ช่วงสี่โมงเย็น พรนลัทชวนสาลี่ปั่นจักรยานลัดเลาะไปทางซอยด้านหลังของบ้าน ที่สามารถขี่เลาะทางลูกรังเล็กๆไปถึงปางช้างสรศิลป์ เนเชอรัลได้ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนสามใบเรียงรายเขียวขจี ทำให้พอมีร่มเงาไม่ร้อนจนเกินไป บวกกับอากาศช่วงหน้าฝนที่เชียงใหม่ค่อนข้างจะชุ่มชื้นไม่ได้แห้งแล้ง
สองสาวพากันเข้ามาจอดจักรยานพิงต้นไม้ใหญ่ จากนั้นก็พากันเดินชมธรรมชาติในปางช้าง เนื่องจากตั้งแต่พรนลัทเริ่มทำงานก็ยังไม่ได้มาทัวร์ที่นี่ให้รอบเลย เธอจึงไหว้วานให้สาลี่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ในวันนี้ หญิงสาวตื่นตาตื่นใจกับบ้านพักโซนรีสอร์ทมาก บ้านพักทั้งสิบหลังถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาทั้งสี่ด้าน เสมือนบ้านอยู่ตรงกลางท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม
โครงสร้างทั้งหมดทำมาจากไม้ การออกแบบคล้ายกระท่อมเล็กๆในป่าใหญ่ ค่อนข้างแข็งแรง ด้านหน้ามีระเบียงเปิดโล่งยื่นออกมา ส่วนด้านหลังก็ติดกับลำธารขนาดเล็กที่น้ำไหลมาจากเทือกเขา ทุกเช้าจะมีบรรดาช้างออกมาเดินตรงลานหญ้ามารับกล้วยและผลไม้อื่นๆที่นักท่องเที่ยวอยากให้อาหาร ยิ่งเป็นจุดเด่นทำให้สถานที่แห่งนี้มีเอกลักษณ์ จนนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย ถึงขนาดต้องจองห้องพักกันข้ามปีเลยทีเดียว
“ส่วนใหญ่ปางช้างมักจะหยุดทุกวันอาทิตย์ค่ะ เพราะนายช้างเล็งเห็นว่าคนงานก็ต้องพักมีเวลากับครอบครัว ส่วนพวกช้างเองก็ต้องได้รีแล็กซ์กันบ้าง เพื่อไม่ให้พวกมันเครียดและกดดันเกินไปค่ะ” สาลี่เล่าเรื่องราวต่างๆของปางช้างให้กับเจ้านายสาวคนงาม
“ก็ดีนะ ไม่งั้นพวกมันคงเครียดแย่รับแขกมากหน้าหลายตาทุกวัน ถ้าฉันเป็นช้างก็คงเหนื่อยเหมือนกัน”
พรนลัทเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะกวาดสายตาด้วยความสนใจไปตามโรงเรือนที่เลี้ยงช้างอย่างทึ่งๆ แล้วเอ่ยถามสาวใช้
“ทำไมถึงมีช้างเยอะขนาดนี้ล่ะสาลี่ แล้วพวกมันมาจากไหนกัน”
“อ้อ ช้างพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นช้างที่ปลดระวางการลากไม้สักค่ะ แม่เลี้ยงเป็นคนใจบุญมากค่ะ พอเห็นว่าพวกมันน่าสงสารก็เลยรับมาอุปการะ นานวันเข้าก็มีมากกว่าสิบยี่สิบตัวอย่างที่คุณเห็น” สาวใช้ตัวเล็กเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“อย่าว่าแต่แม่เลี้ยงเลยค่ะ นายช้างเองก็ใจบุญล่าสุดก็ไปรับอุปการะช้างตัวเมียที่พึ่งตั้งท้องถูกคนเอามาเร่เดินข้างถนน นายช้างก็เลยซื้อไถ่ชีวิตมันมาค่ะ นอกจากหล่อแล้วยังใจบุญสุนทานอีก”
สาลี่ทำสีหน้าชื่นชมเจ้านายตัวเองราวกับกำลังชื่นชมไอดอลเกาหลีอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาพรนลัทถึงกับคลี่ยิ้มขันเล็กๆ
“ดูท่าสาลี่จะปลื้มเจ้านายมากเลยนะ”
“นายช้างมีบุญคุณกับครอบครัวสาลี่มากค่ะ ตอนนั้นพ่อแม่สาลี่เสียค่ะ พี่ชงนมก็เป็นหัวหน้าครอบครัว เร่หางานทำเพื่อส่งสาลี่ได้เข้าเรียน นายช้างก็เลยรับพี่ชงนมมาทำงานที่ปางช้าง และเป็นคนส่งสาลี่ให้เรียนจนจบมัธยมปลายเลยนะคะ สาลี่และพี่ชงนมจึงรักนายช้างเหมือนเป็นพ่ออีกคนเลย”
พรนลัทได้ฟังมาถึงตอนนี้ เธอรู้สึกว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่แย่สักเท่าไหร่ ถ้าไม่นับความปากหมา กวนประสาท และเจ้าชู้ เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แบบนี้ค่อยน่าคบหน่อย หญิงสาวเผลอผุดยิ้มบางๆอย่างชื่นชม ก่อนจะรีบสลัดหัวไปมาเอาความคิดชั่ววูบที่เข้ามาในหัวออกไปอย่างรวดเร็ว
‘บ้าจริง! ยายน้ำผึ้ง เธอกำลังหลงคำคมโฆษณาของอีตาบ้านี่นะ’
ท่าทางแปลกๆของเจ้านายสาวทำเอาสาลี่ถึงกับขมวดคิ้วงุนงง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไร พอดีเหมือนมีตัวอะไรบินมาโดนหน้าน่ะ เดินต่อเถอะ”
ว่าจบก็ผายมือให้สาวใช้ตัวน้อยพาเดินชมสถานที่ต่อ ทว่าจังหวะที่ทั้งคู่กำลังพากันเดินไปต่อนั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กร้องเรียกบางสิ่งและกำลังเงยหน้าขึ้นไปบนต้นมะม่วง พลางหันรีหันขวางหาบางอย่าง พรนลัทจึงเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“เจ้ายุ่งมันขึ้นไปติดอยู่บนต้นไม้ค่ะ”
เด็กน้อยหันมาบอกพลางชี้ขึ้นไปให้เธอดู ว่าเจ้ายุ่งที่ว่าก็คือลูกแมวตัวเล็กขนสีส้มตัดขาวกำลังร้องเรียกให้คนช่วยตัวสั่นเทา
เมี้ยวววว!
“งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยนะ”
พรนลัทเอ่ยบอกพลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับเด็กน้อยตรงหน้า หญิงสาวกวาดสายตาไปตามต้นมะม่วงข้างหน้า มันไม่ได้สูงเกินกว่าที่เธอจะปีนขึ้นไปได้ จังหวะที่เธอกำลังเดินไปยังต้นมะม่วงต้นนั้น สาวใช้คนสนิทก็ปรี่เข้ามาจับแขน แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง
“คุณน้ำผึ้งจะช่วยเจ้ายุ่งยังไงคะ”
“ปีนขึ้นไปไง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันปีนมาบ่อยแล้ว”
ไม่พูดเปล่าคนปีนต้นไม้มาบ่อยก็กระโดดขึ้นไปบนกิ่งก้านของต้นมะม่วงที่สูงเกือบสองเมตรอย่างคล่องแคล่ว พรนลัทค่อยๆทรงตัวและไต่ไปตามกิ่งมะม่วงที่ค่อนข้างหนา จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าเจ้ายุ่งแมวส้มที่ร้องขอความช่วยเหลือได้สำเร็จ ท่ามกลางสองสาวต่างวัยที่ลุ้นระทึกอยู่ข้างล่าง
“เจ้ายุ่ง นี่ยุ่งสมชื่อเลยจริงๆ”
หญิงสาวกอดลูกแมวตัวเล็กไว้กับอก พลางเอ่ยยิ้มๆ แล้วค่อยๆปีนไต่ลงจากต้นมะม่วงอย่างระมัดระวัง ทว่าจังหวะที่เธอกำลังจะก้าวไปยังกิ่งสุดท้าย
“เมื่อเช้าก็ใส่เกลือในกาแฟของผม พอตกเย็นก็มาปีนเป็นลิงเป็นค่าง คุณนี่มันแสบใช่เล่นจริงๆนะน้ำผึ้ง”
เสียงห้าวห้วนเอ่ยทัก ทำให้คนที่บอกปีนต้นไม้บ่อยตกใจก็เหยียบพลาดจนได้ มือหนึ่งก็กอดเจ้าแมวน้อย อีกมือก็พยายามคว้ากิ่งมะม่วงไว้แต่ไม่ทันอีก
“ว้ายยยย!”
หัสดินทร์ที่พึ่งขยับขาเข้ามาเพียงก้าวเดียว พอได้ยินเสียงหวีดร้องก็รีบเข้ามารับร่างเล็กที่หงายหลังลงมาจากต้นมะม่วงเอาไว้ได้ทัน เธอไม่ได้ตัวหนักมากมายเมื่อเทียบกับไซส์ร่างสูงใหญ่ของเขา แถมยังพลามัยแข็งแรงดีเยี่ยม อุ้มเธอด้วยมือเดียวได้อย่างสบายๆ แต่ด้วยแรงกระแทกบวกกับความไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ทั้งคู่พากันเสียหลักล้มลงบนพื้นหญ้า ท่ามกลางความตกใจของสองสาวต่างวัย
“ตายแล้ว! นายช้าง คุณน้ำผึ้ง”
“เจ้ายุ่ง เมี้ยวๆ”
สาลี่และเด็กสาวตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปหาสองหนุ่มสาวที่ล้มคลุกฝุ่นกันอยู่ตรงหน้าทันที พรนลัทได้สติรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางหันไปส่งเจ้าลูกแมวตัวปัญหาให้กับเด็กผู้หญิงตรงหน้า แล้วหันกลับไปมองคนที่ช่วยเธอเกือบตกลงมาแข้งขาหักได้อย่างหวุดหวิด
ส่วนเขาพอลุกขึ้นยืนได้ก็รีบรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ตัว พลางจับไหล่มนกวาดสายตาดูว่าเธอเจ็บหรือเปล่า ก่อนเสียงทุ้มติดห้วนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บหรือเปล่า”
ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ปลายนิ้วเรียวปาดเช็ดคราบฝุ่นที่ติดแถวพวงแก้มนุ่มผะแผ่ว ทำเอาพรนลัทหน้าเห่อร้อนและแดงจัดอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งสายตาคมกริบจ้องใบหน้านิ่งในระยะประชิดซะขนาดนี้ ทำเอาเธอทำตัวไม่ถูก ก่อนจะรีบผละออกแล้วเอ่ยบอกน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“มะ…ไม่เจ็บค่ะ”
ความใกล้ชิดสนิทสนมของเจ้านายทั้งสอง ประกอบกับแววตาและท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใยของเจ้านายหนุ่ม ยิ่งทำให้สาวใช้อย่างสาลี่เผลออมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า
“ทีหลังก็หัดระวัง ไม่อย่างนั้นจะตกลงมาแข้งขาหักได้”
คนตัวโตเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความห่วงใย พรนลัทก็ผลุบตามองต่ำเพื่อเลี่ยงการสบดวงตาคมกริบลดอาการประหม่าของตัวเอง ขณะที่ปากเล็กก็เอ่ยบอกเสียงแผ่วๆ
“รู้แล้วน่า แต่ถ้าคุณไม่ทักฉันจะร่วงลงมาไหมล่ะ”
“อ้าว! นี่หาว่าผมผิดอย่างนั้นหรอ”
“หรือไม่จริง ก็ถ้าคุณไม่ทักฉันก็ไม่ตกลงมาหรอก ต้นไม้ฉันหัดปีนมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยจะตกสักครั้ง”
พรนลัทช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสายตาคาดโทษ ขณะที่เขาก็จ้องกลับอย่างไม่ลดละเช่นกัน ก่อนคนตัวโตจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้มขบขัน
“ลืมไปว่าคุณมันเป็นลิงเป็นค่างตั้งแต่เด็กๆ”
“คุณช้าง!”
“เอ่อ…สาลี่ว่าอย่าพึ่งทะเลาะกันเลยนะคะ”
สาวใช้รีบเข้ามาห้ามทัพ ขืนปล่อยให้ทั้งคู่รับฝีปากกันไปมา เกรงว่าจะมีใครสักคนได้เลือดตกยางออกเป็นแน่ ดูจากดวงตากลมโตของเจ้านายสาวที่วาวโรจน์ไปด้วยโทสะ สามารถพุ่งเข้าไปกัดคออีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
“นายช้างขา อย่าโกรธพี่คนสวยเลยนะ พี่คนสวยแค่ขึ้นไปช่วยเจ้ายุ่งให้กะทิเอง”
เด็กน้อยเดินเข้าไปกระตุกชายเสื้อของนายใหญ่ พลางแหงนเงยขึ้นมองช่วยพี่สาลี่พูดอีกแรง หัสดินทร์จึงหันมาลูบศีรษะเล็กของเด็กผู้หญิงตัวน้อยเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู ขณะเดียวกันพี่สาวคนสวยก็จ้องมองสาวน้อยตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน
“เจ้ายุ่ง กับหนูกะทินี่ซนพอๆกันเลยนะ ฉันไม่ว่าพี่สาวคนสวยของกะทิหรอก แค่เป็นห่วงก็เลยตักเตือนก็เท่านั้น วันนี้โชคดีหน่อยที่ตกลงมาแข้งขาไม่หัก แต่ถ้าครั้งหน้าไม่แน่พี่สาวคนสวยอาจจะพิการไปเลยก็ได้”
ประโยคเหมือนจะดี แต่ไหงรู้สึกเหมือนเธอกำลังโดนเหน็บ พรนลัทอดที่จะถลึงตาใส่คนที่พูดไม่ได้ พูดดีๆเหมือนคนอื่นเป็นไหม ทำไมต้องปากเสียตลอดไม่เข้าใจ
“สาลี่พากะทิไปเล่นที่อื่นเถอะ”
นายใหญ่หันไปบอกสาวใช้ที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ไม่ไกล ให้พาเด็กน้อยกับแมวสีส้มกลับไปเล่นที่บ้านพัก
“ค่ะ นายช้าง”
สาลี่จึงรีบรับคำแล้วเข้ามาจูงกะทิและเจ้ายุ่งเดินไปทางบ้านพักคนงาน คล้อยหลังสาวใช้คนสนิทและเด็กน้อย พรนลัทจึงหันไปเอ่ยทัดทานคนที่ยืนข้างๆด้วยสีหน้ายับยุ่ง จู่ๆ เขาก็มาไล่ให้สาลี่ออกไปทั้งที่เธอยังทัวร์ปางช้างไม่ครบเลย
“อ้าวนี่คุณ ให้สาลี่ไป แต่ฉันกับสาลี่ยังทัวร์ปางช้างไม่เสร็จเลยนะ”
“ผมพาไปเอง มาสิ อยากดูถึงไหน ถึงห้องผมเลยไหม”
ไม่พูดเปล่า! เขายังฉวยโอกาสคว้าข้อมือเล็กไว้เสียแนบแน่น ชนิดที่คนตัวเล็กสลัดเท่าไรก็ไม่ออก เธอจึงหันไปแหวเสียงเขียว อยากจะซัดหน้าหล่อๆของเขาสักทีสองที โทษฐานกวนประสาทไม่พัก
“ทะลึ่ง!”
พรนลัทได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆของเขา บ่งบอกให้รู้ว่าคนพูดยียวนกวนแค่ไหน หญิงสาวจำต้องยอมให้จูงมือเดินชมจุดต่างๆของปางช้างอย่างขัดไม่ได้
******
ตลอดเวลาที่เดินด้วยกันเขาไม่มีท่าทีก่อกวนเธออีกเลย มีแต่อธิบายเรื่องราวต่างๆให้เธอได้เข้าใจ พอมาสัมผัสเขามุมนี้ก็ทำให้เธอรู้ว่าเขาเป็นคนจริงจังขนาดไหน เธอกำลังเพลิดเพลินอยู่กับธรรมชาติที่รายล้อมกับเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังของเขาขับกล่อม
จวบจนผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีชายหนุ่มก็พาเธอมายังด้านหลังของปางช้างที่ติดกับธารลำน้ำตกขนาดเล็กๆเพราะเป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้มาอาบน้ำกับบรรดาช้างขี้เล่นทุกตัว จากที่สังเกตน้ำไม่ได้ลึกเท่าไหร่ อาจจะประมาณข้อเท้าหรือครึ่งหน้าแข้งประมาณนั้น ซึ่งตอนนี้ก็มีลูกช้างตัวน้อยกำลังเล่นน้ำอยู่กับแม่ช้างตัวใหญ่ โดยมีควาญช้างและคนงานช่วยกันอาบน้ำให้พวกมัน
“เจ้าช้างน้อยตัวนั้นน่ารักจังค่ะ”
พรนลัทเอ่ยยิ้มๆ มองเจ้าตัวอ้วนหนุบหนับกำลังนอนเล่นน้ำอย่างสบายออารมณ์ ด้วยสายตาตื่นเต้นเจือไปด้วยความเอ็นดู ด้านคนมาเห็นรอยยิ้มแสนน่ารักของเธอก็หยุดคลี่ยิ้มตามไม่ได้ ก่อนเขาจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“มันยังไม่มีชื่อนะ พึ่งเกิดมาได้ไม่ถึงอาทิตย์ อยากลองตั้งชื่อให้มันไหมล่ะ”
“จริงหรอคะ”
หญิงสาวหันมายิ้มดีใจให้แก่เขา ดวงตากลมโตของเธอเป็นประกาย เธอกระโดดเกาะท่อนแขนแข็งแรงของเขาด้วยความลืมตัว จนคนตัวสูงเคลิบเคลิ้มไปกับความน่ารัก นี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเธอที่ไม่รู้ตัว ยามอยากได้อะไรหรือว่ามีความสุขที่ได้ทำอะไร เธอมักจะดีใจดวงตาเป็นประกายอย่างเก็บไว้ไม่อยู่
“จริงสิ” เขาหันมาตอบเธอ ก่อนจะหันไปอีกด้านเรียกควาญช้างที่สนิท “ชัย! เอาลูกบังอรมาตรงนี้หน่อย”
ควาญช้างได้ยินเสียงของผู้เป็นเจ้านายสั่งการ ก็รีบจูงช้างตัวน้อยที่ยังไม่มีชื่อมาใกล้ๆ โขดหินที่สองหนุ่มสาวกำลังยืนอยู่ เจ้าตัวน้อยก็ทำท่าดีใจที่เห็นคนมาเล่นด้วย มันนั่งลงจุมปุ๊กในพื้นน้ำ แล้วยกงวงเข้ามาคลอเคลียใบหน้าสวยหวานของหญิงสาว
“พอดีคุณน้ำผึ้งเขาอยากตั้งชื่อให้มันน่ะ”
คนเป็นเจ้านายเอ่ยบอกลูกน้อง เมื่อเห็นว่าชาญชัยเลิกคิ้วจ้องมองด้วยความสงสัย ควาญช้างหนุ่มจึงหันไปบอกคุณครูคนสวยด้วยความยินดี
“อ้อ ตั้งเลยครับ พวกผมไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรแล้ว”
“งั้นให้มันชื่อ ‘ไข่ตุ๋น’ แล้วกัน” สาวน้อยคนงามเอ่ยบอก พลางจ้องมองเจ้าช้างน้อยตรงหน้าด้วยแววตาอบอุ่น
“ทำไมถึงเป็นไข่ตุ๋น”
หัสดินทร์หันไปถามคนที่ตัวเล็กกว่า ชื่อมีตั้งเยอะแยะทำไมต้องตั้งเหมือนของกิน แต่ดูจากท่าทางแล้วเธอคงชอบชื่อนี้มาก
“เพราะฉันเคยเลี้ยงหมาตัวหนึ่ง ชื่อไข่ตุ๋น มันน่ารักหน้าตาเหมือนเจ้าช้างตัวนี้เลย แต่มันกลับดาวหมาไปแล้วนะสิคุณ”
พรนลัทเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ยามคิดถึงเจ้าหมาตัวน้อยที่เคยวิ่งเล่นกับเธอที่สวน จนมันแก่ชราและจากโลกไปนี้แล้ว
“โอเค งั้นเจ้าตัวนี้ ชื่อไข่ตุ๋น หวังว่ามันจะทำให้คุณหายคิดถึงหมาได้นะ” หัสดินทร์พยักหน้ายอมรับชื่อนี้อย่างยิ้มๆ
“ขอบคุณนะคะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมาคลี่ยิ้มหวานหยด ทำเอาคนเห็นถึงกับตะลึง ก่อนเธอจะหันไปลูบงวงของเจ้าช้างน้อย แล้วเอ่ยกับมันเบาๆ
“แกชื่อเจ้าไข่ตุ๋นนะ โอเคไหม”
และดูเหมือนเจ้าช้างน้อยที่ได้ชื่อว่า ‘ไข่ตุ๋น’ จะดูชอบชื่อนี้เป็นอย่างมาก มันส่งเสียงร้องแปร๋นๆ ดีใจ พร้อมกับเข้ามาคลอเคลียคนตั้งชื่อให้อย่างน่าเอ็นดู ทำเอาเจ้าของช้างแย้มยิ้มให้กับความน่ารักเป็นธรรมชาติของเธอตรงหน้า
ต้องยอมรับว่าเธอต่างจากบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยควงเป็นไหนๆ พรนลัทไม่เสแสร้งแกล้งประจบ ยามเธอโมโหหรือเสียใจเธอก็แสดงออกมา รอยยิ้มและแววตาของเธอสดใสอย่างไม่ปรุงแต่ง
หลังจากพรนลัทได้เล่นกับเจ้าไข่ตุ๋นเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็พาเธอกลับมาบ้าน ส่วนรถจักรยานคันเก่งของเธอที่จอดพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ หัสดินทร์ก็สั่งให้ชงนมขี่ไปเก็บไว้ที่บ้านหลังใหญ่แทน ตลอดทางกลับเธอกับเขาพูดคุยอย่างไม่มีอคติต่อกัน มีเสียงหัวเราะขบขันเจือไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเป็นบรรยากาศภายในรถที่อบอวลไปด้วยมวลพลังงานบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขาทั้งคู่