ต่อมา...
ดลธีกอดอกทิ้งร่างสูงพิงข้างรถยนต์ของตัวเองเขี่ยปลายเท้าลงบนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ใบหญ้าระหว่างใช้ความคิด กระทั่งเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ถึงเปลี่ยนอิริยาบถ วาดแขนไปด้านหลังเท้ากับกระโปรงด้านหน้า
“ไหนบอกว่าไปธุระแค่แป๊บเดียวไง ทำไมพึ่งมาเอาตอนนี้วะ” ยิ่งคำถามใส่เพื่อนทันทีเมื่อการันต์หยุดอยู่ตรงหน้า
“ก็ไม่ได้นานอะไรนี่หว่า ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ”
ยกนาฬิกาข้อมือสีเหลืองทองของแบรนด์ดังขึ้นมาดูก็เห็นว่ายังไม่เกินสี่ทุ่มด้วยซ้ำ เขาวางท่อนแขนแนบลำตัวแล้วเตรียมจะอ้อมไปอีกฝั่ง ทว่าก็ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเข้มจากเจ้าของรถเสียก่อน
“มึงไปทำอะไรมา?”
ดลธียืดตัวตรงเผยความสงสัยออกมาทางสีหน้าและแววตาจนหมดสิ้น พลางก้าวไปยืนตรงหน้าในระยะห่างกันไม่กี่คืบจากปลายเท้าของการันต์ ด้วยความสูงที่ไม่ได้ต่างมากนัก จึงพอทำให้ทั้งสองมองเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ชัดเจน
“ก็บอกไปแล้วว่าจะไปถามเรื่องของพี่กรณ์กับพี่วีไง”
“ด้วยการไปกอดกับลูกสาวคนที่ยังไม่ทันได้เผานะเหรอวะ”
“ไอ้ดล! มึงพูดดี ๆ อย่าทำให้คนอื่นเสียหาย” ตอนแรกก็คิดว่าตนเองตาฝาดที่เห็นสีหน้าบึ้งตึง แต่ดูท่าแล้วมันคงคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วแน่ ๆ
“กูจะไม่พูดถ้าไม่เห็นกับตา มึงเป็นคนบอกเองว่าพี่รงค์คือพี่ชาย แล้วเด็กคนนั้นก็ลูกสาวเขา มึงคิดอะไรอยู่วะ” กดเสียงต่ำในลำคอเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน
“กูไม่ได้คิดอะไร แล้วถ้ามึงจะมีสมองสักหน่อยก็ควรจะพิจารณาสักนิด ว่าถ้าจะทำเรื่องพรรค์นั้นเขาจะทำในเขตวัดไหม?”
ปลายเท้าของเขาชนกับของดลธีพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนลมหายใจพ่นใส่กัน
“มึงนี่มัน!”
ดลธีสบถออกมาเพียงเท่านั้นแล้วเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง พยายามไม่หัวเสียเพื่อทำลายบรรยากาศให้ยิ่งอึมครึมมากไปกว่านี้
“แล้วทำไมต้องไปแอบคุยกันในที่ลับตาแล้วก็มืดแบบนั้นด้วยวะ ถ้ามีคนเห็นแล้วไม่ได้แค่เดินออกมาเงียบ ๆ อย่างกู อะไรจะเกิดขึ้น คิดบ้างไหม”
“ขอโทษที่คิดน้อยไปหน่อย ตรงนั้นก็ไม่ถือว่าลับตาอะไรเป็นที่โล่งด้วยซ้ำ อีกอย่างกูก็บริสุทธิ์ใจตั้งแต่แรก”
“คนบริสุทธิ์ใจ? แต่ให้กูดึงความสนใจจากคนอื่นไว้ว่างั้น”
“ก็ถ้ามึงจะสังเกตสักนิด จะรู้ว่าทำไมกูถึงต้องทำแบบนั้น ตั้งแต่มาถึงนอกจากในศาลาเปรมยุดาก็แทบไม่ออกมาพบเจอใครเลย และไม่เห็นว่าจะมีใครคอยดูแลเธอด้วยซ้ำ แล้วมึงคิดว่าคนแบบนี้จะให้คนที่ไม่ได้เจอกันทุกวันอย่างเราเข้าไปคุยด้วยไหม”
ค่อย ๆ ไตร่ตรองทบทวนตามคำพูดของการันต์ ทำให้เขาลดความตึงเครียดลงก็เป็นอย่างนั้นจริง เธอแทบจะเก็บตัวพูดอย่างนี้เลยก็ได้ ถามคำตอบคำ เพื่อนพ้องก็มีไม่กี่คนเห็นมาทักทายแล้วก็จากไป ซึ่งผิดไปจากวัยรุ่นคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันมาก
“อืม กูเข้าใจแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างที่มึงว่า...ปากคนน่ากลัวกว่าอะไรนะเว้ย มึงเป็นผู้ชายแล้วก็เป็นคนที่อื่นถูกนินทาพอกลับไปก็ไม่ต้องรับรู้อะไร แต่น้องสิกูเป็นห่วงถึงได้โมโห ขอโทษด้วยแล้วกัน” เมื่อรู้ตัวว่าเอาอารมณ์ขึ้นนำก็ไม่ลืมที่จะขอโทษในความหุนหันพลันแล่นของตัวเอง
ไม่ผิด! ปากคนน่ากลัวที่สุด สามารถทำลายคนได้มานักต่อนัก ข้อนี้จดจำอยู่ในสมองเขามาเนิ่นนาน
แต่แล้วทำไมครั้งนี้ถึงหลงลืมมันไปเสียสิ้น เพียงแค่เห็นดวงตาอ้างว้างคู่นั้นก็ทำให้คนที่ยึดหลักเหตุผลมาตลอดกลับไม่สนใจมันไปแล้ว
แม้การันต์จะกลับไปนานแล้วแต่เปรมยุดาก็ไม่ได้จากไปไหน ไออุ่นจากอ้อมกอดของคนตัวใหญ่ยังอบอวลอยู่รอบกาย นอกจากพ่อแล้วเธอไม่เคยให้ใครใกล้ชิดขนาดนี้!
“ป้าก็ว่าเอ็งหายไปไหนมาอยู่ตรงนี้นี่เอง เข้าไปข้างในหน่อยท่านกำนันกับพ่อทิมมาไหว้ศพพ่อกับแม่เอ็งแหนะ ออกมาต้อนรับเขาหน่อย”
ยังไม่ทันอยู่กับความอุ่นใจได้นาน ความกังวลก็มาทำให้กลัดกลุ้มอีกแล้ว นี่มันเวลาไหนทำไมสองพ่อลูกถึงคิดจะมาไหว้พ่อกับแม่ตอนนี้กัน!
วินาทีแรกเมื่อก้าวเข้ามายังพื้นที่ของศาลาวัด เปรมยุดาก็รู้สึกอึดอัดกับสายตาของสองพ่อลูกนี้มาก กำนันเทพเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ไม่ว่าใครก็ต่างอยากจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงล้อมและเป็นคนของเขาแต่ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ
เมื่อสองปีก่อนบังเอิญได้ไปทัศนศึกษาในตัวเมืองแล้วเจอกับทิมลูกชายของกำนันเทพเข้า หลังจากนั้นมาฝ่ายชายก็แวะเวียนมายังหมู่บ้านกลางน้ำด้วยเหตุผลใดเธอย่อมรู้ดี
ตอนนั้นเธออายุได้เพียงสิบหกปีหากนับแล้วก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยเอาเรื่องเพศตรงข้ามเข้ามาในหัวสมอง
อีกประการหนึ่งพ่อและแม่ก็ไม่เห็นด้วยแม้ว่าญาติผู้พี่คนอื่น ๆ จะพูดว่าเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น แต่สำหรับพวกท่านและเธอกลับไม่คิดอย่างนั้น ที่สำคัญเธอไม่ได้ชอบทิมและไม่คิดจะชอบเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“น้องเปรม”
ทิมเอ่ยทักหญิงสาวเฝ้าหมายปองเอาไว้นานด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่คิดสักนิดว่านี่เป็นงานศพเป็นวันที่เปรมยุดาเสียใจ ควรจะแสดงความเสียใจและวางตัวให้น่าเชื่อถือมากกว่า ทั้งที่เขาก็อายุยี่สิบกว่ามีการศึกษาที่ดีน่าจะรู้ข้อนี้ดีแต่กลับไม่นำมาใช้
“ลุงเสียใจด้วยนะหนูเปรม ติดธุระต่างจังหวัดหลายวันพอเสร็จแล้วก็รีบมาเลย ตาทิมก็ร้อนใจอยากมาดูแลหนูตั้งแต่วันแรกนั่นแหละ มา ๆ นั่งลงคุยกันหน่อย”
กำนันเทพเห็นสีหน้าเด็กสาวแล้วจึงเป็นฝ่ายบอกเหตุผลที่มาในเวลานี้ ตั้งแต่ครั้งแรกได้เจอกับเปรมยุดาก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กมีความคิดรู้จักวางตัวมากกว่าคนก่อน ๆ ซึ่งลูกชายพาเข้ามาในบ้าน ฉะนั้นเธอจึงเหมาะที่สุดหากจะคบกับลูกชาย
นางจันเมื่อเห็นว่าหลานสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมหลังจากรับไหว้แขกคนสำคัญแล้ว จึงดันหลังให้เปรมยุดานั่งเก้าอี้อีกตัวถัดจากทิมส่วนนางนั้นก็นั่งถัดจากหลานสาวอีกตัว
“แค่พ่อกำนันมีน้ำใจมาลาไอ้รงค์กับเมียมันก็ถือว่าเป็นเกียรติกับครอบครัวมันแล้วจ้ะ ฉันกับยัยเปรมก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง หากว่าต้อนรับไม่ดีก็ขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไรขาดเหลืออะไรก็บอก ฉันยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
“มะ...”
“ขอบคุณจ้ะพ่อกำนัน ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไง”
นางจันโพล่งออกมาก่อนที่เปรมยุดาจะปฏิเสธความช่วยเหลือจากกำนันเทพ
“น้องเปรมไม่ต้องคิดมากนะครับ พี่กับพ่อยินดีช่วยครอบครัวน้องเปรมทุกอย่างเลย”
“พ่อทิมเป็นคนดีสมกับเป็นลูกชายพ่อกำนัน มีน้ำใจกับชาวบ้านอย่างเรา แบบนี้อนาคตต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเหมือนกำนันแน่ ๆ ว่าไหมจ๊ะ”
“ตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว วันข้างหน้าเจ้าทิมต้องเข้ามาช่วยเหลือฉันและดูแลชาวบ้านไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว”
“ใช่ไหมล่ะ ดีใจที่จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาพัฒนาตำบลของเราให้เจริญขึ้น”
ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากจะพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ ไหนล่ะความตั้งใจจะมาเคารพศพพ่อและแม่ นอกจากยกยอเอาความดีเข้าตัวเองก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
ส่วนป้าก็เหลือเกินไม่รู้จะดีใจอะไรนักหนากับแค่คำพูดไม่กี่คำจากสองพ่อลูก หากไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตนมีหรือจะเห็นพวกเขาในงานของใครน่ะ!
เปรมยุดาได้แค่คิดและเก็บความอัดอั้นเอาไว้อยู่ในใจ เธอไม่ใช่คนชอบพูดและยิ่งไม่ปริปากหากจะทำให้ตัวเองตกไปอยู่ภายใต้อำนาจของใครจนหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะป้าจันเป็นญาติผู้ใหญ่แล้วยังให้ความช่วยเหลือแล้วละก็คงลุกออกไปจากตรงนี้นานแล้ว
กำนันเทพและลูกชายอยู่ต่ออีกไม่นานก็ขอลากลับ แต่ก่อนจะไปยังบอกกับนางจันว่าในวันพรุ่งนี้จะเป็นเจ้าภาพให้กับครอบครัวเปรมยุดา
พอได้ยินอย่างนั้นผู้เป็นป้าก็ไม่รีรอจะรับความช่วยจากพวกเขาทันควัน ถือว่าได้ลดค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นลง แม้ว่าจะได้รับค่าตอบแทนมาจากคู่กรณีแล้วส่วนหนึ่ง แต่นางจันก็ยังคิดว่าเงินจำนวนนั้นยังต้องเอาไปใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ดังนั้นเมื่อมีคนมาแบ่งเบาภาระก็ถือว่าดีไม่ใช่หรือ
“ต่อไปเวลาเจอกำนันหรือพ่อทิมเอ็งก็ทำหน้าให้มันดีกว่านี้หน่อย ต่อไปจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ มีคนคอยดูแลอย่างสองพ่อลูกนั่นถือว่าเอ็งโชคดีแล้ว”
“เปรมไม่ได้อยากให้ใครมาดูแลนี่ป้า”“เอ็งจะทำอย่างตอนที่พ่อกับแม่เอ็งยังอยู่ไม่ได้ ฉันก็แค่คนแก่คนหนึ่งไม่รู้จะอยู่กับเอ็งได้อีกนานแค่ไหน คนอื่นต่างก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะอยู่ยาก เข้าใจหรือเปล่า”เปรมยุดาจุกอยู่ในอกเมื่อได้ยินอย่างนั้น เข้าใจดีว่าตอนนี้ต่างก็ไม่มีใครต้องการเลี้ยงดูเธอเท่าไหร่นัก ที่ทำกันอยู่ก็เป็นเพราะว่ากันชาวบ้านนินทาว่าทอดทิ้งหลานตัวเองแค่นั้นกลางสวนรีสอร์ตภายในห้องพักขนาดปานกลาง ร่างสูงใหญ่ภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำผูกปมไว้ด้านข้าง เผยช่วงบนไล่ลงมาจนถึงแผงอกล่ำสันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นอย่างสุขภาพดีการันต์นั่งดูงานจากเลขาส่งมาให้ตรวจทาน แม้ว่าจะไม่จำเป็นเพราะมีทีมงานคอยดูแลแต่ละขั้นตอนอยู่แล้ว หากแต่ด้วยเป็นคนไม่เคยปล่อยผ่านไม่ว่าจะงานเล็กน้อย นักลงทุนอย่างเขาก็ต้องมั่นใจว่าการย้ายเงินไปอยู่อีกที่มันจะคุ้มค่ากับที่จ่ายไปก๊อก ๆ “กูเข้าไปได้ไหม นอนหรือยัง”ในยามวิกาลแล้วเป็นต่างถิ่นคงไม่มีใครมารบกวนเขาได้นอกจากดลธี การันต์ปิดไฟล์งานเอาไว้ที่เดิมแล้วหยัดกายขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาวก้าวไปยังต้นเสียงมาทำลายความเงียบสงบของตน ชายหนุ่มดึงสลักกลอนประตูชั้นแรก
และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันไปชั่วนิจนิรันดร์เปรมยุดากอดรูปของบุพการีทั้งสองไว้แนบอก มองควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเกาะกลุ่มลอยไปเป็นสาย ยิ้มทั้งน้ำตาให้พวกท่านได้เห็นว่าตนเข็มแข็งมากแล้ว‘อยู่บนนั้นคอยดูวันที่หนูประสบความสำเร็จอย่างที่เราเคยคุยกันไว้นะคะ พ่อจ๋าแม่จ๋า’ แม้จะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาดั่งเช่นเก่าก่อน แต่เชื่อว่าพวกท่านได้ยินความในใจสื่อออกไปอย่างแน่นอนไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนปล่อยให้ตัวเองพาความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล กระทั่งสัมผัสถึงความอบอุ่นจากใครบางคนหยุดใกล้ ๆ ถึงได้เรียกสติของตนเองกลับคืนมา“ต่อไปจะทำอะไรคิดไว้หรือยัง”“อากาน!” สูดน้ำมูกขณะที่หันมาทางคนตัวสูง“อืม” เห็นดวงตาเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำทีไรเขาเหมือนจะหายใจไม่ออกทุกที!“เรียนหนังสือค่ะ” ตอบเท่าที่พอจะให้ข้อมูลได้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกมาหาลัยฯ ไหนดี สมองตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลย“อืม เรียนนั่นแหละดี มีโอกาสก็กอบโกยความรู้ไว้เยอะ ๆ มีอะไรขาดเหลืออยากให้อาช่วยก็บอก นี่เบอร์โทรของอา”การันต์ยื่นกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือของตนเองส่งให้ ปกติแล้วจะให้เป็นนามบัตรเพียงแต่ว่าเบอร์เหล่านั้นไม่ใช่ของส่วนตัว หากโ
‘พี่มีลูกแค่คนเดียวอยากให้เธอเรียนรู้ให้มาก ต่อไปจะได้ไม่ต้องลำบาก’‘ครับ มีโอกาสก็ควรให้เธอทำ’‘พี่กับวีก็คิดแบบนั้น นายต้องมายินดีกับหลานนะถ้าถึงวันนั้น’‘ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วครับ’‘นี่สิถึงจะพูดว่ารักกันจริง’กรามแกร่งขบเข้าหากันแน่นเมื่อหวนกลับไปถึงวันวานที่ผ่านมา การันต์ถือได้ว่าเป็นน้องรักของณรงค์เลยก็ว่าได้ ขอเพียงเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว พี่ชายคนนี้ก็มักจะเอ่ยออกด้วยรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความสุข‘พี่สาวพี่รงค์จะไม่ให้น้องเปรมเรียนต่อ บอกไม่มีปัญญาส่งเธอเรียน’ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ พี่รงค์เป็นคนรอบคอบไม่มีทางไม่วางแผนเรื่องการเรียนเปรมยุดาตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือบางทีดลธีอาจจะฟังผิดไป?กริ๊งงงง⁓เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้นทำลายความคิดวนเวียนอยู่ในหัวของชายหนุ่มตลอดทั้งคืนทิ้งไป“ครับ”“คุณพัชชามาค่ะ”“อืม ให้เธอเข้ามา”“ค่ะคุณกาน”การันต์อ้อมกลับไปนั่งประจำที่เช่นเดิม หยิบรายงานการประชุมของช่วงบ่ายกางออกวางลงตรงหน้า...“รบกวนคุณหรือเปล่าคะกาน” หญิงสาวผู้ก้าวเข้ามายังห้องผู้บริหารคนสำคัญเอ่ยถามเสียงหวาน“เปล่าครับ ผมกำลังดูรายละเอียดบ่ายนี้”“ขยันจังเลยนะคะ”พัชชายิ้มหวานให้
เปรมยุดายิ่งรู้สึกไม่ชอบผู้ชายตรงหน้า ทั้งที่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปบ้างแต่กลับเอาความดีเข้าตัวไปเสียหมดคนประเภทนี้เธอพึ่งเคยพบ แม้ว่าที่ผ่านมาจะคบค้าสมาคมกับเพื่อนน้อยมากแต่ก็ไม่มีใครหลงตัวเองได้เท่ากับเขาเลย“ดูพี่เขาสิเปรม ขนาดว่างานยุ่งยังมีแก่ใจนึกถึงเอ็ง ต้องทำดีกับพี่เขามาก ๆ รู้หรือเปล่า”ได้ยินป้าของหญิงสาวพูดเข้าข้างตนเอง ทิมกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างชอบใจ ความหวังเคยเลือนรางบัดนี้ได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อผู้ใหญ่เปิดทางให้ถึงเพียงนี้อย่างไรเสียเปรมยุดาก็ต้องตกเป็นเมียของเขาแน่นอนชายหนุ่มคิดอย่างลำพองใจพลางมองหญิงสาวใบหน้านวลเนียนอมชมพูระเรื่อ ลิ้นสากแลบออกเลียเรียวปากอย่างคนคิดแผนชั่วร้ายในหัว“น้องเปรมลองดูสิว่าชอบหรือเปล่า” ถามพลางดันตัวขึ้นจากเก้าอี้เดินอ้อมมานั่งข้าง ๆ เปรมยุดาอย่างถือวิสาสะ เปิดถุงของฝากออกกว้าง หยิบชุดราคาแพงออกโชว์ให้เธอดู“คุณทิมคะ ของฝากพวกนี้เปรมขอบคุณแต่ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” หยิบชุดจากมือเขาแล้วเก็บใส่ถุงไว้อย่างเดิม ขยับหนีออกมานั่งให้ห่าง ทั้งที่ป้ายังนั่งอยู่อีกฝ่ายไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด นั่นเป็นเพราะผู้ใหญ่ทางเธอเห็นดีเห็นงามกับการกระทำพวกนี้ ห
เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ห่างออกไปกระทั่งเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นจากเจ้าของห้อง เปรมยุดาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทอดสายตามองบ้านที่ไร้ไออุ่นหลงเหลือ “หนูไม่มีวันไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น ยังไงก็ไม่ไปเด็ดขาด ไม่เรียนก็ไม่เรียนสิ” ทอดเสียงหนักแน่นกลั่นออกมาจากข้างใน ดวงตาเคยอ่อนหวานบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง เพียงเพราะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจสายเลือดเดียวกัน ไม่คิดว่าผลที่ได้จะออกมาในรูปแบบนี้ เงินตั้งเกือบสามแสนกว่าบาทบอกว่าหมดก็จบง่าย ๆ อย่างนี้นะเหรอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีเวลา 20.34 นาฬิกา“บอกจะไปหากู แล้วทำไมเป็นกูที่มาอยู่บ้านมึงวะ”ดลธีพาดเสื้อสูทตัวนอกของตนเองไว้กับเก้าอี้แล้วเดินอ้อมมาทิ้งตัวลงพื้นนุ่มของโซฟากลางห้องโทนสีเทา ร่างสูงทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปด้านหลังแล้ววาดขายาวขึ้นไขว่ห้าง ในระหว่างกำลังรอเจ้าของบ้านถือเบียร์มาปึก!การันต์วางเครื่องดื่มดับกระหายตรงหน้าเพื่อน ก้านนิ้วเรียวแข็งแกร่งดึงสลักเปิดฝาออกครั้งเดียวเสียงซ่าก็ชวนให้คนพึ่งบ่นยกยิ้มกับการบริการจากเจ้าบ้าน“กูยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากห้องทำงานมึงบอกว่าอยู่หน้าตึกออฟฟิศแล้ว จะบอกว่ากูไม่ไปตามที่พูดไม่ได้นะด
แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจจะไม่เป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด เมื่อเสียงเรียกจากผู้อยู่ด้านในตะโกนรั้งเอาไว้ ราวกับว่ารอคอยการกลับมาของเธอยังไงอย่างงั้น“กลับมาแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน แดดแรงขนาดนี้เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งเอาหรอก”นางจันว่าแล้วก็เปิดรั้วบ้านให้หลานสาวเปรมยุดาเม้มปากแน่นเห็นสีหน้าแช่มชื่นของผู้เป็นป้าแล้วอดคิดไม่ได้ว่าไม่คิดอะไรบ้างเหรอที่เห็นตนตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งที่ควรจะล้มเลิกความคิดจะให้เธอเกี่ยวพันกับครอบครัวกำนันเทพแต่กลับเชื้อเชิญให้เข้าบ้านอย่างไม่ละอายแก่ใจจากที่คิดจะหลบหน้าก็เลยต้องหันหัวรถเข้าบ้านแทน เธอจอดรถไว้ข้างบ้านมีร่มไม้ใหญ่ไว้บังแดด เดินตามเจ้าของร่างอวบอ้วนของป้าเข้ามาข้างใน หากเป็นเมื่อก่อนได้พบสองพ่อลูกคงรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กลีบแบนหากแต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว“น้องเปรมไปทำงานที่ร้านทอฝันเหนื่อยไหมครับ” ทิมพอเห็นหน้าหญิงสาวก็ฉีกยิ้มพลางเอ่ยถาม กวาดสายตาพราวระยับสำรวจความเปลี่ยนแปลงของเธอที่ดูโตขึ้นอย่างน่ามอง เสื้อเชิ้ตเข้ารูปกับกางเกงยีนสีดำเสริมให้ขายาวยิ่งดูเรียวระหง“ไม่ค่ะ งั้นเปรมขอตัวก่อนนะคะ” แม้จะไม่อยากเจอแต่ด้วยถูกสอนมาอย่างดีเมื่อพบผู้มีอายุมากก
บริษัทเอเจกรุ๊ปห้องประธานชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมคายดวงตาสีนิลประกายแรงกล้าหยุดอยู่บนร่างกำยำของผู้ใต้บังคับบัญชา สำรวจความสง่าโดดเด่นของอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมก่อนที่ริมฝีปากจะเริ่มเอ่ย“ที่นั่นมีอะไรทำให้นายต้องเดินทางไปติด ๆ กันแบบนี้”“เรื่องสำคัญครับ ก็เลยขึ้นมาบอกคุณด้วยตัวเอง”เสียงหัวเราะในลำคอทุ้มต่ำจากผู้ตั้งคำถาม เมื่อคำตอบที่ได้มาไม่ได้ต่างไปจากที่รายงานก่อนหน้านี้สักนิด อยากรู้มากก็คือ ‘สำคัญ’ นั้นคือเรื่องใดกันแน่ ที่สมุทรปราการมีอะไรน่าสนใจมากกว่าชลบุรีถึงขั้นทำให้คนรักการทำงาน ยึดติดห้องของตัวเองเป็นนิจถึงกับต้องละทิ้งพวกมันไปครั้งละหลาย ๆ วัน?“ไม่ได้ไปทิ้งไข่ไว้ที่นั่นแล้วต้องรับผิดชอบหรอกนะ”ธาวินสัพยอกการันต์ ก่อนจะได้รับยิ้มมาดร้ายตอบกลับจากอีกฝ่าย หากไม่ได้รู้จักกันมานานและรู้นิสัยของผู้บริหารมือทองอย่างการันต์แล้วละก็ คงอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่ตนกล่าวไปนั้นเป็นความจริง“ถ้าจะมีเรื่องแบบนั้นขึ้นผมไม่ให้อยู่ไกลตัวหรอกครับ คุณวินอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นสิผมเสียหายนะ”นอกจากดลธีก็เห็นจะเป็นเจ้านายนี่แหละกล้าเอ่ยคำพูดพวกนี้ ไม่ใช่ว่าตนเป็นคนถือยศถืออย่าง เพียงแต่ว่าเมื
บนถนนคอนกรีตทอดยาวไปไกลมีรถสปอร์ตเมอร์เซเดสสีขาวคันหรูกำลังมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านกลางน้ำ ท่อนแขนกำยำประคองพวงมาลัยอย่างมั่นคง ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นสีดำไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ ในใจประสงค์เพียงไปถึงบ้านของเปรมยุดาก่อนฟ้ามืดการเดินทางกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้ล่าช้ากว่ากำหนดการไปมาก เดิมที่วางแผนว่าจะออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ทว่าพริมาส่งงานด่วนมาให้อนุมัติกว่าจะคุยรายละเอียดกันเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควร ถึงอีกจังหวัดก็เลยเย็นแบบนี้กระทั่งถึงทางเลี้ยวเข้าหมู่บ้านกลางน้ำการันต์ชะลอความเร็วรถลง มีบางอย่างเกิดขึ้นเบื้องหน้า อาจจะเป็นเรื่องของผัวเมียกำลังง้อกันจึงคิดแซงไป แต่แล้วปลายเท้าก็ต้องแตะเบรกอย่างกะทันหันเมื่อฝ่ายหญิงหลุดจากอ้อมกอดของฝ่ายชายแล้วหันกลับมาทางหน้ารถพอดี“เปรมยุดา!”เสียงทุ้มเอ่ยชื่อของคนที่อยู่ในหัวเย็นเยียบ พวงมาลัยหมุนออกขวาควงกลับมาด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว ปลดเข็มขัดตั้งแต่ยังไม่ทันดับเครื่องยนต์ นาทีนี้อยากกระโจนออกไปด้านนอกโดยไม่ต้องอ้อมทางประตู เปรมยุดาถอดใจกับการรอคอยความช่วยเหลือจากรถที่ขับผ่าน สังคมเสื่อมโทรมลงทุกวันความมีน้ำใจหดหายไปตามกาลเวลา เห็นเหตุการณ์อย่างนี้เป็นเรื
การันต์ดีดตัวจากเก้าอี้ตัวยาวเร่งรุดไปหยุดตรงหน้าคุณหมออย่างรวดเร็ว “ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ความตื่นเต้นระคนกังวลทำเสียงที่เอ่ยถามนายแพทย์ออกมาสั่นไหว “ยินดีกับคุณพ่อด้วย คุณแม่และ ‘ลูกชาย’ ปลอดภัยและแข็งแรงทั้งคู่ครับ อีกเดี๋ยวเราจะย้ายพวกเขาไปห้องพักฟื้น ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มก็แจ้งพยาบาลได้เลยครับ” นายแพทย์กล่าวเสียงละมุน เห็นสีหน้าของสามีคนไข้แล้วคงกระวนกระวายใจไม่น้อย “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” การันต์ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้ น้ำตาแห่งความดีใจหล่นออกมาอย่างไม่นึกอายพอได้ยินกับหูตัวเองแล้วว่าคนที่ตนเองรักสุดชีวิตทั้งสองปลอดภัย “กูบอกแล้ว สองคนนั้นเก่งจะตาย” ดลธีตบไหล่ปลอบเพื่อน “ต้องอยากเจอหน้าหลานจังเลยค่ะ งั้นขอไปรอหน้าห้องเด็กนะคะ” “ไปด้วย ผมกับต้องไปทางนู้นนะครับ” ขุนพลหันมาบอกคุณอาทั้งสองก่อนจะวิ่งตามต้องใจไป ดลธีมองกระทั่งภาพหลังหนุ่มสาวทั้งสองลับสายตาจึงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่เช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย ต่อไปก็เป็นพ่อเต็มตัวแล้วนะ ดีที่ไม่ต้องไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้” คุณพ่อป้ายแดงหันมาทางเพื่อนยืนอยู่ข้างกัน ดวงตาแดง ๆ ของเขาจ้
เดือนต่อมา...รถเมอร์เซเดสสีขาวของการันต์มุ่งหน้าไปยังหมูบ้านกลางน้ำอีกครั้ง ความตั้งใจของเขาในวันนี้ก็เพื่อจะพาคนรักนั่งข้างกันมีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตากลมโตมีแววสั่นไหวอย่างคนเป็นกังวล “อาจะพาหนูไปวัดแล้วกลับเลย ไม่ต้องกลัว” อุ้งมือใหญ่วางทาบมือเล็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ ถึงจะผ่านไปแล้วหลายปี หากแต่ว่าความทรงจำของเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ไม่น้อย “ขอบคุณนะคะ” ยิ้มอ่อน ๆ พลางหันมาทางคุณอา สายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจว้าวุ่นตลอดทางผ่อนคลายลงไปมาก คราแรกที่รู้ว่าเขาจะพากลับมาไหว้พ่อกับแม่น้ำตาเธอนองเต็มหน้า คิดถึงพวกท่านจับหัวใจ ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากันอีกแค่ได้ไหว้กระดูกคนเป็นลูกอย่างเธอก็ซาบซึ้งใจ“ไม่ต้องขอบคุณ อาตั้งใจจะมาพบพ่อกับแม่หนูอยู่แล้ว”เปรมยุดายิ้มกว้าง คนรักทำราวกับจะได้พบหน้ากัน...คงไม่ต่างจากเธอ!ทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่หมาย ฝ่ายลูกสาวของผู้ลาลับหอบช่อดอกไม้สีสันสดใสกับผ้าหนึ่งผืนเดินนำเจ้าของเรือนกายภูมิฐานไปยังเจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ “หนูกลับมาหาพ่อกับแม่แล้วนะคะ” วางช่อดอกไม้ตรงฐานกว้าง เช็ดฝุ่นออกจากกรอบรูปที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใค
กว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ดีที่ไม่มีใครแซวหรือพูดอะไร จึงทำให้พวกเรากลับมาสนุกกันต่อ เวลา 00.41 น.“รอกันตรงนี้เรียกรถให้แล้ว” ดลธีบอกขุนพลและต้องใจหลังจากงานเลี้ยงจบลง เขาดูแลทั้งสองเปรียบเสมือนน้องนั่นก็เพราะเปรมยุดาได้กำชับไว้ก่อนที่เธอจะแยกไปกับเพื่อนเขาดีจริง ๆ เลยทั้งหลานทั้งเพื่อน!“ขอบคุณนะครับ” ขุนพลไหว้ผู้ใหญ่ใจดี มื้อนี้เจ้ามือหมดไปไม่น้อย “ไม่เป็นไร ต่อไปถ้ามีงานทำก็กลับมาเลี้ยงฉันบ้างก็แล้วกัน” ดลธีหันไปตอบเพื่อนหลานด้วยใบหน้าทะเล้น“ต้องคิดเป็นบุญคุณด้วยเหรอคะ?” คนที่แม้แต่จะทรงตัวก็ลำบากยังอุตส่าห์หันมาถามเสียงอ่อน “ต้อง! เงียบบ้างก็ได้” ขุนพลห้ามเพื่อนพลางประคองไหล่เล็กให้ยืนได้ตรงเสียก่อนจะปากดี ไม่ดูตัวเองบ้างเลย! ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว“แค่บอกว่าให้เลี้ยงคืน? เป็นบุญคุณเหรอ ถ้าบอกให้เอาเงินมาคืนก็ว่าไปอย่าง หรือเธอจะคืนฉันล่ะยัยขี้เมา” “ก็เอาบัญชีมาสิ เดี๋ยวโอนให้ตอนนี้เลย ชิ!” “มือถือ?”“เอาไป”“ต้อง!”“นายเงียบเลยขุน” จะว่าเหมือนเด็กก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทว่าคนทั้งสองต่างไม่มีใครยอมกัน คนกลางอย่างขุนพลจึงได้แต่ยิ้มแห้งให้คุณอาขอ
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาของเปรมยุดาและเพื่อน ๆ ต่างก็ดีอกดีใจเมื่อเดินทางมาถึงจุดสำเร็จสาขาบัญชีรวมตัวถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก เปรมยุดา ต้องใจและขุนพลฉีกยิ้มให้กับกล้อง เสียงกดชัตเตอร์รัวติดต่อกัน พร้อมกับช่างภาพยกนิ้วขึ้นโอเค ทุกคนก็ร้องเฮ คละเคล้าเสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจต่างโอบกอดลากันด้วยน้ำตานองหน้า สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาความผูกพันแน่นแฟ้นจนอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องแยกจากเพื่อไปเติบโตใช้ชีวิตวัยทำงานไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันลืมมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เลย“เร็วนะว่าไหม? ไม่อยากจากพวกแกไปเลย”ต้องใจนั่งจับมือเปรมยุดา และมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งห่างออกไป เธอเห็นสายตาอาวรณ์ที่ขุนพลใช้มองเปรมยุดา ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ก็คงทำได้แค่นั้นเพราะตอนนี้เพื่อนรักของเธอมีเจ้าของแล้ว และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคุณอาสุดหล่อที่กำลังถือช่อดอกไม่ช่อใหญ่เดินเคียงคู่มากับอิตาคุณอาขี้เก๊กนั่นเอง“เรายังเจอกันได้ แค่เรียนจบไม่ได้จากไปไหนไกลนี่น่า จริงไหมขุน” “ใช่ทำอย่างกับจะจากกันไปไหนไกลเว่อร์จริง ๆ เลยเธอเนี่ย”“โดนรุมอีกละ!”“เรียนจบแทนที่จะดีใจกลับทำหน้าบูด
กายโชกไปด้วยเหงื่อทรุดลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจโยนป้อก⁓“อะ” เปรมยุดารู้สึกกึ่งกลางกายวูบโหวงเมื่อคุณอาถอดถอนตัวตนลำใหญ่ออกไปจากตัวเธอ การันต์หายใจหอบใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ดึงผ้าห่มคลุมกายเปลือยเปล่าทั้งสองจนถึงอก “มีคำหนึ่งใช่ไหมที่อายังไม่ได้บอกหนู” เกลี่ยปอยผมปกใบหน้ารูปไข่เล่น “อะไรเหรอคะ” ตะแคงตัวโอบกอดกายใหญ่ ซุกหน้าเข้าซอกคอแกร่ง ทำให้คุณอาหัวเราะในลำคอพลอยให้เธอยิ้มตามไปด้วย“อารักหนูเปรม รักมาก รักเกินกว่าใคร ๆ ฉะนั้น...อย่าพูดว่าจะให้อามีคนอื่นหรือคิดว่าอาจะไปมีใคร เพราะแค่มีหนูเปรมคนเดียวก็พอแล้ว” “อาบอกว่ารักหนูเหรอคะ” แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคาย วางฝ่ามือบนใบหน้าเริ่มมีตอหนวดขึ้นบาง ๆ มิน่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกระคาย “อารักหนูเปรม” ทาบฝ่ามือใหญ่บนหลังมือเล็ก ย้ำให้คนจ้องหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสดใสสุขล้นฉายชัด เขาชอบเปรมยุดาเป็นแบบนี้มากกว่า ต้องโทษที่ตนไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกจนทำให้เธอเข้าใจผิด“หนูก็รักอา รักมาก ๆ รักที่สุด รักกว่าใครในโลกเลย” ปีนขึ้นไปอยู่เหนือกายใหญ่ อกฟูบดเบียดหน้าอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนใต้ร่าง สอดแขนไปใต้ไหล่กว้างก่อนจะซุกหน้าลงหาควา
“อื๊อ” ห้ามยังไงทันเมื่อปลายนิ้วก้านยาวไล้กลีบดอกไม้ผ่านเนื้อผ้า ซ้ำยังคลึงจนเธอสะท้านเฮือกสยิวเสียวซ่านต้องยกสะโพกขึ้นรับความดุดันทันที“หนูเปรมของอาแฉะเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ‘อยาก’ เหมือนกันใช่ไหมเด็กน้อย”ลมร้อนพ่นผ่านซอกคอหอม กดเรียวปากร้อนแนบชิดผิวละมุน ดอมดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย“อ๊าส์...” ครางกระเส่าเสียงหวิวเมื่อคุณอาสอดนิ้วเข้ามาในร่องคับแคบและมันตอบรับเขาอย่างดี ตอดรัดทักทายความแข็งแกร่งราวกับว่ารอคอยในสัมผัสเร่าร้อนนี้มานานเสียงครางผะผ่าวกระตุ้นข้อมือใหญ่สอดใส่ท่อนนิ้วเพิ่ม เขาเกร็งกระแทกเข้าใส่ดุดันจนเส้นเลือดรายล้อมข้อแขนขึ้นปูดบวม ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสมองเรือนร่างส่ายเร้า เขาถอนก้านนิ้วออกหลังจากทนความปรารถนากำลังเผาไหม้ตนเองไม่ไหว ต้องการให้ความอึดอัดเบื้องล่างเข้าไปแทนที่ท่อนนิ้วแกร่งของตัวเองชุดนักศึกษาถูกถอดออกด้วยชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเตียง ไม่นานกายเปลือยเปล่าสวยงามก็ปรากฏแก่สายตา ผิวเนียนละเอียดอมชมพูสวยกระแทกใจการันต์ “หนูเปรมของอาสวยเหลือเกิน” “อาอย่ามองนานนักได้ไหม”“มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว”มุมปากหยักกระตุกให้กับเจ้าของมือที่ยกขึ้นปิดส่วนสวยงามเอาไว้ ทั้งขาเร
คนที่บอกว่าจะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก บัดนี้รถได้จอดอยู่โรงเก็บแล้วเรียบร้อย ทำเปรมยุดากลั้นยิ้มไม่อยู่แทบอยากหายตัวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าของมันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยท่อนขาเรียวก้าวฉับ ๆ เข้ามาข้างใน นัยน์ตาหวานกวาดมองตั้งแต่ห้องรับรองจนถึงห้องครัวทว่าก็ไร้วี่แววคนที่คะนึงหา “ไม่อยู่!” หน้าม่อยทันทีเพราะคิดว่าคุณอาคงจะรอเธออยู่ชั้นล่าง“ไม่สิแกตั้งใจจะขอโทษอานี่น่า” เชิดหน้าขึ้นหันไปทางฝั่งห้องของคุณอา ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้วเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเคาะประตูบานสีน้ำตาลเบา ๆ “อากาน” ครั้งที่หนึ่งยังคงไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ “อาอยู่ข้างในหรือเปล่าคะ” มั่นใจว่าคุณอาจะไม่ออกไปไหนหลังจากกลับเข้ามาแล้ว ครั้งนี้จะไม่ละความพยายามต่อให้ยืนรอคุณอาตรงนี้ทั้งคืนก็จะทำคนตัวเล็กรอจังหวะอีกนิดหนึ่งแล้วจึงง้างมือขึ้นเตรียมจะเคาะประตูของผู้เป็นอาอีกครั้ง...แกร๊ก~ “จะทำอะไร?” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามคนตัวเล็กยกมือค้างกลางอากาศ ดวงหน้าหวานตกใจทันทีเมื่อเห็นเขา“คะ เคาะประตูค่ะ” ดวงตาวูบไหวสั่นระริกกวาดมองคนตัวสูง ผมเคยถูกจัดอย่างเป็นระเบียบยุ่งเหยิงกับ
ด้านในห้อง CEO ความอึมครึมยังปกคลุมโดยรอบเมื่อผู้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ อารมณ์มาคุยังวนเวียนอยู่รอบกาย เปลือกตาปิดสนิททว่าภายในหัวกลับทำงานอย่างหนัก ขบคิดวกวนแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปรมยุดากันแน่ ทั้งที่ตนก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอคือคนสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน แล้วทำไมถึงไม่เชื่อในการกระทำทั้งหมดนั้นมีแค่เธอคนเดียว!เสียงพ่นลมหายใจยาวยืดครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ทำให้การันต์รู้สึกดีขึ้นมาเลย ทั้งสายตาและน้ำเสียงไร้เยื่อใยของเปรมยุดาบาดลึกลงในหัวใจ ปวดร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ♪ Life is sweet as honey Yeah this beat cha-ching like money ⁓........♪ Life is sweet as honey Yeah this beat cha-ching like money ⁓สุดท้ายต้องพ่ายให้กับความพยายามของคนที่โทรเข้ามา“มีอะไร?” [ไม่ดีขึ้นเหรอวะ]เข้าใจความหมายของคำถามดลธี เพียงแต่การันต์ไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนยังไง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเปรมยุดาตอนนี้เกินกว่าคำว่า ‘ไม่ดี’ ไปมาก“อืม”[มึงไปทำอิท่าไหนถึงได้โกรธนานขนาดนี้ ปกติเชื่อฟังมึงจะตาย]“หลายท่า”[จะสมน้ำหน้าหรือสงสารมึงดีไอ้กาน ข่มขืนเหรอ?] หากไม่ใช่เพื่อนรักคงไม่ถามแบบนี้
อาทิตย์ต่อมา...อาศัยบ้านหลังเดียวกัน ทานข้าวหม้อเดียวกัน แต่การันต์และเปรมยุดากลับพูดกันนับครั้งได้ ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่าเธอไม่ยอมคุยดี ๆ กับการันต์ต่างหาก มันเลวร้ายยิ่งกว่าตอนอยู่ที่สมุทรปราการเสียอีก เธอมักจะขังตัวเองอยู่ในห้อง พูดคุยกับเพื่อนผ่านทางโทรศัพท์แต่ไม่ยอมออกไปเผชิญหน้ากับคนที่อาศัยร่วมชายคาเดียวกัน ถึงอย่างนั้นการันต์ก็ไม่ละความพยายามจะตามง้อเปรมยุดาให้สำเร็จ เขาไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในระยะที่ทำให้เธออึดอัดใจ แต่ไม่ถึงกับปล่อยให้คลาดสายตา สิ่งที่เธอเคยใช้ก็ยังมีวางเติมไว้อยู่เสมอ ของชอบก็เตรียมไว้ให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้นนอกจากข้างกายไม่ได้มีเขาให้ขัดลูกหูลูกตาทุกอย่างรอบตัวของเธอก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงกระทั่งถึงวันที่เปรมยุดาต้องกลับไปเรียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาทั้งสองต้องห่างกัน หากว่ายังเป็นอยู่อย่างนี้ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เคยมีให้กันจะกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกไหม?การันต์นั่งจิบกาแฟดำพลางกางหนังสือพิมพ์อ่านฆ่าเวลาไปด้วยในระหว่างรอใครอีกคนลงมาจากชั้นบนเพื่อไปมหาลัยเปรมยุดาชะงักฝีเท้ากลางคันเมื่อทอดสายตามองลงมา“ทานอะไรหน่อย มื้อเช้าสำคัญสำหรับนักศึกษา” ข