ตอนที่ 2
“ขอบใจมากจ้ะขวัญ ลูกสาวของแม่” เย็นวันนั้นคุณพรจันทร์ตัดสินใจโทรแจ้งเหมันต์ว่า ลูกสาวของท่านพร้อมแล้วแต่ขอเวลาอีกหนึ่งเดือน เพื่อลาออกจากงาน หากแต่ปลายสายไม่สนใจฟังในสิ่งที่ผู้สูงวัยบอก เขากำหนดว่าจะมารับเจ้าสาวในวันรุ่งขึ้นทันที เพราะอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเขาไม่สะดวกจะมารับใครทั้งนั้น คุณพรจันทร์ได้แต่ถอนหายใจไม่กล้าแย้งอะไร เพราะน้ำเสียงของปลายสายช่างดุดันเอาแต่ใจจนผู้สูงวัยต้องเงียบ ได้แต่รับปากไปเขาตามที่ต้องการ
รถยนต์เอสยูวีสีดำยี่ห้อดังรุ่นท็อปที่จอดเทียบข้างรั้วบ้านหลังเล็กชานกรุง ทำให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านเงยหน้าขึ้นมอง เพียงขวัญวางหนังสือในมือลงแล้วจ้องมองไปยังรถ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลงจากรถแล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน หญิงสาวลุกขึ้นมองด้วยความแปลกใจ วันนี้เป็นวันหยุด เพียงฟ้ากับมารดาไปซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เธออาสาอยู่บ้านทำความสะอาดและเก็บกวาดบ้าน ดังนั้นหากเขาจะมาหาใครที่นี่ นั่นหมายความว่าไม่มีคนที่เขาต้องการพบแน่นอน และคงไม่ใช่เธอแน่ เพราะเพียงขวัญไม่รู้จักผู้ชายคนนี้
“ผมมาหาลูกสาวอาจันทร์” เพียงขวัญกะพริบตาปริบๆ พยายามคิดว่าเคยรู้จักผู้ชายคนนี้ที่ไหน “ผมชื่อเหมันต์” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกรั้วเตี้ยๆแนะนำตัวสั้นๆ คราวนี้หญิงสาวจึงถึงบางอ้อ รีบวิ่งไปเปิดประตูให้เขาทันที
“สวัสดีค่ะ คุณเหมันต์” เมื่อเปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้ว เพียงขวัญจึงประนมมือไหว้ทักทายตามมารยาท “สวัสดีครับ คุณ...” ชายหนุ่มรับไหว้ แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “เอ่อ...ขวัญค่ะ ขวัญเป็นลูกคุณแม่พรจันทร์ค่ะ” ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆใบหน้าถึงได้ร้อนวูบขึ้นมาได้ ใบหน้างามก้มลงเล็กน้อยตอนบอกชื่อกับเขา เหมันต์กระตุกยิ้มมุมปาก แล้วถอนหายใจยาว
“เจอตัวก็ดี ผมมีเวลาให้คุณสิบนาที คุณเตรียมกระเป๋าพร้อมแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงของคนพูดบ่งบอกว่าไม่ต้องการคำตอบ เพราะสิ่งที่เขาพูดนั่นคือประโยคบอกเล่า เหมันต์ก้าวเท้ามั่นคงไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่หญิงสาวเพิ่งลุกขึ้นมา เพียงขวัญปิดประตูแล้วเดินตามหลังไปอย่างงงๆ
“เอ่อ...คุณแม่ไปซื้อของกับฟ้ายังไม่กลับมาเลยค่ะ คุณรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวขวัญจะไปหาน้ำมาให้ดื่ม” เพียงขวัญเอ่ยแผ่วเบา แล้วหมุนตัวเพื่อจะเดินกลับเข้าบ้าน
“วันนี้ผมมาพร้อมเช็คเงินสดห้าล้านบาท คุณเหลือเวลาอีกแปดนาที” ใบหน้า
นิ่งขรึมของผู้มาเยือนทำให้เพียงขวัญหน้าเจื่อนเล็กน้อย
“เอ่อ...ขวัญให้คุณแม่เรียนคุณแล้วนี่คะ ว่าขวัญต้องแจ้งลาออกจากงานล่วงหน้าหนึ่งเดือน ขวัญเพิ่งยื่นใบลาออกไปเมื่อวานนี้เองค่ะ” ดูเหมือนผู้ชายตัวโตที่นั่งอยู่จะไม่สนใจสิ่งที่เธอพร่ำพูด เพียงขวัญเหลียวซ้ายขวาอย่างอึดอัด หญิงสาวชะเง้อคอมองออกไปนอกรั้ว หวังใจเหลือเกินให้มารดากับเพียงฟ้ากลับมาในตอนนี้
“เหลือเวลาอีกเจ็ดนาที”
“เอ่อ...มาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำรอคุณแม่ก่อนนะคะ เดี๋ยวขวัญไปเอามาให้”
“ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งรอใครหรอกนะ ถ้าคุณไม่พร้อมก็รอปีหน้า เดี๋ยว
ผมจะมารับอีกที ส่วนเช็คนี่ผมก็จะเอากลับไปด้วย” เพียงขวัญเพิ่งสังเกตว่าชายหนุ่มวางเช็คไว้บนโต๊ะ แล้วเขาก็เหยิบมันขึ้นมาพับใส่กระเป๋าเสื้อ ขยับตัวจะลุกขึ้นยืน หญิงสาวรีบถลาเข้าใกล้ไปดึงแขนแกร่งไว้ เหมันต์ก้มลงมองมือนุ่มนิ่มที่สัมผัสกับแขนกำยำของตน กลิ่นกายสาวหอมกรุ่นเย้ายวนจนเขาเคลิ้ม เผลอมองใบหน้านวลในระยะใกล้ ปากอิ่มสีชมพูขยับพูดอะไรเขาไม่ได้ยินแล้ว รู้แต่ว่าความต้องการข้างในมันพลุ่งพล่านจนต้องเมินหน้าหนีคนตรงหน้า
“เอ่อ...ขวัญขอเวลาสักสามสิบนาทีได้ไหมคะ คือขวัญยังไม่ได้เก็บกระเป๋าเลยค่ะ” หญิงสาวปล่อยมือจากเขาแล้วก้มหน้าพูดเบาๆ
“ผมบอกอาจันทร์ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน หากคุณยังไม่พร้อมผมก็จะกลับ ผมไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมารอใครได้หรอกนะ” เพียงขวัญขยับตัวชะเง้อมองไปนอกรั้วบ้านอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่ามารดาบุญธรรมกับบุตรสาวของท่านจะกลับมา
“เหลือเวลาอีกห้านาที ผมจะไปรอคุณที่รถนะคุณเอ่อ...คุณขวัญ” เหมันต์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ซึ่งสูงกว่าคนที่ยืนทำหน้าเหลอหลามากนัก เพียงขวัญเงยหน้ามองเขาจนคอตั้งบ่า เขาเธอสูงแค่อกของเขาเอง ร่างก็บอบบางกว่าหลายเท่านัก ชายหนุ่มเดินไปยังรถของตัวเองหลังจากพูดจบ เขาไม่มองหน้าหญิงสาวด้วยซ้ำ เพียงขวัญรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ก้าวขาเรียวขึ้นบันไดอย่างว่องไว เมื่อถึงห้องนอนของตน หญิงสาวก็หยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมา เปิดมันออกแล้วจับเสื้อผ้าที่พอจะกวาดเอาได้ในตู้ยัดลงไปแล้วรูดซิป ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าถือและโทรศัพท์มือถือ หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ลงบันไดแล้วลากตรงไปยังรถที่จอดสตาร์ทรอเธออยู่แล้วที่รั้วหน้าบ้าน
เหมันต์ลงจากรถมาจัดการยกกระเป๋าใบโตของเธอเก็บด้านหลังรถ เพียงขวัญกล่าวคำขอบคุณเบาๆ หญิงสาวโทรศัพท์ถึงมารดาและเพียงฟ้าสลับกัน แต่ก็ไม่มีใครรับสายเธอเลย ใบหน้างามชะเง้อมองไปตามทาง แต่ก็ต้องผิดหวัง
“คุณใช้เวลาเลยไปห้านาทีแล้ว ขึ้นรถ” เหมันต์สั่งเสียงเข้ม ชายหนุ่มขึ้นนั่งประจำ
ที่คนขับ เพียงขวัญหน้าเสียอยากจะร้องไห้เหลือเกิน เมื่อได้ยินเสียงกดแตรเตือนสั้นๆ
หญิงสาวจึงรีบวิ่งอ้อมไปด้านข้างคนขับ แล้วพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถอย่างสงบเสงี่ยม
ระยะทางจากชานเมืองหลวงถึงจุดหมายปลายทางเกือบห้าร้อยกิโลเมตร ทำให้ผู้โดยสารร่างเล็กเผลอหลับไปด้วยความเพลีย หลังจากที่เธอโทรบอกเพื่อนที่ทำงานว่าไม่ได้ไปทำงานอีกแล้ว และพยายามโทรศัพท์ติดต่อมารดาจนแบตเตอร์รี่โทรศัพท์หมดแต่ก็ไม่มีใครรับสาย เหมันต์ชำเลืองตามองผู้โดยสารข้างกาย แล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ในตอนที่หญิงสาววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน เขากลัวเหลือเกินว่าเธอจะเปลี่ยนใจไม่ยอมไปด้วยกันเสียแล้ว เขานั่งลุ้นอยู่จนเลยเวลาไปหลายนาทีจากที่กำหนดให้เธอ แต่เขากลับต่อเวลารอออกไปอีก ด้วยความหวังว่าเธอจะกลับออกมาแล้วขึ้นรถมากับเขา เมื่อนึกถึงตอนที่เห็นร่างเล็กหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ออกมาจากบ้าน หัวใจที่เคยสงบนิ่งก็ลิงโลดเต้นแรงอย่างไม่น่าให้อภัย และเผลอยิ้มอย่างพอใจจนน่าเกลียด แค่เจอกันตัวเป็นๆครั้งแรกหัวใจและร่างกายกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเธอจนน่าตกใจ“อาจันทร์ครับ ผมพาน้องกลับไปที่บ้านด้วยแล้วนะครับ เช็คเงินสดห้าล้านอยู่ในซองในตู้จดหมายหน้าบ้านนะครับ” เขาโทรหาพรจันทร์ในตอนที่เห็นเพียงขวัญเดินออกมาจากประตูบ้าน ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะพรจันทร์อุทานเสียงดัง และบอกเขาว่าลืมบอกลูกสาวให้เตรียมตัว
เหมันต์ขบกรามแน่น พยายามห้ามใจไม่หันกลับไปมองเรือนร่างเย้ายวนของคนที่กำลังถูหลังให้ เธอขาวโพลนท่ามกลางสายน้ำพร่างพรม อวบอิ่มในส่วนที่พึงมีของสตรีเพศ ผิวนวลลออตาคงจะเนียนลื่นมือนักหากได้ลูบไล้สัมผัส หัวใจหนุ่มเต้นโครมคราม กล้ามเนื้อเกร็งกระตุกตอบรับการสัมผัสจากมือน้อยที่แตะโดนผิวกาย ตอนแรกก็คิดว่าแค่รีบๆอาบน้ำนอน คิดว่าเธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง อะไรๆของผู้หญิงก็คงไม่แตกต่างกันนักหรอก หากแต่เมื่อผลักประตูเข้ามา แล้วเห็นภาพหญิงสาวยืนหลับตาพริ้มเงยหน้าน้อยๆ ร่างกายเขากลับตื่นตัวอย่างรุนแรงจนแทบระเบิด ไม่เหมือน...เพียงขวัญไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเห็นสักนิด“สะ...เสร็จแล้วค่ะ”“ขอบคุณ”เพียงขวัญเหลียวหน้าเหลียวหลัง อยากจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ แต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าวไม่ออก จนกระทั่งร่างสูงใหญ่หันกลับมาเผชิญหน้ากัน ดวงตาตื่นกลัวของเธอทำให้ชายหนุ่มหรี่ตามองประเมินสถานการณ์ ปากอิ่มเผยอค้างท่าทางขัดเขินของหญิงสาวทำให้เหมันต์กระตุกยิ้ม ใบหน้าหล่อเข้มก้มลงจนชิดใบหูเล็ก“รู้ใช่ไหมว่าคุณมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร” เป็นน้ำเสียงที่เซ็กซี่ที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมา เพียงขวัญผงะใบหน้าออกเล็กน้อย สบสายตาคม
เพียงขวัญเดินช้าๆ ก้มหน้าเล็กน้อยตรงไปยังเตียงกว้าง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วเอนกายลงนอนตัวแข็งทื่อ ไออุ่นจากร่างใหญ่แผ่ลามมาถึงผิวเนื้อจนใจสาวสั่นไหว แทบจะวายเอาเสียให้ได้ ผ้าห่มหนาผืนใหญ่ถูกตลบคลุมร่างบาง แล้วไฟทั้งห้องก็ดับลง หญิงสาวหลับตาแน่น กำมือสองข้างไว้ข้างกาย เธอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะโดนเชือด รอเวลาที่เพชฌฆาตจะลงดาบ อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก แรงขยับของคนตัวโตทำให้หัวใจเธอกระตุกวาบ“พรุ่งนี้ต้องตื่นไปใส่บาตรแต่เช้า อย่าตื่นสายล่ะ” เหมันต์พลิกกายนอนหันหลังให้หญิงสาว คนนอนรอเชือดรออยู่นานเริ่มสงสัย ดวงตากลมโตลืมขึ้นท่ามกลางความมืด หันใบหน้ามองไปทางที่คนตัวใหญ่นอนอยู่ ในนามความที่มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนเท่าไร แต่เพียงขวัญพอมองเห็นได้ว่าเขานอนหันหลังให้เธอ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่ง อกโล่งใจ ร่างบางพลิกกายตะแคงหันหน้าจ้องมองแผ่นหลังกว้างในความมืด อย่างน้อยหากเขาหันกลับมา เธอจะได้ตั้งรับทัน แต่เพราะความเหนื่อย เมื่อยล้าจากการเดินทาง จึงทำให้คนที่พยายามระแวดระวังภัยหลับลึกไปในเวลาอันรวดเร็ว“กลัวจนตัวสั่น อ่อนจริงๆ” เหมันต์ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจึงหันกลับมา ยันตัวลุกเล็กน้อยมอ
“บอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องว่าเลย ใครกันแน่ที่ชอบโวยวาย”เพียงขวัญใช้เวลาไม่นานในการแต่งตัวให้เรียบร้อย เสื้อยืดสีหวานถูกใส่ทับไว้ด้านในผ้าซิ่น หญิงสาวเกล้าผมขึ้น เปิดเผยดวงหน้าหวาน และลำคอระหง ใบหน้าไร้การเติมแต่งสีสัน ประแป้งฝุ่นและทาเพียงลิปสติกมันเท่านั้น“แล้วข้าวเหนียวล่ะคะ” เหมันต์มองหญิงสาวที่เพิ่งเปิดประตูบ้านออกมา เขามองตาค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปมองกระติบข้าวใบเล็กสองใบที่วางคู่กันอยู่บนโต๊ะเพียงขวัญมองตามแล้วคลี่ยิ้มหวาน“กระติบข้าวน่ารักจัง ว่าแต่ใครนึ่งข้าวเหนียวให้คุณคะ”“มีเมียนอนตื่นสาย ผัวก็ต้องลุกมาทำเอง ก็แค่นั้น” เพียงขวัญก้มหน้ามองเท้าตัวเอง รู้สึกผิดที่ไม่ได้ทำหน้าที่ที่สมควรทำชายหนุ่มหยิบกระติบข้าวทั้งสองใบขึ้น แล้วก้าวขายาวเดินไปข้างบ้าน ใกล้ๆกับที่จอดรถไว้เมื่อคืน จักรยานสีดำถูกจูงออกมา เขาขึ้นประจำที่คนขับ กระติบข้าววางอยู่ที่ตะกร้าหน้ารถ หญิงสาวกะพริบตามองอย่างไม่แน่ใจ ก็คนตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่นดูไม่เข้ากันสักนิดกับจักรยาน“ขึ้นมาสิ ตื่นสายแล้วยังจะมัวโอ้เอ้อยู่ได้” เพียงขวัญยู่ปากใส่แผ่นหลังกว้าง แล้วเดินไปนั่งซ้อนท้าย เหยียดขาสองข้างไปทาง
“ฟ้าไม่ไปนะคะคุณแม่ บ้านนอกบ้านนาอย่างนั้น ฟ้าจะอยู่ได้ยังไง ให้ขวัญไปสิคะ” เพียงฟ้าหน้างอง้ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจอย่างที่เธอเคยใช้แล้วได้ผลประจำ“แต่คุณลุงกับคุณพ่อของเราตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะไว้แล้วนะฟ้า ว่าจะให้ฟ้าแต่งงานกับตาเหม” คุณพรจันทร์ถอนหายใจหลายครั้งแล้ว ในขณะที่พยายามเกลี้ยกล่อมบุตรสาว“ก็ในเมื่อคุณพ่อกับคุณลุงเสียไปแล้ว เราก็ยกเลิกสัญญาไปสิคะ ท่านทั้งสองคงไม่ฟื้นคืนชีพมาทวงสัญญากับเราหรอกค่ะ”“ฟ้า! หนูก็รู้ว่าคุณลุงท่านมีพระคุณกับคุณพ่อและครอบครัวเรามากมายแค่ไหน หลังจากคุณพ่อเสีย คุณลุงก็คอยช่วยเหลือเรามาตลอด หนี้ตั้งหลายล้านบาทท่านก็ยกให้ มิหนำซ้ำทางนั้นยังให้ค่าสินสอดในการแต่งงานตั้งสิบล้าน หนูก็รู้ถึงสถานะทางการเงินของเราในตอนนี้ดีไม่ใช่หรือว่าย่ำแย่แค่ไหน” คุณพรจันทร์เหนื่อยใจกับความดื้อรั้นของลูกสาว แต่จะทำอย่างไรได้ หนี้มูลค่ามหาศาลตั้งแต่สามีเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว มันพอกพูนขึ้นมากมาย คนเป็นเจ้าหนี้ซึ่งเป็นเพื่อนรักของสามีไม่ได้เรียกร้องเอาคืน ขอเพียงแค่สองครอบครัวเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันเท่านั้นเอง หากแต่พอเจ้าหนี้เสียชีวิตลงไม่ถึงปี ทายาทก็ตามมาทวงสัญญาที
“บอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องว่าเลย ใครกันแน่ที่ชอบโวยวาย”เพียงขวัญใช้เวลาไม่นานในการแต่งตัวให้เรียบร้อย เสื้อยืดสีหวานถูกใส่ทับไว้ด้านในผ้าซิ่น หญิงสาวเกล้าผมขึ้น เปิดเผยดวงหน้าหวาน และลำคอระหง ใบหน้าไร้การเติมแต่งสีสัน ประแป้งฝุ่นและทาเพียงลิปสติกมันเท่านั้น“แล้วข้าวเหนียวล่ะคะ” เหมันต์มองหญิงสาวที่เพิ่งเปิดประตูบ้านออกมา เขามองตาค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปมองกระติบข้าวใบเล็กสองใบที่วางคู่กันอยู่บนโต๊ะเพียงขวัญมองตามแล้วคลี่ยิ้มหวาน“กระติบข้าวน่ารักจัง ว่าแต่ใครนึ่งข้าวเหนียวให้คุณคะ”“มีเมียนอนตื่นสาย ผัวก็ต้องลุกมาทำเอง ก็แค่นั้น” เพียงขวัญก้มหน้ามองเท้าตัวเอง รู้สึกผิดที่ไม่ได้ทำหน้าที่ที่สมควรทำชายหนุ่มหยิบกระติบข้าวทั้งสองใบขึ้น แล้วก้าวขายาวเดินไปข้างบ้าน ใกล้ๆกับที่จอดรถไว้เมื่อคืน จักรยานสีดำถูกจูงออกมา เขาขึ้นประจำที่คนขับ กระติบข้าววางอยู่ที่ตะกร้าหน้ารถ หญิงสาวกะพริบตามองอย่างไม่แน่ใจ ก็คนตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่นดูไม่เข้ากันสักนิดกับจักรยาน“ขึ้นมาสิ ตื่นสายแล้วยังจะมัวโอ้เอ้อยู่ได้” เพียงขวัญยู่ปากใส่แผ่นหลังกว้าง แล้วเดินไปนั่งซ้อนท้าย เหยียดขาสองข้างไปทาง
เพียงขวัญเดินช้าๆ ก้มหน้าเล็กน้อยตรงไปยังเตียงกว้าง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วเอนกายลงนอนตัวแข็งทื่อ ไออุ่นจากร่างใหญ่แผ่ลามมาถึงผิวเนื้อจนใจสาวสั่นไหว แทบจะวายเอาเสียให้ได้ ผ้าห่มหนาผืนใหญ่ถูกตลบคลุมร่างบาง แล้วไฟทั้งห้องก็ดับลง หญิงสาวหลับตาแน่น กำมือสองข้างไว้ข้างกาย เธอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะโดนเชือด รอเวลาที่เพชฌฆาตจะลงดาบ อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก แรงขยับของคนตัวโตทำให้หัวใจเธอกระตุกวาบ“พรุ่งนี้ต้องตื่นไปใส่บาตรแต่เช้า อย่าตื่นสายล่ะ” เหมันต์พลิกกายนอนหันหลังให้หญิงสาว คนนอนรอเชือดรออยู่นานเริ่มสงสัย ดวงตากลมโตลืมขึ้นท่ามกลางความมืด หันใบหน้ามองไปทางที่คนตัวใหญ่นอนอยู่ ในนามความที่มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนเท่าไร แต่เพียงขวัญพอมองเห็นได้ว่าเขานอนหันหลังให้เธอ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่ง อกโล่งใจ ร่างบางพลิกกายตะแคงหันหน้าจ้องมองแผ่นหลังกว้างในความมืด อย่างน้อยหากเขาหันกลับมา เธอจะได้ตั้งรับทัน แต่เพราะความเหนื่อย เมื่อยล้าจากการเดินทาง จึงทำให้คนที่พยายามระแวดระวังภัยหลับลึกไปในเวลาอันรวดเร็ว“กลัวจนตัวสั่น อ่อนจริงๆ” เหมันต์ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจึงหันกลับมา ยันตัวลุกเล็กน้อยมอ
เหมันต์ขบกรามแน่น พยายามห้ามใจไม่หันกลับไปมองเรือนร่างเย้ายวนของคนที่กำลังถูหลังให้ เธอขาวโพลนท่ามกลางสายน้ำพร่างพรม อวบอิ่มในส่วนที่พึงมีของสตรีเพศ ผิวนวลลออตาคงจะเนียนลื่นมือนักหากได้ลูบไล้สัมผัส หัวใจหนุ่มเต้นโครมคราม กล้ามเนื้อเกร็งกระตุกตอบรับการสัมผัสจากมือน้อยที่แตะโดนผิวกาย ตอนแรกก็คิดว่าแค่รีบๆอาบน้ำนอน คิดว่าเธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง อะไรๆของผู้หญิงก็คงไม่แตกต่างกันนักหรอก หากแต่เมื่อผลักประตูเข้ามา แล้วเห็นภาพหญิงสาวยืนหลับตาพริ้มเงยหน้าน้อยๆ ร่างกายเขากลับตื่นตัวอย่างรุนแรงจนแทบระเบิด ไม่เหมือน...เพียงขวัญไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเห็นสักนิด“สะ...เสร็จแล้วค่ะ”“ขอบคุณ”เพียงขวัญเหลียวหน้าเหลียวหลัง อยากจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ แต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าวไม่ออก จนกระทั่งร่างสูงใหญ่หันกลับมาเผชิญหน้ากัน ดวงตาตื่นกลัวของเธอทำให้ชายหนุ่มหรี่ตามองประเมินสถานการณ์ ปากอิ่มเผยอค้างท่าทางขัดเขินของหญิงสาวทำให้เหมันต์กระตุกยิ้ม ใบหน้าหล่อเข้มก้มลงจนชิดใบหูเล็ก“รู้ใช่ไหมว่าคุณมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร” เป็นน้ำเสียงที่เซ็กซี่ที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมา เพียงขวัญผงะใบหน้าออกเล็กน้อย สบสายตาคม
ระยะทางจากชานเมืองหลวงถึงจุดหมายปลายทางเกือบห้าร้อยกิโลเมตร ทำให้ผู้โดยสารร่างเล็กเผลอหลับไปด้วยความเพลีย หลังจากที่เธอโทรบอกเพื่อนที่ทำงานว่าไม่ได้ไปทำงานอีกแล้ว และพยายามโทรศัพท์ติดต่อมารดาจนแบตเตอร์รี่โทรศัพท์หมดแต่ก็ไม่มีใครรับสาย เหมันต์ชำเลืองตามองผู้โดยสารข้างกาย แล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ในตอนที่หญิงสาววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน เขากลัวเหลือเกินว่าเธอจะเปลี่ยนใจไม่ยอมไปด้วยกันเสียแล้ว เขานั่งลุ้นอยู่จนเลยเวลาไปหลายนาทีจากที่กำหนดให้เธอ แต่เขากลับต่อเวลารอออกไปอีก ด้วยความหวังว่าเธอจะกลับออกมาแล้วขึ้นรถมากับเขา เมื่อนึกถึงตอนที่เห็นร่างเล็กหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ออกมาจากบ้าน หัวใจที่เคยสงบนิ่งก็ลิงโลดเต้นแรงอย่างไม่น่าให้อภัย และเผลอยิ้มอย่างพอใจจนน่าเกลียด แค่เจอกันตัวเป็นๆครั้งแรกหัวใจและร่างกายกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเธอจนน่าตกใจ“อาจันทร์ครับ ผมพาน้องกลับไปที่บ้านด้วยแล้วนะครับ เช็คเงินสดห้าล้านอยู่ในซองในตู้จดหมายหน้าบ้านนะครับ” เขาโทรหาพรจันทร์ในตอนที่เห็นเพียงขวัญเดินออกมาจากประตูบ้าน ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะพรจันทร์อุทานเสียงดัง และบอกเขาว่าลืมบอกลูกสาวให้เตรียมตัว
ตอนที่ 2“ขอบใจมากจ้ะขวัญ ลูกสาวของแม่” เย็นวันนั้นคุณพรจันทร์ตัดสินใจโทรแจ้งเหมันต์ว่า ลูกสาวของท่านพร้อมแล้วแต่ขอเวลาอีกหนึ่งเดือน เพื่อลาออกจากงาน หากแต่ปลายสายไม่สนใจฟังในสิ่งที่ผู้สูงวัยบอก เขากำหนดว่าจะมารับเจ้าสาวในวันรุ่งขึ้นทันที เพราะอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเขาไม่สะดวกจะมารับใครทั้งนั้น คุณพรจันทร์ได้แต่ถอนหายใจไม่กล้าแย้งอะไร เพราะน้ำเสียงของปลายสายช่างดุดันเอาแต่ใจจนผู้สูงวัยต้องเงียบ ได้แต่รับปากไปเขาตามที่ต้องการรถยนต์เอสยูวีสีดำยี่ห้อดังรุ่นท็อปที่จอดเทียบข้างรั้วบ้านหลังเล็กชานกรุง ทำให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านเงยหน้าขึ้นมอง เพียงขวัญวางหนังสือในมือลงแล้วจ้องมองไปยังรถ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลงจากรถแล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน หญิงสาวลุกขึ้นมองด้วยความแปลกใจ วันนี้เป็นวันหยุด เพียงฟ้ากับมารดาไปซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เธออาสาอยู่บ้านทำความสะอาดและเก็บกวาดบ้าน ดังนั้นหากเขาจะมาหาใครที่นี่ นั่นหมายความว่าไม่มีคนที่เขาต้องการพบแน่นอน และคงไม่ใช่เธอแน่ เพราะเพียงขวัญไม่รู้จักผู้ชายคนนี้“ผมมาหาลูกสาวอาจันทร์” เพียงขวัญกะพริบตาปริบๆ พยายามคิดว่
“ฟ้าไม่ไปนะคะคุณแม่ บ้านนอกบ้านนาอย่างนั้น ฟ้าจะอยู่ได้ยังไง ให้ขวัญไปสิคะ” เพียงฟ้าหน้างอง้ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจอย่างที่เธอเคยใช้แล้วได้ผลประจำ“แต่คุณลุงกับคุณพ่อของเราตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะไว้แล้วนะฟ้า ว่าจะให้ฟ้าแต่งงานกับตาเหม” คุณพรจันทร์ถอนหายใจหลายครั้งแล้ว ในขณะที่พยายามเกลี้ยกล่อมบุตรสาว“ก็ในเมื่อคุณพ่อกับคุณลุงเสียไปแล้ว เราก็ยกเลิกสัญญาไปสิคะ ท่านทั้งสองคงไม่ฟื้นคืนชีพมาทวงสัญญากับเราหรอกค่ะ”“ฟ้า! หนูก็รู้ว่าคุณลุงท่านมีพระคุณกับคุณพ่อและครอบครัวเรามากมายแค่ไหน หลังจากคุณพ่อเสีย คุณลุงก็คอยช่วยเหลือเรามาตลอด หนี้ตั้งหลายล้านบาทท่านก็ยกให้ มิหนำซ้ำทางนั้นยังให้ค่าสินสอดในการแต่งงานตั้งสิบล้าน หนูก็รู้ถึงสถานะทางการเงินของเราในตอนนี้ดีไม่ใช่หรือว่าย่ำแย่แค่ไหน” คุณพรจันทร์เหนื่อยใจกับความดื้อรั้นของลูกสาว แต่จะทำอย่างไรได้ หนี้มูลค่ามหาศาลตั้งแต่สามีเสียไปเมื่อห้าปีที่แล้ว มันพอกพูนขึ้นมากมาย คนเป็นเจ้าหนี้ซึ่งเป็นเพื่อนรักของสามีไม่ได้เรียกร้องเอาคืน ขอเพียงแค่สองครอบครัวเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันเท่านั้นเอง หากแต่พอเจ้าหนี้เสียชีวิตลงไม่ถึงปี ทายาทก็ตามมาทวงสัญญาที