ยามราตรีท้องฟ้าไร้ซึ่งดวงดาราส่องสว่าง มีเพียงอัสนีบาตที่พาดผ่านมาเป็นระยะ ผ่านไปไม่ถึงนาทีฝนก็กระหน่ำตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ด้วยความที่เป็นบ้านไม้ทำให้พรนลัทได้ยินเสียงน้ำฝนตกกระทบไม้กระดานหน้าระเบียงบ้าน พร้อมกับเสียงกบเสียงเขียดร้องระงมรับพิรุณ ยังทำให้เธอจินตนาการไปถึงเรื่องเล่าที่ได้ฟังมาจากคนงานหนุ่มเมื่อตอนเย็น
หญิงสาวนอนเหยียดยาวตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอนที่ทั้งแข็งทั้งเย็น พลางใช้ปลายเท้าเล็กของตัวเองเขี่ยๆเอาผ้าแพรเนื้อลื่นขึ้นมาห่มจรดจนถึงคอหอย ดวงตากลมโตสอดส่ายไปทั่วห้องเล็กๆ โดยมีแสงสีเหลืองอ่อนจากหลอดไฟที่ห้อยระย้าจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ขยับตามแรงลมของพายุฝนที่อยู่ข้างนอก
ทว่าจู่ๆ เธอก็ดันได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเดินอยู่รอบๆบ้านพัก คำบอกเล่าของชงนมก็เข้ามากัดกินหัวใจดวงน้อยของเธอให้หวาดหวั่น ความคิดฟุ้งซ่านเข้ามาในหัวเต็มไปหมด กระทั่งต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงกระหน่ำเคาะที่ประตูห้องสามถึงสี่ที
~ ก๊อกๆ ก๊อกๆ ~
“ใครอ่ะ?”
พรนลัทตะโกนแข่งกับเสียงฝนที่ตกไม่มีพักอยู่ข้างนอก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ หญิงสาวพนมมือขึ้นแล้วสวดมนต์ผิดๆถูกๆ บ้างก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“อย่ามายุ่งกับหนูเลยนะคะ หนูแค่มาขอนอนเฉยๆ”
~ ต๊อกๆ ต๊อกๆ แก…~
“กรี๊ดดดดด!”
เรียกได้ว่าเป็นจังหวะชีวิตในค่ำคืนนี้ที่โคตรจะนรกจากกลัวผีอยู่ดีๆ เธอก็ต้องกรีดร้องเสียงหลงเพราะสัตว์เลื้อยคลาน เมื่อเจ้าตุ๊กแกน้อยสองตัว จู่ๆก็หิวโหยแมลงขึ้นมาพากันออกมาวิ่งวนรอบหลอดไฟดวงเล็กๆที่อยู่บนเพดานห้องของเธอ
“เห้ย! แกสองตัวน่ะ กินกันดีๆนะ อย่าร่วงลงมานะเว้ย”
หญิงสาวทำใจดีสู้เสือเงยหน้าขึ้นไปมองตุ๊กแกสองตัวที่วิ่งวนใช้ลิ้นตวัดแมลงอยู่ข้างๆหลอดไฟ พรนลัทลุกขึ้นยืนอยู่บนเตียงนอน พลางจ้องมองไปที่ไอ้เจ้าสองตัวนั้นอย่างเขม็ง ถ้าเธอไม่สู้กับเจ้าตุ๊กแกสองตัวเธอก็ต้องไปสู้กับผีหรือคนก็ไม่รู้ที่อยู่นอกห้องอีก เอาเป็นว่าสงบศึกกับมันสองตัวที่อยู่ในห้องยังดีเสียกว่า
แต่ดูเหมือนว่ามันสองตัวกินกันอยู่ดีๆ ก็ดันทะเลาะเพราะแย่งแมลงกันเฉยเลย มุมซ้ายเป็นตัวลายจุดสีส้มไล่งับหาง ส่วนมุมขวาเป็นเจ้าลายจุดตัวสีแดง ฟัดกันไปกันมาดันเลยอาณาเขตร่วงลงมาตกตรงที่เธอยืนอยู่พอดิบพอดีนี่สิ จะอยู่ทำไมล่ะก็ต้องเผ่นซิโว้ย
พรนลัทกระโดดลงจากเตียงพร้อมกับวิ่งไปเปิดประตูผัวะเผ่นแน่บอย่างไม่คิดชีวิต ออกมาอยู่ตรงบริเวณระเบียงของบ้านด้วยหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ พลันหางตาของเธอดันเหลือบไม่เห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ข้างๆบ้าน ทว่านาทีนี้เธอไม่มีเวลามาพินิจพิเคราะห์ว่าเป็นคนหรือผี
หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงวิ่งถลาฝ่าสายฝนที่ตกไปยังเรือนไทยชั้นเดียวขนาดใหญ่เปิดโล่งทั้งสามด้าน ซึ่งเป็นส่วนของประชาสัมพันธ์สำหรับปางช้างที่ปิดไฟมืดไม่หมด พร้อมกับผ้าแพรที่ใช้ห่มนอนเมื่อสักครู่ติดมือมาด้วย
“กรี๊ดดดดด โอ้ย! ทั้งผีทั้งตุ๊กแก” พรนลัทบ่นโวยวายไปด้วยขณะที่เธอวิ่งไม่คิดชีวิต “ไม่อยู่มันแล้วโว้ยยยย”
พอมาถึงหญิงสาวเลือกนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ จากนั้นก็อิงพิงศีรษะเล็กไปกับพนักพิงตอนนี้เธอเจอศึกรอบด้าน และรู้สึกทั้งง่วงทั้งเพลีย ผ่านไปชั่วครู่เธอก็ผล็อยหลับเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อย่างง่ายดาย
******
ขณะเดียวกันร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงผ้าขายาวสีเทา ซึ่งเป็นชุดที่เขาใส่นอนเป็นประจำ กำลังนั่งอ่านงานอยู่ตรงระเบียงบ้านพัก ก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังร่างอรชรที่วิ่งฝ่าฝนไปยังเรือนไทยก็ได้แต่หลุดหัวเราะระคนสงสัย
ชายหนุ่มจึงรีบเดินกางร่มไปยังบริเวณอาคารประชาสัมพันธ์ทันที ทว่าพอมาถึงก็ต้องโคลงศีรษะพร้อมกับแย้มยิ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อเห็นร่างเล็กห่อตัวด้วยผ้าแพรเนื้อลื่นสีเขียวหลับคอพับคออ่อนซุกร่างฝังไปกับโซฟาตัวใหญ่สลบไสลอย่างไม่รู้ตัว
บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ไหนจะวิ่งฝ่าฝนมาอีกไม่รู้อะไรไปทำให้เธอต้องระหกระเหินมานอนอยู่ตรงนี้ หัสดินทร์จึงช้อนอุ้มร่างบางขึ้นมาทั้งตัวโดยไม่รู้สึกหนักเลยสักนิด แถมเจ้าตัวก็ไม่รู้สึกรู้สาหลับไม่รู้เรื่องไปแล้ว ค่อยๆวางลงบนโซฟาให้เธอนอนเหยียดยาว จากนั้นก็ไปนำผ้าห่มผืนหนามาห่มให้อีกชั้น พร้อมกับเปิดพัดลมที่ติดอยู่ตรงต้นเสาเป่าไล่อากาศให้เธออีกด้วย
ใจจริงเขาอยากจะอุ้มเธอกลับเข้าไปนอนในห้อง แต่กลัวว่าเช้ามาแม่คุณคงได้ตื่นขึ้นมาโวยวายลั่นปางช้างของเขาเป็นแน่ เพื่อความปลอดภัยของคนตัวเล็ก ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะนั่งเฝ้าคนที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างๆบนโซฟาตัวใหญ่ตัวเดียวกันแทน พลางจ้องมองใบหน้านวลเนียนที่ไร้พิษสงตอนหลับด้วยแววตาเอ็นดู เขาอดไม่ได้ที่จะยกปลายนิ้วเรียวเขี่ยขนตางอนงามของคนหลับเล่นแผ่วๆ
“ตอนนอนคุณก็น่ารักเหมือนกันนะ”
แต่ถ้าตอนตื่นล่ะก็แสบใช่ย่อยเลยหละ หัสดินทร์ผุดยิ้มมุมปากให้กับความคิดของตัวเอง ดวงตาสีนิลจ้องมองมายังปากอิ่มอยู่นาน พลางไล่ปลายนิ้วคลึงกลีบปากเล็กเบาๆ
“แม่จ๋า น้ำผึ้งเหนื่อยมากเลย…”
หัสดินทร์ชะงักมือค้างไปชั่ววินาที เมื่อได้ยินเจ้าของกลีบปากนุ่มที่เขากำลังลูบไล้ด้วยความเผลอไผลพึมพำออกมาเบาๆ ส่วนคนขี้เซาก็ยังหลับตาพริ้มอยู่ดังเดิม บอกให้รู้ว่าเธอคงแค่ละเมอ เขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาอย่างโล่งใจ ไม่รู้ว่าเธอเจอเรื่องอะไรมาถึงได้ละเมอเพ้อแบบนี้ แถมยังมีบางจังหวะที่ขมวดคิ้วเรียวสวยยุกยิกไปมาอีกด้วย
“ถ้างั้นก็นอนมันตรงนี้ไปด้วยกันล่ะกัน”
ว่าจบร่างสูงก็พาตัวเองไปนั่งพิงโซฟาเดี่ยวอีกตัวข้างๆ พลางคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยรีบตื่นมาก่อนเธอ ไม่อย่างนั้นยายเปี๊ยกตัวแสบได้อาละวาดอย่างแน่นอน
ก่อนเขาจะค่อยๆหลับตาลงพร้อมกับกอดอก พิงศีรษะได้รูปไปกับพนักพิงโซฟา แล้วหลับไปในที่สุด ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกพรำๆ อากาศเย็นในยามราตรีของที่นี่มักจะไม่มียุงมาให้กวนใจสักเท่าไหร่
*****
เสียงไก่ขันมาพร้อมกับแสงอรุณรับวันใหม่ที่สดใส ทว่าคนที่ไม่สดใสน่าจะเป็นพรนลัท หญิงสาวพาหน้าตาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมายังห้องอาหารตามคำบอกของคนงานสาวเมื่อวานนี้ เธอทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หวายอย่างกับคนไร้เรี่ยวแรง สร้างความแปลกใจให้กับสาลี่ไม่ใช่น้อย
ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้เอ่ยทักทาย ร่างสูงใหญ่ของคนเป็นเจ้านายก็พาตัวเองมาทรุดนั่งตรงข้ามกับคุณครูคนสวย ที่น่าแปลกใจเข้าไปอีกคือสภาพชายหนุ่มหัวก็ยุ่งน้อยๆ เพราะเจ้าตัวชอบเสยลวกๆตอนเดินมา คล้ายกับคนอดหลับอดนอนไม่ต่างกัน สาวใช้จึงรีบจัดกาแฟดำมาให้เจ้านายทันที พร้อมกับหันไปยกถ้วยข้าวต้มและน้ำส้มคั่นมาให้คุณผู้หญิงอีกด้วย
“ทำไมคุณน้ำผึ้งดูเพลียๆคะ” สาลี่มีโอกาสจึงเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้า
“พอดีเมื่อคืนฉันไม่ค่อยได้นอนน่ะจ๊ะ”
พรนลัทตอบพลางคลี่ยิ้มบางๆ หากแต่ดวงตากลมโตก็สบเข้ากับดวงตาคมกริบที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ทำให้เธอต้องผลุบหลบและมาสนใจชามข้าวต้มตรงหน้าแทน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” สาวใช้เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีหรอกจ๊ะ”
เธอจะไปกล้าบอกได้อย่างไรล่ะ ว่าเมื่อคืนทั้งหนีผีหนีตุ๊กแกไม่ได้นอนทั้งคืน เกรงว่าสาวน้อยตรงหน้าจะหาว่าเธอฟุ้งซ่านฟังเรื่องจากชงนมมากไปจนคิดมาก ทว่าเสียงทุ้มห้วนก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา
“แต่ผมมี”
“คุณมีอะไร ว่ามาเลยดีกว่า”
พรนลัทวางช้อนที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปากลง แล้วจ้องมองไปที่คนหาเรื่องซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเขม็ง
“ผมก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
“ก็นั่นมันเรื่องของคุณ ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันสักนิด”
หัสดินทร์จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มยั่วก่อกวนเธอ พลางเอ่ยอีกประโยคที่ใครมาได้ยินก็ต้องเข้าใจผิดไปไกล
“เรื่องของผมที่ไหน เรื่องของคุณด้วยเหมือนกัน”
แล้วก็เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคาด เพราะสาวใช้ตัวเล็กจ้องมองเจ้านายทั้งสองคนเถียงกันอย่างออกรสออกชาติ พร้อมกับเบิกตาโตพลางยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองด้วยความตกใจ กับประโยคที่สื่อออกมาให้เข้าใจว่าทั้งคู่นอนด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น หากแต่แม่สาวน้อยหน้าใสยังคงเถียงเขาคอเป็นเอ็นไม่ลดละ
“เรื่องของฉันยังไงไม่ทราบ”
“ก็เมื่อคืนคุณแหกปากโวยวายเป็นนกกระแตแต้แวด ผมทำงานไม่ได้เลย”
“ก็เจ๊ากันไปแล้วกัน ถือว่านอนไม่หลับทั้งคู่”
“เจ๊าบ้า เจ๊าบออะไร นอนแทบไม่ได้ เล่นแหกปากดังลั่นทั้งคืน”
คนถูกว่าทำหน้าเหลอหลาก็ใครจะไปคิดว่าเสียงกรีดร้องของตัวเองมันจะดังจนคนตรงหน้าได้ยิน แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อเขาให้เธอพักที่บ้านหลังนั่น แถมยังให้คนงานมาเล่าเรื่องสยองให้เธอฟัง เพื่อเขย่าต่อมผวาก่อนนอนอีกก็รับกรรมตามกันไปนั้นแหละ
“ฉันไม่ได้ไปแหกปากข้างหูคุณสักหน่อย อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า”
ดูยายตัวแสบยังคงกวนประสาทไม่เลิก เห็นทีเขาต้องปราบพยศสักหน่อยแล้ว หัสดินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเอง แล้วเท้าแขนทั้งสองข้างคร่อมร่างเล็กที่กำลังกินอาหารเช้าตรงหน้า ก็เขาจะพูดชิดใบหน้าสวยใสเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน
“ถ้าคุณอยากแหกปากข้างหูผมจริงๆ ตอนนั้นเราคงต้องมานอนด้วยกันแล้วล่ะ” เขากระตุกยิ้มร้าย
“ให้หมาออกลูกเป็นปลาวาฬก่อนเถอะ” พรนลัทเอ่ยลอดไรฟันตอบกลับไป บอกให้รู้ว่าเธอกำลังไม่สบอารมณ์อย่างแรง ก่อนหญิงสาวจะยกมือขึ้นดันแผงอกแน่นหนั่นให้นั่งลง
“ถอยไปได้แล้ว ฉันจะกินข้าว”
คนหิวข้าวส่งสายตาค้อนวงใหญ่มาให้อีกหนึ่งที หัสดินทร์ได้แต่หัวเราะหึๆในลำคอกับดวงตากลมโตที่ฉายแววหวาดหวั่น และยอมถอยห่างกลับไปนั่งลงตามเดิม
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองใบหน้าสวยใสแดงระเรื่อเล็กๆนั้น การเย้าแหย่ต่อปากต่อคำกับคนตัวเล็กตรงหน้า แถมยิ่งได้เห็นเธอทำหน้ามุ่ยแสนน่ารัก มันทำให้เขามองเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อ
ท่าทางการหยอกล้อของทั้งคู่สร้างความแปลกใจระคนสงสัยให้กับสองพี่น้องคนงานชงนมและสาลี่ เพราะทั้งคู่ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนจะกล้าต่อปากต่อคำกับคนเป็นเจ้านาย และยังทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้มหัวเราะบ่อยขนาดนี้
แถมเมื่อเช้าตอนที่เขาเข้ามาทำงานก็เจอร่างสูงใหญ่ของเจ้านายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟาตัวเล็ก พลางบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้า แถมยังสั่งให้เขาเฝ้าคุณครูคนสวยที่นอนหลับจนกว่าจะตื่นอีกด้วย บอกให้รู้ว่าเจ้านายสุดหล่อของเขามานอนเฝ้าสาวด้วยความเป็นห่วงอย่างแน่นอน
‘เป็นห่วงสาวก็ยังปากแข็ง แถมยังชวนเขาทะเลาะไปเรื่อย เจ้านายกู’
ชงนมพาลคิดอยู่ในใจ พร้อมกับหลุดยิ้มขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ และดูเหมือนจะถูกจับได้ซะด้วยสิ เสียงห้วนทรงอำนาจของหัสดินทร์ทักมาทำเอาลูกน้องคนสนิทสะดุ้งสุดตัว
“ไอ้ชงนม มึงจะยืนยิ้มหน้าระรื่นอีกนานไหม งานการไม่มีทำหรือยังไง”
“มีครับนาย ผมไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าชงนมจะโกยอ้าวออกจากเรือนไทย พลันสายตาของคนงานหนุ่มก็เห็นรถตู้คันใหญ่คันคุ้นเคยเลี้ยวเข้ามาจอดอยู่บริเวณหน้าโซนประชาสัมพันธ์ คนที่รักเจ้านายยิ่งชีพจึงหันไปพยักเพยิดบอกเจ้านายตัวเองกลายๆ
หากแต่คนเป็นนายก็ได้แต่ทำหน้าฉงนงุนงง ก่อนที่เขาจะอ้าปากเทศนาลูกน้องตัวดี เสียงทรงอำนาจมาพร้อมๆ กับร่างเพรียวระหงของแม่เลี้ยงสรณ์สิริด้วยท่าทางขึงขังเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย
“ตาช้าง!”
คนถูกเรียกหาได้สะทกสะท้านไม่ยังคงจิบกาแฟนั่งนิ่งราวกับทองไม่รู้ร้อน ส่วนสาวน้อยที่นั่งตรงข้ามสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียก ขณะเดียวกันชงนมรีบโกยแนบชนิดติดจรวดไอพ่นหลบไปอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์แทน พลางพึมพำออกมาเบาๆ
‘บรรลัยแล้ว เจ้านายกู องค์แม่มาเยือน’
“น้องน้ำผึ้ง…เป็นยังไงบ้างลูก”
แม่เลี้ยงสรณ์สิริรีบก้าวไปหาหลานสาวคนสวยทันที พรนลัทจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยกมือไหว้ผู้มีศักดิ์เป็นป้าอย่างนอบน้อม แม่เลี้ยงปรี่เข้ามารั้งร่างเล็กเอามากอดแนบอกด้วยความคิดถึง ก่อนดวงตาแห่งความรักจะแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองเมื่อจ้องมองไปที่ลูกชายตัวโต
“แม่บอกให้พาน้องไปนอนที่บ้านใหญ่ ทำไมน้องถึงมาอยู่ที่นี่”
นางเอ่ยถามลูกชายเสียงขุ่น นี่ถ้าไม่ใช่ว่างานที่ลำปางเสร็จเร็วนางจะไม่รู้เลยว่าหลานสาวสุดที่รักต้องมาถูกลูกชายแกล้งให้มานอนที่บ้านพักหลังเล็ก ทว่าคนเป็นลูกก็หาได้สนใจกลับเลิกคิ้วตอบกลับแบบกวนๆ
“อ้าว! ก็ให้คุณครูคนใหม่ของแม่คุ้นชินกับที่นี่เร็วๆไงครับ”
“คุ้นชิน หรือว่าจงใจแกล้งกันแน่พ่อตัวดี” คนเป็นแม่ย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเขียวๆ ก่อนจะหันไปถามคนในอ้อมแขนบ้าง “หนูไม่เป็นไรนะลูก แล้วนี่ทำไมหน้าตาดูเพลียๆแบบนี้ล่ะ พี่เค้าแกล้งอะไรหนูหรือเปล่า บอกป้าได้เลยนะลูก”
“ผมจะไปแกล้งอะไรเขาได้ล่ะครับ แค่ผมเข้าใกล้หลานสาวสุดที่รักของแม่ก็แวดเสียงใส่ผมแล้ว”
หัสดินทร์พูดหน้าตาย พลางจ้องมองคนในอ้อมแขนมารดาด้วยสายตากรุ้มกริ่มราวกับกำลังหยอกล้อเธออย่างไรอย่างนั้น พรนลัทจึงส่งสายตาขุ่นเคืองกลับไปเช่นกัน
“ช่างเถอะค่ะคุณป้า น้ำผึ้งนอนที่ไหนก็ได้ค่ะ”
“ไม่ได้ลูก ไปบ้านใหญ่กันป้าจัดห้องไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
แม่เลี้ยงสรณ์สิริหันมาเอ่ยกับคนในอ้อมแขน ก่อนจะเอ่ยสั่งการสาวรับใช้ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกล
“สาลี่ไปเก็บของคุณน้ำผึ้งออกจากห้องนั้นให้หมด แล้วเอาไปจัดที่บ้านหลังใหญ่”
“ค่ะ แม่เลี้ยง”
“งั้นเราไปกันดีกว่านะลูก ป้ามีเรื่องอยากจะคุยกับหนูเยอะแยะเลย”
“รับมาทำงานไม่ใช่หรอครับ ไม่ได้รับมาเม้าท์มอย”
“ได้ทำงานแน่จ๊ะ แต่ไม่ใช่วันนี้”
คนเป็นมารดาสวนกลับทันควัน ทำเอาลูกชายจอมแสบถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด นางสรณ์สิริหันไปจูงมือเล็กพาตรงไปยังรถตู้ที่อยู่ข้างหน้า ทว่าก่อนร่างบางจะเดินพ้นซุ้มประตูของเรือนไทยไป ก็แอบมาเบ้ปากยักคิ้วให้กับคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารเช้า ทำให้ดวงตาสีนิลขุ่นขวางขึ้นมาทันที แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่หมายหัวแม่ตัวแสบอยู่ภายในใจ