พรนลัทเดินออกมาสงบสติอารมณ์คุกรุ่นของตัวเอง จนกระทั่งรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาเธอจึงแบมือออกมาดูก็พบว่าฝ่ามือเล็กมีรอยเหมือนเศษแก้วบาดเป็นแผลทางยาว แต่ไม่ได้ลึกมากขนาดต้องเย็บ คงเป็นเศษแก้วที่ตกลงมาแตกแล้วกระเด็นมาโดนมือเธอตอนที่ล้ม
หญิงสาวมารู้สึกเจ็บเมื่อเห็นบาดแผล อาจเป็นเพราะตอนนั้นเธอทั้งโมโหทั้งโกรธบวกกับแผลยังคงชาจนลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ เธอจึงเดินไปที่ก๊อกน้ำแล้วทำการล้างแผลและพันด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก จากนั้นก็เดินกลับไปยังห้องเรือนประชาสัมพันธ์
เธอสวนกับร่างสูงของเจ้าของปางช้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาสองคู่ต่างอารมณ์ จ้องกันนิ่งอย่างไม่มีใครยอมหลบ ฝ่ายหนึ่งรู้สึกผิดที่พูดจารุนแรง อีกคนก็เฉยเมยและยอมเป็นฝ่ายเมินหน้าหนี พรนลัทจึงไม่เห็นดวงตาคมเข้มก้มลงไปมองมือเล็กที่มีผ้าเช็ดหน้าพันเอาไว้อยู่ชั่วครู่ แล้วทำท่าจะเอ่ยถามอะไรสักอย่าง หากแต่คนตัวเล็กเลือกที่จะเดินไปหาสาวน้อยคนสนิทอย่างรวดเร็ว
จากนั้นบรรยากาศการทำงานในปางช้างก็ขมุกขมัวราวกับจะมีพายุโหมกระหน่ำอย่างไรอย่างนั้น เจ้านายหนุ่มมีสีหน้าเรียบตึงไปร่วมทำงานกับคนงานที่ท้ายปางช้าง ส่วนพรนลัทกลับเข้าไปทำงานของตัวเองในห้องสอนศิลปะเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จากับใครอีกเลย
จวบจนเวลาห้าโมงเย็นได้เวลากลับบ้าน หญิงสาวไปรอขึ้นรถกลับบ้านกับคนที่เธอมาด้วยเมื่อเช้านี้ บรรยากาศภายในรถนั้นเงียบมาก ไม่มีเสียงโต้เถียงเย้าแหย่กันเหมือนเช่นทุกครั้ง ผู้โดยสารสาวเอาแต่หันไปมองนอกกระจกรถไม่เหลียวแลคนขับเลยสักนิด ขณะที่หัสดินทร์สงบปากสงบคำไม่เอ่ยถามอะไรออกมาสักนิด แม้ว่าอยากจะถามใจจะขาดก็ตาม เกรงว่าคำพูดของเขาจะไปรบกวนจิตใจของเธอให้ขุ่นข้องหมองใจอีก
กระทั่งมาถึงบ้านหลังใหญ่ พรนลัทจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถเดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีการเอื้อนเอ่ยคำใดสักนิด แล้วรีบก้าวเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักชั้นสองและไม่ออกมาอีกเลย ส่วนเจ้าบ้านหนุ่มก็หายเข้าไปในห้องตนเองเช่นกัน
เกือบสามทุ่มพรนลัทนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงอยู่หลายตลบ หลังจากที่เธอโทรไปคุยกับมารดาเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ก่อนหน้านี้เมื่อตอนหกโมงเย็นเธอลงไปกินนมกับขนมปังในครัว โดยไม่เอ่ยถามหาเจ้าบ้านหนุ่มเลยสักนิดเดียว หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงพลางคว้าไอแพดเครื่องบางขึ้นมา เปิดแอพพลิเคชั่นระบายสีในนั้นขึ้นมาระบายเล่น เผื่อจะช่วยให้เธอง่วงนอนเร็วขึ้น
ผ่านไปชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นสองถึงสามครั้ง คิ้วเรียวสวยขมวดน้อยๆด้วยความสงสัยว่าใครมาเคาะประตูตอนนี้ เธอจึงจำต้องวางไอแพดเครื่องบางลงบนโต๊ะกลมขนาดเล็กข้างหัวเตียง แล้วก้าวเดินลงจากเตียงไปเปิดประตู คิดว่าน่าจะเป็นสาวใช้คนสนิท แต่พอเห็นหน้าคนที่มายืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าสวยใสก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห้วนเล็กน้อย
“มีธุระอะไรอีกคะ”
หากแต่แขกไม่ได้รับเชิญไม่ตอบคำถาม กลับเบียดร่างสูงในชุดนอนสีเข้มของตัวเองเข้ามาในห้อง และก้าวยาวๆไปนั่งลงบนปลายเตียงอย่างรวดเร็ว พลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดือดร้อนเจ้าของห้องต้องรีบก้าวตามมา พร้อมกับถามเสียงขุ่น
“คุณช้าง คุณจะเข้ามาทำไมไม่ทราบ”
“ผมมาดี มาสงบศึกโอเคไหม?” หัสดินทร์จ้องมองใบหน้าขาวใสยิ้มๆ “ขอผมดูแผลที่มือหน่อยได้ไหม”
พรนลัทพึ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเขามีกล่องปฐมพยาบาลใบเล็กติดมาด้วย ทว่าเธอยังเคืองเรื่องเมื่อตอนกลางวันไม่หาย จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“ไม่เป็นไร แผลแค่นี้ฉันไม่เน่าตายคาบ้านคุณหรอก”
“มาเถอะน่า อย่าดื้อ”
ก่อนจะทันตั้งตัวคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงก็ลุกพรวดขึ้นมาตะครุบข้อมือเล็ก แล้วดึงให้เธอมานั่งลงบนเตียงนอนข้างๆกัน หากแต่คนตัวเล็กยังคงดื้อดึง เธอซ่อนมือข้างที่เจ็บเอาไว้ข้างหลังไม่ยอมให้เขาทำแผลท่าเดียว
“ทิ้งกล่องยาไว้นี่แหละ เดี๋ยวฉันทำเอง”
“แผลอยู่มือขวาไม่ใช่หรอ คุณทำไม่ถนัดหรอก มาผมทำให้”
มือใหญ่คว้าข้อมือเล็กที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมากางฝ่ามือตรงหน้าได้สำเร็จ หัสดินทร์เปิดกล่องยาหยิบขวดแอลกอฮอล์ออกมาเทใส่สำลีก้อนเล็ก และบรรจงเช็ดปากแผลที่เลือดซึมเล็กน้อยอย่างเบามือ เมื่อห้ามแล้วเขาไม่คิดจะฟังเธอเลย พรนลัทจึงนั่งนิ่งให้เขาทำแผลให้แต่โดยดี
“ทำไมถึงปล่อยให้แผลเปียกน้ำ ไม่เจ็บหรอ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมค่อยๆ จับปากแผลบนฝ่ามือเล็กเบาๆ พลางเงยหน้าจ้องมองคนเจ็บนิ่งๆ ทว่าเจ้าของมือข้างขวาที่เจ็บได้แต่ผลุบตามองบาดแผลของตัวเองเงียบๆ ไม่ยอมตอบคำถาม บุรุษพยาบาลจำเป็นจึงได้แต่ลอบมองใบหน้านวลใสนิ่งๆ ไม่ถามเซ้าซี้เธออีก
พอได้จ้องมองกันในระยะไม่ถึงเมตร ใบหน้าสวยหวานไร้เครื่องสำอางกับชุดนอนเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นเนื้อนิ่ม ประกอบกับผิวนุ่มเนียนละเอียดราวกับเด็กน้อย กลิ่นหอมอ่อนๆ กับร่างนุ่มนิ่มที่เขาได้อุ้มเมื่อคืนก่อนยังติดอยู่กับใจไม่จางหาย และดวงตาคู่สวยที่จ้องเขาเมื่อตอนกลางวันยิ่งรบกวนจิตใจของเขาจนนอนไม่หลับต้องมาหาในเวลานี้อยู่นี่ไง หรืออีกนัยลึกๆเขาก็รู้สึกห่วงอย่างบอกไม่ถูก
“โกรธผมมากใช่ไหม เรื่องวันนี้”
หัสดินทร์เอ่ยถามคำถามที่ค้างอยู่ภายในใจ เป็นจุดประสงค์ของการเข้ามาอยู่ในห้องนี้ หากแต่พรนลัทกลับเอ่ยอุบอิบออกมาเบาๆ
“ไม่ได้โกรธ”
“แล้วทำไมถึงไม่คุยด้วย ไม่ยอมลงมากินข้าวอีก แบบนี้ไม่โกรธเรียกว่าอะไรครับ งอนหรอ?”
พรนลัทเงยหน้าจ้องมองคนถามด้วยความสงสัยว่าเขาจะมาเค้นถามเธอเพื่ออะไร แต่ปากจิ้มลิ้มก็ยังไม่วายที่จะกวนอีกฝ่ายกลับ
“ฉันจะไปงอนคุณทำไม ไม่ได้พิศวาสขนาดนั้นสักหน่อย”
“แต่คุณจะน่าพิศวาสสำหรับผมมากกว่านี้ ถ้าเลิกดื้อ เลิกเถียงคอเป็นเอ็น”
หัสดินทร์เอ่ยยิ้มๆ แต่พอเห็นดวงตากลมโตเริ่มขุ่นเขียวจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เมื่อกลางวันผมแค่หวังดีกับคุณเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาจะพูดจาทำร้ายจิตใจคุณเลยสักนิด ถ้าสิ่งที่ผมทำมันไปทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ผมขอโทษ ส่วนเรื่องของศจี ผมอยากบอกให้คุณรู้ไว้ว่า เขากับผมเราไม่ได้มีอะไร เลิกข้องเกี่ยวกันไปนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่คุณจะมาทำงานซะอีก”
“แต่เธอยังหวงคุณ เหมือนแม่ไก่หวงไข่ยังไงยังงั้น”
“กับศจีผมยอมรับว่าเคยทำนอกเหนือจากงาน แต่เราอยู่ในขอบเขตตามที่ตกลงกันเท่านั้นเอง พอผมยุติความสัมพันธ์จากเขา ศจีก็ไปหาผู้ชายคนอื่นๆต่ออยู่ดี”
พรนลัทหน้าแดงก่ำกับประโยคที่เขาเล่าออกมา นี่เธอต้องมาฟังเรื่องราวความหลังอันสยิวของเขาทำไมเนี่ย แล้วอีกอย่างเขาจะมาแจกแจงให้เธอฟังทำไมไม่รู้
“สรุปว่าเราไม่มีเรื่องบาดหมางกันแล้วนะ ผมว่าผมเคลียร์ชัดเจน”
คนเจ็บไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี ก็เขาเล่นเคลียร์ทุกอย่างที่เธอรู้สึกโกรธเคืองไปหมดแล้ว ด้านหัสดินทร์พอพันแผลตรงฝ่ามือเล็กเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองจ้องดวงตากลมโตคู่สวยอีกครั้ง
“เอาเป็นว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ ผมยอมรับผิดไปคนเดียวตกลงไหม ถึงยังไงซะเรายังต้องทำงานร่วมกันอยู่ดี ถ้ามีเรื่องข้องใจกันงานของเราจะไม่ราบรื่น ผมยอมมาหาคุณ ยอมขอโทษคุณทุกอย่าง แล้วคุณล่ะจะว่ายังไง”
“ฉันไม่ได้โกรธคุณซักหน่อย ถือว่าเลิกแล้วต่อกันล่ะกัน”
“ถ้างั้นตาคุณต้องขอบคุณผมแล้วมั้ง”
หัสดินทร์เอ่ยยิ้มๆ พลางละมือออกจากฝ่ามือนุ่มนิ่มที่เขาทำแผลเสร็จเป็นที่เรียบร้อย แล้วเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องเสร็จสรรพ
“ขอบคุณ!? เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ผมทำแผลให้ไง ไม่คิดจะขอบคุณกันสักนิดเลยหรอ”
“ขอบคุณ”
พรนลัทเอ่ยอุบอิบแผ่วเบาฟังแทบไม่ได้ยิน หากแต่คนรอฟังก็ยังเร่งเร้า เข้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าขาวใสแล้วเอ่ยออกมา
“อะไรนะ ผมไม่ได้ยินเลย”
“ฉันบอกว่า ขอบ…อื้อ!”
ไวกว่าความคิด! ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยจบประโยค มือหนาทั้งสองข้างประคองใบหน้านวลเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ทาบทับปากหยักได้รูปลงบนแก้มนุ่มสีระเรื่อของเธออย่างว่องไว และดูเหมือนเขาจงใจแกล้งกดหนักๆฟอดใหญ่ ทำเอาคนถูกหอมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวถึงกับนั่งนิ่งแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าเขาจะมือไวใจเร็วขนาดนี้
“ฝันดีนะครับ”
หลังจากผละออกจากพวงแก้มนุ่ม หัสดินทร์ก็กระซิบข้างใบหูเล็กเบาๆ แล้วก้าวออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้คนถูกขโมยหอมแก้มนั่งอึ้ง ก่อนที่เธอจะเรียกสติกลับมาพร้อมๆกับเสียงปิดประตู
“อร้ายย! อีตาบ้า หอมใครมาบ้างก็ไม่รู้ อี๋”
พรนลัทใช้หลังฝ่ามือถูแก้มตัวเองแรงๆ อย่างขุ่นเคืองให้กับคนที่ทิ้งรอยจูบ ใบหน้าสวยใสค่อยๆเห่อร้อนผะผ่าว จนต้องยกมือขึ้นมาพัดเบาๆ จนดวงหน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย ทว่าการกระทำของเขาก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงโครมครามแทบจะหลุดออกมาจากอก
หญิงสาวกระโดดขึ้นเตียงนอน แล้วตลบผ้าห่มหนาคลุมมิดร่าง ก่อนจะเอื้อมไปปิดโคมไฟข้างหัวเตียง และนอนลืมตาในความมืดด้วยหัวใจวาบหวามราวกับมีขนนกมาปัดผ่านกลางใจ มือเล็กอีกข้างเผลอลูบไล้ผ้าพันแผลด้วยความเผลอไผลเหมือนกับความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ยังไม่จางหาย ไม่นานคนที่คิดสะระตะอยู่ในหัวก็ค่อยๆ ผล็อยหลับเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว
ด้านหัสดินทร์หลังออกจากห้องนอนของคนที่ลงทุนมาง้อก็ได้แต่แย้มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ระบายอยู่บนใบหน้าคมคาย ความหอมหวานนุ่มนิ่มที่ได้รับมันทำให้หัวใจที่แข็งกระด้างอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัว ยิ่งได้มองใบหน้าสวยใสบางทีก็ยิ้มหวานละลาย บางทีก็บึ้งตึงแต่กลับดูน่ารักน่าทะนุถนอมกว่าผู้หญิงคนอื่นๆที่เขาเคยใกล้ชิด
ชายหนุ่มยอมรับว่านับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันอีกครั้ง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากอยู่ใกล้เธอ อยากกระเซ้าเย้าแหย่ แรกๆอาจจะเป็นความอยากแกล้งอยากเอาชนะเพราะความหลัง แต่ไปๆ มาๆ ดันไม่ใช่แค่นี้นี่ซิ! ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา อารมณ์แปรปรวนควบคุมตนเองก็ไม่ค่อยได้ ใจมันร่ำอยากจะอยู่ใกล้เธอตลอด ปรารถนาอยากให้เธอมีความสุขในทุกๆวัน พาลคิดก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
******
เช้าวันต่อมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ พรนลัทพาร่างเพรียวระหงในชุดเสื้อกล้ามแขนกุดสีขาวสวมทับกับเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงยีนส์ขายาวเข้ารูปก้าวลงจากบันไดกลางบ้าน พลางหมุนคอบิดขี้เกียจไร้ความอ่อนเพลีย เธอเดินเข้ามาในห้องครัวก็พบแม่บ้านสูงวัยคนเก่าคนแก่ของครอบครัวศิลปการสกุลกำลังง่วนทำอาหารเช้าอย่างขะมักเขม้น เธอจึงเอ่ยทักทายด้วยเสียงอ่อนหวานสดใส
“มีอะไรทานบ้างคะ ป้าฟองจันทร์ กลิ่นหอมขึ้นไปถึงข้างบนเลย”
“อ้าว! คุณหนูตื่นเช้าจังคะ หิวหรือยังเอ่ย”
“ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ค่ะ มาค่ะน้ำผึ้งช่วยดีกว่า”
“โอ๊ย ไม่เอานะคะ คุณหนูไปนั่งรอที่โต๊ะทานอาหารเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าทำเสร็จแล้วเอาไปเสิร์ฟ” ฟองจันทร์รีบบอกด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ
“ไม่ดีกว่าค่ะ น้ำผึ้งช่วยดีกว่า น้ำผึ้งเป็นลูกมือที่เก่งกาจคนหนึ่งเลยนะคะ ให้น้ำผึ้งช่วยเถอะค่ะ”
พรนลัทออดอ้อนพร้อมเข้าไปกอดร่างอ้วนท้วมเอาไว้แน่น พลางซุกศีรษะคลอเคลียกับบ่ากว้าง ทำเอาคนเจอลูกอ้อนแบบนี้ก็ใจอ่อนระทวย ฟองจันทร์คลี่ยิ้มละมุน
“งั้นไปใส่ผ้ากันเปื้อนก่อนค่ะ เดี๋ยวชุดสวยๆจะเปื้อน”
นางทนต่อเสียงรบเร้าแสนน่ารักของคนอาสาช่วยทำอาหารเช้าไม่ไหว จึงก้มลงไปหยิบผ้ากันเปื้อนในลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์บาร์มาสวมให้
“คุณหนูล้างต้นหอมผักชีในอ่างให้ก็พอค่ะ”
“ได้เลยค่า”
พรนลัทยิ้มแก้มปริ เธอรีบพาตัวเองไปคว้าตะกร้าผักเดินไปยังเคาน์เตอร์อ่างล้างจานอีกด้าน ขณะที่แม่ครัวใหญ่ของบ้านได้แต่คลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น ความน่ารักสดใสของคุณหนูคนสวยทำให้นางอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ ถึงว่าทำไมแม่เลี้ยงและพ่อเลี้ยงถึงได้รักและทะนุถนอมราวกับเป็นลูกสาวอีกคน ก่อนนางจะหันกับไปเคี่ยวน้ำซุปในหม้ออีกครั้ง
กระทั่งผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีพรนลัทต้องสะดุ้งเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงห้าวของใครบางคนทักทายแม่บ้านคนสนิท ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
“ไม่ยักรู้ว่าป้าฟองจันทร์มีลูกมือคนใหม่ด้วย หวังว่าเช้านี้ผมจะไม่ท้องเสียนะครับ”
บุรุษผู้มาใหม่เอ่ยกระเซ้าแม่ครัว แต่สายตากลับจดจ้องไปที่ร่างบางที่กำลังยืนล้างผักอยู่อีกด้าน ส่วนคนที่รู้ว่าโดนเหน็บก็หันมาปรายตาส่งค้อนวงใหญ่ไปให้เขา พลางเหน็บแนมอยู่ในใจ
‘ตื่นมาก็เห่าปากเสียเลยเชียวนะพ่อคุณ มันน่าโรยเกลือใส่ข้าวต้มให้เข็ด!’
“หู้ย! ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะคุณช้าง คุณหนูอุตส่าห์ช่วยป้าทำอาหารแต่เช้า พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะ”
หัสดินทร์ยิ้มนิ่งๆ ไม่ได้ใส่ใจประโยคต่อว่าไม่จริงจังของแม่บ้าน ก่อนจะเข้าไปโอบไหล่อวบอิ่มกับร่างตุ้ยนุ้ยอย่างเอาใจ ฟองจันทร์ได้แต่คลี่ยิ้มน้อยๆ จึงแกล้งตีแขนหนาไปหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว
“ไปรอที่โต๊ะได้เลยค่ะ เดี๋ยวป้าเตรียมกาแฟไปให้”
เจ้าบ้านหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็เดินเลี่ยงไปยืนพิงหลังกับเคาน์เตอร์บาร์ของห้องครัวข้างๆอ่างล้างจาน พลางกอดอกจ้องมองคนที่กำลังล้างผักอยู่ตรงหน้า ดวงตาคมกริบจ้องแก้มใสระเรื่อแบบจริงๆ จังๆ จงใจให้คนถูกมองรู้สึกตัว แม้พรนลัทจะทำทีเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายก็ตาม
“ล้างจนผักช้ำหมดแล้วมั้ง โรยหน้าข้าวต้มนะครับ ไม่ใช่เอาไปปั่น”
คนโดนยั่วยวนกวนประสาทรับอรุณหันขวับไปจ้องหน้าคนพูดด้วยสายตาขุ่นๆ หญิงสาวทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันพูดเบาๆ เกรงว่าแม่บ้านจะได้ยิน
“ไม่มีอะไรจะทำหรือยังไงคุณ ถึงมาก่อกวนกันแต่เช้า ฉันไม่ได้ว่างมาต่อปากต่อคำด้วยนะ”
หัสดินทร์มองหน้ามุ่ยแสนน่ารักยิ้มๆ และจ้องดวงตากลมโตที่ส่งค้อนวงใหญ่มาให้ตาเขียวปั๊ดอย่างท้าทาย
“ผมไม่ได้ก่อกวน แค่ชวนคุยด้วยเฉยๆ”
พรนลัทยังไม่ทันได้โต้ตอบออกไป ร่างสูงใหญ่ก็โน้มตัวลงมาจูบลงบนแก้มนุ่มของเธอฟอดใหญ่ พลางกระซิบข้างใบหูเล็กเบาๆ
“หอมเหมือนกันนะเนี่ย ไม่รู้ข้าวต้มหรือว่าแก้ม”
แล้วก็รีบพาร่างสูงก้าวยาวๆออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนถูกขโมยหอมแก้มเบิกตายืนนิ่งงันไปหลายวินาที เพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำ ในห้องครัวที่มีคนอื่นอยู่ด้วย พอตั้งสติได้เสียงหวานก็โวยวายออกมา
“อี๋! ไอ้….”
เธอร้องค้างอยู่แค่นั้น พร้อมกับกระทืบเท้าเร่าๆอยู่กับที่ ใบหน้าขาวนวลค่อยๆแดงซ่านไปทั่วใบหน้าและลำคอ ปากอิ่มอ้าพะงาบๆกำลังจะเค้นคำด่าออกมา ทว่าแม่บ้านรีบผละจากเตาหันมาหาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณหนู เกิดอะไรขึ้นคะ”
พรนลัทชะงักไปเล็กน้อย หันไปมองแม่บ้านที่กำลังจ้องท่าทางของเธอด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ หญิงสาวจึงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนส่งให้ฟองจันทร์
“ไอ้…หนอนค่ะ หนอนอยู่ที่ใบผักชี”
นิ้วชี้เรียวเล็กชี้ไปที่อ่างล้างผัก พร้อมกับแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แล้วรีบหันไปหยิบผักที่ล้างเสร็จแล้วใส่ตะกร้าทันที ฟองจันทร์จึงแย่งตะกร้าผักออกจากมือเล็ก แล้วรั้งร่างบางให้ออกห่างจากอ่างล้างจาน
“ถ้าเสร็จแล้ว คุณหนูไปเตรียมทานอาหารเช้าเถอะค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวป้าทำเอง คุณช้างจะได้มีเพื่อนร่วมโต๊ะนะคะ ไปเถอะค่ะ แค่นี้ช่วยป้าเยอะแล้ว”
พรนลัทคลี่ยิ้มแห้ง ถ้าให้เธอออกไปร่วมโต๊ะกับอีตาบ้าตอนนี้ รับรองได้ว่าไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน ก่อนจะนึกไอเดียบางอย่างแว็บเข้ามาในหัวอะไรขึ้นมาได้
“งั้นน้ำผึ้งยกกาแฟไปให้คุณช้างดีไหมคะ ป้าฟองจันทร์จะได้ไม่เหนื่อย”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ ป้าชงเสร็จเรียบร้อยพอดี”
นางฟองจันทร์จึงหันไปหยิบถาดที่บรรจุถ้วยกาแฟใส่มือเล็กให้เรียบร้อย เธอจึงรับมาพร้อมกับแย้มยิ้มหูตาแพรวพราว พอจังหวะที่ป้าแม่บ้านหันไปสนใจอาหารบนเตา เธอก็เอื้อมไปหยิบกระปุกเกลือเทลงไปอย่างเต็มที่ จากนั้นก็รีบยกออกไปยังห้องอาหาร
พอเดินมาถึงห้องอาหารก็เห็นร่างสูงสง่านั่งรออยู่แล้ว พรนลัทจึงคลี่ยิ้มหวานเยิ้มให้กับเป้าหมายของเธอ ก่อนจะบรรจงวางถ้วยกาแฟให้กับเขาตรงหน้า แล้วทรุดนั่งเก้าอี้ตัวฝั่งตรงข้าม พลางเอื้อมไปหยิบขนมปังขึ้นมาทาแยม หากแต่สายตาก็คอยเหลือบมองอยู่เรื่อยๆ
“เช้านี้แปลกๆนะ คุณน้ำผึ้งอุตส่าห์ถือแก้วกาแฟมาให้ผมด้วยตัวเอง”
“ทำไมล่ะ ก็ฉันช่วยป้าฟองจันทร์ไง”
พรนลัทหันไปตอบเสียงขุ่น จะแปลกหรือไม่แปลกเดี๋ยวก็รู้ เธอภาวนาให้เขายกแก้วกาแฟนั้นขึ้นดื่มสักที และดูเหมือนพระเจ้าจะรับคำขอของเธอ ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นจิบไปเสียอึกใหญ่ แล้วพ่นพรวดออกมาแทบไม่ทัน เขากระแทกแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเสียงดัง และหันไปคว้าแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว ท่ามกลางเสียงหัวเราะสดใสของผู้ร่วมโต๊ะ
หัสดินทร์ส่งสายตาพิฆาตไปให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ไอ้ท่าทางสนุกสนานหัวเราะชอบใจแบบนี้ก็ไม่ต้องสืบว่ารสชาติกาแฟที่เค็มจนขมปี๋ถ้วยนี้ฝีมือใคร คนเสียรู้คว้าทิชชูขึ้นมาเช็ดปากอย่างหัวเสีย ก่อนจะลุกขึ้นตวาดเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงดังลั่น
“น้ำผึ้ง!”
คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนประจันหน้าอย่างไม่เกรงกลัว แถมยังฉีกยิ้มหวานพูดจาเย้าแหย่ยั่วโมโหเขาเข้าไปอีก
“ขา กาแฟอร่อยจนต้องเรียกชื่อกันเสียงดังขนาดนี้เลยหรอคะ”
พรนลัทได้ทีเอาคืนหัวเราะเสียงใสดีใจที่เอาคืนสำเร็จ ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ห้ำหั่นกันด้วยวาจากันต่อ แม่ครัวใหญ่ที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็รีบเดินออกจากห้องครัวมายังห้องอาหารด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมกาแฟหกแบบนี้ล่ะคะ”
คนก่อเรื่องเริ่มหน้าถอดสีกลัวว่าคนที่เธอกลั่นแกล้งไปจะรายงานเรื่องที่เธอก่อได้ ขณะที่หัสดินทร์จ้องใบหน้างามที่ค่อยๆซีดเผือดอยู่ชั่วครู่ แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยกับป้าแม่บ้านด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“มือผมไปปัดถ้วยหกน่ะครับ ถ้ายังไงป้าฟองจันทร์เก็บโต๊ะได้เลย ผมขอตัวก่อน”
บอกกับแม่บ้านร่างอวบอิ่มเสร็จก็หันมาส่งสายตาคาดโทษแม่ตัวแสบที่ยืนอยู่อีกฝั่ง ก่อนจะโน้มใบหน้าคมคายเข้าไปกระซิบข้างใบหูเล็กของคนที่ก้มหน้างุดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
“ไว้ผมจะชำระแค้นทบต้นทบดอกเลยคอยดู”
คนถูกคาดโทษรู้สึกร้อนๆหนาวๆ กับคำขู่นั้นอย่างบอกไม่ถูก เธอมองตามร่างสูงใหญ่ออกไปจากห้องอาหารจนลับตา ก่อนจะได้ยินเสียงบ่นไม่จริงจังของแม่บ้าน
“คุณช้างไม่เคยซุ่มซ่ามขนาดนี้เลย ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำเลอะเทอะแบบนี้”
“น้ำผึ้งช่วยเก็บไหมคะ ป้าฟองจันทร์”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนูไปพักเถอะ ป้าทำได้”
พรนลัทได้แต่ยืนมองคุณป้าฟองจันทร์วุ่นวายอยู่กับการเก็บโต๊ะอาหาร ด้วยสีหน้าหงอยๆ รู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง
ทางด้านหัสดินทร์เมื่อก้าวมาขึ้นรถของตัวเองได้แต่ส่ายหัวให้กับความแสบสันของคนตัวเล็ก ที่เขาพลาดท่าเสียทีให้เธอจนได้ ถึงว่ารอยยิ้มหวานเยิ้มแปลกๆที่มอบให้จริงๆแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ไว้นี่เอง
คอยดูนะ ผมจะเอาคืนให้สาสม!
แต่ที่น่าแปลกคือเขาไม่ได้รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งพอเห็นหน้าตื่นๆ เวลาโดนข่มขู่มันน่ามองไปหมด อาจเป็นเพราะเขากำลังรู้สึกดีๆกับเธออย่างบอกไม่ถูก คิดได้แบบนั้นรอยยิ้มน้อยๆก็ปรากฏขึ้น ก่อนชายหนุ่มจะตัดสินใจขับรถออกจากบ้านไปทันที