“แม่ ! ช่วยข้าเจ้าโตย!”
เสียงของแสงคำดังลั่นขณะที่ร่างของเธอ ร่วงดิ่งลงไปในเงามืด
ลมแรงปะทะหน้า ต้นไม้สูงใหญ่เบื้องล่างพุ่งเข้ามาเร็วขึ้นทุกขณะ
“ข้าจะต้องต๋ายแน่ ๆ! ฮือ ๆๆๆ อิแม่มาช่วยข้าเวยเวย!!”
แต่แล้ว…
“ตุบ!”
แสงคำไม่ได้ตกกระแทกพื้น แต่ตกลงไปบนกิ่งไม้ใหญ่
“โอ๊ยยย!” เธอกลิ้งหลุน ๆ กระแทกกิ่งไม้หลายต่อหลายครั้ง
“โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!”
สุดท้ายเธอก็ตกลงมากองอยู่บนพื้น ในสภาพที่แทบไม่เหลือเค้าแสงคำผู้ปราดเปรียวและแข็งแกร่งเลย
“แม่คำปัน ข้าจังอิแม่ขนาดเน่อ ยะหยังบ่ะช่วยข้าเจ้าเลย!”
เสียงฝีเท้าดังมาจากข้างบน
แสงคำเงยหน้าขึ้นทันเวลา เห็นแม่คำปันกระโดดลงมาตามหลังอย่างสง่างาม ราวกับนางเป็นนกที่กำลังร่อนลงพื้น
“ตุ๊บ!”
แม่คำปันย่อตัวลงก่อนจะยืนขึ้นอย่างสงบนิ่ง สง่างาม ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
แสงคำมองตาปริบ ๆ ก่อนจะก้มดูแขนขาตัวเอง มีแต่รอยถลอกเต็มไปหมด
“บ่ะยุติธรรม! ผ่ออิแม่ยังบ่ะเป๋นอะหยัง แต่ข้ามีก้ารอยเถิก เจ็บไปหมด”
แม่คำปันมองลูกสาวที่หงายหลังลงนอนแผ่กับพื้น ก่อนจะถอนหายใจ
“เจ้าควรจะขอบคุณที่โชคดียังมีชีวิตอยู่”
“ข้าเจ้าบ่ะขอบคุณไผทั้งนั้น ข้าจังแม่ จังแมงผีบ้าตั๋วนั้น มันยะฮื่อข้าเจ็บ ฮือออ!”
แสงคำพยายามยันตัวขึ้น แต่ร่างกายปวดไปหมด
“แม่! ยะหยังต้องผลักข้าลงมา? แม่จะฆ่าข้ากา ? แม่ใจร้าย !!”
“ถ้าข้าบ่ะผลัก บ่ะยู้เจ้าลงมา เจ้าคิดว่าจะกล้ากระโดดเองก่อ?”
“เอ่อ ....ข้า....ข้าบ่อกล้า!”
“นั่นแหละคือคำตอบ”
แสงคำทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ เธอไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องโดนแม่ตัวเองโยนลงเหวแบบไม่กลัวว่าแสงคำจะบอบช้ำบาดเจ็บยังไง
“แม่โหดร้ายที่สุด!”
“เลิกโวยวายได้แล้ว” แม่คำปันพูดพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ
“เฮายังบ่ะปลอดภัยเตื้อ”
แสงคำชะงัก เธอรู้สึกถึงความเงียบที่ผิดปกติ
“แม่คำปันเจ้า… ตี้นี่คือตี้ไหน?”
แม่คำปันหันมามองเธอ ดวงตาของนางเย็นเยียบ
“ป่าดงเลือด”
แสงคำหน้าถอดสี
“หา! อันนั้นมันที่ที่บ่ะมีใครกล้าเข้าไปไม่ใช่กาเจ้า? แล้ว.....”
“แม่น”
“แล้วแม่พาข้ามาที่นี่ยิหยัง! ไหนแม่บอกจะพาข้าไปปะญาติผะกู๋นของแม่ !!”
แม่คำปันไม่ได้ตอบในทันที เธอเพียงแค่มองไปยังความมืดที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า
ก่อนจะพูดเพียงคำเดียว…
“เพราะที่นี่… มีบางสิ่งรอเจ้าอยู่”
“แม่! ข้ายังบ่ะพร้อมสำหรับเรื่องลี้ลับใด ๆ ทั้งสิ้น! ข้าบ่ะอยากฮู้ว่าข้าเป๋นไผละ แม่ปาข้าปิ๊กบ้านเต๊อะเจ้า ข้ากึ้ดเติง (คิดถึง)แม่อุ้ยคำก๋องกับป้าคำป้อตี้บ้านเฮา”
แสงคำกระซิบเสียงสั่น ขณะที่ยืนตัวแข็งอยู่กลางป่าทึบ รอบตัวมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ เถาวัลย์พันเกี่ยวกันจนดูเหมือนม่านสีดำ
“เจ้าพร้อมหรือไม่ บ่ะใจ้เรื่องที่เจ้าจะเลือกได้ ตามแม่มา”
แม่คำปันพูดเสียงเรียบ พลางก้าวเท้าเข้าไปในป่าโดยไม่รอให้ลูกสาวตั้งตัว
“แม่! ข้าบ่ะเตียว(เดิน)เข้าไปในนั้นเด็ดขาด! แมงผีบ้านั้นมันอาจรอกิ๋นเฮาสองคนตี้ฮั่น”
แม่คำปันหยุดเดิน… ก่อนจะหันมามองแสงคำด้วยสายตายากจะเข้าใจ
“ถ้าสูบ่ะโตยแม่เข้ามา… อั้นก่ออยู่ที่นี่คนเดียวก่อแล้วกั๋น”
ว่าแล้วแม่คำปันก็เดินต่อไปทันที! ไม่รีรอแม้แต่นิดเดียว!
“เฮ้ยยยย! แม่! อย่าทิ้งข้าเจ้าไว้แบบนี้!”
แสงคำวิ่งตามอย่างไว… เพราะไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการต้องอยู่คนเดียวในป่านี้
เสียงของป่าดงเลือดแตกต่างจากป่าธรรมดา…
เงียบเกินไป
ไม่มีเสียงนก ไม่มีเสียงจิ้งหรีด แม้แต่เสียงลมก็แทบไม่มี
แสงคำรู้สึกเหมือนตัวเองเดินอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่
“แม่… ข้าถามได้ก่อ?”
“ว่า?”
“ที่นี่… มันมีผีไหม?”
แม่คำปันหยุดเดิน เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“มี”
แสงคำแทบปล่อยโฮ!
“แม่! แล้วทำไมเราต้องมาเสี่ยงชีวิตกันขนาดนี้! ถามแต้ ๆ แม่พาข้ามาที่นี่เพราะอะหยัง บอกข้ากำลอ?”
“เพราะพวกมัน… อาจมีคำตอบที่เจ้ากำลังตามหา”
“อั้นเอาจะอี้ ตอนนี้ข้าบ่ะหาแล้วได้ก่อ? ข้าอยู่แบบบ่ะฮู้อะหยัง(ไม่รู้เรื่อง)เลยก็ได้!”
“บ่ะตันละ (สายไปแล้ว)”
“แม่!”
แม่คำปันไม่ได้สนใจเสียงร้องโหยหวนของลูกสาว เธอเดินต่อไป ลึกเข้าไปในป่าที่มืดครึ้มขึ้นทุกขณะ
แสงคำกัดฟันเดินตาม แต่ทุกย่างก้าวของเธอมีแต่ความหวาดระแวง
แล้วจู่ ๆ…
“ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…”
เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง!
แสงคำตัวแข็ง หัวใจแทบหยุดเต้น
“แม่…” เธอกระซิบเสียงแผ่ว
แม่คำปันไม่ตอบ เธอหยุดยืนเงียบ ๆ ราวกับกำลังเงี่ยหูฟัง
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง…
“ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…”
“โอ้ย! ข้าไม่ไหวแล้ว! ข้าจะหนีแล้วแม่!”
“ดักปาก!!เงียบ!!” แม่คำปันสั่งเสียงแข็ง
“เจ้าส่งเสียงดังไป มันจะรู้ตัวว่าเรากลัว”
“ก็ข้ากลัวจริง ๆ!”
แม่คำปันหันมามองหน้าแสงคำ ก่อนจะพูดช้า ๆ
“ถ้าเจ้ากลัว… ก็หันไปดูว่ามันคืออะไร”
“หา!”
“เจ้าจะกลัวสิ่งที่เจ้าไม่เห็นไปตลอดชีวิตหรือ?”
แสงคำเม้มปากแน่น เธอสับสนและหวาดหวั่นไปหมด
“ถ้าเจ้าไม่หันไปมอง… เจ้าก็จะกลัวมันตลอดไป” แม่คำปันพูดเสียงเรียบ
“แต่ถ้าเจ้ากล้ามองมันสักครั้ง… เจ้าจะไม่ต้องหนีมันอีก”
แสงคำสูดหายใจเข้าลึก… และหันไปมอง
เธอกลั้นใจ เตรียมพบกับสิ่งสยองขวัญที่สุดในชีวิต!
และสิ่งที่เธอเห็นคือ…
…
“ลิง!”
“เอ๊า ! นั่น...” แสงคำร้องเสียงหลง
กลางพุ่มไม้มืด มีลิงตัวหนึ่งยืนอยู่ มันถือก้อนหินเล็ก ๆ และกำลังเคาะลงบนรากไม้
“ก๊อก… ก๊อก… ก๊อก…”
แสงคำเบิกตากว้าง จากความกลัวกลายเป็นความงุนงง และขบขัน
“แม่…”
“ฮือ! อะหยัง?”
“ข้าเกือบจะหัวใจวายเพราะเจ้าลิงบ้านี่! ยะหยังบ่ะบอกข้าแต่แรก ปล่อยฮื่อข้ากลัวจ๋นหัวใจจะหลุดออกมาตังนอกละ”
แม่คำปันมองลิงตัวนั้น นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยักไหล่
“เจ้ากล้าหันไปมองแล้วนี่”“โธ่เอ้ย !! แต่มันเป็นแค่ลิง! ลิงธรรมดา”
“แต่เจ้าก่อกลัวไปก่อนแล้วบ่ะใจ้กา?”
แสงคำอ้าปากค้าง ก่อนจะตระหนักว่าแม่เธอหลอกให้เธอกล้าหันไปมองเอง
“แม่! เจ้าใช้วิธีนี้ทำให้ข้าเลิกกลัวได้ก๋า!?”
แม่คำปันยิ้มมุมปาก “ก่อได้ผลบ่ะใจ้กา?”
แสงคำหมดคำจะเถียง สุดท้ายเธอก็ได้บทเรียนสำคัญ… ว่าความกลัวส่วนใหญ่อยู่ในหัวของเธอเอง
แต่ก่อนที่เธอจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“กรรรรร….”
เสียงโทนต่ำกว่าเสียงมนุษย์ดังมาจากเงามืดอีกครั้ง…
และคราวนี้ มันไม่ใช่ลิงแน่ ๆ
หมู่บ้านดงขมิ้น....
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในเรือนของ จันทร์ผา ทำให้เปลวเทียนในห้องไหววูบ ดวงตาคมของหญิงสาวจ้องมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่
เธอมั่นใจว่าได้ปิดมันไปแล้วก่อนเข้านอน แต่ตอนนี้… บานหน้าต่างไม้เปิดอ้าออก
สายลมหนาวที่พัดเข้ามา ไม่ได้มีกลิ่นของดินชื้นเหมือนปกติ แต่กลับมีกลิ่นเหมือนเถ้าธุลี…
และที่น่าขนลุกที่สุดคือ...
เสียงกระซิบแผ่วเบา
“กลับมา... กลับมา...”
“เฮ้ย!”
จันทร์ผาผวาลุกขึ้นจากเตียง คว้าธนูที่แขวนไว้ข้างฝาโดยสัญชาตญาณ หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกจากอก
เธอหันขวับไปมองรอบห้อง แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
มีเพียง... เงาลาง ๆ บางอย่างที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวอยู่ในสายหมอกนอกหน้าต่าง
“ข้าฝันไปหรือเปล่า...?” จันทร์ผาพึมพำกับตัวเอง
เธอรีบเดินไปปิดหน้าต่าง กระชากกลอนไม้ลงมาอย่างแรง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
“เจ้าจะมาหวาดระแวงกับเรื่องไร้สาระบ่ะได้เน่อ จันทร์ผา...” เธอพยายามพูดปลอบใจตัวเอง ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนเตียง
แต่เมื่อเธอหันไปมองโต๊ะเขียนหนังสือ...
ลูกธนูที่เธอขัดไว้อย่างดี กลับร่วงหล่นกระจัดกระจายลงบนพื้น…
อีกมุมหนึ่งของหมู่บ้านดงขมิ้น…
บุญปั๋น กำลังนั่งกอดหมอนข้างแน่นอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียวราวกับเห็นผี
“ข้าได้ยินแต้ ๆ นา แม่อุ้ย! ข้าสาบานเลย!!”
“แล้วไผจะไปเถียงเจ้า...”
อุ้ยเครือ หญิงชราที่เป็นย่าของบุญปั๋นพูดขึ้นขณะคดข้าวเหนียวร้อน ๆ ใส่กระติ๊บ
“แต่ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปปีนหลังคาเขาเล่นตอนกลางคืน มันอาจบ่ะใช่ผีหรอกมันอาจเป็นบาปที่เจ้าก่อไว้ก็ได้”“เฮ้ย!! อุ้ยอย่าอู้ฮื่อข้ากลัวได้ก่อ!” บุญปั๋นร้องเสียงหลง “ข้าแค่ขึ้นไปดูดาว! บ่ะได้ไปทำร้ายผู้ใดสักหน่อย!!”
“แล้วหม้อแกงที่หายไปเมื่อคืนลอ...เอาไปยิหยัง หือ ?”
บุญปั๋นเม้มปากแน่น รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เอ่อ... แต่อุ้ย!” บุญปั๋นรีบพูด “ข้าหมายถึงเสียงนั่นต่างหาก! มันแปลกแต้ ๆนา มันน่ากลัว ข้าได้ยินเสียงกระซิบอยู่ข้างหู... ทั้งๆ ที่ข้านอนคนเดียว!”
“เสียงอะหยัง?” อุ้ยเครือหันมามองหลานชาย
“เสียงแบบ...” บุญปั๋นพยายามเลียนเสียงให้ฟัง
“กลับมา... กลับมา...”
อุ้ยเครือนิ่งไปทันที สีหน้าของหญิงชราตึงเครียดขึ้น
“อุ้ยเครือแป๋งหน้าจะอี้ อุ้ยเกยได้ยินเสียงนี้มาก่อนก๋า?”
อุ้ยเครือไม่ตอบ แต่กลับลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแน่นก่อนจะเป่าเทียนให้ดับลง
“เข้านอนได้แล้วบุญปั๋น... คืนนี้ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด !!”
มังคละ ช่างตีเหล็ก เดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำในเช้าวันถัดมา มือข้างหนึ่งกุมด้ามดาบแน่น ดวงตาจับจ้องไปยังผืนน้ำที่นิ่งสงบ
เมื่อคืน... เขาได้ยินเสียงนั้นประหลาดพูดกับตัวเขา
แต่มังคละผู้แข็งแกร่งเลือกจะเงียบ ไม่พูดเรื่องนี้กับใคร เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องภูตผี
“เสียงกระซิบของความตาย... อย่างนั้นหรือ...”
เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ...
แต่สิ่งที่เขาเห็นเมื่อคืน ทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจอีกต่อไป
ริมแม่น้ำเมื่อคืนที่ผ่านมา...
เขาเห็นบางอย่างยืนอยู่กลางผืนน้ำที่เงียบสงบ
มันเป็นร่างสีดำสูงโปร่ง... ไม่มีใบหน้า...
และมัน... จ้องมาที่เขา
มังคละเผลอกำดาบแน่นขึ้น
“ข้ากำลังกึ้ดไปเอง... หรือว่ามันมีอยู่จริงกันแน่...”
เช้าวันรุ่งขึ้น ที่ลานกว้างใต้ศาลากลางหมู่บ้าน...
จันทร์ผา บุญปั๋น และมังคละมาพบกันโดยมิได้นัดหมาย
“ตะคืน(เมื่อคืน)... เจ้าสองคนได้ยินเสียงนั่นก่อ?”
จันทร์ผาเปิดประเด็นก่อนบุญปั๋นพยักหน้าหงึกหงัก อ้าปากหาวหวอด ๆ ดวงตายังมีร่องรอยของการนอนไม่พอ
“อย่าพูดเลย! ข้าล่ะอยากเอาข้าวสารโรยรอบบ้านให้รู้แล้วรู้รอด!”
มังคละเงียบไปครู่หนึ่ง หันซ้ายหันขวา ก่อนจะพูดเสียงเข้ม
“ข้าก็ได้ยิน... แต่ที่แย่กว่าคือ มีชาวบ้านหายตัวไปอีกแล้ว”
“ว่าไงนะ!” จันทร์ผาเบิกตากว้าง
“ไผหาย?”
“พ่อของอินแก้ว” มังคละตอบ
“เขาหายไปตอนกลางคืนไม่มีเสียง ไม่มีร่องรอย มีเพียงหมอกที่หนาทึบกว่าเดิม”
ทั้งสามคนเงียบไป... ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว!” จันทร์ผาพูดขึ้น “เราต้องทำอะไรสักอย่าง!”
“แล้วเจ้าจะให้ทำหยั่งใด? ไล่ตะโกนด่าหมอกกา?”
บุญปั๋นบ่นอุบอิบ แต่สีหน้าก็เคร่งเครียดเช่นกัน
“ข้าคิดว่าเราควรไปหาคนที่เคยได้ยินเสียงนี้ก่อน” มังคละเสนอ “แม่ของแสงคำก็เกยอู้ถึงเสียงกระซิบนั่น บางทีนางอาจรู้อะไรบางอย่าง และตี้สำคัญ ข้าได้ยินเสียงนั่นมันบอกให้ข้าโตยหาแสงคำ! ข้าว่าหมู่เฮาควรลองไปตามเสียงฮั่นกั๋น”
“กรรรรร…”
เสียงแหบต่ำเย็นเยียบดังขึ้นจากเงามืด ครั้งนี้ไม่ใช่ลิง ไม่ใช่กวาง และไม่ใช่อะไรที่ควรอยู่ในป่าธรรมดาแน่ ๆ
แสงคำกลืนน้ำลายลงคอ เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วแผ่นหลัง
“มะ มะ…แม่” เธอกระซิบเบา ๆ
“หืม?” แม่คำปันยังคงสงบเหมือนเดิม ดูราวกับเสียงประหลาดที่พวกเธอเพิ่งได้ยินเป็นแค่เสียงจิ้งหรีดร้องเท่านั้น
“เสียงอะหยังน่ะ…”
“ก็คือสิ่งที่ข้ากำลังพาเจ้ามาเจอ”
“หา! ญาติผะกู๋นเฮาบ่ะใจ้คนกาอั้น !” แสงคำแทบกรี๊ด
“แม่! ข้ายังไม่ได้เซ่นไหว้ผีปู่ย่า ข้ายังไม่ได้กินข้าวมื้อสุดท้าย ข้ายังไม่ได้ทำยาแก้เจ็บต๊องเลย ข้า…”
“เงียบ ดักก่อน !” แม่คำปันพูดเสียงเย็น
“มันกำลังฟังเราอยู่”
“ฟัง! “
แสงคำตาเบิกโพลง เธอจินตนาการไปไกลแล้วว่าตัวเองกำลังจะถูกจับกินแน่ ๆ
“แม่! ถ้ามันฟังเราอยู่ ข้าขออู้อะหยังหน้อยได้ก่อ?”
“ว่า?”
“ข้าขอโทษที่ข้าลักข้าวเหนียวกับจิ้นแห้งของอุ้ยกินตอนกลางคืน! ข้าขอโทษที่ข้าเคยแอบหนีไปเล่นน้ำในลำห้วย! ข้าขอโทษที่ข้าทำหม้อแกงของป้าแตกแล้วโยนความผิดให้แมว!”
แม่คำปันหันมามองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย
“เจ้าสารภาพบาปทำไมตอนนี้?”
“ข้ากำลังจะตาย! ข้าต้องสำนึกบาป สารภาพว่าตั๋วข้าทำอะหยังบ่ะดีไว้พ่องก่อนตาย!”
“เจ้าจะยังบ่ะตาย”
“แน่ใจนาเจ้าแม่ ?”
แสงคำถามแม่คำปันด้วยความแคลงใจ
แม่คำปันอมยิ้ม แต่สายตานางวาวโรจน์ ราวกับมั่นใจอะไรบางอย่าง
“แน่ใจ๋…….”
“เพราะมันยังไม่ออกมาเตื้อ” สิ้นเสียงพูดของแม่คำปัน
“กรรรรร….”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใกล้ขึ้นกว่าเดิม!
แสงคำตัวแข็งทื่อ เธอเริ่มสวดมนต์ในใจ
อย่าออกมา… อย่าออกมา…
แล้วมันก็… ออกมา“!!”
พุ่มไม้ตรงหน้าค่อย ๆ แหวกออก
ร่างสีดำทะมึนค่อย ๆ เคลื่อนออกมาในแสงสลัว
มันสูงใหญ่ ตัวตนของมันเหมือนเงาที่มีชีวิต
ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องตรงมายังแสงคำ
แสงคำกลั้นหายใจ มือไม้เย็นเฉียบ
“แม่…”
“อะหยัง?”
“ข้าขอเป็นลมได้ก่อ?”
“บ่ะได้ ! ตั้งสติฮื่อดีแสงคำ !“
“ถ้างั้นข้าขอหนีเลยได้ก่อ!?”
“ก่อบ่ะได้”
“ถ้าอั้นข้าต้องยะอะหยัง ?ขะใจ๋บอกข้า แม่แกล้งข้าแม่นก่อ ?”
แม่คำปันยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย…
“ทักทายมันลอ ! อู้กับมัน!”
“หา!”
“บ่ะต้องกลัว ตั้งสติให้มั่น หายใจลึก ๆ แล้วเข้าไปทักทายมัน”
คำพูดของแม่คำปันดังเข้าหูแสงคำ เหมือนเป็นประโยคปกติที่ใช้ทักทายพูดคุยกับคนข้างบ้าน
แต่ขอโทษเถอะ!มันไม่ใช่คนข้างบ้าน!
มัน คือร่างเงาสูงทะมึนที่เต็มไปด้วยความมืด
มัน มีดวงตาสีแดงฉานที่มองตรงมาหาเธอ
มัน มีมือยาวเกินมนุษย์ และนิ้วมือที่เรียวแหลมราวกับกรงเล็บ
และแม่เธอบอกให้ทักทายมัน!
“แม่! สีท่าแม่จะบ้าไปแล้วแม่นก่อ บ่ะเอาข้าบ่ะทักทายไผ!กรี๊ดดดดดด!!!”
“เจ้าจะกรีดร้องยิหยังล่ะ” แม่คำปันถอนหายใจ “ข้าบอกให้เจ้าทักทายมันเฉย ๆ”
“แต่นี่มันเป๋นผี! ข้าจะทักทายมันไปยะหยัง!”
“เพราะมันยืนรอให้เจ้าทักทายอยู่ฮั่นลอ (อยู่ตรงนั้น)“
แสงคำชะงัก เธอหันไปมองสิ่งนั้นอีกครั้ง
จริงด้วย… มันไม่ขยับไปไหนเลย
มันแค่ ยืนอยู่เฉย ๆ
เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
แสงคำกลืนน้ำลายลงคอ เหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง
“ข้า… ข้าต้องอู้อะหยังกับมัน?”
“ก็เข้าไปใกล้ ๆ มัน ทักทายปกติ ทำใจกล้าเข้าไว้ ตอนนั้นเจ้ายังหนีไปป่าดงเลือดคนเดียวเลย”
“อ่า…” แสงคำสูดหายใจลึก ก่อนจะยกมือขึ้นแผ่วเบา
“สวัสดีเจ้า ยะหยังอยู่น่ะ สบายดีก่อเจ้า ?”
เงานั้นไม่ตอบ
แต่ดวงตาสีแดงคู่นั้น… กระพริบช้า ๆ
“ข้า… ข้าต้องอู้อะหยังต่อ?” แสงคำกระซิบถามแม่
“ถามมันว่ามันชื่ออะหยัง”
“แม่! นี่ข้าบ่ะได้มางานพบปะเพื่อนใหม่แปลกหน้านา !”
“ถ้าเจ้าอยากรู้ว่าเรามาทำยะหยังกั๋นที่นี่ เจ้าก่อต้องกล้าถาม”
แสงคำหายใจเข้าออกถี่ ๆ เธออยากหนีไปให้ไกล ๆ แต่แม่คำปันยืนกอดอกอย่างสงบ จ้องมองเงานั้นราวกับกำลังรอคำตอบ
โอ้ยยย! ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว!
แสงคำสูดหายใจอีกครั้ง… ก่อนจะพูดออกไปเสียงสั่น
“เจ้าชื่ออะหยัง?”
เงานั้น… ขยับแล้ว!
“เจ้าชื่ออะหยัง?เจ้าเป๋นไผ? ออ!! รู้ละ! หรือว่าเจ้าเป็นญาติของข้า คนตี้แม่คำปันบอกจะพามาหา?”เสียงของแสงคำสั่นเครือ เบือนหน้าหนีทันทีที่ถามจบ เธอกลั้นใจรอฟังคำตอบ… ถ้ามันจะตอบเงาดำทะมึน ยืนนิ่งเงียบ!เงียบมาก!เงียบจนน่าขนลุก เงียบจนแสงคำเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าและจากนั้น… มันก็ขยับ“……”ริมฝีปากที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัด ค่อย ๆ ขยับขึ้นราวกับกำลังเปล่งเสียงแสงคำเบิกตากว้างแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย“เฮ้ย!” แสงคำสะดุ้ง ขนแขนกระทั่งผมลุกชัน“มันจะพูด หรือมันจะสวาปามกลืนข้าลงท้องกันแน่ บรึ๊ยย! “แม่คำปันยืนกอดอก มองเงานั้นอย่างสงบ“ดูเหมือนว่ามันอยากจะตอบ แต่ตอบไม่ได้”“หา! ผีติดอ่างอั้นกาเจ้าแม่?”แม่คำปันถอนหายใจส่ายหัวเบา ๆ“มันบ่ะได้ติดอ่าง”เธอหันไปมองเงาดำ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ“เจ้าถูกปิดปากใช่หรือไม่?”ทันใดนั้นเงานั้นขยับตัวอย่างรุนแรง!“อึก… กรรรร…”เสียงแหบพร่าดังลอดออกมาจากเงาดำนั้น ราวกับว่ามันกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่างร่างของมันสั่นสะท้าน เหมือนกำลังดิ้นรนต่อสู้กับบางสิ่งที่มองไม่เห็นแสงคำตัวแข็งทื่อ เธอรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงผิดปกติ
“โอ๊ย!ข้าบ่ะอยากเป็นนักรบ! ข้าอยากปิ๊กบ้านไปนึ่งข้าวเผาปลาให้อุ้ยคำก๋องกิ๋นลำ ๆ ฮึ !นี่แน่ะ ๆ ต๋ายไปให้หมด หมู่ผีบ้า!”แสงคำกรีดร้องขณะที่เหวี่ยงท่อนไม้ไปมา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความสับสนและความหวาดกลัวสุดขีด“เจ้ามีทางเลือกก๋า”มังคละตะโกน ก่อนจะฟันดาบเหล็กใส่ร่างประหลาดอีกตัวที่พุ่งเข้ามาฟั่บ!“ข้าบ่ะอยากเลือกอะไรทั้งนั้น!”“งั้นเจ้าก่อเลือกเป็นข้าวต้มกล้วยใส่ถั่วดำสำหรับพวกมันเหียเต๊อะ น่าจะดีที่สุด !”“ฮึบ! ข้าจะตีแล้วนะ!”แสงคำตั้งท่ายืนให้มั่นแล้วตวัดท่อนไม้เต็มแรง“ปั่ก!”ไม้ฟาดเข้ากลางหน้าของร่างประหลาดตัวหนึ่ง เสียงกระแทกดังสะใจ ก่อนที่มันจะกระเด็นไปกลิ้งลงข้างทาง“เฮ้ย !นี่ข้าทำได้แหมแล้วกานิ!”“ข้าว่าเจ้าอาจมีพรสวรรค์ด้านการตีหัวคน”บุญปั๋นพูดขึ้น ขณะที่ใช้หอกจ้วงแทงศัตรูที่ใกล้เข้ามา“ข้าไม่ต้องการพรสวรรค์แบบนี้!”“แต่เจ้าใช้มันได้ดี” จันทร์ผาเสริมพลางยิงลูกธนูใส่เป้าหมายที่พุ่งมาจากอีกด้าน“ข้าขอพรสวรรค์ในการนึ่งข้าวให้นุ่มกว่านี้ได้ก่อ?”มังคละหัวเราะเสียงดัง“ไม่ได้แล้วล่ะ! ตอนนี้เจ้าเป็นนักรบไปแล้ว!”แสงคำหน้าบิดเบี้ยว “ฮึ!ข้าบ่ะอยากเป็น!”“งั้นก็ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ ยอ
“กู้เวียงแสนพรหม?”แสงคำแทบสำลักอากาศ นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกแล้วเธอกลับมาที่เวียงแสนพรหม เมืองที่เธอเคยทำลายเธอคือเจ้านาง ผู้ที่ถูกจดจำเธอมีลูกชาย และเขากำลังบอกให้เธอกู้คืนเมืองนี้“นี่ข้าต้องเป็นเจ้านางคนนั้นแต้ ๆ กานิ?”เธอหันขวับไปมองอินทร์แปง หวังว่าจะได้รับคำอธิบายดี ๆ สักอย่างแม่คำปันยืนกอดอก สีหน้าของนางนิ่งสนิทราวกับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว“แม่!” แสงคำเรียกเสียงหลง “ข้าเจ้าควรจะทำจะใดดี?”“เจ้าเป็นเจ้านาง” แม่คำปันตอบสั้น ๆ “เจ้าต้องตัดสินใจเอง”“เฮ้อ! ขอเต๊อะบ่ะเอาคำตอบแบบนี้ได้ก่อ!”“ใจเย็นก่อน เจ้านางสร้อยคำ”เสียงทุ้มของอินทร์แปงดังขึ้น เขามองแสงคำด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น“ท่านอาจจำอะไรไม่ได้ แต่ข้ามั่นใจว่า… ความรู้สึกของท่านที่มีต่อเวียงแสนพรหม ยังไม่เปลี่ยนไป”“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร!”แสงคำพยายามจะถอยหนี แต่ทุกสายตารอบตัวกลับจับจ้องเธออย่างแน่วแน่ชาวเมืองมองเธอเหมือนเป็นความหวังอินทร์แปงมองเธอเหมือนเป็นคำตอบอินทร์แปงมองเธอเหมือนเป็นปริศนาที่เธอต้องแก้ให้ได้เองและที่สำคัญที่สุดเธอเองก็มองตัวเองไม่ออกว่
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
“เจ้าว่าตอนนี้หมู่เฮาบ่ะต้องเจอผีสางปีศาจแหมแล้วแม่นก่อ?”เสียงของมังคละถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่วิหารศิลากัลป์จบลง ทุกคนกลับมารวมตัวกันในหอเจ้านาง เพื่อหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น“ข้าว่ามันหยั่งใดบ่ะฮู้” มังคละพูดต่อ “ถ้ามันจบแต้แล้ว ยิหยังตราศิลากัลป์ถึงยังมีแสงแดงส่องวาบเป็นระยะล่ะ?”แสงคำมองไปที่ตราศิลากัลป์ที่วางอยู่บนพาน แสงสีแดงริบหรี่นั้นยังคงเต้นระยิบระยับ ราวกับบางสิ่งกำลังรอจังหวะปะทุอีกครั้ง“เจ้ามันกึ้ดนัก(คิดมาก)ไปเองหรอกมังคละ?” บุญปั๋นพูดพลางขยับตัวออกห่างจากพานเล็กน้อย “อย่าให้มันมีเรื่องอีกเลยเถอะ… ข้าขออยู่แบบสงบ ๆ สักสองวันก็ยังดี!”“ข้าว่า… มังคละอาจพูดถูก” เจ้าเมืองศิลป์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิญญาณของเจ้ามหาคำหลวงอาจหลุดพ้นแล้ว… แต่คำสาปนั้น…”“ยังไม่หมดไป” แสงคำพูดเสียงแผ่ว สายตาแน่วแน่จ้องตราศิลากัลป์ไม่กะพริบป้าคำป้อที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันพูดขึ้นว่า...“ยังมีวิญญาณอีกดวง… ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย”“ใครอีกล่ะป้า!?” บุญปั๋นร้อง “ข้าขนลุกหมดแล้วนะ!”“ข้ากำลังจะบอกว่า…” ป้าคำป้อหันมาสบตาทุกคน “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปนี้
“ข้าไม่ชอบเลย…” แสงคำพึมพำ “หมอกนี้… มันแปลกเกินไป”“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เจ้าเมืองศิลป์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ “ข้าว่า… มันไม่ได้เป็นหมอกธรรมดา”แสงคำยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเวียงแสนพรหม สายตาจ้องมองไปยังทิวเขาที่เคยสว่างไสว แต่ตอนนี้ถูกหมอกทึบปกคลุมจนมืดครึ้มราวกับหุบเขาปีศาจเวียงแสนพรหมในตอนรุ่งเช้า...หมอกหนาจัดแผ่ปกคลุมทั่ว ราวกับม่านสีเทาหนาเตอะที่บดบังทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง “ข้าก็ว่าแบบนั้น” จันทน์ผาเสริม “หมอกนี้มีกลิ่นเหมือนควันธูปจาง ๆ ด้วย…”“แล้วพวกเจ้าคิดว่า…” มังคละเอ่ยเสียงเครียด “หมอกนี้มันเกี่ยวกับอสุราแห่งคำสาปก่อ?”“ถ้ามันใช่…” บุญปั๋นพึมพำ “งั้นหมอกนี่… อาจไม่ใช่แค่หมอกก็ได้…”พวกเขาเก็บความสงสัยไว้ และนำเรื่องที่มาปรึกษากันในเรือนพักของแสงคำ ขณะที่กำลังแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าเรือนพัก ทุกคนสะดุ้งพร้อมหันไปมองทันที“ไผน่ะ?” แสงคำเอ่ยถาม“ข้าเอง…” เสียงของชายชราสั่นเครือดังลอดเข้ามา “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเจ้า…”เมื่อประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาด“ท่าน
“โหหห…วับวิบละลานตาข้าขนาด!”บุญปั๋นถึงกับหลุดคำอุทาน เมื่อสายตากวาดผ่านห้องสมบัติเก่าแก่ตรงหน้าทองคำแท่งเรียงซ้อนเป็นชั้น เหรียญเงินโบราณที่มีตราสัญลักษณ์ประหลาด อัญมณีที่ส่องแสงเยือกเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งมาร้อยปี ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แสงคบเพลิงที่ไม่รู้จุดขึ้นเองได้ยังไง...เขาเดินเข้าไปช้าๆ หัวใจเต้นตุบตับแต่ยังไม่ทันได้แตะสมบัติ...เสียงเย็นเยียบ กังวาน ราวกับลมพัดจากปล่องนรก ดังขึ้นจากมุมมืดของห้อง“ข้า... ยังไม่อนุญาต...”เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่หนักแน่นจนพื้นสะเทือนบุญปั๋นสะดุ้ง หันขวับไปทางเสียง เหงื่อแตกซิกจากเงาดำมืดหลังเสาไม้ผุ เงาตะคุ่มรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏ ดวงตาสีแดงฉาน ลุกโชนราวกับถ่านไฟเขาก้าวออกมาช้าๆ ผ้าคลุมสีดำยาวลากพื้น ไหลลมไม่มีลมพัดฝ่าเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น... เขาลอยศรีพงษา... ปรากฏกาย“เฮ้ย !! ศรีพงษา? มาได้หยั่งใด เจ้าต๋ายไปแล้วบ่ะใจ้กา ”“แล้วใคร... บอกเจ้าว่าความตายจะหยุดข้าได้?”เสียงศรีพงษาเยือกเย็น แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยแววโกรธแค้นสะสมพันปี“ข้า... รักษาขุมทรัพย์นี้ไว้ด้วยชีวิต และแม้แต่หลังความตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะ!”บุญปั๋นถอยหลังจนสะดุดกองทอง มือไม้
เวียงแสนพรหม คืนสู่ความสงบอีกครั้งหลังจากพายุแห่งความวุ่นวายผ่านพ้นไป...แสงคำยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ส่องแสงนวลตา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลแม้เจ้าเมืองศิลป์จะฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว... แต่บางอย่างยังคงคลุมเครือและดูเหมือนความกังวลนี้จะทำให้แสงคำเครียดยิ่งขึ้น“ข้าว่าข้าควรดีใจที่เรื่องมันจบแล้วนะ…” แสงคำพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“แต่ใจข้ายังรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่”“ข้าก็เหมือนกัน” เอื้องฟ้า ซึ่งในชาติปัจจุบันคือป้าคำป้อของเธอเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มัน… ง่ายเกินไป”“โอยน่อ !” มังคละร้องเสียงหลง “นี่เจ้ายังคิดว่าเรื่องมันง่ายอยู่แหมกานิ!”“แม่น” เอื้องฟ้าตอบจริงจัง “ข้าว่ามีบางอย่าง… ที่หมู่เฮายังบ่ะฮู้กั๋นแต้เตื้อ”“เจ้าอย่ามาหลอกข้านักนา!” บุญปั๋นร้องลั่น “ข้าอิดข้าเหนื่อยจ๋นจะเป็นลมแล้วเนี่ย!”“แล้วถ้ามันยังมีอะหยังโผล่มาแหม เจ้าจะเยียะจะใด จะทำยังไง ฮือ พ่อหนุ่มนักหนี?” เอื้องฟ้าเลิกคิ้ว“ก็… ก็…” บุญปั๋นหันไปมองจันทน์ผาที่หน้าเริ่มซีดไม่แพ้กัน“ข้า… ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าไง”“เฮ้ย!” จันทน์ผาแหวเสียงสูง “ใครอยากเป็นโล่ให้เจ้ากันเล่า!”“พอ ๆ เถอะ!” แสงคำตวาดขึ้นพลางตบมือดังป
“ระวังฮื่อดี !”คำพูดของอุ้ยคำก๋องดังก้องอยู่ในหัวของแสงคำ ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่บอกว่าเรื่องเลวร้ายยังไม่จบ“ห้ะ! “ แสงคำร้องเสียงหลง “ก่อตะกี้ศรีพงษาโดนข้าสลายร่างเป๋นปุ๋ยไปแล้วบ่ะใจ้กาเจ้าแม่อุ้ย?”“แม่น” อุ้ยคำก๋องพยักหน้า “แต่ศรีพงษาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น”“เบี้ยตัวหนึ่ง หมายถึงลูกหาบลูกน้องแม่นก่อเจ้า เอ่อนั่น ! ไปกั๋นใหญ่ละทีนี้?”แสงคำอ้าปากค้าง “แล้วตัวจริงมันเป๋นไผเจ้าแม่อุ้ย?”อุ้ยคำก๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ…“ตัวจริง… คือปีศาจที่หลับใหลอยู่ใต้วิหารศิลากัลป์นี้”“และมันกำลังจะตื่นขึ้นมา”“โอ้ย! อะหยังแหมล่ะเนี่ย!” แสงคำโอดครวญพลางขยุ้มผมตัวเอง“ข้าแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาที่อยากปิ๊กบ้านไปกิ๋นข้าวกับแม่อุ้ยคำก๋อง! ยะหยังต้องมาสู้กับปีศาจโตยกา?”“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาอีกแล้ว” เอื้องฟ้าแทรกขึ้น “เจ้าคือผู้ที่สืบสายเลือดเจ้านางแห่งเวียงแสนพรหม…”“และเจ้านั่นแหละ…” อุ้ยคำก๋องเสริมเสียงหนักแน่น“ต้องเป๋นเจ้านางสร้อยคำเต้าอั้นที่จะหยุดปีศาจตนนั้นได้”“โอ๊ย! ทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่ข้าด้วย!”“เพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมา”“เฮอะ !” แสงคำหันขวับไปทางอุ้ยคำก๋อง “
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ…”“…เพราะมันกำลังมา”เสียงกระซิบจากเงามืด… ฟังดูทั้งแผ่วเบาและน่าขนลุกจนทุกคนเย็นวาบไปทั้งตัว“อะหยังแหมเหมาะ! ไผแหมล่ะเนี่ย? มาติก ๆ บ่ะฮู้จักจบจักสิ้น”แสงคำบ่นปนเดือดดาล ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด“ป้อเฒ่ามันก่ะ ! นี่มันจะมีผีกี่ตั๋วกันแน่?”มังคละมองซ้ายมองขวา “ข้าว่าข้าจะเริ่มนับจำนวนผีไว้แล้วนะ… นี่ตัวที่หนึ่งร้อยห้าแม่นก่อ?”“หนึ่งร้อยหกแล้วจ้า” บุญปั๋นเสริมหน้าตาย “ข้านับมาตั้งแต่ที่หมู่บ้านแล้ว”“เอ่อ… พวกเจ้าช่วยเครียดกับข้าพ่องได้ก่อ?”อินทร์แปงเอนตัวพิงกำแพง ร่างของเขาอ่อนแรงจากการใช้พลังมหาศาลในการสู้เมื่อครู่“เสียงเมื่อกี้…”เขาพูดช้า ๆ พลางหายใจแรง“มันไม่ใช่เสียงของเสนาบดีศรีพงษาแน่นอน”“ข้าเห็นด้วย”จันทน์ผาพยักหน้า “เสียงนี้… ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่อยู่มานาน… นานยิ่งกว่าศรีพงษาเสียอีก”“ปั๊ดโทะ?”แสงคำเบิกตาโต“อย่าบอกนะว่าเรากำลังรับมือกับตัวร้ายตำนานตัวป้อตัวแม่ ที่เป๋นตัวต้นตระกูลสิ่งชั่วร้ายของทั้งหมด ขั้นสูงสุด อะหยังสักอย่างน่ะ!”มังคละถอนหายใจหนัก ๆ“ข้าว่าตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในเวียงแสนพรหม… ชีวิตเจ้าก็เป็นตำนานไปแล
“เจ้าก็ยังไม่ลืมข้าจริง ๆ”คำพูดของเจ้าทิพย์อมร ยังคงดังก้องในหูของแสงคำเธอยืนหอบหายใจ เหงื่อชื้นไหลซึมอยู่บนใบหน้า แม้ปีศาจเสือดำจะหายไปแล้ว แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือน… มันยังไม่จบ“ข้าว่า… เราควรกลับไปพักก่อนดีไหม?”มังคละเอ่ยขึ้น ดวงตาของเขามองแสงคำด้วยความเป็นห่วง“ข้าก็คิดแบบนั้น”บุญปั๋นพยักหน้า“ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราเพิ่งวิ่งหนีผีมาเป็นร้อยเป็นพันตัว”“พวกเจ้าลืมไปหรือว่า…”จันทน์ผาแทรกขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ“เรื่องนี้… ยังไม่จบ”“จบสิ!”แสงคำโพล่งขึ้นมาทันที“ข้าปราบปีศาจไปแล้วนะ! เห็นกับตาแล้วว่าเจ้าอสุรกายดำ ๆ ผีเสือดำตัวเหม็นสาบ นั่น แหลกเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว!”“แต่เจ้าเคยเห็นอะหยังในชีวิตนี้… ที่ง่ายขนาดนั้นก๋า?” จันทน์ผาเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเธอแฝงความไม่ไว้ใจเต็มที่“เอ่อ…” แสงคำอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ก็จริง… ตั้งแต่มาเวียงแสนพรหม ไม่มีอะไรสักอย่างที่ง่ายเลยเจ้าทิพย์อมรยังยืนมองพวกเธออยู่จากมุมห้อง สายตาของเขายังเต็มไปด้วยเจ้าเล่ห์และบางอย่างที่คาดเดาได้ยาก“เจ้านาง…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“เจ้าจำข้าได้จริง ๆ ใช่ไหม?”“เจ้าก่อดายพร่ำแต่ถา
“อิ๊! กลิ่นอะหยังบ่ะฮู้!” บุญปั๋นยกแขนปิดจมูกทันทีกลิ่นที่บุญปั๋นพูด มาจากภายในห้องนั้นซึ่งมืดสนิทรไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดรอดเข้าไปได้ อินทร์แปงยกคบเพลิงเข้าไปใกล้ ช่องว่างระหว่างบานประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่ง......บางสิ่งที่ขยับได้“เฮ้ย ๆๆๆ ผ่อฮั่น! มีอะหยังอยู่ในนั้น!” บุญปั๋นร้องเสียงหลงดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง... ค่อย ๆ เปิดขึ้นจากความมืด“เจ้ามาแล้วสินะ... เจ้านางของข้า”“ฟึ่บบบบ!”จู่ ๆ เงามืดในคุกใต้ดินก็มีบางสิ่งเคลื่อนไหวและร่างของใครบางคน… ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากความมืดแสงจากคบเพลิงกระพริบไหว ราวกับไม่อยากส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแต่แสงคำรู้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้คือเขาที่อินทร์แปงพูดถึงนักโทษที่ถูกขังอยู่ใต้ดินผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอในอดีตและอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด“เจ้ามาแล้ว…”เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้ขนลุก“ข้ารอเจ้านานเหลือเกิน… เจ้านางของข้า”แสงคำหายใจสะดุด เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงให้อยู่กับที่เธอจ้องมองบุคคลปริศนาตรงหน้า… แต่เงามืดบดบังใบหน้าของเขาไว้เกือบหมด“เจ้าคือใคร?” เธอถามเสียงสั่นแม้ในความมืดก็รู้ได้ว่าชา
“มันต้องมีเหตุผลอื่น…”“มันต้องมีใครบางคนทำให้ข้าต้องเลือกแบบนี้!”“ถูกต้อง”เสียงของอินทร์แปงเยือกเย็น เขาหันมามองแสงคำอย่างจริงจัง“และเจ้าจะได้เห็นว่า… ใครคือคนที่ทำให้เจ้าเลือกทางนี้”แสงคำกลืนน้ำลาย เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่แสงคำหลับตาลง ทำดวงจิตให้นิ่ง ภาพในอดีตถูกฉาย เธอเห็นมังคละ เคยเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเจ้านางสร้อยคำบุญปั๋น เป็นขุนนางผู้กล้าหาญที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเวียงสร้อยคำจันทน์ผา เป็นผู้คุมคลังสมบัติและเป็นผู้ดูแลเจ้านางสร้อยคำแต่เมื่อเธอมองไปที่ภาพอดีตอีกครั้งเธอเห็นตัวเองในอดีตหันไปมองใครบางคนที่ยืนอยู่กลางพระราชวังบุคคลหนึ่ง… ที่ทำให้เธอตัดสินใจเผาเมืองร่างนั้นยืนอยู่ท่ามกลางเงา สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลเธอเพ่งมอง และเมื่อร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด…เธอเห็นใบหน้าของจันทน์ผา“จันทน์ผา… เป็นคนทรยศงั้นหรือ?”แสงคำหันขวับไปมองจันทน์ผาในปัจจุบัน หญิงสาวผู้นั้นยืนนิ่ง สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาของนาง… เต็มไปด้วยบางอย่างที่ยากจะคาดเดาแสงคำหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ราวกับเธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้