืนนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยบางสิ่งที่อ่านไม่ออก
“เจ้ากำลังเผชิญหน้ากับอดีตของตนเอง”
“ข้าบ่ะอยากเผชิญแล้ว! ข้าแค่ต้องการคำตอบ!”
“แล้วเจ้ากำลังจะได้รับมัน”
“โอ้ย! ข้าจะเป็นบ้าแล้ว!”
หญิงสาวในตำหนักยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอยิ้มให้แสงคำอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยกมือขึ้นช้า ๆ
“อย่ากลัวเลย”
“ข้าคือเจ้า”
“เอ่อ ! อันนี้ข้ารับได้ เพราะเจ้าหน้าตาดี รูปร่างดีเหมือนข้าเป๊ะ”
“ข้าคือเจ้านางสร้อยคำ… ในวันที่เวียงแสนพรหมยังรุ่งเรือง”
เธอก้าวเข้ามาใกล้ แต่แสงคำถอยหลังไปอีกก้าวอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่! นี่มันบ้าไปแล้ว!”
“เจ้าไม่ต้องกลัว” หญิงสาวพูดเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ได้มาทำร้ายเจ้า”
“แต่ข้าเริ่มรู้สึกว่าข้าจะทำร้ายตัวเอง!”
อินทร์แปงที่ยืนอยู่ด้านข้างก้าวเข้ามา เขามองหญิงสาวที่คล้ายแสงคำด้วยสายตาแน่วแน่
“เจ้านาง… นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการหรือ?”
หญิงสาวหันมามองเขา สายตาของเธอเต็มไปด้วยความคุ้นเคย
“อินทร์แปง…” เธอพึมพำ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
อินทร์แปงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น
“ข้ารอท่านกลับมาเสมอ… เจ้านาง”
แสงคำแทบหยุดหายใจ ภาพตรงหน้ามันเหนือความเข้าใจเกินไปแล้ว
“เดี๋ยวก่อน! ข้าขอพักสมองสักครึ่งวันได้ก่อ?”
หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปหาแสงคำ
“มาเถอะ!!”
“จะพาข้าไปไหน?”
“กลับไปดูอดีตของเจ้า”
“ข้าต้องไปดูอะหยังแหมกา ?”
“หากเจ้าอยากรู้ความจริง… เจ้าต้องเห็นมันเอง”
“โธ่ เว้ย ! ทำไมข้าถึงปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย?”
หญิงสาวในตำหนักยิ้มอ่อนโยน ก่อนที่ทุกสิ่งรอบตัวจะเริ่มเปลี่ยนแปลง
พื้นดินสั่นสะเทือน ม่านหมอกสีทองค่อย ๆ ปรากฏขึ้นกลางตำหนัก
ภาพตรงหน้าของแสงคำ… ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
เสียงดนตรีโบราณดังแว่ว เสียงหัวเราะของผู้คนเริ่มดังก้อง
และแล้ว… เธอก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในตำหนักเดิมอีกต่อไป
เวียงแสนพรหมในวันที่ยังไม่ล่มสลาย ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอยืนอยู่บนระเบียงสูงของตำหนัก เบื้องล่างคือพระราชวังอันกว้างใหญ่
ลานพิธีถูกประดับด้วยธงหลากสี ทหารในชุดเกราะยืนเรียงกันเป็นแถว
และตรงกลางลาน
คือร่างของเจ้านางสร้อยคำในอดีต
เธอสวมอาภรณ์สีทองอร่าม ศีรษะประดับมงกุฎทองคำ
เธอยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
และรอบตัวเธอ… คือบรรดาเหล่าขุนนางที่กำลังก้มศีรษะลงต่อเธอ
“นั่นอะไร ?…เหลือจะเชื่อ !!”
แสงคำกระซิบเบา ๆ เธอไม่อยากเชื่อในสิ่งที่กำลังเห็น
เธอเป็นเจ้านางจริง ๆ งั้นหรือ?
เธอเป็นผู้ปกครองเมืองนี้จริง ๆ หรือ?
และ… เธอเป็นคนทำให้มันล่มสลายจริง ๆ หรือ?
หญิงสาวในอดีตค่อย ๆ หันมาสบตากับเธอ รอยยิ้มของนางยังคงอ่อนโยน
“เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม?”
“จำนนด้วยหลักฐานคาตาขนาดนี้ ข้าคือเจ้าจริง ๆแหล่ะ”
“และเจ้ากำลังจะรู้ว่าเจ้าทำอะไรไว้ในตอนนั้นในบัดนี้ ! “
แสงคำหายใจหอบ เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมจะรับรู้ความจริงหรือไม่
แต่ไม่ว่าเธอจะพร้อมหรือไม่
อดีตกำลังจะเปิดเผยความลับทั้งหมดให้เธอได้เห็น
“ข้าไม่แน่ใจว่าข้าอยากรู้!”
“แต่มาถึงขนาดนี้ละ เอาเป็นว่าเจ้านางสร้อยคำคนงาม เจ้าจะทำอะไรก็รีบทำเถอะ ข้าเสียเวลามามากพอแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ”
สิ้นเสียงพูด ทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ทันตั้งตัว หมอกจากไหนไม่รู้ปกคลุมจนมองไม่เห็นอะไร มีแต่เสียงดังครืนนน ราวกับฝนจะตก
แสงคำร้องลั่น แต่ไม่มีใครตอบเธออีกแล้ว
เพราะตอนนี้… เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเวียงแสนพรหมที่ล่มสลายอีกต่อไป
แต่เธอ… อยู่ในเวียงแสนพรหมที่ยังมีชีวิต
เสียงฆ้องกังวานดังก้องไปทั่วลานพระราชวัง
แสงคำหันไปมองรอบตัว ภาพตรงหน้าทำให้เธอแทบลืมหายใจ
เวียงแสนพรหมในอดีต สวยงามและยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้
เจดีย์สีทองอร่ามตระหง่านอยู่กลางเมือง แสงแดดสะท้อนบนยอดของมันจนสว่างเจิดจ้า
กำแพงเมืองสูงสง่า ตกแต่งด้วยผ้าสีสดใสจากงานเทศกาล
ถนนที่เคยรกร้าง… ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คน
พ่อค้าแม่ค้าเรียกขายของเสียงดัง เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง ทหารลาดตระเวนอย่างแข็งขัน
นี่คือเมืองที่เคยรุ่งเรือง เมืองที่เธอไม่เคยเห็น… แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
“ข้า…” แสงคำพึมพำ เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝันหรือกำลังหลงอยู่ในโลกไหนกันแน่
“เจ้าจำมันได้หรือยัง?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างเธอ
อินทร์แปงนั่นเอง แต่ครั้งนี้… เขาไม่ได้แต่งตัวแบบที่เธอเคยเห็นในโลกปัจจุบัน
เขาสวมชุดเกราะสีดำลวดลายวิจิตรของขุนพลแห่งเวียงแสนพรหม เขาดูสง่างาม แข็งแกร่ง และน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิม
“มาแบบนี้ เกือบจำไม่ได้ ดูหล่อขึ้นเป็นกองเลย”
“ข้าเป็นขุนพลของเจ้า” อินทร์แปงพูดเสียงเรียบ “ข้าเคยรับใช้เจ้า… ในฐานะขุนพลแห่งเวียงแสนพรหม”
“ข้า…” แสงคำสับสน เธออยากจะปฏิเสธ อยากจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่…
เมื่อเธอมองไปที่ตัวเอง
เธอสวมอาภรณ์เจ้านางเต็มยศ
กำไลทองพันรอบแขน มงกุฎทองประดับมณีวาววับอยู่บนศีรษะและมือของเธอ… ถือคทาแห่งอำนาจของเจ้านางเวียงแสนพรหม
“ข้าเป็น…”
“เจ้านางสร้อยคำแห่งเวียงแสนพรหม” อินทร์แปงตอบเสียงหนักแน่น
แสงคำหายใจสะดุด ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้ามองดูสิ”
อินทร์แปงผายมือไปเบื้องหน้า
แสงคำหันไป… แล้วเธอก็เห็นตัวเองในอดีต
เธอกำลังเดินลงมาจากบัลลังก์ทอง กลุ่มขุนนางและประชาชนต่างพากันก้มศีรษะถวายบังคม
ดวงตาของตัวเธอในอดีตเต็มไปด้วยความมั่นใจและอำนาจ
เธอเคยเป็นผู้ปกครองจริง ๆ
“เป็นไปได้!…” แสงคำพูดออกมาเบา ๆ “ราวกับความฝัน แต่มันคือความจริง!”
“ใช่” อินทร์แปงพยักหน้า “และเจ้าก็คือผู้ที่ตัดสินใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเวียงแสนพรหม”
“แต่ว่าที่พวกเจ้าพูดกรอกใส่หูข้ามา ข้าทำลายมันจริง ๆ หรือ?”
อินทร์แปงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดขึ้นมาช้า ๆ
“เจ้าต้องดูให้ครบ… แล้วเจ้าจะเข้าใจ”
ภาพตรงหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป
เสียงฆ้องแห่งพิธีการเงียบลง แทนที่ด้วยเสียงกระซิบของขุนนางที่ยืนประชุมกันในท้องพระโรง
“เจ้านาง” ขุนนางคนหนึ่งกล่าวขึ้น “ศัตรูกำลังเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที”
“กองทัพของเราไม่อาจต้านทานพวกมันได้นาน”
“เราต้องตัดสินใจแล้วเพคะ”
เจ้านางสร้อยคำในอดีตนั่งอยู่บนบัลลังก์ สีหน้าของเธอเยือกเย็น
“ข้ารู้” นางพูดเสียงเรียบ “แต่ข้าไม่มีวันยอมให้เวียงแสนพรหมถูกเหยียบย่ำ”
แสงคำเบิกตากว้าง เธอจ้องมองภาพของตัวเองในอดีตอย่างไม่เชื่อสายตา
“ข้าพูดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”
“ใช่” อินทร์แปงตอบ “เจ้าเคยปกป้องเมืองนี้สุดหัวใจ”
“ถ้าข้ารักมันมากขนาดนั้น… แล้วข้าทำลายมันทำไม?”
อินทร์แปงเงียบไป แววตาของเขาฉายแววเศร้า
“เจ้าจะรู้ในไม่ช้า”
ภาพรอบตัวเปลี่ยนอีกครั้ง
คราวนี้ เสียงกรีดร้องของผู้คนดังขึ้นแทนที่เสียงพูดคุยของขุนนาง
แสงคำหันขวับไปมอง แล้วเธอก็แทบจะหยุดหายใจ
เปลวเพลิงลุกไหม้ทั่วเมือง
ทหารศัตรูกรูกันเข้ามาในเขตกำแพงพระราชวัง
เสียงกลองศึกดังสนั่นไปทั่ว
และกลางกองเพลิง…
เธอเห็นตัวเองเจ้านางสร้อยคำในอดีตยืนอยู่บนกำแพงพระราชวัง
นางยกมือขึ้นสูง และเปลวเพลิงก็ลุกท่วมเมืองราวกับถูกสั่งให้เผาผลาญทุกสิ่ง
“ข้า…….ทำ… อะไรลงไป?”
เสียงของแสงคำสั่นเครือ เธอไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น
อินทร์แปงมองเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าคือคนที่ตัดสินใจเผาเมืองเอง”
“ไม่จริง! ข้าไม่มีทางทำแบบนั้น!”
“แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น”
แสงคำตัวสั่นเทา
เธอหันกลับไปมองภาพอดีตอีกครั้ง ตัวเธอเองในอดีตกำลังยืนอยู่กลางเพลิง… ด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“ทำไม… ข้าถึงทำแบบนั้น?”
“เพราะเจ้า……..เลือกแล้ว”
“เลือกอะไร?”
อินทร์แปงจ้องมองเธอ… ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้เธอแทบล้มทั้งยืน
“เจ้าเลือกที่จะเผาเมือง… ดีกว่าปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของคนทรยศ”
“…….”
แสงคำยืนนิ่ง หัวสมองว่างเปล่า ร่างกายชาไปทั้งตัว
เธอมองภาพอดีตตรงหน้า เปลวเพลิงลุกโชนไปทั่วเวียงแสนพรหม
เธอหรือตัวเธอในอดีต ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ ดวงตาเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
เสียงผู้คนกรีดร้องดังระงม แต่เธอกลับไม่แสดงความลังเลแม้แต่น้อย
“ข้าทำแบบนี้… ทำไม?”
“เพราะท่านเชื่อว่าเวียงแสนพรหมไม่ควรตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู” อินทร์แปงพูดเสียงเรียบ แต่ดวงตาของเขามีบางอย่างที่อ่านไม่ออก
“ใครคือศัตรูของข้า!”
“ท่านจะรู้เองในไม่ใช่ช้า เจ้านางสร้อยคำ”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว จะลีลายืดเยื้อให้เสียเวลาทำไม แค่เล่าให้หมดก็สิ้นเรื่อง โธ่เว้ย !”
อินทร์แปงไม่ตอบ เขาเพียงแค่จ้องมองไปยังเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ
แสงคำกำมือแน่น เธอรู้สึกเหมือนหัวใจเธอกำลังจะระเบิด
ทุกอย่างมันดูไม่สมเหตุสมผล
เธอรักเมืองนี้ เธอปกครองเมืองนี้
แล้วทำไมเธอถึงเป็นคนที่ทำลายมัน?
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้