"เข้าไป!"
"โอ้ย!"
"ท่านแม่ น้องสามระวังด้วย" เยว่ฉินจื่อกล่าว
บัดนี้ทหารของมู่ตงหยวนได้ควบคุมตัวเยว่ฮูหยินกับเหล่าคุณชายคุณหนูทั้งห้ามาที่คุกใต้ดินของศาลเทียนอวี่ตามคำสั่งเจ้ากรมตุลาการมู่
"ข้าไม่เป็นอะไร พี่ใหญ่น้องห้าเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ"
เสียงคุณหนูสามเยว่จินจินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเยว่ฉินจื่อ
"น้องห้าแค่สลบ เดี๋ยวผ่านไปสักประเดี๋ยวนางก็ฟื้น"
ได้ยินบุตรชายคนโตบอกเช่นนี้ทุกคนจึงเบาใจลง
"จื่อเอ๋อร์ นั่นเจ้าหรือ"
หากแต่เสียงที่แหบแห้งแต่แสนคุ้นหูกลับดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
ทุกคนจึงมองหาต้นทางของเสียงจนพบเข้ากับห้องขังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
แม้สภาพของคนที่ถูกล่ามข้อมือทั้งสองขึงไว้กลางห้องจะไม่น่าชม ทว่าพวกเขากลับจำได้ดีว่าคนผู้นั้นคือใคร
"ท่านพี่!"
เยว่ฮูหยินรีบถลาเข้ามาเกาะไม้ท่อนใหญ่สอดใบหน้าตรงช่องว่างที่พอให้มองเห็นภายนอกเพื่อพูดคุยกับคนที่อยู่ห้องขังตรงข้ามได้
ในใจนางเจ็บปวดรวดร้าวแทบลืมหายใจเมื่อเห็นสภาพสามีที่ไม่เหลือความสง่าของแม่ทัพใหญ่ที่น่าเกรงขาม
"ฮูหยิน ครั้งนี้ข้าทำพวกเจ้าลำบากด้วยแล้ว"
ใช่ว่าเยว่ฮูหยินจะเจ็บปวดเพียงคนเดียว คนที่ถูกหมายหัวและเป็นต้นเหตุความเดือดร้อนให้คนในตระกูลอย่างเยว่จิ้นกงกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า หากแต่สิ่งที่ได้ยินกลับมาจากภรรยาที่เขาเลือกแต่งเข้าสกุลด้วยตนเองกลับเหมือนยาดีช่วยเยียวยาความรู้สึกผิดนี้
"ได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน ไฉนเลยอันปิงจะเสียดายชีวิตนี้"
"ท่านพ่อ พวกข้าก็ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับท่านในครั้งนี้"
เสียงของเยว่อินกวานช่างหึกเหิมไร้ความหวาดกลัวในโทษที่ได้รับ
"พวกเจ้า...."
หากแต่ในความใจคนฟังที่ได้ยินสิ่งนั้นกลับมีความเสียใจและรู้สึกผิดปะปนมามากโข
เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ สามารถปกป้องชีวิตผู้อื่นได้ แต่เหตุใดถึงไม่สามารถปกป้องครอบครัวตนเองได้เช่นนี้
"แล้วนั่น เกิดอะไรกับหนิงเอ๋อร์"
เยว่จิ้นกงเหลือบเห็นบุตรสาวคนเล็กนอนอยู่บนตักของคุณหนูสี่เยว่อิงเถาจึงถามด้วยความร้อนใจ
"น้องเล็กไม่ยอมให้จับกุม พร้อมหมิ่นราชโองการจนเกือบถูกเปลี่ยนโทษเป็นให้กลายเป็นโทษตายแทน ข้าจึงทำให้นางสลบชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุอำนาจมืดของเจ้ากรมตุลาการมู่ตงหยวน"
"เจ้าทำถูกแล้วจื่อเอ๋อร์ ขอแค่รักษาชีวิตน้องเจ้าไว้ได้ สักวันต้องมีคนทวงคืนความบริสุทธิ์ของสกุลเยว่ได้แน่นอน"
หวังว่าจะเป็นดั่งที่บิดาพวกเขาคาดเดา
"ฮูหยิน พวกเจ้าจะถูกส่งไปที่ต่างเมือง จงทำตัวให้เหมือนคนโง่ และทำงานให้เหมือนวัวที่ทนแดดทนฝน สิ่งเหล่านี้จะช่วยพวกเจ้าผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ได้อย่างปลอดภัย" เยว่จิ้นกงกัดฟันตักเตือนฮูหยินเขาและบรรดาบุตรสาวด้วยใจที่เจ็บปวด
เพราะราชโองการจับกุมที่จวนเยว่กับที่เยว่จิ้นกงได้รับมีเนื้อความเดียวกัน ทำให้มิต้องเอ่ยถามกันให้มากความ
"ท่านพ่อ ลูกอกตัญญู ยังมิได้ทดแทนบุญคุณท่านที่เลี้ยงดู" เยว่จินจินเอ่ยอย่างรู้สึกผิดบาป
เยว่จิ้นกงโคลงศีรษะเบา ๆ คลี่ยิ้มทั้งมุมปากและแววตาพร้อมเอ่ยอย่างอบอุ่น
"แค่พวกเจ้ารักษาชีวิตให้ดี เพียงเท่านี้เท่ากับทดแทนบุญคุณพ่อกับแม่เจ้าแล้ว"
แม้ชีวิตนี้จะเหลือไม่กี่ชั่วยาม แต่เยว่จิ้นกงกลับไม่ร้อนรนเฉกเช่นคนทั่วไป เขายังมีสติสามารถเอ่ยเตือนสอนสั่งเหล่าบุตรีที่รอดชีวิตจากการถูกใส่ร้ายได้เป็นอย่างดี
"ท่านพี่ เหตุใดถึงมีราชโองการกล่าวว่าท่านก่อกบฎเช่นนี้เจ้าคะ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องนั้น?"
เสียงเยว่ฮูหยินค่อนข้างตกใจเมื่อนางคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ตระกูลที่จงรักภักดีมาหลายชั่วอายุคนถูกกล่าวหาอย่างไร้ศักดิ์ศรีในวันนี้
"ฮูหยิน เจ้าจงจำเอาไว้ เจ้าเป็นเพียงภรรยาที่นอนเคียงข้างข้ายามหลับ และปรนนิบัติสามียามตื่นเฉกเช่นสตรีทั่วไป ไม่รู้ ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องงานของบุรุษ"
"ข้า..."
เยว่ฮูหยินกลืนคำพูดมากมายที่อยากถามเอาไว้เมื่อเห็นแววตาสามีมองอย่างร้องขอ
"จื่อเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งที่พ่อสั่งเรียบร้อยดีใช่หรือไม่"
เมื่อเยว่ฮูหยินเงียบเสียงไปเพราะคำสั่งทางสายตา เยว่จิ้นกงจึงเปลี่ยนมาสนทนากับบุตรชายคนโตแทน
เยว่ฉินจื่อพยักหน้าตอบบิดาเมื่อเขาทั้งคู่เข้าใจตรงกันว่าบิดาหมายถึงเรื่องอันใด
"เรียบร้อยดีขอรับ"
"ดี ดีมาก"
แม้จะใช้เวลาฉิวเฉียดกับขบวนของศาลเทียนอวี่ที่เดินทางมาจวนสกุลเยว่ แต่เพียงแค่เฉินปู้เกาได้ของสิ่งนั้นไป เยว่จิ้นกงก็ตายตาหลับได้แล้ว
"มีคนมา"
หากแต่สองพ่อลูกคุยกันยังไม่ทันได้สั่งเสียอันใดต่อ เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มหนึ่งกลับมุ่งหน้ามาทางนี้ก่อน
"เปิดประตู นำตัวนักโทรประหารทั้งสามออกมา"
เสียงหัวหน้าองครักษ์แห่งศาลเทียนอวี่สั่งลูกน้องที่ติดตามมาด้วย
คนยศน้อยกว่ารีบสะเดาะกุญแจเหล็กกล้านำคุณชายใหญ่และคุณชายรองรวมถึงเยว่จิ้นกงออกมาจากคุกทันที
"พวกท่านจะพาสามีกับบุตรข้าไปทีใด"
เยว่ฮูหยินใจสั่นรัว นางหวาดหวั่นเหลือเกินว่าจะได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยินขึ้นมา
"เจ้ากรมตุลาการมู่ทูลขอเร่งเวลาประหารนักโทษแผ่นดินทั้งสามเป็นยามนี้แทน"
หัวใจของภรรยาที่ต้องสูญเสียทั้งสามีและบุตรไปพร้อมกันถึงสามคนแตกสลาย เยว่ฮูหยินเป็นลมล้มพับสิ้นสติภายในคุกทันทีที่หัวหน้าองครักษณ์ศาลเทียนอวี่แจ้งจบ
"เหตุใดใต้เท้ามู่ถึงได้อยากเร่งประหารท่านพ่อกับพี่ใหญ่พี่รองเช่นนี้ หรือว่ากลัวจะมีคนสืบเรื่องใส่ร้ายนี้แจ้งกระจ่างก่อน"
คุณหนูสามเยว่จินจินทนไม่ไหวที่จู่ ๆ ก็ได้รับข่าวร้ายกว่าเดิมเมื่อการประหารเลื่อนเวลามาในตอนนี้จึงพูดจาเหน็บแนมออกไป
"นั่นสิเจ้าคะ ตะวันเพิ่งจะลาลับท้องฟ้า เหลือเวลาอีกตั้งสี่ชั่วยามถึงจะถึงกำหนดพิธี หากใต้เท้ามู่มิกลัวสิ่งใดผิดพลาด เหตุใดถึงได้เร่งทูลขอราชโองการใหม่จากฝ่าบาทเร็วเช่นนี้"
คุณหนูสามเยว่อิงเถาทนไม่ไหวเช่นกัน นางพูดจาประชดประชันด้วยสุ้มเสียงแข็งกระด้าง ทำเอาเยว่จิ้นกงบิดาถึงกับตำหนิเสียงดุกลับมา
"พวกเจ้าพอได้แล้ว จะช้าหรือเร็ว โทษประหารก็มาถึงอยู่ดี"
สิ้นเสียงห้ามปรามของเยว่จิ้นกงจบลง สตรีทั้งสองนางที่ยังมีสติรับรู้เรื่องราวตอนนี้ถึงกับน้ำตาหลาก
ในใจพวกนางแหลกสลายกับการจากลาที่ไม่มีวันหวนคืนของบิดาและพี่ชาย
เยว่จินจินโผเข้ากอดเยว่อินกวานที่อยู่ใกล้นาง ส่วนเยว่อิงเถาถลาเข้ากอดพี่ใหญ่เยว่ฉินจื่อพร้อมน้ำตามากมายที่ไหลอาบชุดนักโทษสีขาวจนเป็นคราบ
"ชาตินี้วาสนาพวกข้าน้อยนัก พวกเจ้าจงใช้ชีวิตที่เหลือเผื่อพวกเราด้วย เข้าใจหรือไม่"เสียงสั่งลาของเยว่ฉินจื่อไร้การสั่นเครือใด ๆ เขากล่าวต่อน้องสาวทั้งสองที่มีสติด้วยเสียงเรียบเฉยราวการก้าวออกจากประตูคุกไปแล้วจะไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น"พี่ใหญ่ พี่รอง"เยว่อันหนิงที่ค่อย ๆ ฟื้นขยับริมฝีปากเรียกพี่ชายทั้งสองที่นางมองเห็นเป็นอันดับแรก หากแต่น้องเล็กสุดที่เพิ่งลืมตาได้ยังไม่ทันหายใจหายคอทั่วท้องก็ถูกเยว่ฉินจื่อจับยาลูกกลอนยัดเข้าปากเพื่อให้นางสลบอีกหน"พี่ใหญ่นั่นยาอันใดหรือเจ้าคะ"เยว่อิงเถาตกใจที่จู่ ๆ น้องเล็กก็ถูกจับกรอกยาแล้วสลบไร้สติต่อ"มิต้องห่วง นี่คือยาสงบใจ จะช่วยให้หนิงเอ๋อร์หลับสบายยาวขึ้นจนถึงรุ่งสาง"พอได้ยินเช่นนี้สตรีทั้งสองนางก็โล่งอกเป็นเช่นนี้ดีแล้วเพราะพวกนางก็ไม่รู้จะรับมือกับน้องเล็กผู้นี้เพียงลำพังสองคนได้เช่นไร"ร่ำลากันพอหรือยังใกล้จะเลยฤกษ์แล้ว!"เสียงดุดันของหัวหน้าทหารที่ด้านนอกประตูคุมขังดังขึ้นแววตาพวกเขาไร้อารมณ์สงสารกับภาพครอบครัวที่ต้องลาจากกันชั่วชีวิตสักนิดเยว่จินจินกับเยว่อิงเถานั่งลงกับพื้น สองมือประสานทับกันก้มศีรษะโขกพื้นเพื่อเป็นการร่ำลาพี่ชายท
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางของเช้าวันใหม่ ขบวนรถม้ากำลังนำทางพาคุณหนูทั้งสามของสกุลเยว่ไปส่งยังแคว้นเสียนหย่งเมื่อหนึ่งก้านธูปที่ผ่านมา รถม้าได้ผ่านประตูเมืองเทียนติ่ง ทำให้คุณหนูสามและคุณหนูสี่ได้เห็นภาพชวนสยองแสนจะหดหู่หัวใจศีรษะของบิดาและพี่ชายถูกเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองตามราชโองการเลือดที่ได้รับ สตรีทั้งสองเป็นลมล้มพับทันทีที่สายตาต้องเข้ากับใบหน้าซีดเผือดที่ไร้วิญญาณของทั้งสามคน เพิ่งจะฟื้นได้ไม่ถึงสิบเค่อก็ต้องรับมือกับเยว่อันหนิงที่ฤทธิ์ยาสงบใจเพิ่งหมดลง"ดื่มน้ำก่อนเถิด"เยว่จินจินเก็บทุกอย่างที่เจอมาทั้งคืนเอาไว้ในอก นางต้องเป็นเสาหลักให้น้อง ๆ ทั้งสอง ยื่นถุงน้ำทำจากหนังสัตว์ให้กับน้องเล็กสุดดื่ม"พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ"เยว่อันหนิงฟื้นมาก็อยู่บนเกวียนรถม้าที่ไร้ที่กำบังลมและแดด ทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางมีแต่ต้นหญ้าสูงท่วมหัว มองไกลออกไปเห็นสันเขาไกลลูกหูลูกตา พื้นดินแห้งเกรอะกรังบ่งบอกว่าออกสู่ชนบทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"สามชั่วยามได้"นี่นางหลับนานขนาดนี้เลยหรือ แม้อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่นางไม่ได้สติแต่หากถามไปพี่สามพี่สี่นางคงไม่บอกให้กระจ่างเพราะมองว่านา
"เจ้าฉลาดมากเด็กน้อย แต่รู้ไปแล้วช่วยอะไรได้ ในเมื่อสายเลือดตระกูลเยว่ทุกคนจะต้องตายตามบิดากับพี่ชายไปเช่นกัน!"โจรผู้นั้นกล่าวจบก็เงื้อกระบี่หมายฟาดฟันลงกลางร่างของเยว่อันหนิง หากแต่ด้วยความรู้ที่เคยร่ำเรียนวิชากระบี่จากพี่ชายทั้งสองมาทำให้นางหลบพ้นคมกระบี่นั้นได้หวุดหวิด"หนิงเอ๋อร์ หนีไป!"ยังไม่ทันได้หันไปตอบกลับพี่หญิงสามคมกระบี่อ่อนของโจรผู้หนึ่งพุ่งมาจากด้านหลังนาง ปักเข้าขั้วหัวใจเยว่จินจินอย่างแม่นยำ"พี่สาม! อึก!"เยว่อันหนิงไม่ทันระวังตัวจึงถูกฟันเข้าที่แผ่นหลังน้อยล้มหน้าคมำลงกับพื้นที่บัดนี้ชุ่มไปด้วยสีแดงของเลือดผู้บริสุทธิ์นับสิบชีวิตความเจ็บแปลบจากบาดแผลเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความชาไปทั้งร่างกายเมื่อกระบี่นี้อาบไปด้วยยาพิษโจรชุดดำเจ้าของคมกระบี่เมื่อครู่ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหมายจะลงกระบี่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าร่างน้อย ๆ นี้สิ้นลมหายใจแน่แท้ หากแต่เสียงฝีเท้าม้าเร็วกลับดังมาแต่ไกลทำให้โจรกลุ่มนี้ต้องล่าถอยก่อนที่จะถูกพบเข้าท้องฟ้าที่เคยสว่างปลอดโปร่ง บัดนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มของพายุ เพียงไม่นานเม็ดฝนบนฟากฟ้าก็ค่อย ๆ ตกลงสู้พื้นดินราวกำลังชะล้
ระดับเหลืองกำจัดขุนนางชั้นกลาง งานค่อนข้างยากมีอันตรายแต่มีโอกาสสำเร็จเกินครึ่ง จ่ายห้าร้อยตำลึงทองต่อหนึ่งหัวและระดับสุดท้าย ระดับแดง งานอันตรายความเสี่ยงสูง ผลสำเร็จไม่อาจคาดเดา ส่วนมากจะเป็นการว่าจ้างให้ลอบสังหารขุนนางในรั้วในวังหรือระดับแม่ทัพใหญ่ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังให้เกียรติ ค่าว่าจ้างค่อนข้างสูงมากกว่าห้าพันตำลึงเห็นจะได้ ตั้งแต่ประมุขกู่เหนียงก่อตั้งหุบเขานักฆ่ามาเกือบยี่สิบปี มีผู้ว่าจ้างระดับแดงมาเพียงสองคนเท่านั้นส่วนการเปิดรับจดหมายจ้างวานก็ง่าย ๆ เพียงแค่ติดต่อคนของหุบเขานักฆ่าในตลาดมืด ส่งจดหมายพร้อมตั๋วเงินแนบมาในชื่อว่า 'สาส์นจากปรโลก' คนของหุบเขาไร้เงาที่อยู่ด้านนอกก็จะส่งมาที่หุบเขาเพื่อพิจารณาหาคนที่เหมาะสมทำงานนั้น ๆ"ท่านประมุขก็รู้กฎของข้าดี""สืบสาวความจริงกระจ่างก่อนค่อยลงมือ"เสียนต้วนอี้กล่าวตัดหน้าสตรีข้างกายอย่างรู้ใจ"ที่ข้าถามเพราะจวนสกุลซุยเป็นขุนนางที่ปรึกษาของศาลเทียนอวี่"เพียงได้ยินคำว่า 'ศาลเทียนอวี่' สตรีชุดแดงนางนี้ถึงกับกำหมัดแน่น ร่างเกร็งดวงตาแข็งกร้าวอย่างมิอาจปกปิดสายตาผู้อื่นได้ว่าตอนนี้นางมีความรู้สึกเช่นไรหวาดกลัวหรือ? ก็คงแค่ครึ่งส่วนเ
"เจ้ามาเพื่อเตือนข้า"เยว่อันหนิงมองสบตายี่ซูผ่านกระจกตรงหน้า ทั้งสองสบตากันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินคำตอบต่อมา"ข้ารู้ว่านักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่เคยทิ้งร่องรอยและไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าจนสาวมาถึงตัวได้ แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าทิ้งดอกจวี๋ฮวาไว้ในที่เกิดเหตุทุกครั้ง ไม่กลัวคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าจะสืบตัวตนเจ้าผ่านดอกไม้นั่นหรือไร"น้ำเสียงยี่ซูจริงจังฟังดูห่วงใยสหายตรงหน้าเป็นอย่างมาก ผิดกับคนที่เป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นเป็นห่วงที่ค่อย ๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมมุมปากสีสดที่ยกสูงนางมิได้ยิ้มหวาน ต้องเรียกว่าแสยะยิ้มแบบมีเล่ห์เหลี่ยมถึงจะถูก"หากจะสืบจากดอกไม้แห้งเหี่ยวนั่น ต่อให้พวกเขาพลิกแผ่นดินหาคงมิเจอ"ที่เยว่อันหนิงมั่นใจถึงเพียงนี้เพราะดอกจวี๋ฮวา(ดอกเบญจมาศ) ที่นางใช้ทิ้งไว้บนศพแตกต่างจากดอกจวี๋ฮวาที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปนางลงมือปลูกดอกไม้ชนิดนี้ตั้งแต่อายุเก้าขวบ เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะต้องแก้แค้นให้สกุลเยว่ในสักวัน และที่นางเลือกใช้ดอกจวี๋ฮวาเพราะเป็นดอกไม้ที่มารดานางโปรดปรานที่สุด อีกทั้งผู้คนต่างบอกว่าดอกจวี๋ฮวาคือดอกไม้แทนสัจจะ ความซื่อสัตย์และความตายเยว่อันหนิงจึงคิ
โฉมสครวญเดินหันหลังลงจากเขาหลังจากร่ำลาผู้คนเสร็จวันนี้นางแต่งตัวด้วยชุดรัดกุมเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง หากแต่สีของอาภรณ์ก็มิเคยเป็นสีอื่นใดนางจากสีแดงไม่แดงสดก็แดงเลือดหมู มีเพียงแค่สีเหล่านี้ที่เยว่อันหนิงสวมใส่แล้วรู้สึกมีพลัง แม้จะเป็นตอนทำภารกิจ นางยังสวมใส่สีแดงไว้ด้านในและทับด้วยชุดคลุมสีดำด้านนอกการเดินทางลงจากเขาแห่งนี้ค่อนข้างลำบาก คนในเท่านั้นถึงจะหลีกเลี่ยงกับดักที่หุบเขาไร้เงาทำเอาไว้ได้ แต่ก็มักจะมีสมาชิกบางคนเผลอเรอลืมจุดตั้งกับดักจนพลาดท่าถูกทำร้ายมาแล้วก็มีมากเช่นกันเยว่อันหนิงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตากิ่งก้านของต้นไม้จากกิ่งนี้ไปต้นนั้น จวบจนนางผ่านกับดักทุกด่านและลงเขาได้อย่างปลอดภัย"เสียงฝีเท้าม้า?"ครั้นลงจากเขามาได้แค่ครึ่งลี้ หูที่สามารถรับเสียงได้ไกลของเยว่อันหนิงได้ยินเสียงเท้าม้าห่างจากจุดที่นางอยู่ราว ๆ ครึ่งลี้หญิงสาวจึงเร่งรุดเดินทางไปดักด้านหน้า แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้รกจึงเห็นขบวนม้าเร็วสี่ห้าตัว คนที่คุมบังเหียนบนหลังม้าเหล่านั้นคล้ายทหารหน่วยลาดตระเวนของสักกองทัพ ครั้นพอสายตาแหลมคมเห็นที่ห้อยเอวตัวอักษร 'หลาง' นางก็รู้ในทันทีว่าเป็นของกองทัพเขี้ยวห
"เจ้ายังมิตอบข้า เมื่อครู่เจ้าขันข้าอันใด"เมื่ออยู่กันลำพัง ซ่างฮ้วนก็มิจำเป็นต้องแสดงความเคารพคนตรงหน้า เขาเดินไปนั่งโต๊ะตัวเตี้ยที่อยู่ระดับต่ำกว่าเฉินเจียนหลางนั่งอยู่เพื่อรินน้ำชาดับกระหายและรอฟังคำตอบจากอีกคน"เจ้าตาฝ้าฟางกระมัง"หากแต่เฉินเจียนหลางกลับไม่ปิติที่จะตอบคำถามสหาย เขาทำเพียงวางท่าสง่าเอื้อมมือแกร่งที่ผิวพรรณขาวผ่องภายใต้อาภรณ์สีดำสีที่เขาชอบ จับกาน้ำชาขึ้นมารินจิบอุ่น ๆ พลางแสยะยิ้มยั่วโมโหอีกคนที่ทำท่าฟึดฟัดใส่อย่างไร้เหตุผล"เจ้ายิ้ม เมื่อครู่เจ้ายิ้มขันข้า"หากแต่ซ่างฮ้วนกลับมิยอม เมื่อครู่เขาจับได้คาหนังคาเขาว่าถูกหยามเกียรติต่อหน้าลูกศิษย์ตน"เจ้าจะให้ข้ายอมรับให้ได้""เป็นบุรุษ ทำอันใดไว้ย่อมต้องยืดอกรับ""เช่นนั้นเจ้าห้ามเคืองข้า""ข้ามิใช่สตรีจะได้ทำเช่นนั้น""คำไหนคำนั้น""อย่ามากความ ตกลงเมื่อครู่เจ้าขันข้าเพราะเหตุใด"สนทนากันเสียยาวยืดไม่ให้อีกคนหายใจหายคอใช้ความคิดตริตรอง ซ่างฮ้วนวางถ้วยน้ำชาลงพื้นเสียงดังตั้งหน้าตั้งตารอฟังเหตุผลที่ถูกสหายรักขำขันตนต่อหน้าผู้อื่น"แม่นมข้า สาวใช้ในจวนเฉินที่เจ้าเห็นตั้งแต่เล็กจนโตกลับมิเคยจดจำชื่อได้ หากแต่พอข้าถามถึงบ
หออี้เฉิงหลัน...เยว่อันหนิงใช้เวลาเดินทางด้วยม้าเร็วเพียงสองชั่วยามก็มาถึงเมืองเทียนติ่งเก้าปีที่นางกลายเป็นนักฆ่าของหุบเขาไร้เงา นางเข้าออกบ้านเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากแต่เป็นการมาเพื่อทำภารกิจสาส์นจากปรโลก ทำให้ไม่เคยมีโอกาสได้แวะเวียนเฉียดเข้าใกล้จวนสกุลเยว่ของตนสักหนหากแต่วันนี้ภารกิจคือจวนสกุลซุยที่ห่างจากจวนสกุลเยว่เพียงไม่กี่รั้วบ้าน ทำให้นางต้องปักหลักที่หออี้เฉิงหลัน หอชื่อดังแหล่งรวมความรื่นรมย์ของเหล่าขุนนางและผู้มีเงินหนาถึงจะเข้าพักกินดื่มชมการแสดงในนี้ได้"เชิญแม่นาง"เยว่อันหนิงเดินตามหลังสตรีนางหนึ่งที่เป็นคนดูแลหอแห่งนี้เพื่อเข้าสู่ห้องพักในชั้นสอง"หากต้องการสิ่งใดเพิ่ม สั่นกระดิ่งทองนี้ได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ"สตรีโฉมสะครวญนางนี้ภายนอกดูเหมือนเถ้าแก่เนี๊ยเจ้าของกิจการทั่วไป หากแต่เบื้องหลังนางเป็นหนึ่งในสายลับของหุบเขาไร้เงา ทำให้เยว่อันหนิงได้รับการต้อนรับค่อนข้างพิเศษกว่าผู้อื่น"ส่วนนี่คือทั้งหมดที่ผู้น้อยจัดเตรียมเอื้อความสะดวกให้แก่แม่นาง"สายลับนามว่าอี้หลันหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยออกมาวางลงตรงหน้าโฉมงามอาภรณ์แดงเยว่อันหนิงทำเพียงก้มหน้าเล็กน้
"เห็นทีเราจะได้ร่วมละครฉากสนุกแล้วละ"เสียนต้วนอี้กระซิบเบา ๆ ให้เยว่อันหนิงได้ยินคนถูกชักชวนให้คุยกลับยืนนิ่ง สายตาคู่สวยมองไปยังบุรุษรูปงามทางด้านขวามือที่เอาแต่จ้องนางตาไม่กะพริบมาเป็นชั่วยามแล้ว"เจ้าว่าเรื่องนี้แม่ทัพน้อยผู้นั้นจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่"เสียนต้วนอี้มองตามสายตาสหายที่จ้องเฉินเจียนหลางอยู่จึงรีบถามความเห็นขึ้นเยว่อันหนิงทำเพียงหันกลับมามองทางมู่ตงหยวนที่จ้องคนของคณะดนตรีด้วยสายตาเหมือนตอนนั้น...ตอนที่อ่านราชโองการเลือดให้ตระกูลของนาง"ไม่"นางตอบเพียงสั้น ๆ"ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือ"หากแต่เสียนต้วนอี้กลับยังสงสัยแม่ทัพที่ยืนห่างพวกเขาเพียงสามคนกั้น"ข้ามิได้บอกว่าไม่เกี่ยวข้อง"เยว่อันหนิงได้ยินเสียงพึมพำนั้นจึงอธิบายคำตอบของนางต่อ"เจ้าหมายความว่า...""ที่ข้าตอบเจ้าเพราะข้าดูชายผู้นั้นไม่ออก"หายากนักที่มือสังหารอย่างเยว่อันหนิงที่สามารถคาดเดานิสัยผู้อื่นได้เพียงการมองผ่านแววตาของอีกคนเอ่ยปากว่าไม่สามารถเดาเฉินเจียนหลางผู้นี้ได้ว่าตกลงแล้วเขาเป็นคนดีหรือเลว"ขนาดเจ้ายังไม่มั่นใจ เห็นทีคงต้องอยู่ให้ห่างจากคนผู้นี้แล้ว"เสียนต้วนอี้ลอบมองบุรุษที่ยังคงยืนกอดอกพิ
"เจ้าจับคนร้ายได้แล้วหรือ"ทันทีที่มาถึงโถงปีกซ้ายของจวน มู่ตงหยวนรีบซักไซ้คนของตนอย่างร้อนใจ"หม่าเย่าไร้ความสามารถ ตอนนี้ท่านหมอทั้งสองตรวจพิษจากอาหารที่ใช้เลี้ยงแขกรวมถึงสำรับส่วนตัวที่จัดไว้สำหรับคุณหนูอานจิ่วแล้ว ไม่พบพิษแม้นิดเดียวขอรับ"ตุ้บ!เสียงตบโต๊ะเสียงดังสะท้อนไปทั้งห้องโถง กงจิ่นซวนมององครักษ์ที่รายงานความคืบหน้าด้วยความผิดหวัง"ไม่ได้เรื่อง! นึกไม่ถึงว่าจวนสกุลมู่จะเลี้ยงคนที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ไว้!"หม่าเย่ารีบคุกเข่าสำนึกผิด"ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอท่านเสนาบดีกงลงโทษด้วย!""ท่านพ่อตา หม่าเย่าเป็นลูกน้องฝีมือดีที่สุดของข้า เขาคงทำสุดความสามารถแล้ว ท่านพ่อตาโปรดเมตตาให้โอกาสเขาอีกครั้ง...""เจ้านี่เป็นคนเช่นไร บุตรสาวนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องยังจะเป็นห่วงองครักษ์ที่ไร้ความสามารถปกป้องนายอีก!"กงจิ่นซวนตำหนิเสียงฉุน สายตาที่มองมู่ตงหยวนมีแต่ความผิวหวังและดูแคลน นั่นเพราะเดิมทีเขามิได้ถูกคอกับมู่ตงหยวนสักเท่าใด หากมิเห็นแก่กงจิ๋วจื่อบุตรสาวเสน่หามู่ตงหยวนจนถึงขั้นเอ่ยตัดขาดกับตนหากมิได้แต่งเขาเข้าสกุลกงมีหรือกงจิ่นซวนจะยอมรับมู่ตงหยวนเป็นเขยเช่นทุกวันนี้"ท่านเสนากงโปรดระง
การประลองเพลงดาบผ่านมาครึ่งก้านธูป ตอนนี้จะใช้กฎสามกระบวนท่าสยบคู่แข่งไม่ได้แล้ว ในเมื่อเสียนต้วนอี้ยอมเสียหน้าเรื่องอื่นได้ แต่หากเป็นการประลองกระบี่เขาสู้ไม่ถอย บัดนี้กระบวนท่าที่สามจบลงแล้วยังไม่มีผู้ใดยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย ทำให้ต้องปล่อยให้กระบวนท่าที่สี่ดำเนินต่อไป"เรื่องประลองฝีมือสู้ไม่ถอยจริง ๆ"เยว่อันหนิงส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสหายสนิทฟาดฟันกับซ่างฮ้วนอย่างไม่มีใครยอมใครนางรู้สึกเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องตนจนเสียวสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง จวบจนสายตาคู่สวยสบเข้ากับบุรุษที่บังเอิญพบที่หน้าพักมู่อานจิ่วกำลังมองนางอย่างไม่คลาดสายตา'เหตุใดสายตาของเจ้าถึงได้ดูคุ้นตาเช่นนี้'เฉินเจียนหลางถามตนเองหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ที่เขาเอาแต่จ้องมองนางรำผู้นี้ เขารู้สึกว่านางผู้นี้กับสตรีที่สวมหมวกผ้าที่หออี้เฉิงหลันคือผู้เดียวกัน หากแต่ไม่อาจด่วนสรุปได้ว่าจริงอย่างที่ลางสังหรณ์บอกเขาหรือไม่ เฉินเจียนหลางจึงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น คอยจับตาดูเยว่อันหนิงอย่างไม่คลาดสายตาหากแต่ยิ่งมอง ยิ่งสบตานาง เขากลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สายตาที่เพิ่งพานพบ"ฝีมือคุณชายทั้งสองสูสีกันจริง ๆ"เสียงพูดคุยจากรอ
ในที่สุดสิ่งที่เสียนต้วนอี้ภาวนาก็ไม่เป็นดั่งใจหวังเมื่อพ่อบ้านฟงจูประกาศผลผู้ชนะในด่านรองสุดท้ายนี้"ยินดีกับคุณชายหย่งอวี้ฉางที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย"เสียงปรบมือดังขึ้น มีทั้งพอใจและไม่พอใจส่วนที่พอใจเห็นจะเป็นแขกคนอื่นที่ไม่รู้แผนการของมู่ตงหยวนที่วางหมากไว้แล้ว ส่วนฝ่ายที่ไม่พอใจเห็นจะเป็นใต้เท้าจู้เจิงที่หลานชายพ่ายแพ้ได้อันดับสามจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี"ก่อนการประลองด่านสุดท้าย ขอเชิญคุณหนูมู่อานจิ่วปรากฎตัวตรงหน้าด้วยขอรับ"กริยาอ่อนช้อย การก้าวย่างที่เป็นกุลสตรีอย่างไร้ที่ติของมู่อานจิ่วดึงดูดสายตาแขกเหรื่อในงานได้อย่างชะงักนิ่งใบหน้าสวยรูปไข่ที่แสนเรียวนวล แต่งแต้มผงชาดสีอ่อน ๆ ขัดกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อขึ้นมาหนึ่งระดับรับกับดวงตาสุกประกายอย่างไร้เดียงสาอาภรณ์สีอ่อนกลีบดอกเหมยพริ้วบางยามต้องลม ใครได้ยลคงเคลิ้มคิดว่าเป็นเทพธิดาลงมาจุติหากแต่สิ่งที่บรรยายมาทั้งหมดไม่สามารถดึงดูดสายตาของคนเพียงคนเดียวได้เท่าสตรีในชุดนางรำที่กำลังถือพิณขนาดกะทัดรัดรูปจันทร์เสี้ยวที่ยืนอยู่บนเวทีเตรียมรอแสดง"สมแล้วที่เป็นคุณหนูมู่ งดงามประหนึ่งเทพธิดามาจุติ"เสียงคุณชายท่านหนึ่งที่ตกรอบ
"ไม่ทราบแม่นางผู้นี้หลงทางมาหรือไร"ก้าวออกห่างจากหน้าห้องของมู่อานจิ่วได้ไม่ถึงห้าก้าวก็ถูกคนที่สะกดรอยตามตั้งแต่ต้นทักเข้า เยว่อันหนิงถึงกับใจหายใจคว่ำแต่พอตั้งสติได้นางจึงรีบกระชับผ้าสีแดงผืนบางที่ปกปิดใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกลงมาไว้ให้มิดชิดแล้วหันหน้าเผชิญกับเสียงทุ้มนั้น"คำนับคุณชาย ข้าน้อยเป็นนางรำของคณะดนตรีเซียงหย่ง บังเอิญว่าหาทางไปห้องน้ำมิเจอเลยเดินไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ"เยว่อันหนิงทำตัวนอบน้อมปนหวาดกลัวคนที่สวมชุดเสื้อด้านนอกสีดำทับตัวในสีแดงเลือดนก ท่าทางสง่าผ่าเผยแถมยังรูปหล่อปานภาพวาดทวยเทพในนิยายที่นางเคยอ่านมา"ข้าก็ว่าอยู่ เดินตามแม่นางมาได้หลายเค่อดูเหมือนกำลังมองหาอะไร ที่แท้ก็ต้องการเข้าห้องน้ำนี่เอง"นี่นางถูกสะกดรอยตามหรือ?เป็นไปได้เช่นไรที่นางไม่รู้สึกตัวถึงฝีเท้าคนผู้นี้สักนิด"ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้พอจะบอกทางแก่ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ อีกประเดี๋ยวข้าต้องกลับไปเตรียมตัวขึ้นเวทีร่ายรำแล้ว"เยว่อันหนิงไม่กล้าสบตาบุรุษรูปงามที่อยู่ตรงหน้า นางกลัวว่าจะถูกคนผู้นี้จับพิรุธได้ เพราะเมื่อครู่แค่มองแวบเดียวนางก็เห็นความช่างสังเกตในสายตาคมคู่นั้นของเขาแล้ว"เดิมทีข้าเองก็เป็น
การแข่งขันผ่านไปแล้วสามด่าน ตอนนี้มีผู้ชนะมาถึงรอบนี้สามคนรวมเสียนต้วนอี้ที่ได้ป้ายหยกด้วย"คุณชายทั้งสามมากความสามารถจริง ๆ ด่านนี้เป็นด่านที่คุณชายหย่งอวี้ฉางอาจจะได้เปรียบเล็กน้อยเพราะเป็นการประชันดนตรี"เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบบริเวณเมื่อพ่อบ้านฟงจูแจ้งกติกาในด่านรองสุดท้ายจบ"ข้ามาเล่น ๆ มิได้จริงจัง ไฉนเลยถึงบังเอิญเช่นนี้"เสียนต้วนอี้ที่วันนี้มาในนามหย่งอวี้ฉางถึงกับพึมพำกับตนเองในโชคชะตาที่แสนราบรื่นในวันนี้ใครจะไปคิดว่าการปลอมเป็นคณะดนตรีจะทำให้เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรจนได้ผ่านเข้ามาถึงรอบรองสุดท้ายง่ายดายเช่นนี้"นี่คือพิณที่คุณชายทั้งสามต้องใช้แสดงความสามารถในด่านนี้ หากคุณชายท่านใดบรรเลงเพลงแล้วได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมมากที่สุดผู้นั้นจะได้เข้าสู่รอบสุดท้าย เชิญทุกท่านจับไม้เพื่อเลือกลำดับการแสดง"เสียนต้วนอี้ภาวนาในใจขอให้ผู้ชนะในด่านนี้ไม่ใช่ตน ทว่าหากจะแสดงฝีมือแบบเล่น ๆ เกรงว่าจะถูกจับผิดนี่สิ เป็นถึงหัวหน้าคณะ แต่กลับไม่มีฝีมือเกี่ยวกับดนตรีได้เยี่ยงไร"ข้าได้ที่หนึ่ง"จู้เมิ่งจ๋าน หลานชายของจู้เจิงคือหนึ่งในสองคนที่เข้ารอบมาถึงด่านนี้ยกไม้ที่แต้มลำดับหนึ่งให้ทุกคนในงานดู
"ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคุณชายจากหนแห่งต่าง ๆ มาเข้าร่วมงานมากถึงเพียงนี้"ซ่างฮ้วนเอ่ยกับแม่ทัพน้อยที่นั่งร่ำสุราอยู่ข้าง ๆแม้เดิมทีที่นั่งของเฉินเจียนหลางถูกจัดวางไว้ใกล้กับที่นั่งของมู่ตงหยวนที่ที่เป็นของผู้ที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ ทว่าเฉินเจียนหลางกลับปฎิเสธด้วยอ้างว่าตนคุยไม่เก่งเกรงว่าจะทำให้แขกคนสำคัญคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นอึดอัดใจจึงขอปลีกตัวออกมานั่งที่ลานกว้างด้านซ้ายของเวทีการแสดงดนตรีกับรองแม่ทัพซ่างฮ้วนแทน"เจ้าคิดอย่างไรกับสิ่งที่เห็น"เฉินเจียนหลางถามเสียงเรียบพลางมองการแสดงดนตรีตรงหน้าไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ"ดนตรีไพเราะ นางรำงดงามยิ่ง"หากแต่สิ่งที่ซ่างฮ้วนตอบสหายสนิทกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาถาม จากนั้นเสียงดังเหมือนถูกมดกัดของซ่างฮ้วนจึงดังขึ้น"เจ้าตีข้าทำไม"มือแกร่งลูบเอวหนาที่ถูกประทุษร้ายราวกับเจ็บปวดยิ่ง ก่อนจะมองเคืองผู้ที่ทำร้ายตนเบา ๆ"ข้าหมายถึงเจ้าคิดเช่นไรกับการจัดงานในวันนี้"เมื่อเฉินเจียนหลางอธิบายรายละเอียดแบบเจาะลึก คนที่มัวแต่ชมการแสดงบนเวทีจึงทำปากขมุบขมิบด่าทอไม่ออกเสียงแล้วเอ่ยตอบ"ดูจากการแต่งกายของบางคนน่าจะไม่ใช่คนในเมืองเทียนติ่ง เจ้าดูนั่น คุณชายรูป
"แม้จะไม่คล่องมือ หากแต่นำมาจับอีกครั้งย่อมไม่เป็นปัญหา""ดี! ข้าจะให้ต้วนอี้ปลอมเป็นหัวหน้าคณะดนตรี นำนักแสดงและนางรำเข้าไปร่วมงานในครั้งนี้""เป็นเพียงหัวหน้าคณะดนตรีจะได้ไม่เตะตาผู้อื่น"กู่เหนียงพนักหน้าให้กับความฉลาดที่เยว่อันหนิงวิเคราะห์ความคิดตนราวมานั่งอยู่ในใจ"แต่จะดีหรือท่านประมุขถ้าให้ผู้อื่นเห็นหน้าตาอาหนิงของข้า โอ๊ย!"เสียนต้วนอี้ถึงกับตัวงอเมื่อถูกศอกแหลม ๆ ของเยว่อันหนิงกระทุ้งเข้าลิ้นปี้ให้"ข้าคือข้า มิใช่ของของผู้ใด"เสียงเรียบนิ่งเอ่ยบอก หากแต่แววตาของนางกลับสามารถทำให้บุรุษตัวสูงใหญ่ใจวูบโหวงได้"ข้าพูดผิดไป ข้าพูดผิดไป"เสียนต้วนอี้ยกมือขึ้นตบมุมปากตนที่ปากเสียสองครั้ง ก่อนจะทำท่าเม้มปากเป็นเส้นตรงบอกคนที่ยังใช้สายตาอาฆาตให้รู้ว่าเขาจะไม่ปริปากสุนัขนี้ขัดการหารือครั้งนี้อีก"ที่จริงข้าเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าล่ะ จะยอมเสี่ยงหรือไม่"แม้ตัวตนในฐานะนักฆ่าบุปผาเบญจมาศของเยว่อันหนิงยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่หากประมาทไปนิดเดียวก็อาจจะทำให้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป"ชีวิตข้ายังเหลืออะไรให้กลัวอีกเจ้าคะ"น้ำเสียงเจ็บแค้นปะปนออกมาอยู่หลายส่วนแค้นโชคชะตา
"คำนับประมุขกู่เหนียง ท่านเรียกข้าเข้าพบมีเรื่องอันใดเจ้าคะ"ทันทีที่เยว่อันหนิงเดินเข้ามายังที่พักของประมุขกู่เหนียง นางก็ไม่รีรอเร่งถามถึงเหตุผลที่ถูกตามตัวในครั้งนี้ โดยข้างกายมีเสียนต้วนอี้ยืนอยู่เป็นเพื่อน"นั่งก่อนเถิด ข้ามีเรื่องหารือกับพวกเจ้า"คำว่า 'พวกเจ้า' ทำให้เยว่อันหนิงรู้ชะตาต่อจากนี้คงต้องมีตัววุ่นวายอย่างเสียนต้วนอี้ตามติดนางเป็นแน่"นี่คือ?"ผู้ที่แย่งถามคือบุรุษรูปงามเพียงคนเดียวในห้องนี้เยว่อันหนิงมองเทียบเชิญสีแดงมีตัวอักษร 'มู่' ประทับตราโดดเด่นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู"หน่วยข่าวที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเทียนติ่งส่งมา"เสียนต้วนอี้พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมชะเง้อคอมองตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบเชิญในมือเยว่อันหนิง"ท่านประมุขต้องการให้พวกข้าปะปนเข้าไปสังหารผู้ใด"ในเมื่อไม่มีสานส์นจากปรโลก เยว่อันหนิจึงไม่เข้าใจเจตนารมย์ของประมุขกู่เหนียงในครั้งนี้"เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ สกุลมู่ต้องการหาคู่ครองให้กับบุตรีเขา"ก็ใช่ว่าไม่เห็น ในเมื่อเนื้อในเทียบเชิญเขียนเอาไว้ว่า'สกุลมู่ขอเชิญบุรุษที่ผ่านพิธีสวมกวานแล้วทุกท่านเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองคุณหนูมู่อานจิ่วบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลมู