“ขะ...ขวัญหิวข้าวค่ะ คุณเหมทานอะไรมาหรือยังคะ เดี๋ยวขวัญทำอาหารให้ทานนะคะ” คราวนี้เหมันต์เผยยิ้มกว้าง ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เป็นโอกาสอันดีที่เพียงขวัญจะใช้ในการดีดตัวลุกขึ้นนั่ง และกระถดกายหนีเขาไปจนชิดชอบศาลาอีกด้านหนึ่ง
“อืม...กินอะไรก่อนก็ดี จะได้มีแรงเยอะๆ งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ” เพียงขวัญมองเขาอย่างระแวง พยักหน้ารับเร็วๆ เมื่อร่างสูงขยับเพื่อจะลงจากศาลา หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย จ้องมองเขานิ่งอย่างระแวดระวัง เหมันต์หัวเราะในลำคอ ลงไปยืนอยู่ข้างศาลาแล้วจ้องไปยังร่างที่เบียดตัวเองอยู่กับเสาอย่างขำๆ
“ถ้าคุณยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมอาจจะเปลี่ยนใจกินอย่างอื่นแทนข้าวนะ” มันได้ผล เพราะเพียงขวัญรีบขยับตัวลุกขึ้นก้าวลงมายืนอยู่บนพื้น แล้วรีบเดินเร็วเข้าบ้านไปทันที
อาหารกลางวันตอนเกือบบ่ายสองโมงถูกเสิร์ฟโดยแม่ครัวคนใหม่ของบ้าน เพียงขวัญไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านชอบกินอะไร รสชาติแบบไหน หญิงสาวจึงทำอาหารทั่วไปรสชาติกลางๆ ผัดผักรวม ปลากะพงทอดน้ำปลา แกงเลียงกุ้งสด และน้ำพริกปลาทูพร้อมผักสด เหมันต์ถึงกับอมยิ้มเมื่อเห็นอาหารที่วางรอเขาอยู่บนโต๊ะ ก็ปกติแล้วโต๊ะอาหารบ้านนี้เคยมีกับข้าวตั้งโต๊ะเกินหนึ่งอย่างซะที่ไหน ส่วนมากเขาก็ซื้อกับข้าวสำเร็จรูปติดมือเข้ามาทานเองคนเดียว หรือไม่ก็อาหารกล่องแช่แข็งยัดใส่ไมโครเวฟแป๊บเดียวก็ได้กิน รู้สึกว่าคิดถูกจริงๆที่ไปซื้อของสดมาตุนไว้ก่อนไปรับตัวเพียงขวัญมาอยู่ด้วย
“ขวัญไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร รสชาติแบบไหน คุณลองทานดูก่อนนะคะ แล้วก็ช่วยบอกขวัญด้วยว่าชอบไหม ครั้งต่อไปขวัญจะได้ทำให้ถูกใจคุณ”
“ผมกินง่าย อยู่ง่าย คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมทานได้หมดแหละ” เพียงขวัญพยักหน้ารับน้อยๆ
หญิงสาวเหลือบตามองเขาเป็นระยะ พอตักอะไรเข้าปากไปเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร ราวกับเขาเทอะไรสักอย่างลงไปในกระเพาะ โดยไม่สนใจว่ามันคืออะไรและรสชาติยังไงด้วยซ้ำ คนทำอาหารอดนึกค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า น่าจะชมเธอสักนิดว่าอร่อย หรือติบ้างก็ได้จะได้เอาไปปรับปรุง
หลังมื้ออาหาร เพียงขวัญจัดเก็บจานชามล้าง และทำความสะอาดในครัว เหมันต์ปลีกตัวไปนั่งที่โซฟาในห้องโถงบ้าน ซึ่งถูกจัดให้เป็นห้องนั่งเล่นและรับแขก เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป แม่ครัวก็ยังไม่เดินออกมาจากครัวสักที คนรอจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าในนั้นมันมีอะไรดีนักหนา เธอถึงขลุกอยู่ได้เป็นชั่วโมง
“คืนนี้ จะนอนในนี้เลยมั้ย” ร่างบางสะดุ้งตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์มือถือในมือหล่นลงพื้น เหมันต์ยืนพิงประตูห้องครัว ความสูงของเขาเกือบจะชนขอบประตูด้านบนด้วยซ้ำ ใบหน้านิ่งๆกับแววตาดุของเขา ทำให้เพียงขวัญรีบลุกขึ้นยืน หันรีหันขวางไม่รู้จะตอบเขาว่ายังไง
“เอ่อ...ขวัญนึกว่าคุณนอนกลางวัน เลยไม่อยากออกไปรบกวนค่ะ” เธอก้มหน้าตอบ
“ก็ว่าจะนอนสักงีบ แต่รอเมียอยู่” ใบหน้างามเงยขึ้นสบตาเขาอย่างเกรงๆ แต่เหมันต์ไม่สนสักนิด
“มานอนเป็นเพื่อนหน่อย เดี๋ยวเย็นๆจะพาออกไปดูที่ปลายนา” คำว่านอนเป็นเพื่อนที่เขาบอกก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังห้องโถง ทำเอาเพียงขวัญไปไม่เป็น หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เท้าบางค่อยๆก้าวเดินช้าๆออกจากห้องครัว กว่าจะมาถึงตรงที่
เขานอนก็ใช้เวลาไปมากกว่าปกติหลายนาที
ภาพคนตัวโตนอนเหยียดยาวบนโซฟาเบด ที่เขาปรับระดับเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับการนอน ทำเอาใจของเพียงขวัญหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เหมันต์ลืมตาขึ้นมองหญิงสาวครู่เดียว ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
“มานอนตรงนี้ นอนเป็นเพื่อนหน่อย” เขาพูดทั้งที่ยังหลับตา
“ขวัญนอนมาทั้งวันแล้วค่ะ ยังไม่ง่วงเลย คุณเหมนอนคนเดียวเถอะนะคะ”
“เมื่อก่อนก็นอนคนเดียวได้นะ แต่พอมีเมียแล้วก็อยากนอนกอดเมีย” ใบหน้างามซับสีเลือด ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า
“เอ่อ...คุณเหมตัวใหญ่นอนคนเดียวที่ก็เต็มแล้วค่ะ ขวัญไม่อยากไปนอนเบียด กลัวคุณเหมนอนไม่สบายตัว” เหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่พอจะคิดได้ เพียงขวัญพยายามยกขึ้นมาอ้างให้ดูดีที่สุด
“ถ้าไม่อยากนอนเบียดก็มานอนบนตัวผมสิ มานอนตรงนี้” คนที่นอนหงาย
หลับตาอยู่ ใช้มือใหญ่ตบอกแกร่งตัวเองดังป้าบ ร่างเล็กสะดุ้งดวงตาเบิกกว้าง
“ขวัญตัวหนักมากนะคะ เดี๋ยวคุณเหมจะหายใจไม่ออก” เหมันต์ผุดลุกขึ้นนั่ง จ้องมองคนที่ก้มหน้ายืนนิ่ง เธอยืนอยู่ห่างเขาถึงสองเมตร
“มานี่ซิ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นออกคำสั่ง เมื่อบอกกันดีๆก็เอาแต่หลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยงอยู่ได้ เพียงขวัญคงไม่รู้ตัวหรอกว่าเนื้อตัวนุ่มนิ่มและกรุ่นกลิ่นกายสาวหอมหวน ที่เขาได้สัมผัสแตะต้องเมื่อคืนมันตามหลอกหลอนเขามาทั้งวัน อยากจะสัมผัสอยากจะดอมดมอีกครั้ง
“เอ่อ...ขวัญว่า”
“ถ้าจะช่างเถียง บ่ายเบี่ยงโน่นนี่อยู่อย่างนี้ กลับบ้านไปเลยไป แล้วก็บอกอาจันทร์เอาเงินห้าล้านมาคืนผมด้วย” พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองนัก เพราะใบหน้าหวานๆนั้นสลดลง ดวงตาฉ่ำน้ำขึ้นมาทันที ก็ใครบอกให้เธอขัดใจเขาเองล่ะ แค่ขอนอนกอดนิดก่อนหน่อยทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ คนปากร้ายคิดเข้าข้างตัวเอง
“ขอโทษค่ะ” เพียงขวัญกล่าวถ้อยคำขอโทษเบาๆ บอกกับตัวเองว่าเธอเป็นคน
เลือกที่จะมาอยู่ที่นี่เอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เธอเลือกและทำใจยอมรับไว้แล้ว หญิงสาวก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนปากร้าย เหมันต์พยายามไม่สนใจท่าทางหวาดกลัวและน้ำตาที่ปริ่มขอบตาของเธอ
“อุ๊ย!” ร่างเล็กถูกรวบกอดและเอนลงนอนเบียดกับร่างใหญ่ ลำแขนแกร่งช้อนรองใต้ศีรษะทุยให้เธอได้หนุนนอน ร่างกายด้านหน้าของทั้งสองแนบชิดจนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากกันและกัน เพียงขวัญสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่อีกข้างของเหมันต์วางทาบบนสะโพกผายของตน“เงยหน้าขึ้นมาสิ” ทำไมเขาถึงชอบสั่งนักนะ คนรู้สึกว่าโดนสั่งบ่อยๆจึงชักสีหน้าไม่พอใจในตอนที่เงยขึ้นสบตาคมดุระยะใกล้“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย แบบนี้ก็หมดอารมณ์กันพอดี” เพียงขวัญเม้มปากแน่น พยายามปั้นหน้าฝืนยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ดูเสแสร้งให้ดูดีมากในสายตาชายหนุ่ม เหมันต์หัวเราะในลำคอ พร้อมกับพลิกร่างเล็กให้อยู่ใต้ร่างของตน เพียงขวัญลนลานใช้มือยันบ่ากว้างไว้ทั้งสองข้าง“จะทำอะไรคะ”“กินของหวาน” เหมันต์ตอบหน้าตาย“เอ่อ...” ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่จะดิ้นรนปฏิเสธไปก็ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงไปได้อีกสักกี่วัน แล้วก็มีแต่จะทำให้คนปากร้ายโกรธและถากถางด้วยคำพูดให้เสียใจเปล่าๆ เพียงขวัญค่อยๆหลับตาลง ลำแขนเรียวสองข้างวางลงแนบตัว เธอนอนนิ่ง แต่หัวใจนี่สิ...มันเต้นแรงเสียจนน่ากลัวว่าจะปะทุออกมานอกอก เหมันต์ยิ้มขำกับท่าทางจำยอมนั้น จะนิ่งได้นานแค่ไหนกันเชียวสัมผัสร้อนจากร
“คุณเหม...ช่วยขวัญด้วย ได้โปรด...” เธอบิดกายอ้อนวอนเขาโดยไม่เหลือความอายใดๆ เหมันต์ครางลึกในลำคอ ของหวานชิ้นใหญ่ช่างนุ่มละมุนลิ้น หอมหวานจนเขาอยากจะกลืนกินให้หมดทั้งตัว หัวใจชายหนุ่มเต้นระทึก ยิ่งได้ยินคำวิงวอนกระเส่าแว่วหวาน เขาก็ยิ่งเร่งเร้าปรนเปรอจนร่างสาวแอ่นค้าง กลั่นหยดน้ำหวานหลั่งรินให้เขาได้กลืนกินจนอิ่มเปรม ก่อนที่ร่างนั้นจะอ่อนระทวยลงอย่างไร้สิ้นเรี่ยวแรงเหมันต์จัดแจงเสื้อผ้าของหญิงสาวให้เข้าที่เหมือนเดิม แล้วเคลื่อนตัวขึ้นมานอนเคียงข้างกัน ลำแขนแกร่งสอดลงใต้ศีรษะทุยเพื่อให้เธอได้หนุนนอนต่างหมอน เพียงขวัญยังคงหลับตาพริ้ม เห็นได้ชัดว่าจังหวะลมหายใจเธอยังไม่เป็นปกติ ชายหนุ่มกดจูบลงบนขมับสวยชื้นเหงื่อ“ผมบอกคุณหรือยังว่าคุณทำอาหารอร่อยมาก” เพียงขวัญลืมตาขึ้นมองสบตาคมวาวในระยะใกล้ ลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่เหนือขมับของเธอ“แต่คนทำอร่อยกว่ามากกกกก” คนพูดจงใจลากเสียงสุดท้ายยาว และยิ้มกรุ้มกริ่มให้ ใบหน้าสาวร้อนวูบวาบขึ้นมาทันใด เพียงขวัญจึงเลือกที่จะซุกหน้ากับอกกว้างของเขา หัวใจเต้นระรัว ยิ่งพอหลับตาลงแล้วนึกถึงเสียงอ้อนวอนของตน และท่าทางเชื้อเชิญตอบสนองเขาเมื่อสักครู่นี้แล้ว เธอก็
“นี่ยังไม่หยุดสูบอีกเหรอลุง เดี๋ยวก็ได้เป็นมะเร็งตายหรอก” ลุงช่วงหัวเราะแหะๆ ยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ“ก็ลดลงนิดหน่อยแล้วครับ พกไว้เวลาอยากจริงๆ แก้เครียดครับ” เหมันต์ส่ายหน้ากับคำแก้ตัวข้างๆคูๆของคนสูงวัย“แล้วของคนอื่นล่ะเป็นไงบ้าง เกี่ยวพร้อมกันเลยมั้ย”“พร้อมกันเลยครับ ว่าแต่ส่วนของคุณเหมจะให้ลุงจัดการให้พร้อมกันเลยมั้ยครับ”“อืม...ลุงช่วงจัดการให้ผมด้วยแล้วกัน เสร็จแล้วก็ค่อยมาเอาค่าจ้างเกี่ยวข้าวพร้อมกับค่าแรง อ้อ...แปลงที่เกษตรตำบลเขามาขอทำแปลงนาสาธิตไม่ต้องเกี่ยวนะครับ เดี๋ยวเขาจะให้ชาวบ้านมาลงแขกเกี่ยวช่วยกัน”“ครับคุณเหม เอ่อ...นั่นใครล่ะครับ ไม่เคยเห็นหน้า”“คุณขวัญ...เป็นเมียผม” คุณที่ถูกแนะนำตัวสั้นๆ เม้มปากแน่นแต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว ยกมือไหว้ผู้สูงอายุอย่างอ่อนน้อม“ไหว้พระเถอะครับคุณ” ลุงช่วงรับไหว้แทบไม่ทัน เมื่อเมียเจ้าของที่นาซึ่งเขาและชาวบ้านหลายคนได้พึ่งใบบุญ ปลูกข้าวทำนาและหากินบนที่ดินผืนใหญ่ยกมือไหว้“เอ่อ...คุณเหมมีอะไรจะให้ลุงทำหรือเปล่าครับ”“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากพาเมียมาดูไร่ดูนาเท่านั้นเอง เผื่อเขาเห็นแล้วไม่ชอบ ไม่อยากอยู่ จะได้เปลี่ยนใจเก็บกระเป๋ากล
“จ้องอยู่ได้ มันจะค่ำแล้วเดี๋ยวก็หนาวตายคาหนองน้ำหรอก หรือไม่ชอบขี่หลังจะขี่ข้างหน้า” เหมันต์ไม่พูดเปล่า เขาเคลื่อนมือใหญ่ผ่านสะโพกมนลงไปตามต้นขาเรียว ทำท่าจะจับมันแยกออกอย่างน่าหวาดเสียว“ขี่หลังค่ะ ขี่หลัง” เพียงขวัญระล่ำระลักตอบ แล้วโอบกอดร่างใหญ่หลวมๆ ค่อยๆเคลื่อนตัวไปอยู่ข้างหลังเขา ทุกการขยับเสียดสีแนบเนื้อก่ออารมณ์บางอย่างในกายใหญ่ จนคนที่บอกให้หญิงสาวขี่หลังต้องขบกรามแน่น ข่มอารมณ์ร้อนที่เริ่มปะทุใกล้จะถึงจุดเดือด อยากเปลี่ยนใจจับเธอมาขี่ข้างหน้าแทนจริงๆไม่นานนักคนที่ชวนเก็บผักก็ได้ผักเพียงพอกับความต้องการ หญิงสาวทำหน้าที่ถือผักกระเฉดยอดอวบที่เขาส่งให้อย่างไม่เกี่ยงงอน น้ำในหนองใสจนแทบจะมองเห็นพื้นใต้น้ำ ด้วยสภาพพื้นที่เป็นดินทรายผสมดินเหนียวเมื่อใต้พื้นน้ำถูกก่อกวนจึงไม่ทำให้น้ำขุ่นอย่างที่เธอนึกกลัวเหมันต์พาเธอขึ้นมาจากน้ำแล้ว แต่ไม่ยอมปล่อยให้เธอลงจากหลังตัวเอง อากาศเย็นครอบคลุมอยู่รอบกาย หากแต่ส่วนที่ร่างกายแนบชิดกันกับอบอุ่นจนเกือบร้อน“เอ่อ...ให้ขวัญลงเถอะค่ะ เราจะได้รีบกลับบ้าน” เขายังคงเดินต่อไปโดยไม่ปล่อยเธอลงอย่างที่ต้องการ เพียงขวัญค้อนให้แผ่นหลังกว้าง นึกบ่นในใ
“อยากอยู่อ่อยโจรปล้นสวาทที่บ้านก็เชิญ ได้ข่าวว่าเพิ่งแหกคุกออกมาเมื่อวานนี้เอง” เหมันต์ตวัดหางตามามองหญิงสาวเพียงแวบเดียวก็เดินเข้าห้องไป ค้นหาแจ็คเก็ตในตู้แล้วนำมาสวมใส่ เพียงขวัญยืนตกตะลึงอยู่กลางบ้าน ครู่เดียวก็วิ่งตามเขาเข้าไปในห้องนอน รีบเปิดตู้ค้นหาเสื้อแขนยาวมาสวม แล้วรีบวิ่งตามชายหนุ่มออกไปหน้าบ้าน เหมันต์หันกลับมาล็อกประตูบ้าน แล้วจูงจักรยานออกไปที่ถนน ร่างเล็กได้แต่เดินตามเขาต้อยๆ พอเขาขึ้นประจำตำแหน่งคนปั่น หญิงสาวก็นั่งซ้อนท้ายเกาะเกี่ยวเอวเขาไว้เสียแน่นเหมันต์ปั่นจักรยานมาจนถึงบ้านไม้หลังใหญ่ที่ปลูกอยู่ท้ายหมู่บ้านอีกฟากหนึ่ง เสียงคนคุยกันบนบ้านดังแว่วมาให้ได้ยิน เพียงขวัญก้าวเดินตามชายหนุ่มที่เดินนำขึ้นไปบนบ้านหลังใหญ่ก่อน พอขึ้นไปถึงบนบ้าน หญิงสาวก็ได้รับการแนะนำว่าเธอเป็น ‘เมีย’ ของเขา มือเล็กประนมขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม เธอคลี่ยิ้มหวานส่งให้กับทุกคน ซึ่งนั่งอยู่บนพื้นไม้ราวๆสักสิบคนได้“จะยืนอีกนานไหม มานั่งตรงนี้” เหมันต์ใช้เสียงดุกับเธออีกแล้ว ผู้คนมากมายเขาก็ยังวางอำนาจกับเธอ ช่างไม่รู้จักมารยาทเสียจริง เพียงขวัญนึกโกรธอยู่ในใจ แต่ก็เดินไปนั่งลงข้างๆเขาแต่โดยดี“นึกว
“ก็ไม่เห็นจะง่วงสักหน่อย” เพียงขวัญปรือตาขึ้นแล้วกะพริบตาปริบๆ หญิงสาวต้องใช้เวลาหลายอึดใจทีเดียวในการเรียกสติสตังกลับมา น้ำเสียงของเหมันต์เจือไปด้วยความขบขัน เธอสัมผัสได้ อยากจะเขกหัวตัวเองนักที่หลงใหลไปกับจูบแสนหวานของเขา“งะ...ง่วงสิคะ ขวัญจะหลับตาล่ะนะ” เพียงขวัญหลับตาแน่น นอนหงายตัวแข็งทื่อ เหมันต์หัวเราะในลำคอ ขยับพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาหญิงสาว จงใจซุกใบหน้ากับซอกคอหอมกรุ่น ท่อนแขนกำยำจงใจวางพาดทับไว้บนหน้าท้องแบนราบ วางขาพาดทับขาเล็กๆทั้งสองข้างไว้ ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มที่มุมปาก“นอนเถอะ...ยังมีเวลาอีกหลายคืน” เพียงขวัญกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามกำหนดลมหายใจให้สม่ำเสมอ ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดอยู่ซอกคอเป็นสิ่งที่รบกวนการข่มตาหลับของเธอได้อย่างดี ไหนจะแขนขาที่เธอพอจะรู้ว่าเขาจงใจเอามันมาพาดทับร่างกายของเธอไว้ เพราะอยากแกล้งอีก“คะ...คุณเหมคะ”“หืม...ไม่ง่วงแล้วเหรอ งั้นต่อเลยนะ”“ง่วงค่ะง่วง” เพียงขวัญคงเป็นคนง่วงที่น้ำเสียงตื่นตัวที่สุด“ง่วงก็หลับเถอะ จะมาสะกิดทำไมล่ะ”สะกิด! เธอไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวสักนิดสาบานได้“ขวัญหนักค่ะ คุณเหมช่วยเอาแขนกับขาออกไปจากต
เมื่อประตูห้องปิดลงอีกครั้ง หลังจากที่รชายหนุ่มก้าวพ้นจากห้องไปแล้ว เพียงขวัญก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก หญิงสาวค่อยๆพาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ ปลดเปลื้องชุดนอนอกจากกายแล้วเคลื่อนตัวเข้าอยู่ใต้ฝักบัว สายน้ำอุ่นทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย มือเล็กบีบครีมอาบน้ำใส่มือ แล้วถูไปตามร่างของตน แต่เมื่อก้มลงมองที่อกอวบ เพียงขวัญก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ หนึ่ง สอง สาม สี่...ข้างละสอง เธออยากจะกรี๊ดดังๆให้ลั่นทุ่ง รอยจ้ำสีแดงเข้มบนผิวเนินเนื้ออวบ ต้องเกิดจากฝีมือของเหมันต์แน่ๆ หากเธอไปว่าที่เขาทำแบบนี้ ชายหนุ่มก็คงย้อนกลับมาว่าทำไปเพื่อวัดอุณหภูมิในร่างกายแน่ๆ ใบหน้านวลร้อนผ่าว เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาทำกับร่างกายตนเอง หากเหมันต์ไม่หยุดตัวเองเพราะคำว่าหิวข้าวของเธอเสียก่อน เพียงขวัญเองก็ไม่มั่นใจว่าเธอจะหยุดเขาได้ไหม เพราะร่างกายของเธอมันแสดงออกมาว่าพร้อมที่สุดคนที่อ้างว่าอาบน้ำอีกห้อง กำลังใช้สายน้ำเย็นดับอารมณ์ร้อนที่ปะทุอยู่ภายใน อากาศจะหนาวเพียงใดก็ไม่อาจจะดับไฟพิศวาสลงได้ มันเกร็งเครียด เคร่งครัดไปหมด เหมันต์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะอดทนไปเพื่ออะไร ในเมื่อเธอยินยอมที่จะรับข้อเสนอเขาเอง นี่เขากลา
“แล้วพี่ดินมาทำงานที่นี่นานหรือยังคะ” หญิงสาวชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก“ตั้งแต่เรียนจบเมื่อสามปีที่แล้วล่ะ อยู่ที่นี่สบายใจดี ผู้คนก็น่ารัก เป็นกันเอง แล้วนี่ขวัญมาเป็นแม่บ้านเฉยๆเหรอ” เพียงขวัญพยักหน้ารับ ก็เธอไม่มีอะไรทำนอกจากงานบ้านนี่นา อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าแม่บ้านนั่นแหละถูกแล้ว“พี่ขวัญโชคดีจังเลยนะคะ ได้เป็นภรรยาพี่เหม ผู้ชายที่หญิงครึ่งค่อนจังหวัดอยากแต่งงานด้วยมากที่สุด” เพียงขวัญยิ้มแหยๆ พานคิดไปถึงหน้าคนที่เป็นที่หมายปองของผู้หญิงครึ่งค่อนจังหวัด แล้วเผลอทำปากยื่น ปากร้ายขนาดนั้น ดุก็ดุจะตาย ยังมีคนอยากได้อีกเหรอเนี่ยเสียงเพลงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเด็กสาวดังขึ้น แก้วใจจึงขอตัวเดินไปรับโทรศัพท์ด้านนอก เด็กสาวกลับเข้ามาด้วยใบหน้างอง้ำ“พี่ดินแก้วจะกลับบ้านแล้วนะ พ่อโทรมาตาม”“อือๆ กลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่รอคุณเหมเอง ขอบใจมากนะแก้วที่มาเป็นเพื่อน”แก้วใจกลับบ้านไปแล้ว เพียงขวัญจึงนั่งคุยกับบดินทร์อย่างสนุกสนาน เวลาผ่านไปจนกระทั่งความมืดโรยตัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ“ขวัญว่าพี่ดินลองโทรหาคุณเหมใหม่ดีกว่านะคะ ป่านนี้ทำไมยังไม่มานะ มืดค่ำแล
“พี่แดน!” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวงอน จนเผลอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มบูดบึ้งจนน่าขำ“ดูทำหน้าสิ ไม่น่ารักเลย”“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก พี่แดนอยากมาหัวเราะพี่ข้าวก่อนทำไม” บุรินทร์วางจอบที่แบกไว้บนบ่าลง แล้วกอดอกพิงหลังกับต้นทองกวาว ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีหม่น กางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าบูธสีดำ โดยมีผ้าขาวม้าคาดเอวไว้ด้วย เพราะเขาถือว่ามันเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ต้องคาดติดเอวไว้ตลอดเวลา“พี่ไม่ได้หัวเราะพี่ข้าวสักหน่อย พี่หัวเราะไอ้หน้าแหลมโน่น” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปยังควายเพศผู้ที่และเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล ไอ้หน้าแหลมเป็นควายที่บุรินทร์รับซื้อมาตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าของเดิมเป็นชาวบ้านแถวนี้ขอร้องให้เขารับซื้อมันไว้เพราะเดือดร้อนเงิน ชายหนุ่มจึงรับซื้อไว้ด้วยความสงสาร และเลี้ยงมันมาจนโต“ไอ้หน้าแหลมมันจะทำอะไรให้พี่แดนหัวเราะได้ ในเมื่อมันก้มหน้าก้มตากินหญ้าอยู่อย่างเดียว”“อ้าว! ก็พี่ข้าวมัวแต่เซลฟี่อยู่ไง ก็เลยไม่เห็น ควายอะไรไม่รู้กินหญ้าอยู่ดีๆก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตัวเดียว เดี๋ยวก็ทำแก้มป่อง เดี๋ยวก็ขยิบ
“แก้วจ๋า” คนไม่อยากนอนเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน“พ่อง่วง เลิกคุยกันเสียที” หนุ่มสาวสะดุ้งจ้องมองตากันในความมืด ทำได้แค่เพียงนอนจับมือกันไว้แค่นั้น เข้าหอคืนแรกก็โดนพ่อตากันท่าซะแล้ว แล้วคืนพรุ่งนี้ และคืนต่อๆไปล่ะ ถ้าพ่อตาเข้ามานอนด้วยทุกคืน เขาจะทำเช่นไร บดินทร์อยากจะกรีดร้อง มันแน่นอกมากปังๆๆ เสียงทุบประตูยามดึกสงัดดังจนคนทั้งสามสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง บดินทร์ลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที“พี่กำนัน! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” กำนันเกื้อเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก็นึกว่าเมียหลับแล้ว เลยแอบย่องออกมาเป็นไม้กันหมาให้ลูกสาว คนเกรงใจเมียหน้าซีดเผือด“พี่กำนันจะออกมาดีๆ หรือออกมาด้วยน้ำตา” เสียงตวาดแหวถามเข้ามาทำเอากำนันเกื้อสะดุ้งโหยง“พ่อดิน พ่อลูกเขยคนดี พ่อยอดขมองอิ่มของพ่อ ช่วยบอกแม่ติ๋มให้ทีว่าพ่อหลับแล้ว แล้วก็อย่าเปิดประตูนะ” บดินทร์สบสายตาเว้าวอนของพ่อตา ชายหนุ่มมีสีหน้าเห็นใจ“ได้ครับพ่อตา” ร่างสูงเดินไปใกล้ประตูแล้วเอ่ยเสียงดังให้ได้ยินทั้งคนข้างนอกข้างใน“แม่ติ๋มครับ พ่อตาให้บอกว่าพ่อตาหลับแล้วครับ” กำนันเกื้อถึงกับสะดุ้ง มองหน้าลูกเขยด้วยความแค้นใจ
“แดนมาก็ดีเหมือนกัน พี่ขวัญฝากให้อยู่เป็นเพื่อนพี่ข้าวแป๊บหนึ่งนะคะ พี่ขวัญจะพาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถ นี่เริ่มงอแงแล้ว สงสัยจะหิวนม” เด็กหนุ่มยิ้มบาง“ครับ”“พี่ข้าวอยู่กับพี่แดนก่อนนะลูก คุณแม่พาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถแป๊บเดียวนะคะ”“ค่า” เด็กหญิงตอบรับเสียงสดใสเมื่ออยู่ลำพังสองคน บดินทร์ขยับเข้าใกล้ไกวชิงช้าเบาๆ เด็กหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มของน้องน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน“พี่แดนค้า ไกวชิงช้าแรงๆหน่อยสิค้า พี่ข้าวอยากไกวแรงๆ”“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวตก” เด็กหญิงเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มงอง้ำเมื่อถูกขัดใจ“พี่แดนใจร้าย พี่ข้าวอยากไกวชิงช้าแรงๆ ฮึกๆ” เมื่อเห็นน้องน้อยร้องไห้บุรินทร์จึงใจอ่อน“เอาอย่างนี้นะครับ พี่แดนจะนั่งด้วย แล้วให้พี่ข้าวนั่งตัก เราถึงจะไกวชิงช้าแรงๆได้” เด็กหนุ่มแหงนมองเชือก ดูความแข็งแรงของชิงช้าและกิ่งไม้ใหญ่ ประเมินแล้วว่ามันแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักเขาและเด็กหญิงได้แน่นอน หทัยรักยิ้มกว้างทั้งน้ำตา“พร้อมมั้ยครับเจ้าหญิงน้อย” เมื่อคนที่มีฐานะเป็นพี่นั่งก่อนแล้วให้น้องน้อย
“แก้วจ๋า แก้วของพี่สวยเหลือเกิน” ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับความสวยงามที่เขาพร่ำเพ้อ แก้วใจสะท้านไปทั้งร่าง สองมือจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่น ริมฝีปากสีสวยเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เธอไม่กล้าส่งเสียงน่าอายออกไปทั้งที่หวามไหวซ่านกระสันแทบคลั่ง “แก้วจ๋า หวานหอมที่สุด” บดินทร์ครางแนบชิดเนื้อนาง จูบซ้ำๆ ดูดดึงและซอกซอนรีดเค้นเอาความหวานจากร่างเล็ก แก้วใจเกินจะเก็บกักความวาบหวามไว้ในอกได้ หญิงสาวครวญครางแว่วหวาน กระถดสะโพกหนีความซ่านหวิวที่ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ หากแต่ถูกดึงรั้งตรึงเอาไว้มั่น เธอจึงทำให้แค่เพียงส่ายสะบัดหน้าเร็วๆและกรีดร้องออกมาในที่สุด “อ๊า! พี่ดิน! กรี๊ดดด!” หน้าท้องแบนราบเกร็ง ร่างกายเบาหวิวปลิดปลิวไปกับสายลมรัก บดินทร์เคลื่อนกายขึ้นมาคร่อมร่างบางไว้ พรมจูบไปบนใบหน้าชื้นเหงื่อจนทั่ว ไปหยุดอยู่ตรงปากนุ่มๆ คลอเคลียดูดดึงเบาๆ ก่อนจะปรนเปรอเจ้าสาวของตนด้วยจูบ แสนหวานปานจะกลืนกินเธอลงท้องเสียให้ได้ “พี่รักแก้ว” ชายหนุ่มกระซิบคำบอกรักแนบอยู่กับกลีบปากบาง แก้วใจลืมตาขึ้นมาสบตาเข
หลังจากเสร็จพิธีบายศรีสู่ขวัญและผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้ว ก็เป็นการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ในห้องกันลำพังเพื่อให้บ่าวสาวได้พักผ่อน ก่อนจะออกมาต้อนรับแขกอีกครั้งในงานเลี้ยงตอนเย็นแก้วใจนอนนิ่งอยู่บนเตียงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบแดงรูปหัวใจสองดวง โดยมีเจ้าบ่าวนอนกอดตัวเธออยู่ ประตูห้องถูกปิดลงเมื่อสักครู่ แว่วเสียงพ่อเจ้าบ่าวกับพ่อเจ้าสาวถกเถียงกันจะไม่ยอมให้ล็อกประตู หากแต่สุดท้ายแล้วแม่ ติ๋มก็จัดการล็อกประตูจากด้านนอกจนได้“พะ...พี่ดิน” หญิงสาวขยับกาย พยายามขยับออกห่างจากร่างใหญ่ที่กอดเธอไว้เสียแน่น แต่เขาไม่ยอมปล่อย“หืม...ว่าไงครับ” ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับจูบลงบนหน้าผากมน แก้วใจเงยหน้าขึ้นสานสบกับดวงตาวาววับคู่คมแล้วสะเทิ้นอาย จนต้องก้มหน้าหลบเสียเอง“เขาออกกันไปหมดแล้ว ลุกขึ้นได้แล้วค่ะ”“อยากนอนกอดแก้วแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ขอกอดต่ออีกนิดนะ” บดินทร์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกนิด“ฮื่อ...แก้วเมื่อย ลุกเถอะค่ะ” ร่างใหญ่ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี คนที่ตื่นเต้นกับสัมผัสแนบชิดจนแทบจะเป็นลมรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งตาม วงแขนแข็งแรงรีบกอดเกี
“อือ...” การขานรับในลำคอแบบไม่ค่อยเต็มใจของสามีทำให้แม่ติ๋มส่ายหน้า คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสักหน่อย เดี๋ยวคงทำใจยอมรับลูกเขยได้เองเหมันต์และเพียงขวัญมาร่วมงานแต่เช้า โดยมีลูกๆทั้งสามติดตามมาด้วย หทัยรักหรือพี่ข้าวของน้องๆลูกสาวคนโตอายุสี่ขวบ หทัยกานต์หรือเข้มลูกชายคนกลางอายุสองขวบ และหทัยชนกหรือน้องขิงลูกสาวคนเล็กอายุหนึ่งขวบ คุณแม่ยังสาวจัดชุดครอบครัวใส่โทนสีเดียวกันคือสีฟ้า ลูกสาวทั้งสองอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าลายดอกไม้สีขาวเล็กๆ ลูกชายและสามีสวมเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์และรองเท้าหนังสีน้ำตาล ส่วนเธอสวมชุดเดรสสีฟ้ายาวคลุมเข่าสวมรองเท้าสานสีขาวเหมือนกับลูกสาวทั้งสองนิธิและเพียงฟ้าพานิดาหรือหนูดาลูกสาวคนโตวัยสี่ขวบกว่า และนทีหรือนทวัยหนึ่งขวบมาร่วมงานด้วย เพียงฟ้าได้กล่าวคำขอโทษกับแก้วใจ เรื่องที่เธอเคยทำร้ายหญิงสาวเมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งสองปรับความเข้าใจกันและตกลงนับถือกันเป็นพี่น้องพิธีการเริ่มขึ้นหลังจากวางสินสอดซึ่งฝ่ายเจ้าบ่าวจัดมาสมกับฐานะเจ้าสาวแล้ว ขณะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน เหมันต์และเพียงขวัญจึงพาลูกๆเลี่ยงไปนั่งเล่น
“ตื่นกันหรือยังคะ” เพียงขวัญส่งเสียงดังมาก่อน“ตื่นแล้วครับ” นิธิตอบกลับไป ยกมุ้งครอบขึ้น พาตัวเองลงมายืนอยู่ข้างศาลาเรือนไทย หนุ่มใหญ่จัดการสวมชุดให้ตัวเองและภรรยาหลังจากที่บทเพลงรักสุดท้ายจบลงอย่างเร่าร้อน จึงไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาเห็นภาพที่ไม่สมควรเห็น“ป๊ะป๊า” ลูกสาวส่งเสียงเรียกอย่างดีใจ เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นพ่อ นิธิยื่นมือออกไปรับลูกมาไว้ในอ้อมกอด“ว่าไงคะ หนูดาดื้อกับป้าขวัญหรือเปล่าลูก” คุณพ่อหอมแก้มลูกสาวอย่างรักใคร่“หนูดาเพิ่งตื่นค่ะ ตื่นมาไม่เจอคุณพ่อคุณแม่ แกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ขวัญเลยอุ้มมานี่ล่ะค่ะ เอ่อ...ฟ้ายังไม่ตื่นเหรอคะ” เพียงขวัญชะเง้อคอมองเข้าไปในมุ้งครอบ เห็นแต่ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างน้องสาวอยู่“ยังครับ” นิธิตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย“เอ่อ...เดี๋ยวขวัญไปเตรียมอาหารเช้ารอนะคะ”“ขอบคุณครับ” หนุ่มใหญ่กล่าวคำขอบคุณแล้วพาลูกน้อยมุดเข้าไปในมุ้งครอบหลังใหญ่ เพียงขวัญมองแล้วอมยิ้ม ก่อนจะเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้านแรงดูดจ๊วบๆที่ยอดอกทำให้คุณแม่ที่หลับใหลอยู่สะดุ้งตื่น แล้วหลุบตามองหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจเล็กน
“ก็ฟ้าหมายถึงเมื่อก่อนนี้ ไม่ได้หมายถึงตอนนี้” แก้ตัวอุบอิบ“งั้นก็ไม่ต้องไปง้อ เพราะฟ้าไม่ผิด คุณนิธิเข้าใจผิดไปเอง” เพียงขวัญสรุปแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ ก่อนเอนกายลงนอน หันหลังให้น้องสาว“อ้าว!” เพียงฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งคิดชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจนำผ้าห่มผืนหนามากั้นฝั่งตัวเองไว้ แล้วก้าวลงจากเตียง เปิดประตูห้องออกไป เพียงขวัญหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นเปิดไฟมองดูความเรียบร้อยบนเตียงกว้างอีกครั้ง“นอนกับป้านะคะหนูดา ให้คุณพ่อคุณแม่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สักคืนนะคะ อุ๊ย!” วงแขนแกร่งที่กอดรัดเอาร่างตัวเองลอยขึ้นจากเตียงทำให้เพียงขวัญอุทานตกใจ“คุณเหม”“ฟ้าออกไปหาคุณนิธิแล้ว เราลงไปนอนพื้นกันเถอะ ปล่อยให้เด็กๆนอนบนเตียง”“นอนด้วยก็ได้ แต่ไม่ทำอะไรนะคะ เกรงใจลูกกับหลาน” เพียงขวัญต่อรอง ขณะยืนมองสามีปูที่นอนลงข้างเตียง“อือ...” เหมันต์ส่งเสียงในลำคอ เมื่อปูที่นอนเสร็จก็หันมารวบร่างภรรยาเอนกายลงนอนพร้อมกัน“คุณเหม...” เพียงขวัญปรามเสียงเบา เพราะกลัวลูกกับหลานจะตื่นขึ้นมา“ครับ”“ไหนบอกไม่ทำอะไรไงคะ”“ใครบอก”
“เดี๋ยวเรียกป้าโอ๋มาอยู่เป็นเพื่อนหนูดาก็ได้นะคะ” เพียงฟ้าหันมายิ้มให้สามี“ไม่เป็นไร ลุงนิจะอยู่กับลูกเองนะคะ” หญิงสาวหน้างอง้ำ สะบัดหน้าหนีงอนๆ“ลูกหลับอยู่ เรารึก็อุตส่าห์จะอาบน้ำให้ แต่ถ้าลุงนิอยากอยู่กับลูกก็ตามใจนะคะ” พูดจบก็เดินสะบัดก้นออกจากห้องไปทันที หนุ่มใหญ่ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ มองประตูห้องปิดลงงงๆ หลังจากนั้นไม่ถึงห้าวินาที เพียงฟ้าที่เดินขึ้นบนบ้านไปก่อนก็หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงสามีตะโกนดังลั่นบ้าน“ป้าโอ๋! ป้าโอ๋ครับ ป้าโอ๋อยู่หนายยย”เช้าวันต่อมานิธิไปส่งลูกเมียไว้ที่บ้านสวนของเหมันต์ แล้วรีบกลับเข้าเมืองไปทำงานทันที เพียงฟ้ากับลูกน้อยจึงอยู่กับเพียงขวัญ เหมันต์และเด็กหญิงหทัยรัก“อ้อนให้คุณนิธิพามาส่งจนได้นะเราน่ะ” เพียงขวัญเอ่ยกับน้องสาวยิ้มๆ ขณะที่นั่งป้อนข้าวลูกสาวอยู่ที่ศาลาเรือนไทยหลังบ้าน“ก็ฟ้าอยากคุยกับขวัญ อยากพาหนูดามาเล่นกับน้องข้าว” น้องสาวอ้อนพี่สาวยิ้มๆ“น้องข้าวคิดถึงน้าฟ้ากับหนูดามั้ยคะ” หทัยรักฉีกยิ้มกว้าง เด็กหญิงแย่งช้อนในมือมารดามาถือไว้ แล้วยื่นไปใกล้ปากเด็กหญิงอีกค