เวลาเก้าโมงตรง…
ณ ห้องประชุมใหญ่ของสตูดิโอ Artis One หลังจบการประชุมคัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมโปรเจกต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับรังสรรค์ตัวละครในเกมยอดนิยม ‘Siam’s arena of valor’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘SAV’ เป็นเกมส์แนวโมบาย มีภารกิจต่างๆให้ปกป้องมรดกของไทย
อีกทั้งงานนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการท่องเที่ยว และผู้พัฒนาเกม ให้ทางสตูดิโออาร์ทติสวันช่วยออกแบบตัวละคร และภาพประกอบในฉาก ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ค่อนข้างใหญ่และสำคัญเป็นอย่างมาก
ทว่า…ดันไม่ใช่เจ้าของผลงานที่แท้จริงอย่าง ‘พรนลัท เลิศรัตนชัย’
สาวสวยหน้าหวานวัยยี่สิบสี่ปี ดีกรีมือนักวาดภาพตัวประกอบและฉากมือหนึ่งของสตูดิโอ นอกจากมีใบหน้าสวยถูกตาต้องใจหนุ่มๆหลายคนแล้ว เธอยังมีพรสวรรค์ในงานศิลปะเป็นเลิศเรียกว่าเก่งกาจหาตัวจับยาก
แต่เธอกลับโดนขโมยผลงานไปเป็นของ ‘มธุริน’ เด็กเส้นหลานสาวของท่านประธานเจ้าของสตูดิโอแห่งนี้ ลอกเลียนแบบตัวละครที่เธอออกแบบไปทั้งหมดแล้วดัดแปลงไปเป็นผลงานของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย แถมยังนำผลงานไปเสนอให้กับลูกค้าเป็นการส่วนตัว เลยทำให้หล่อนได้เป็นตัวเต็งสำหรับงานในครั้งนี้ไป
ไม่นานพอคล้อยหลังผู้เข้าประชุมที่ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับมธุริน หล่อนก็เดินเฉิดฉายแย้มยิ้มอย่างมีความสุข และเดินเข้ามาเยาะเย้ยเจ้าของผลงานที่แท้จริงอย่างพรนลัทที่กำลังเดินออกจากห้องประชุม
“ไม่คิดจะแสดงความยินดีกับมุกซักนิดหรอคะ พี่น้ำผึ้ง”
พรนลัทสงบสติอารมณ์คุกรุ่นที่อยู่ข้างใน ก่อนจะเสยผมยาวประบ่าของตัวเองลวกๆ เพื่อควบคุมแรงโทสะที่กำลังจะทะลุปรอท ขณะเดียวกัน ‘เจตนันท์’ รุ่นน้องคนสนิทที่อยู่ทีมเดียวกันต้องรีบคว้าข้อมือเล็กของเธอไว้อย่างรวดเร็ว แล้วส่ายศีรษะเป็นการห้ามปราม
“หรือว่ายังเสียใจที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของการทำโปรเจ็กต์นี้”
มธุรินยังไม่หยุดที่จะเย้ยหยันเธอ นอกจากขโมยผลงานยังกล้ามาเยาะเย้ยเธออีก
ด้านเจตนันท์ที่กำลังดึงแขนห้ามรุ่นพี่สาวคนสวยซึ่งได้ยินประโยคเย้ยหยันเต็มสองหู ถึงกับกลอกตามองบนไว้อาลัยให้กับยายขี้ขโมยปากดี เมื่อเห็นพรนลัทหันกลับไปฉีกยิ้มเย็นให้กับอีกฝ่ายแล้วเดินไปประจันหน้า
‘นั่นไง กูว่าแล้ว องค์แม่ลงก็คราวนี้ล่ะวะ’
เจตนันท์ทำหน้าสยองพาลคิดในใจ ถึงแม้ว่ารุ่นพี่ของเขาจะรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม หากแต่ใครจะรู้ ถึงตัวจะเล็กแต่แสบยิ่งกว่าพริกขี้หนูทั้งสวนเสียอีก ยิ่งเวลาโมโหไม่ต่างจากพระแม่กาลีลงทัณฑ์ ทำแผ่นดินในสตูดิโอลุกเป็นไฟได้แน่นอนเหมือนอย่างในเวลานี้
“แสดงความยินดีกับน้องมุกเรื่องอะไรหรอคะ เรื่องที่ขโมยผลงานคนอื่นแล้วยังยิ้มหน้าระรื่น หรือเรื่องที่ใจกล้าหน้าด้านเอาของคนอื่นไปเป็นของตัวเอง”
“พี่น้ำผึ้ง!”
มธุรินแผดเสียงเรียกชื่อรุ่นพี่ตรงหน้าออกมาเสียงดัง ใบหน้าขาวใสของหล่อนแดงก่ำด้วยความโกรธ
“อยากมีความสุขบนความเหนื่อยล้าของคนอื่นก็ทำไปเถอะ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะคนอย่างเธอก็ทำได้แค่เกาะชายกระโปรงคนอื่นไปตลอดอย่างนี้แหละ”
พรนลัทกัดฟันข่มความโกรธไว้จนใบหน้าสวยใสแดงก่ำ เพราะงานนี้กว่าเธอจะออกแบบร่างและลงมือวาดใช้เวลาอดหลับอดนอนไปเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็ม แต่แล้วก็มาถูกคนเห็นแก่ตัวโฉบผลงานของเธอไปอย่างหน้าไม่อาย
“อีน้ำผึ้ง อีขี้อิจ…อุ๊บ!”
กำปั้นเล็กกระแทกเข้าใส่ใบหน้าของรุ่นน้องจอมขโมยไปอย่างเต็มที่ จนคนโดนหมัดหนักๆ ไปเลือดออกทั้งปากทั้งจมูก
“กรี๊ด!”
“เฮ้ย!”
เจตนันท์ที่ได้เห็นเหตุการณ์ถึงกับตกใจอ้าปากค้าง เพียงแค่เขาเผลอไปไม่ถึงเสี้ยววินาที ใครจะคิดว่ารุ่นพี่คนสวยของเขาจะโกรธถึงขั้นซัดหน้ายายมธุริน ชายหนุ่มรีบเข้ามารั้งเอวบางของคนเป็นพี่ที่ทำท่าจะเข้าไปซ้ำคนเจ็บที่นั่งกุมปากกุมจมูกของตัวเองร้องไห้โอดครวญ
บทสรุปของการทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดขึ้น ทำให้ ‘สิปปกร’ ผู้จัดการใหญ่ของสตูดิโอได้เข้ามาเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด โดยหาทางออกที่ยุติธรรมกับทุกฝ่าย
เขาก็ไม่อยากเสียมือดีของที่นี่ไป แต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับเจ้านายตัวเองอย่าง ‘อานนท์’ ซึ่งเป็นลุงของมธุรินอีกทั้งยังเป็นเจ้าของสตูดิโอนี่อีกด้วย ถ้าหากเขางัดข้อขึ้นมาอาจจะต้องตกงานในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
บทลงโทษของพรนลัทให้ทำการพักงานเป็นเวลาสามเดือนเต็มต่อจากนี้แทนการถูกไล่ออก แม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ทว่าเธอก็ยอมรับผิดในสิ่งที่ใช้อารมณ์นำเหตุผล จนทำร้ายร่างกายมธุรินจนต้องรักษาตัว
หญิงสาวจึงเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง และเก็บข้าวของออกจากสตูดิโอไปอย่างหัวเสีย ส่วนคู่กรณีสาวที่ถูกต่อยหน้าจนช้ำระบมก็ถูกต่อว่าตักเตือนไปตามระเบียบ และถูกพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
*****
พรนลัทนั่งวินมอเตอร์ไซด์กลับมาที่บ้านสวนแสนสุข เป็นบ้านที่เธอกับแม่อาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังตั้งแต่ พ่อของเธอตัดสินใจหย่าร้างแยกทางเดิน เนื่องจากบิดาของเธอค่อนข้างติดสุราและไม่ค่อยทำงานสักเท่าไหร่
และชอบขู่เอาเงินจากมารดาเป็นประจำ
จุดแตกหักของความสัมพันธ์มาจากอาการบาดเจ็บหลังทำสวนของทิพย์อาภาทำให้ขาหักจนต้องหามไปโรงพยาบาล หากแต่คนเป็นสามีก็ใจจืดใจดำนอกจากจะไม่เป็นห่วงเป็นใยแล้ว ยังมาขู่เอาเงินแล้วถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกาย
โดยพรนลัทในวัยแปดขวบก็เอาตัวเข้าไปขวางปกป้องมารดา จนโดนลูกหลงถูกคนเป็นพ่อทำร้ายและมีคนเข้ามาช่วยเหลือไว้ได้ นับตั้งแต่นั้นจึงเป็นเหตุของการแยกทางกันระหว่างทิพย์อาภาและทะนงศักดิ์ ผ่านไปไม่ถึงปีอดีตสามีก็ไปแต่งงานกับภรรยาใหม่ที่ร่ำรวยและไม่เคยมาแยแสทิพย์อาภาและลูกสาวอีกเลย
นาง ‘ทิพย์อาภา’ก็ตั้งใจดูแลลูกสาวคนนี้มาเป็นอย่างดีตั้งแต่นั้น นางประกอบอาชีพทำสวนและค้าขาย นางขับรถส่งผลไม้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าเจ้าประจำตามตลาดนัด ถือว่าเป็นรายได้หลักของครอบครัว ทำให้สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ได้สบายๆ พอมีเงินเก็บส่งเสียลูกสาวให้เรียนที่ดีๆ ได้แบบไม่เดือดร้อนอะไรมาก
ส่วนพรนลัทหลังจากเลิกเรียน หรือมีวันหยุดต่างๆ เธอจะมาคอยช่วยแม่ทำสวนเก็บผลไม้เพื่อแบ่งเบาภาระอยู่เสมอ กระทั่งเธออายุได้สิบแปดปีบริบูรณ์ก็เริ่มหัดขับรถและไปสอบใบขับขี่ เพื่อมาคอยช่วยมารดาส่งผลไม้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าเจ้าประจำในตอนนั้น
พอมีเวลาว่างเด็กสาวก็หันมาฝึกวาดรูป และหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากที่ช่วยครอบครัว พอผลงานการวาดรูปของพรนลัทเข้าตาผู้ใหญ่ใจดี ก็ทำให้เธอได้รับทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี และเข้าทำงานดีๆ ที่สตูดิโอ Artis One (อาร์ทติส วัน)
นับตั้งแต่นั้นมาลูกสาวคนเก่งของนางก็กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว ส่วนนางทิพย์อาภาพออายุมากขึ้น โรคปวดตามร่างกายก็ตามมา ทำให้นางต้องลดการทำงานในสวนลง แล้วเปลี่ยนมาทำสวนแค่พอทำไหว
สองแม่ลูกดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ด้วยกันที่บ้านสวน แม้ว่าจะไม่ได้มีบ้านหรูใหญ่โต ทว่าบ้านหลังน้อยที่เธออยู่กลับอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก
บรรยากาศบ้านสวนเต็มไปด้วยต้นมะม่วงกำลังออกผลเขียวเต็มต้นมีทั้งต้นสูงต้นเตี้ยเรียงรายกันสองข้างถนนลูกรัง แล้วยังปลูกแซมไปด้วยต้นชมพู่ที่ออกผลสีแดงระเรื่อน่ารับประทาน บริเวณรอบสวนห้อมล้อมไปด้วยลำคลองเล็กๆ
หญิงสาวเดินข้ามสะพานไม้กระดานขนาดเล็ก หากแต่แน่นหนาแข็งแรงพาดข้ามร่องสวน ซึ่งเป็นทางที่แม่และเธอใช้เดินข้ามเป็นประจำ ก่อนที่ร่างเพรียวระหงจะเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้หลังเล็กกะทัดรัดยกพื้นสูงติดกับชายคลอง
พรนลัทแอบเป็นกังวลเล็กน้อยเกรงว่ามารดาจะเป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอจึงรวบรวมกำลังใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงทักของผู้เป็นมารดา
“น้ำผึ้งทำไมไม่ขึ้นบ้านละลูก ยืนอยู่แบบนั้นยุงจะหามไปได้นะ”
สตรีวัยชราผมดำแสมขาวไปทั่วทั้งหัวแต่ยังดูแข็งแรงและกระฉับกระเฉงในชุดเสื้อยืดเนื้อนิ่มสวมทับผ้าถุงสีเข้มลายดอกไม้เล็กๆ
“กำลังขึ้นไปจ๊ะแม่” เธอรีบเอ่ยกลับแล้วสาวเท้าขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
พอมาถึงโถงกลางบ้าน ก็เข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดาพลางหอมแก้มทั้งสองข้างฟอดใหญ่ ออดอ้อนราวกับเด็กน้อย
“ไปล้างมือมากินข้าวได้แล้ว กอดแม่เป็นเด็กๆไปได้ลูกคนนี้”
ทิพย์อาภาก็ได้แต่หัวเราะกลั้วรอยยิ้ม พร้อมกับตีแขนเรียวเล็กของลูกสาวเบาๆ พรนลัทจึงรีบวางกระเป๋าผ้าลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา พร้อมกับก้าวเข้าไปในห้องน้ำล้างมือเสร็จสรรพ
หลังจากทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ หญิงสาวก็ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาช่วยคนเป็นแม่ที่กำลังทำห่อขนมซึ่งจะเอาไปทำบุญในเช้าวันพรุ่งนี้อยู่บริเวณโถงกลางบ้าน มีทั้งข้าวต้มมัดที่ได้วัตถุดิบหลักจำพวกกล้วยและใบตองมาจากสวนของตนเอง
นอกจากมารดาของเธอแล้วก็ยังมีป้าแหวว และน้องจี๊ด ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสนิทของทิพย์อาภา ช่วยกันลงมือทำขนมอยู่ใกล้ๆกัน
คนเป็นลูกสาวค่อยๆ หย่อนตัวนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ผู้เป็นแม่ แล้วเอื้อมมือบางไปหยิบใบตองมาช่วยห่อข้าวต้มมัด
พรนลัทลอบมองเสี้ยวหน้าของมารดาอย่างชั่งใจ ว่าจะบอกเรื่องการที่เธอถูกพักงานอย่างไรดี หากอีกใจก็เกรงว่าคนเป็นแม่จะกังวลเป็นห่วงเธอ แต่จะให้เก็บงำเรื่องนี้ไว้โดยที่เธอไม่บอก ยังไงมารดาก็ต้องสงสัยว่าเธอไม่ไปทำงานอยู่ดี
“แม่…”
เสียงเรียกอ่อยเบาของลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้คนเป็นแม่ชะงักมือที่กำลังบรรจงวางข้าวต้มมัดลงในหม้อนึ่ง แล้วจึงหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“มีอะไรหรือเปล่าลูก”
“คือว่า…น้ำผึ้งถูกพักงานจ๊ะแม่”
“อ้าว! มันเกิดอะไรขึ้นล่ะลูก”
ทิพย์อาภาวางมือจากการทำขนม แล้วหันมาจ้องหน้าลูกจริงๆจังๆ พร้อมเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนระคนเป็นห่วง ส่งผลให้พรนลัทจากที่เข้มแข็งมาทั้งวัน ก็รู้สึกอ่อนแอขึ้นมาทันใด ดวงตากลมโตก็ค่อยๆรื้นด้วยน้ำใสๆ หากก็พยายามสะกดลั้นเอาไว้ไม่อยากให้มารดาเป็นกังวล
“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้จ๊ะ…”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด นางทิพย์อาภาก็รู้สึกสงสารลูกสาวตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวของพรนลัท เธอไม่ชอบเอาเปรียบใคร และไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ เธอขยันทำงาน และยังทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่
ทว่าดันมาถูกขโมยผลงานไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ก็ต้องทำให้ไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษณ์ หากแต่ลูกสาวของนางก็ผิดตรงที่ว่าใช้อารมณ์นำเหตุผลไปสักนิด เรื่องเลยบานปลายมาแบบนี้
“ไม่เป็นไรนะลูก เรื่องงานของเราก็ทำดีที่สุดแล้ว เรื่องอื่นๆที่เกิดก็ถือว่าเป็นบทเรียนไปนะลูก”
“โห่ คุณป้าทิพย์ใจบุญมากเลยค่ะ ถ้าเป็นจี๊ดนะยายคนนั้นไม่ใช่แค่โดนต่อยแน่ๆ ได้มีสลบคาทีนกันบ้าง”
เด็กสาววัยสิบแปดปีนามว่า ‘จี๊ด’ โพล่งออกมาอย่างลืมตัว ราวกับตัวเองไปนั่งชิดติดขอบสนามชมมวยคู่เอกฝ่ายมุมน้ำเงินเป็นพรนลัท ฝ่ายมุมแดงเป็นมธุรินอย่างไรอย่างนั้น
สาวน้อยจึงหันไปยกนิ้วโป้งให้กับคนที่เปรียบเสมือนเป็นพี่สาว แล้วยิ้มชื่นชอบกับสิ่งที่พี่สาวคนสวยซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลกระทำลงไป ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกฝ่ามืออวบย่นของคนเป็นยายตีเข้าที่ท่อนแขนของตัวเอง
“ไอ้จี๊ด!”
ยายแหววหันไปเอ็ดหลานสาวของตัวเอง แล้วหันกลับมาขอโทษขอโพย เจ้านายใจบุญของตัวเอง
“ขอโทษนะคะคุณทิพย์ ยายเด็กคนนี้มันพูดเอาคะนองปาก”
เนื่องจากมารดาของพรนลัทรับอุปการะเด็กหญิงจี๊ดมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนตอนนี้ยายจี๊ดอาจจะหอยเท่าฝาตีนไปแล้ว อีกทั้งนางยังดูแลยายแหววมาเป็นอย่างดีราวกับคนในครอบครัว ทั้งคู่ยายหลานจึงคอยช่วยเหลืองานในสวน และดูแลทิพย์อาภากับพรนลัทนับตั้งแต่นั้นมา
ทิพย์อาภาไม่ได้ถือโทษโกรธทั้งคู่ นางได้แต่คลี่ยิ้มเอ็นดูให้กับหลานสาว ก่อนจะกลับมาสนใจคนเป็นลูกสาวที่นั่งทำหน้าหงอยอยู่ใกล้ๆ
“เลิกคิดมากได้แล้วลูก พักแค่สามเดือนเอง”
“แต่น้ำผึ้ง…”
ยังไม่ทันที่คนเป็นลูกจะเอ่ยจบประโยค มารดาวัยห้าสิบตอนปลายก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อนเพราะนางลูกว่าลึกๆลูกสาวกังวลเรื่องอะไร
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเรื่องทองหรอกนะลูก แค่นี้พวกเราก็อยู่กันสุขสบายมากแล้ว อีกอย่างแม่อยากให้เราน่ะพักบ้างทำงานหนักมาทั้งปีแล้ว ไปพักผ่อนที่ปางช้างของป้าสรดูไหมลูก วันก่อนแม่คุยกับป้าเค้าเห็นว่าหาคนมาสอนศิลปะเด็กๆและก็พวกช้าง น่าสนุกดีนะ น้ำผึ้งลองไปดูไหมลูก”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ถ้าน้ำผึ้งไป แล้วใครจะดูแลแม่ล่ะคะ” ลูกสาวตอบกลับอย่างแทบไม่ทันได้คิด
“โอ๊ย แม่ไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย เราน่ะกังวลไม่เข้าเรื่อง แม่มีป้าแหวว เจ้าหนูจี๊ดคอยดูขนาดนี้ เรายังจะกังวลอะไรอีกฮึ”
ทิพย์อาภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสูงหยอกเย้ากลั้วขำ พลางเอื้อมมือไปยีผมนุ่มของลูกสาวด้วยความมันเขี้ยว ก่อนคนสนิทของนางจะช่วยสำทับ
“ใช่ค่ะ คุณหนูไม่ต้องห่วงหรอก ยายกับเจ้าจี๊ดจะดูแลคุณทิพย์เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ”
“ไปเถอะพี่น้ำผึ้ง จี๊ดดูแลคุณป้าให้ ไม่แน่นะไปเจอบรรยากาศดีๆ อาจจะมีหนุ่มหล่อๆมาให้เราแอ๋วสักคนสองคนก็ได้นะ”
หนูจี๊ดหันไปขยิบตาเล็กๆ ให้กับคนเป็นพี่สาว พลางฉีกยิ้มแฉ่งแข่งพระจันทร์ ก่อนจะหุบยิ้มฉับพลัน เมื่อคนเป็นยายสกัดกั้นความเพ้อฝัน
“เราน่ะ คิดแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แก่แดดแก่ลมไม่เข้าเรื่อง”
“อ้าวยาย หนูไม่ได้อยากเป็นสาวเทื้อเฝ้าคานทองนี่”
เสียงหยอกล้อของยายหลานคู่นี้ ทำเอาสองผู้มีอุปการะคุณหลุดยิ้มขำไปตามๆกัน ก่อนที่คนเป็นมารดาจะหันมาเอ่ยย้ำซ้ำอีกครั้งกับลูกสาวที่นั่งข้างๆ
“ไปเถอะลูก ถือว่าเราได้ไปพักผ่อน”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ แต่แม่ต้องกินข้าว กินยาให้ครบทุกมื้อด้วย”
“ตอนนี้แม่ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นแม่เป็นลูกกันแน่”
น้ำเสียงเย้าแหย่ของทิพย์อาภาเรียกเสียงหัวเราะครืนให้กับบรรดาสมาชิกที่เหลือ เพราะทุกคนรู้ดีว่าพรนลัทนั้นรักและเป็นห่วงมารดาขนาดไหน ส่วนทิพย์อาภาก็ไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงแต่อย่างใด เพียงแค่ปวดๆ เมื่อยๆ ตามประสาคนแก่สูงวัย มีบ้างที่อาจจะต้องพึ่งยาคลายกล้ามเนื้อก็เท่านั้นเอง