‘ไม่มีพ่อกับแม่แล้วเปรมมันจะอยู่กับใคร’
‘กำลังโตเลยไม่มีคนดูแลจะเสียคนเอานะ’
มากมายสรรหามาพูดไม่หยุดหย่อนชีวิตหลังจากนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องจัดการยังไง? แค่คิดน้ำตาเหือดแห้งก็พาลตีตื้นกลับมาอีกครั้ง
ดวงตาหวานปกคลุมไปด้วยความหมองหม่นมองภาพสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ตั้งแต่ศีรษะลงไปจนพ้นขอบกระจก
“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูอยู่คนเดียวได้ พ่อกับแม่หลับให้สบายเถอะนะ”
เสียงเจือไปด้วยความโศกเศร้าเอื้อนเอ่ยแผ่วเบากับตัวเองถึงผู้จากลา แม้จะอาลัยอาวรณ์มากเพียงใดก็ไม่อยากให้ดวงวิญญาณของพวกท่านจากไปอย่างไม่สงบ ต่อให้ไม่มีใครต้องการแต่เธอก็ยังมีสองมือสองเท้า ภายนอกอาจจะเหมือนว่าเธออ่อนแอแต่ข้างในจิตใจนี้แกร่งยิ่งกว่าหินผา
คำสอนเมื่อครั้งยังมีชีวิตของบุพการียังติดอยู่ในหัว
‘จำไว้นะเปรมทุกคนมีสองมือสองเท้าหนึ่งสมองเหมือนกันหมดไม่มีใครเหนือกว่ากันทั้งนั้น ฉะนั้นจงใช้สิ่งที่มีให้เกิดคุณค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด ใครจะว่ายังไงก็ช่างอย่าเก็บเอามาคิดให้รกสมอง ตั้งใจเล่าเรียนไม่ใช่แค่เพื่อเชิดหน้าชูตา แต่เพื่อตัวลูกเองด้วยพ่อกับแม่ก็ให้ได้เท่านี้’
“หนูไม่มีวันลืม...” และเธอไม่มีเวลาให้โอดครวญนานนักยังต้องกลับไปที่วัดอีก
เสียงจอแจพูดคุยกันของผู้อยู่ช่วยงานค่อย ๆ ชัดขึ้นเมื่อเปรมยุดาเข้ามาใกล้ศาลาตั้งศพ นัยน์ตาหวานกวาดมองโดยรอบก่อนจะหยุดอยู่เก้าอี้ไม้ตัวยาวด้านหน้าสุด
“อ้าวมาแล้วเหรอเปรม มานี่สิ”
นางจันกวักมือเรียกหลานสาวทันทีเมื่อเจ้าตัวปรากฏต่อสายตา
“คุณเขามาไหว้พ่อกับแม่เอ็งแหนะ”
เปรมยุดายกมือไหว้ผู้ชายตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“เสียใจด้วยนะ” คนมีอายุมากกว่าลดมือที่รับไหว้ลงเอ่ยแสดงความเสียใจผ่านทางน้ำเสียงทุ้ม
การันต์มองลูกสาวของผู้มีพระคุณด้วยความสงสาร เธอคนนี้เขาเคยเจอสองสามครั้งแต่ด้วยความที่มักเก็บตัว พอไหว้ทักทายตนเองเสร็จก็ปลีกตัวไปอยู่ในพื้นที่ของตัวเองหรือไม่ก็ช่วยแม่ทำงานบ้าน จึงไม่ได้มีความสนิทสนมกับเขามากนักไม่รู้ว่าจะยังจำเขาได้หรือเปล่า
“ค่ะ” ตอบรับเสียงแผ่วเบาก่อนกดใบหน้าลงต่ำตั้งพิกัดแค่เพียงปลายเท้า นัยน์ตาดำขลับประกายคมกล้าจากคนตัวใหญ่ทำให้รู้สึกลำคอตีบตันจนไม่กล้าสบตา
อากัปกิริยาของเปรมยุดาตกอยู่ในสายตาของการันต์ เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมผิดก็แต่ความสดใสไม่มีหลงเหลืออยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม
“พวกคุณมาได้ทันส่งสองคนนี้พอดี”
นางจันเอ่ยหลังจากเปรมยุดานั่งลงข้างตนเห็นว่าแขกพึ่งมาเป็นคนต่างถิ่นและยังดูภูมิฐานจึงได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ด้วยเป็นพี่สาวคนโตจึงตั้งตนเป็นแม่งานหากว่าคนใหญ่คนโตมาจะต้องผ่านนางไปก่อน ยังไงเสียเปรมยุดาก็ยังเด็กให้มาต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ประเดี๋ยวจะถูกชาวบ้านติฉินนินทาว่าเอาได้
“ผมพึ่งทราบข่าว พอรู้ก็รีบมา”
นางจันพยักหน้าตอบรับ “เรื่องมันเกิดกะทันหันตั้งตัวกันไม่ทัน อีกอย่างก็ไม่รู้ว่ารงค์มีเพื่อนที่ไหนอีกบ้าง” นางกล่าวตามความจริง ครอบครัวน้องชายตนไม่รู้เรื่องส่วนตัวมากนัก ทางพี่น้องคนอื่น ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวจึงไม่ได้มาใกล้ชิดกับณรงค์เหมือนอย่างตนเอง
เปรมยุดาไม่ได้ฟังถ้อยความระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสามทั้งหมด ผู้เป็นป้าไม่ได้เอ่ยถึงเธอกับพวกเขาซึ่งเป็นปกติของท่านอยู่แล้ว เธอนั่งอยู่ตรงนั้นไม่นานก็ปลีกตัวออกมาอย่างเงียบ ๆ
เวลาต่อมา
การันต์นั่งคุกเข่าหน้าแท่นบูชาเบื้องหลังตั้งโลงเย็นเคียงข้างกัน ดอกไม้ประดับรายล้อมเป็นพุ่มโทนสีอ่อน กลิ่นธูปตลบอบอวลเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าหมอง ชายหนุ่มพนมมือไหว้ร่างอันไร้วิญญาณ ควันสีขาวลอยวนเหนือใบหน้าเรียบนิ่ง
“หลับให้สบายนะครับพี่รงค์พี่วี ขอโทษที่ไม่ได้มาหาหลายเดือน ยิ่งไม่คิดว่าจะมาในวันที่รู้ว่าไม่มีพี่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
ริมฝีปากหยักได้รูปขยับเชื่องช้ากล่าวกับภาพถ่ายของร่างไร้วิญญาณ หัวใจการันต์กระตุกร่วงหล่นซ้ำ ๆ อยากให้ตอนนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน พอตื่นขึ้นมาแล้วได้รับรอยยิ้มกับคนจริง ๆ ไม่ใช่จากภาพถ่ายประดับอยู่หน้าโลงศพ
พลันหางตาเหลือบไปเห็นเรือนร่างซูบผอมนั่งไหล่ตกอยู่ข้างเสากลางศาลา
“เธอโตขึ้นกว่าตอนนั้นมาก แล้วยังเหมือนพี่วีด้วยว่าไหมครับ”
เอ่ยถามทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ได้คำตอบ แต่ก็อยากให้ผู้จากลาไปแล้วได้รู้ถึงความคิดของตนเอง และยิ่งหดหู่เมื่อเห็นว่ามือน้อย ๆ ยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่อยากให้ใครเห็น ลำคอของการันต์ตีบตันเขาเป็นคนหนึ่งที่สูญเสียบุพการีไปตั้งแต่ยังไม่ทันโตจึงเข้าใจความรู้สึกนี้ที่สุด
ริมฝีปากแดงช้ำเพราะเจ้าตัวคงขบเม้มสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไม้ให้ดังเล็ดลอดออกมาสินะ ดวงตากลมโตบวมตุ่ยแดงก่ำก็คงผ่านการร้องไห้มาจนไม่มีเวลาได้พักผ่อน ไหนจะสองมือบีบเข้าหากันตลอดเวลานั้นอีก ชั่ววูบหนึ่งเขาอยากดึงคนตัวเล็กซูบผอมเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ลูบศีรษะอย่างปลอบโยน โอบแผ่นหลังราบเรียบแล้วบอกว่า
‘เข้มแข็งไว้นะเด็กน้อย’
พรึ่บ⁓
“สงสารเธอนะว่าไหม” ดลธีมองตามสายตาของเพื่อนแล้วเอ่ยด้วยความเห็นใจและสงสารลูกสาวของรุ่นพี่ทั้งสอง แล้วยังดึงการันต์ออกมาจากจินตนาการในหัวที่หายวับไปดั่งสายลมพัดผ่าน
“อืม”
เป็นอีกคืนในวันสวดอภิธรรมศพของณรงค์และปภาวีผู้มาร่วมงานก็ยังเป็นกลุ่มเดิม กระทั่งเสร็จสิ้นพิธีเปรมยุดาให้ป้าดูแลแขกส่วนตัวเองเดินมาดูเชิงเทียน กลัวว่าไฟคอยส่องสว่างจะมอบดับลงแล้วที่ที่พวกท่านอยู่จะมืดมนจนมองอะไรไม่เห็น
ก๊อก ๆ
กำปั้นเล็ก ๆ เคาะผนังเย็นเฉียบทั้งสองสลับไปมา วางถาดบรรจุอาหารหลายอย่างแยกออกเป็นสองชุดเหมือนกันลงที่โต๊ะใกล้พวกท่าน
“หนูเอาข้าวมาให้พ่อกับแม่ วันนี้มีแกงส้มแล้วก็ต้มยำปลากะพง ไข่เจียวหอม ๆ ที่พ่อกับแม่ชอบมาด้วยนะ แอปเปิลหนูล้างอย่างดีเลย ส้มก็แกะมาให้แล้ว องุ่นนั่นก็ล้างอย่างดีด้วยนะคะ”
“ตอนนั้นแม่บอกว่าฝีมือของหนูไม่ได้เรื่อง วันนี้ก็เลยทำสุดฝีมือเลยดูนี่สิโดนปลาทิ่มด้วย หึ ๆ ซุ่มซ่ามเหมือนที่แม่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ พ่ออย่าขำหนูนะ”
กลอกนัยน์ตาขึ้นสูงเพื่อหยุดน้ำตากำลังเอ่อล้นจะร่วงหล่นออกมา เธอไม่อยากให้พ่อแม่เห็นจึงรีบกลั้นไว้ก่อน
อีกมุมหนึ่งการันต์เห็นทุกอย่างตั้งแต่สองมือค่อย ๆ ประคองถาดและวางลงอย่างระมัดระวัง เดินวนโลงศพทั้งสองชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแนบสนิท จุกในอกราวกับถูกอัดด้วยค้อนปอนด์ขนาดใหญ่กับภาพที่เห็น
‘พี่ภูมิใจกับลูกสาวคนนี้มากเธอขยันแล้วก็อดทน ที่สำคัญคือเก่งมาก ๆ’
แม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ในวงสนทนาก็ตกเป็นหัวข้อในการพูดคุยเสมอ พี่รงค์ทั้งรักและภูมิใจลูกสาวแต่กลับไม่ได้อยู่ดูจนเธอเติบโต ไม่ได้เห็นว่าอนาคตต่อจากนี้จะเดินทางไปในทิศทางไหน?
จวบกระทั่งผู้คนเริ่มซาไปมาก เปรมยุดาเลี่ยงออกไปจากศาลาการันต์จึงหันไปหาเพื่อน
“ดลกูวานอะไรหน่อย”
“อืม?”
“ไปคุยกับป้าแล้วก็ญาติ ๆ ของพี่รงค์หน่อย”
“อยากรู้อะไรทำไมไม่ไปถามเองวะ”
“กูคุยไม่เก่ง สู้มึงไม่ได้ไง”
“กำลังชมกูปะเนี่ย จะบอกว่ากูปากมากก็ว่ามาเถอะ”
คนถูกไหว้วานชักสีหน้าตึง ๆ แต่ก็ไม่จริงจังนัก จะว่าชมก็ไม่ใช่จะว่าเหน็บแนมก็ไม่เชิง ตกลงเขามีดีหรือไม่มีกันแน่?
“เปล่า ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น มึงเข้ากับชาวบ้านได้ดีกว่ากูไม่รู้วิธีชวนพวกเขาคุยเล่น นะวานหน่อย”
เขาประเภทถ้าเรื่องงานไม่เคยหวั่นเกรง แต่เรื่องแบบนี้ใช้วาจาออดอ้อนยอมรับว่าตนแพ้ดลธีราบคาบ
“มึงต้องภูมิใจในตัวเพื่อนคนนี้ ว่าแต่อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”
คนถูกชมยืดตัวยิ้มหน้าระรื่นให้เพื่อนก่อนจะเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ที่การันต์ต้องการให้เขาทำ
“ไว้ค่อยว่ากันตอนนี้มึงไปก่อน”
“อะไรวะ? เออ ๆ ไปเดี๋ยวนี้”
ยามค่ำคืนความเงียบคืบคลานเข้ามาปกคลุมพื้นที่อันสงบของวัดกลางน้ำ ผู้คนเคยพลุ่งพล่านค่อย ๆ เลือนหายไปจากบริเวณศาลาตั้งศพของสองสามีภรรยาผู้เคราะห์ร้าย เปรมยุดาบุตรสาวเพียงคนเดียวก็ไม่ได้ต่างกับบรรยากาศโดยรอบในตอนนี้เลยสักนิด ภายในหัวใจถูกทับถมจากความอ้างว้าง แม้จะมีผู้เป็นป้าและญาติคนอื่น ๆ แต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ตอนนี้ร่างกายมันหนักอึ้งกับสิ่งที่เผชิญราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับกระทั่งจะหายใจยังทรมาน
ตึก ตึก \u2012
เสียงฝีเท้าย่ำลงพื้นแข็งสม่ำเสมอกระทบโสตประสาททำคนตกอยู่ในห้วงความมืดดำหันขวับมายังต้นเสียง กายเล็กดีดตัวเองขึ้นจากโต๊ะไม้ตัวใหญ่โดยอัตโนมัติ
"อาทําเราตกใจเหรอ?" รอยยิ้มอบอุ่นฉายขึ้นเต็มใบหน้าสุขุม ทว่าร่างสูงใหญ่ยืนในมุมย้อนแสงจึงทำให้เปรมยุดามองไม่เห็น
แพขนตายาวภายใต้ดวงตากลมโตกะพริบติด ๆ กันขับไล่ความตื่นตกใจให้ผ่อนคลายลง ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ริมฝีปากบาง“ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ”เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาตอบคำถามผู้มีอายุมากกว่า เธอพยายามไม่แสดงความหวาดระแวงให้อีกฝ่ายได้เห็นแต่ก็รู้ว่าคงทำได้ไม่ดีนัก“ถ้าอย่างนั้นก็กลับมานั่งที่เดิมดีกว่าไหม ไปยืนตรงนั้นจะยิ่งเป็นอาหารของพวกยุงนะ”การันต์ชวนคุยต่อ พยายามค้นหาว่าเธอจะมีปฏิกิริยาเช่นไรหากคนที่ไม่คุ้นเคยต้องการเข้าหานัยน์ตาเฉี่ยวคมหรี่ลงในความมืดสลัวกวาดมองเรือนร่างบอบบางของคนตัวเล็กอย่างละเอียด แม้จะใช้โทนเสียงอ่อนโยนก็ไม่ทำให้เธอลดความตึงเครียดระหว่างกันลงนั่นเท่ากับว่าลูกสาวของพี่รงค์ได้ตั้งกำแพงกางกั้นตัวเองไว้สูงมากเลยทีเดียว“ยังจำอาได้ไหม เมื่อก่อนเราเจอกันออกจะบ่อย” เขายังไม่ละความพยายามยังหาทางว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมรับการมาเยือนจากตนเองใบหน้าเรียวรีกระตุกวูบคิ้วโค้งตวัดเป็นปมให้กับคำถามเชิงล้อเล่นจากอีกฝ่าย เธอไม่ได้เป็นประเภทปลาทองจะได้มีความจำสั้นขนาดนั้น สิ้นความคิดจึงก้าวออกมาจากมุมมืด“ล้อหนูเหรอคะ”“นั่งลงคุยกับอาสักครู่ได้ไหม”เขาหัวเราะในลำคอเมื่อเธอเริ่มให้ความร่วมมือ ก่อนจะเป็นฝ
ต่อมา...ดลธีกอดอกทิ้งร่างสูงพิงข้างรถยนต์ของตัวเองเขี่ยปลายเท้าลงบนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ใบหญ้าระหว่างใช้ความคิด กระทั่งเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ถึงเปลี่ยนอิริยาบถ วาดแขนไปด้านหลังเท้ากับกระโปรงด้านหน้า“ไหนบอกว่าไปธุระแค่แป๊บเดียวไง ทำไมพึ่งมาเอาตอนนี้วะ” ยิ่งคำถามใส่เพื่อนทันทีเมื่อการันต์หยุดอยู่ตรงหน้า“ก็ไม่ได้นานอะไรนี่หว่า ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ”ยกนาฬิกาข้อมือสีเหลืองทองของแบรนด์ดังขึ้นมาดูก็เห็นว่ายังไม่เกินสี่ทุ่มด้วยซ้ำ เขาวางท่อนแขนแนบลำตัวแล้วเตรียมจะอ้อมไปอีกฝั่ง ทว่าก็ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเข้มจากเจ้าของรถเสียก่อน“มึงไปทำอะไรมา?”ดลธียืดตัวตรงเผยความสงสัยออกมาทางสีหน้าและแววตาจนหมดสิ้น พลางก้าวไปยืนตรงหน้าในระยะห่างกันไม่กี่คืบจากปลายเท้าของการันต์ ด้วยความสูงที่ไม่ได้ต่างมากนัก จึงพอทำให้ทั้งสองมองเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ชัดเจน“ก็บอกไปแล้วว่าจะไปถามเรื่องของพี่กรณ์กับพี่วีไง”“ด้วยการไปกอดกับลูกสาวคนที่ยังไม่ทันได้เผานะเหรอวะ”“ไอ้ดล! มึงพูดดี ๆ อย่าทำให้คนอื่นเสียหาย” ตอนแรกก็คิดว่าตนเองตาฝาดที่เห็นสีหน้าบึ้งตึง แต่ดูท่าแล้วมันคงคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วแน่ ๆ“กูจะไม่พูด
“เปรมไม่ได้อยากให้ใครมาดูแลนี่ป้า”“เอ็งจะทำอย่างตอนที่พ่อกับแม่เอ็งยังอยู่ไม่ได้ ฉันก็แค่คนแก่คนหนึ่งไม่รู้จะอยู่กับเอ็งได้อีกนานแค่ไหน คนอื่นต่างก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะอยู่ยาก เข้าใจหรือเปล่า”เปรมยุดาจุกอยู่ในอกเมื่อได้ยินอย่างนั้น เข้าใจดีว่าตอนนี้ต่างก็ไม่มีใครต้องการเลี้ยงดูเธอเท่าไหร่นัก ที่ทำกันอยู่ก็เป็นเพราะว่ากันชาวบ้านนินทาว่าทอดทิ้งหลานตัวเองแค่นั้นกลางสวนรีสอร์ตภายในห้องพักขนาดปานกลาง ร่างสูงใหญ่ภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำผูกปมไว้ด้านข้าง เผยช่วงบนไล่ลงมาจนถึงแผงอกล่ำสันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นอย่างสุขภาพดีการันต์นั่งดูงานจากเลขาส่งมาให้ตรวจทาน แม้ว่าจะไม่จำเป็นเพราะมีทีมงานคอยดูแลแต่ละขั้นตอนอยู่แล้ว หากแต่ด้วยเป็นคนไม่เคยปล่อยผ่านไม่ว่าจะงานเล็กน้อย นักลงทุนอย่างเขาก็ต้องมั่นใจว่าการย้ายเงินไปอยู่อีกที่มันจะคุ้มค่ากับที่จ่ายไปก๊อก ๆ “กูเข้าไปได้ไหม นอนหรือยัง”ในยามวิกาลแล้วเป็นต่างถิ่นคงไม่มีใครมารบกวนเขาได้นอกจากดลธี การันต์ปิดไฟล์งานเอาไว้ที่เดิมแล้วหยัดกายขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาวก้าวไปยังต้นเสียงมาทำลายความเงียบสงบของตน ชายหนุ่มดึงสลักกลอนประตูชั้นแรก
และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันไปชั่วนิจนิรันดร์เปรมยุดากอดรูปของบุพการีทั้งสองไว้แนบอก มองควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเกาะกลุ่มลอยไปเป็นสาย ยิ้มทั้งน้ำตาให้พวกท่านได้เห็นว่าตนเข็มแข็งมากแล้ว‘อยู่บนนั้นคอยดูวันที่หนูประสบความสำเร็จอย่างที่เราเคยคุยกันไว้นะคะ พ่อจ๋าแม่จ๋า’ แม้จะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาดั่งเช่นเก่าก่อน แต่เชื่อว่าพวกท่านได้ยินความในใจสื่อออกไปอย่างแน่นอนไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนปล่อยให้ตัวเองพาความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล กระทั่งสัมผัสถึงความอบอุ่นจากใครบางคนหยุดใกล้ ๆ ถึงได้เรียกสติของตนเองกลับคืนมา“ต่อไปจะทำอะไรคิดไว้หรือยัง”“อากาน!” สูดน้ำมูกขณะที่หันมาทางคนตัวสูง“อืม” เห็นดวงตาเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำทีไรเขาเหมือนจะหายใจไม่ออกทุกที!“เรียนหนังสือค่ะ” ตอบเท่าที่พอจะให้ข้อมูลได้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกมาหาลัยฯ ไหนดี สมองตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลย“อืม เรียนนั่นแหละดี มีโอกาสก็กอบโกยความรู้ไว้เยอะ ๆ มีอะไรขาดเหลืออยากให้อาช่วยก็บอก นี่เบอร์โทรของอา”การันต์ยื่นกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือของตนเองส่งให้ ปกติแล้วจะให้เป็นนามบัตรเพียงแต่ว่าเบอร์เหล่านั้นไม่ใช่ของส่วนตัว หากโ
‘พี่มีลูกแค่คนเดียวอยากให้เธอเรียนรู้ให้มาก ต่อไปจะได้ไม่ต้องลำบาก’‘ครับ มีโอกาสก็ควรให้เธอทำ’‘พี่กับวีก็คิดแบบนั้น นายต้องมายินดีกับหลานนะถ้าถึงวันนั้น’‘ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วครับ’‘นี่สิถึงจะพูดว่ารักกันจริง’กรามแกร่งขบเข้าหากันแน่นเมื่อหวนกลับไปถึงวันวานที่ผ่านมา การันต์ถือได้ว่าเป็นน้องรักของณรงค์เลยก็ว่าได้ ขอเพียงเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว พี่ชายคนนี้ก็มักจะเอ่ยออกด้วยรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความสุข‘พี่สาวพี่รงค์จะไม่ให้น้องเปรมเรียนต่อ บอกไม่มีปัญญาส่งเธอเรียน’ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ พี่รงค์เป็นคนรอบคอบไม่มีทางไม่วางแผนเรื่องการเรียนเปรมยุดาตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือบางทีดลธีอาจจะฟังผิดไป?กริ๊งงงง⁓เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้นทำลายความคิดวนเวียนอยู่ในหัวของชายหนุ่มตลอดทั้งคืนทิ้งไป“ครับ”“คุณพัชชามาค่ะ”“อืม ให้เธอเข้ามา”“ค่ะคุณกาน”การันต์อ้อมกลับไปนั่งประจำที่เช่นเดิม หยิบรายงานการประชุมของช่วงบ่ายกางออกวางลงตรงหน้า...“รบกวนคุณหรือเปล่าคะกาน” หญิงสาวผู้ก้าวเข้ามายังห้องผู้บริหารคนสำคัญเอ่ยถามเสียงหวาน“เปล่าครับ ผมกำลังดูรายละเอียดบ่ายนี้”“ขยันจังเลยนะคะ”พัชชายิ้มหวานให้
เปรมยุดายิ่งรู้สึกไม่ชอบผู้ชายตรงหน้า ทั้งที่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปบ้างแต่กลับเอาความดีเข้าตัวไปเสียหมดคนประเภทนี้เธอพึ่งเคยพบ แม้ว่าที่ผ่านมาจะคบค้าสมาคมกับเพื่อนน้อยมากแต่ก็ไม่มีใครหลงตัวเองได้เท่ากับเขาเลย“ดูพี่เขาสิเปรม ขนาดว่างานยุ่งยังมีแก่ใจนึกถึงเอ็ง ต้องทำดีกับพี่เขามาก ๆ รู้หรือเปล่า”ได้ยินป้าของหญิงสาวพูดเข้าข้างตนเอง ทิมกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างชอบใจ ความหวังเคยเลือนรางบัดนี้ได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อผู้ใหญ่เปิดทางให้ถึงเพียงนี้อย่างไรเสียเปรมยุดาก็ต้องตกเป็นเมียของเขาแน่นอนชายหนุ่มคิดอย่างลำพองใจพลางมองหญิงสาวใบหน้านวลเนียนอมชมพูระเรื่อ ลิ้นสากแลบออกเลียเรียวปากอย่างคนคิดแผนชั่วร้ายในหัว“น้องเปรมลองดูสิว่าชอบหรือเปล่า” ถามพลางดันตัวขึ้นจากเก้าอี้เดินอ้อมมานั่งข้าง ๆ เปรมยุดาอย่างถือวิสาสะ เปิดถุงของฝากออกกว้าง หยิบชุดราคาแพงออกโชว์ให้เธอดู“คุณทิมคะ ของฝากพวกนี้เปรมขอบคุณแต่ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” หยิบชุดจากมือเขาแล้วเก็บใส่ถุงไว้อย่างเดิม ขยับหนีออกมานั่งให้ห่าง ทั้งที่ป้ายังนั่งอยู่อีกฝ่ายไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด นั่นเป็นเพราะผู้ใหญ่ทางเธอเห็นดีเห็นงามกับการกระทำพวกนี้ ห
เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ห่างออกไปกระทั่งเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นจากเจ้าของห้อง เปรมยุดาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทอดสายตามองบ้านที่ไร้ไออุ่นหลงเหลือ “หนูไม่มีวันไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น ยังไงก็ไม่ไปเด็ดขาด ไม่เรียนก็ไม่เรียนสิ” ทอดเสียงหนักแน่นกลั่นออกมาจากข้างใน ดวงตาเคยอ่อนหวานบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง เพียงเพราะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจสายเลือดเดียวกัน ไม่คิดว่าผลที่ได้จะออกมาในรูปแบบนี้ เงินตั้งเกือบสามแสนกว่าบาทบอกว่าหมดก็จบง่าย ๆ อย่างนี้นะเหรอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีเวลา 20.34 นาฬิกา“บอกจะไปหากู แล้วทำไมเป็นกูที่มาอยู่บ้านมึงวะ”ดลธีพาดเสื้อสูทตัวนอกของตนเองไว้กับเก้าอี้แล้วเดินอ้อมมาทิ้งตัวลงพื้นนุ่มของโซฟากลางห้องโทนสีเทา ร่างสูงทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปด้านหลังแล้ววาดขายาวขึ้นไขว่ห้าง ในระหว่างกำลังรอเจ้าของบ้านถือเบียร์มาปึก!การันต์วางเครื่องดื่มดับกระหายตรงหน้าเพื่อน ก้านนิ้วเรียวแข็งแกร่งดึงสลักเปิดฝาออกครั้งเดียวเสียงซ่าก็ชวนให้คนพึ่งบ่นยกยิ้มกับการบริการจากเจ้าบ้าน“กูยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากห้องทำงานมึงบอกว่าอยู่หน้าตึกออฟฟิศแล้ว จะบอกว่ากูไม่ไปตามที่พูดไม่ได้นะด
แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจจะไม่เป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด เมื่อเสียงเรียกจากผู้อยู่ด้านในตะโกนรั้งเอาไว้ ราวกับว่ารอคอยการกลับมาของเธอยังไงอย่างงั้น“กลับมาแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน แดดแรงขนาดนี้เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งเอาหรอก”นางจันว่าแล้วก็เปิดรั้วบ้านให้หลานสาวเปรมยุดาเม้มปากแน่นเห็นสีหน้าแช่มชื่นของผู้เป็นป้าแล้วอดคิดไม่ได้ว่าไม่คิดอะไรบ้างเหรอที่เห็นตนตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งที่ควรจะล้มเลิกความคิดจะให้เธอเกี่ยวพันกับครอบครัวกำนันเทพแต่กลับเชื้อเชิญให้เข้าบ้านอย่างไม่ละอายแก่ใจจากที่คิดจะหลบหน้าก็เลยต้องหันหัวรถเข้าบ้านแทน เธอจอดรถไว้ข้างบ้านมีร่มไม้ใหญ่ไว้บังแดด เดินตามเจ้าของร่างอวบอ้วนของป้าเข้ามาข้างใน หากเป็นเมื่อก่อนได้พบสองพ่อลูกคงรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กลีบแบนหากแต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว“น้องเปรมไปทำงานที่ร้านทอฝันเหนื่อยไหมครับ” ทิมพอเห็นหน้าหญิงสาวก็ฉีกยิ้มพลางเอ่ยถาม กวาดสายตาพราวระยับสำรวจความเปลี่ยนแปลงของเธอที่ดูโตขึ้นอย่างน่ามอง เสื้อเชิ้ตเข้ารูปกับกางเกงยีนสีดำเสริมให้ขายาวยิ่งดูเรียวระหง“ไม่ค่ะ งั้นเปรมขอตัวก่อนนะคะ” แม้จะไม่อยากเจอแต่ด้วยถูกสอนมาอย่างดีเมื่อพบผู้มีอายุมากก
การันต์ดีดตัวจากเก้าอี้ตัวยาวเร่งรุดไปหยุดตรงหน้าคุณหมออย่างรวดเร็ว “ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ความตื่นเต้นระคนกังวลทำเสียงที่เอ่ยถามนายแพทย์ออกมาสั่นไหว “ยินดีกับคุณพ่อด้วย คุณแม่และ ‘ลูกชาย’ ปลอดภัยและแข็งแรงทั้งคู่ครับ อีกเดี๋ยวเราจะย้ายพวกเขาไปห้องพักฟื้น ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มก็แจ้งพยาบาลได้เลยครับ” นายแพทย์กล่าวเสียงละมุน เห็นสีหน้าของสามีคนไข้แล้วคงกระวนกระวายใจไม่น้อย “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” การันต์ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้ น้ำตาแห่งความดีใจหล่นออกมาอย่างไม่นึกอายพอได้ยินกับหูตัวเองแล้วว่าคนที่ตนเองรักสุดชีวิตทั้งสองปลอดภัย “กูบอกแล้ว สองคนนั้นเก่งจะตาย” ดลธีตบไหล่ปลอบเพื่อน “ต้องอยากเจอหน้าหลานจังเลยค่ะ งั้นขอไปรอหน้าห้องเด็กนะคะ” “ไปด้วย ผมกับต้องไปทางนู้นนะครับ” ขุนพลหันมาบอกคุณอาทั้งสองก่อนจะวิ่งตามต้องใจไป ดลธีมองกระทั่งภาพหลังหนุ่มสาวทั้งสองลับสายตาจึงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่เช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย ต่อไปก็เป็นพ่อเต็มตัวแล้วนะ ดีที่ไม่ต้องไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้” คุณพ่อป้ายแดงหันมาทางเพื่อนยืนอยู่ข้างกัน ดวงตาแดง ๆ ของเขาจ้
เดือนต่อมา...รถเมอร์เซเดสสีขาวของการันต์มุ่งหน้าไปยังหมูบ้านกลางน้ำอีกครั้ง ความตั้งใจของเขาในวันนี้ก็เพื่อจะพาคนรักนั่งข้างกันมีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตากลมโตมีแววสั่นไหวอย่างคนเป็นกังวล “อาจะพาหนูไปวัดแล้วกลับเลย ไม่ต้องกลัว” อุ้งมือใหญ่วางทาบมือเล็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ ถึงจะผ่านไปแล้วหลายปี หากแต่ว่าความทรงจำของเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ไม่น้อย “ขอบคุณนะคะ” ยิ้มอ่อน ๆ พลางหันมาทางคุณอา สายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจว้าวุ่นตลอดทางผ่อนคลายลงไปมาก คราแรกที่รู้ว่าเขาจะพากลับมาไหว้พ่อกับแม่น้ำตาเธอนองเต็มหน้า คิดถึงพวกท่านจับหัวใจ ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากันอีกแค่ได้ไหว้กระดูกคนเป็นลูกอย่างเธอก็ซาบซึ้งใจ“ไม่ต้องขอบคุณ อาตั้งใจจะมาพบพ่อกับแม่หนูอยู่แล้ว”เปรมยุดายิ้มกว้าง คนรักทำราวกับจะได้พบหน้ากัน...คงไม่ต่างจากเธอ!ทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่หมาย ฝ่ายลูกสาวของผู้ลาลับหอบช่อดอกไม้สีสันสดใสกับผ้าหนึ่งผืนเดินนำเจ้าของเรือนกายภูมิฐานไปยังเจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ “หนูกลับมาหาพ่อกับแม่แล้วนะคะ” วางช่อดอกไม้ตรงฐานกว้าง เช็ดฝุ่นออกจากกรอบรูปที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใค
กว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ดีที่ไม่มีใครแซวหรือพูดอะไร จึงทำให้พวกเรากลับมาสนุกกันต่อ เวลา 00.41 น.“รอกันตรงนี้เรียกรถให้แล้ว” ดลธีบอกขุนพลและต้องใจหลังจากงานเลี้ยงจบลง เขาดูแลทั้งสองเปรียบเสมือนน้องนั่นก็เพราะเปรมยุดาได้กำชับไว้ก่อนที่เธอจะแยกไปกับเพื่อนเขาดีจริง ๆ เลยทั้งหลานทั้งเพื่อน!“ขอบคุณนะครับ” ขุนพลไหว้ผู้ใหญ่ใจดี มื้อนี้เจ้ามือหมดไปไม่น้อย “ไม่เป็นไร ต่อไปถ้ามีงานทำก็กลับมาเลี้ยงฉันบ้างก็แล้วกัน” ดลธีหันไปตอบเพื่อนหลานด้วยใบหน้าทะเล้น“ต้องคิดเป็นบุญคุณด้วยเหรอคะ?” คนที่แม้แต่จะทรงตัวก็ลำบากยังอุตส่าห์หันมาถามเสียงอ่อน “ต้อง! เงียบบ้างก็ได้” ขุนพลห้ามเพื่อนพลางประคองไหล่เล็กให้ยืนได้ตรงเสียก่อนจะปากดี ไม่ดูตัวเองบ้างเลย! ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว“แค่บอกว่าให้เลี้ยงคืน? เป็นบุญคุณเหรอ ถ้าบอกให้เอาเงินมาคืนก็ว่าไปอย่าง หรือเธอจะคืนฉันล่ะยัยขี้เมา” “ก็เอาบัญชีมาสิ เดี๋ยวโอนให้ตอนนี้เลย ชิ!” “มือถือ?”“เอาไป”“ต้อง!”“นายเงียบเลยขุน” จะว่าเหมือนเด็กก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทว่าคนทั้งสองต่างไม่มีใครยอมกัน คนกลางอย่างขุนพลจึงได้แต่ยิ้มแห้งให้คุณอาขอ
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาของเปรมยุดาและเพื่อน ๆ ต่างก็ดีอกดีใจเมื่อเดินทางมาถึงจุดสำเร็จสาขาบัญชีรวมตัวถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก เปรมยุดา ต้องใจและขุนพลฉีกยิ้มให้กับกล้อง เสียงกดชัตเตอร์รัวติดต่อกัน พร้อมกับช่างภาพยกนิ้วขึ้นโอเค ทุกคนก็ร้องเฮ คละเคล้าเสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจต่างโอบกอดลากันด้วยน้ำตานองหน้า สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาความผูกพันแน่นแฟ้นจนอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องแยกจากเพื่อไปเติบโตใช้ชีวิตวัยทำงานไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันลืมมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เลย“เร็วนะว่าไหม? ไม่อยากจากพวกแกไปเลย”ต้องใจนั่งจับมือเปรมยุดา และมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งห่างออกไป เธอเห็นสายตาอาวรณ์ที่ขุนพลใช้มองเปรมยุดา ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ก็คงทำได้แค่นั้นเพราะตอนนี้เพื่อนรักของเธอมีเจ้าของแล้ว และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคุณอาสุดหล่อที่กำลังถือช่อดอกไม่ช่อใหญ่เดินเคียงคู่มากับอิตาคุณอาขี้เก๊กนั่นเอง“เรายังเจอกันได้ แค่เรียนจบไม่ได้จากไปไหนไกลนี่น่า จริงไหมขุน” “ใช่ทำอย่างกับจะจากกันไปไหนไกลเว่อร์จริง ๆ เลยเธอเนี่ย”“โดนรุมอีกละ!”“เรียนจบแทนที่จะดีใจกลับทำหน้าบูด
กายโชกไปด้วยเหงื่อทรุดลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจโยนป้อก⁓“อะ” เปรมยุดารู้สึกกึ่งกลางกายวูบโหวงเมื่อคุณอาถอดถอนตัวตนลำใหญ่ออกไปจากตัวเธอ การันต์หายใจหอบใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ดึงผ้าห่มคลุมกายเปลือยเปล่าทั้งสองจนถึงอก “มีคำหนึ่งใช่ไหมที่อายังไม่ได้บอกหนู” เกลี่ยปอยผมปกใบหน้ารูปไข่เล่น “อะไรเหรอคะ” ตะแคงตัวโอบกอดกายใหญ่ ซุกหน้าเข้าซอกคอแกร่ง ทำให้คุณอาหัวเราะในลำคอพลอยให้เธอยิ้มตามไปด้วย“อารักหนูเปรม รักมาก รักเกินกว่าใคร ๆ ฉะนั้น...อย่าพูดว่าจะให้อามีคนอื่นหรือคิดว่าอาจะไปมีใคร เพราะแค่มีหนูเปรมคนเดียวก็พอแล้ว” “อาบอกว่ารักหนูเหรอคะ” แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคาย วางฝ่ามือบนใบหน้าเริ่มมีตอหนวดขึ้นบาง ๆ มิน่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกระคาย “อารักหนูเปรม” ทาบฝ่ามือใหญ่บนหลังมือเล็ก ย้ำให้คนจ้องหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสดใสสุขล้นฉายชัด เขาชอบเปรมยุดาเป็นแบบนี้มากกว่า ต้องโทษที่ตนไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกจนทำให้เธอเข้าใจผิด“หนูก็รักอา รักมาก ๆ รักที่สุด รักกว่าใครในโลกเลย” ปีนขึ้นไปอยู่เหนือกายใหญ่ อกฟูบดเบียดหน้าอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนใต้ร่าง สอดแขนไปใต้ไหล่กว้างก่อนจะซุกหน้าลงหาควา
“อื๊อ” ห้ามยังไงทันเมื่อปลายนิ้วก้านยาวไล้กลีบดอกไม้ผ่านเนื้อผ้า ซ้ำยังคลึงจนเธอสะท้านเฮือกสยิวเสียวซ่านต้องยกสะโพกขึ้นรับความดุดันทันที“หนูเปรมของอาแฉะเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ‘อยาก’ เหมือนกันใช่ไหมเด็กน้อย”ลมร้อนพ่นผ่านซอกคอหอม กดเรียวปากร้อนแนบชิดผิวละมุน ดอมดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย“อ๊าส์...” ครางกระเส่าเสียงหวิวเมื่อคุณอาสอดนิ้วเข้ามาในร่องคับแคบและมันตอบรับเขาอย่างดี ตอดรัดทักทายความแข็งแกร่งราวกับว่ารอคอยในสัมผัสเร่าร้อนนี้มานานเสียงครางผะผ่าวกระตุ้นข้อมือใหญ่สอดใส่ท่อนนิ้วเพิ่ม เขาเกร็งกระแทกเข้าใส่ดุดันจนเส้นเลือดรายล้อมข้อแขนขึ้นปูดบวม ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสมองเรือนร่างส่ายเร้า เขาถอนก้านนิ้วออกหลังจากทนความปรารถนากำลังเผาไหม้ตนเองไม่ไหว ต้องการให้ความอึดอัดเบื้องล่างเข้าไปแทนที่ท่อนนิ้วแกร่งของตัวเองชุดนักศึกษาถูกถอดออกด้วยชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเตียง ไม่นานกายเปลือยเปล่าสวยงามก็ปรากฏแก่สายตา ผิวเนียนละเอียดอมชมพูสวยกระแทกใจการันต์ “หนูเปรมของอาสวยเหลือเกิน” “อาอย่ามองนานนักได้ไหม”“มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว”มุมปากหยักกระตุกให้กับเจ้าของมือที่ยกขึ้นปิดส่วนสวยงามเอาไว้ ทั้งขาเร
คนที่บอกว่าจะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก บัดนี้รถได้จอดอยู่โรงเก็บแล้วเรียบร้อย ทำเปรมยุดากลั้นยิ้มไม่อยู่แทบอยากหายตัวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าของมันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยท่อนขาเรียวก้าวฉับ ๆ เข้ามาข้างใน นัยน์ตาหวานกวาดมองตั้งแต่ห้องรับรองจนถึงห้องครัวทว่าก็ไร้วี่แววคนที่คะนึงหา “ไม่อยู่!” หน้าม่อยทันทีเพราะคิดว่าคุณอาคงจะรอเธออยู่ชั้นล่าง“ไม่สิแกตั้งใจจะขอโทษอานี่น่า” เชิดหน้าขึ้นหันไปทางฝั่งห้องของคุณอา ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้วเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเคาะประตูบานสีน้ำตาลเบา ๆ “อากาน” ครั้งที่หนึ่งยังคงไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ “อาอยู่ข้างในหรือเปล่าคะ” มั่นใจว่าคุณอาจะไม่ออกไปไหนหลังจากกลับเข้ามาแล้ว ครั้งนี้จะไม่ละความพยายามต่อให้ยืนรอคุณอาตรงนี้ทั้งคืนก็จะทำคนตัวเล็กรอจังหวะอีกนิดหนึ่งแล้วจึงง้างมือขึ้นเตรียมจะเคาะประตูของผู้เป็นอาอีกครั้ง...แกร๊ก~ “จะทำอะไร?” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามคนตัวเล็กยกมือค้างกลางอากาศ ดวงหน้าหวานตกใจทันทีเมื่อเห็นเขา“คะ เคาะประตูค่ะ” ดวงตาวูบไหวสั่นระริกกวาดมองคนตัวสูง ผมเคยถูกจัดอย่างเป็นระเบียบยุ่งเหยิงกับ
ด้านในห้อง CEO ความอึมครึมยังปกคลุมโดยรอบเมื่อผู้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ อารมณ์มาคุยังวนเวียนอยู่รอบกาย เปลือกตาปิดสนิททว่าภายในหัวกลับทำงานอย่างหนัก ขบคิดวกวนแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปรมยุดากันแน่ ทั้งที่ตนก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอคือคนสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน แล้วทำไมถึงไม่เชื่อในการกระทำทั้งหมดนั้นมีแค่เธอคนเดียว!เสียงพ่นลมหายใจยาวยืดครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ทำให้การันต์รู้สึกดีขึ้นมาเลย ทั้งสายตาและน้ำเสียงไร้เยื่อใยของเปรมยุดาบาดลึกลงในหัวใจ ปวดร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ♪ Life is sweet as honey Yeah this beat cha-ching like money ⁓........♪ Life is sweet as honey Yeah this beat cha-ching like money ⁓สุดท้ายต้องพ่ายให้กับความพยายามของคนที่โทรเข้ามา“มีอะไร?” [ไม่ดีขึ้นเหรอวะ]เข้าใจความหมายของคำถามดลธี เพียงแต่การันต์ไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนยังไง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเปรมยุดาตอนนี้เกินกว่าคำว่า ‘ไม่ดี’ ไปมาก“อืม”[มึงไปทำอิท่าไหนถึงได้โกรธนานขนาดนี้ ปกติเชื่อฟังมึงจะตาย]“หลายท่า”[จะสมน้ำหน้าหรือสงสารมึงดีไอ้กาน ข่มขืนเหรอ?] หากไม่ใช่เพื่อนรักคงไม่ถามแบบนี้
อาทิตย์ต่อมา...อาศัยบ้านหลังเดียวกัน ทานข้าวหม้อเดียวกัน แต่การันต์และเปรมยุดากลับพูดกันนับครั้งได้ ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่าเธอไม่ยอมคุยดี ๆ กับการันต์ต่างหาก มันเลวร้ายยิ่งกว่าตอนอยู่ที่สมุทรปราการเสียอีก เธอมักจะขังตัวเองอยู่ในห้อง พูดคุยกับเพื่อนผ่านทางโทรศัพท์แต่ไม่ยอมออกไปเผชิญหน้ากับคนที่อาศัยร่วมชายคาเดียวกัน ถึงอย่างนั้นการันต์ก็ไม่ละความพยายามจะตามง้อเปรมยุดาให้สำเร็จ เขาไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในระยะที่ทำให้เธออึดอัดใจ แต่ไม่ถึงกับปล่อยให้คลาดสายตา สิ่งที่เธอเคยใช้ก็ยังมีวางเติมไว้อยู่เสมอ ของชอบก็เตรียมไว้ให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้นนอกจากข้างกายไม่ได้มีเขาให้ขัดลูกหูลูกตาทุกอย่างรอบตัวของเธอก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงกระทั่งถึงวันที่เปรมยุดาต้องกลับไปเรียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาทั้งสองต้องห่างกัน หากว่ายังเป็นอยู่อย่างนี้ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เคยมีให้กันจะกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกไหม?การันต์นั่งจิบกาแฟดำพลางกางหนังสือพิมพ์อ่านฆ่าเวลาไปด้วยในระหว่างรอใครอีกคนลงมาจากชั้นบนเพื่อไปมหาลัยเปรมยุดาชะงักฝีเท้ากลางคันเมื่อทอดสายตามองลงมา“ทานอะไรหน่อย มื้อเช้าสำคัญสำหรับนักศึกษา” ข