ข้อดีของการแอบรักคือสามารถมีความสุขได้เฉพาะในพื้นที่ของเรา ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะแอบรักคนคนหนึ่งได้นานขนาดนี้ล่ะคะ
ในตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร รู้แค่ว่าฉันชอบเขา! ใช่แหละฉันชอบเขา แค่ได้เห็นหน้า แค่ได้แอบมองก็มีความสุขมากแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ยิ้มได้โดยไม่ต้องคาดหวังมากกว่า “อย่างมึงก็ได้แค่มองแหละ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว! เอาเวลาไปลดน้ำหนักเหอะ ฮ่า ๆ” กลายเป็นประโยคเจ็บ ๆ ที่ฝังใจฉันมาตลอด อ้วนแล้วทำไม? อ้วนแล้วสวยไม่ได้เหรอ? เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวฉันมาตลอด และคนที่คอยตอกย้ำประโยคพวกนี้ก็คือเพื่อนสนิทของฉันเอง ไม่รู้ว่าพวกมันหวังดีหรือกำลังหลอกด่ากันแน่ ฉันชื่อน้ำตาลค่ะ กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง เป็นน้องเล็กของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ขอเท้าความก่อนว่าเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ในกลุ่มเดียวกันมีสิบคนค่ะ เพื่อนต่างห้องก็มีบ้าง ฉันไม่ใช่คนสวยเลย อ้วนแถมยังผิวคล้ำอีกด้วย พูดง่าย ๆ ไม่มีจุดไหนน่าสนใจนั่นแหละ ฉันแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอยู่มอสี่ห้องสองค่ะ เรียนสายวิทย์คณิต เขาชื่อพี่ทิวเป็นคนนิ่ง ๆ และบางครั้งเหมือนเขาจะไม่สนใจคนรอบข้างเลยด้วยซ้ำ “ตาล คาบสุดท้ายเราเรียนอะไรวะ” “...” “ไอ้ตาล!! ไอ้ห่านี่คราวหน้ากูจะไม่พามึงเดินผ่านสนามบอลละ” ไอ้จูนมันว่าอย่างเหนื่อยหน่าย ในกลุ่มสนิทกับมันสุดแล้วค่ะ อ๋อ! ลืมบอกว่ามันเป็นทอมนะ “โทษที กูมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย” “แก้ตัวชัด ๆ” “แสนรู้นะมึงอะ” “สัส! กูคนไม่ใช่หมา” “อ้าวเหรอ ฮ่า ๆ” กวนประสาทมันไปอย่างนั้นแหละค่ะ วันทั้งวันก็เข้าเรียนตามปกติ เข้าเรียนแปดโมงเลิกบ่ายสามโมงครึ่ง ยกเว้นวันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ต้องเข้าประชุมในชั่วโมงสุดท้ายก็จะเลิกช้าหน่อย ในแต่ละวันฉันจะแอบมองพี่ทิวเสมอเรียกได้ว่ามองทุกครั้งที่มีโอกาสเลยถึงจะถูก ไม่เคยคาดหวังเลยนะคะว่าจะต้องเป็นแฟนกับเขาหรือว่าเขาจะต้องแสดงความรู้สึกกลับมา ฉันก็แค่มีความสุขในพื้นที่ของตัวเองก็เท่านั้น เคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ต้องไปตามหาหรอกความรัก ปล่อยให้ความรักออกตามหาเราเอง ... เพิ่งจะเข้าใจความหมายของมันก็ตอนนี้แหละ แอบชอบก็คือแอบชอบ วันหนึ่งเราต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปเติบโตอยู่ดี แต่ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าการเจอกันอีกครั้งของเราสองคนจะทำให้ชีวิตฉันไขว้เขวมากขนาดนี้ ... “ยอมเปลี่ยนตัวเองเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว มันต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” คำถามแกมด่าเอ่ยขึ้น แต่คนถูกตั้งคำถามอย่างฉันนี่หน้าชาไปเลย ฉันก็แค่อยากให้ตัวเองดูดีขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น “ใคร ๆ เขาก็อยากให้ตัวเองดูดีขึ้นกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ” “แต่มันใช้ไม่ได้กับเธอ” “พี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้พูดจาหยาบคายแบบนี้ใส่คนอื่นน่ะ ถึงหนูจะเคยชอบพี่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมายืนให้พี่ด่าหรือพูดพูดจาถากถางยังไงก็ได้นะคะ” “...” ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเขา ฉันไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ใจเย็น มึงไม่เคยได้ยินเหรอว่าให้เก็บคำดูถูกไว้เป็นแรงผลักดันน่ะ” “ผลักดันเหี้ยไรมึง กูสวนกลับหมดแหละ” “นั่นพี่ทิวเชียวนะ” “เออ!”“ขอโทษ”
“ขอโทษทำไมเราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับหนูแล้วหนูก็ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ ไม่ต้องห่วงว่าหนูจะทำอะไรให้พี่รู้สึกอับอายแบบนี้อีกเพราะหนูจะไม่ยุ่งกับพี่อีกแล้ว” ฉันพูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง การไม่ต้องพูดคุยกัน ไม่ต้องทักทายกันอีกมันน่าจะดีที่สุดเพราะมันปลอดภัยต่อความรู้สึกของฉันมาก “ไม่จำเป็นต้องอายนะ พี่ไม่ได้กำลังคุยกับใครและไม่มีแฟน” มันน่าแปลกที่ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกดีกับประโยคนี้เลยสักนิด ทั้งที่ความจริงฉันต้องดีใจสิที่เขายังไม่มีแฟน “แล้วมาบอกทำไม? ถ้าจะจีบก็รอหนูสวยก่อนแล้วกันจะได้ไม่ต้องมีใครมาว่าอีก!”“มึงชอบแบบนี้เหรอ?”
“...” “ถ้าผอมนะน่ารักมากเลย” “ถ้าไม่ผอมคือไม่สวยเหรอ? ชอบก็คือชอบไม่ผอมก็ยังชอบอยู่ดีนั่นแหละ” “คำพูดคำจาพระเอกฉิบหาย! เมื่อเช้ากูยังเห็นเหล่สาวอยู่เลย” “มึงชี้ให้ดูกูก็ดูแล้วผิดตรงไหน?” “มึงมันเป็นแบบนี้ไงถึงได้มีคนเข้าหาเยอะ” “...” “ไม่เคยได้ยินเหรอวะ เสน่ห์ของผู้ชายบางคนก็คือความมั่นคงในรักเดียว”“ใครใช้ให้ผอม?”
“แค่ผอมลงไม่ได้แปลว่าผอมแล้ว” “เถียงเก่งตั้งแต่เมื่อไหร่?” “ตั้งนานแล้วค่ะ!”.
.
.
***ก่อนเข้าเนื้อหาโปรดอ่านคำเตือนและคำชี้แจงอย่างละเอียด***
นิยายคือเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการ เนื้อหาบางส่วนอาจเกินจริงเพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการอ่านและอาจมีการเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสมจริงมากยิ่งขึ้น เช่น สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน ทุกข์สุขของตัวละครล้วนเป็นไปตามบริบทของเนื้อเรื่อง บางช่วงบางตอนอาจมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการตอบสนองทางอารมณ์ที่รุนแรง รวมไปถึงเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ แต่ทั้งนี้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความสมเหตุสมผล โดยยึดบุคลิกและนิสัยของตัวละครเป็นหลัก ตัวละครจะมีเซ็กซ์เพื่อความสัมพันธ์หรือเพื่อความบันเทิงของตัวเองก็ได้ โดยที่ยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย สิ่งผิดกฎหมายและเหตุการณ์รุนแรงในเนื้อเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งและไม่มีเจตนาชวนให้กระทำความผิดหรือใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ห้ามลอกเลียนแบบพฤติกรรมตัวละครโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เสพผลงานอย่างมีสติและคอมเมนต์ด้วยคำสุภาพ
• มีคำหยาบและถ้อยคำที่ไม่สุภาพ • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ • มีการบรรยายเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงทางด้านร่างกาย วาจา และความรู้สึก • อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น • เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ๑๘ปีขึ้นไปลิขสิทธิ์เป็นของนามปากกาขนมไทย
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไขเนื้อหาเพื่อนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ทุกตัวอักษรที่เขียนขึ้นมาล้วนเกิดจากความตั้งใจ ไม่ว่าในชีวิตจริงคุณจะเจอเรื่องทุกข์ใจอะไรอยู่ เราหวังว่าเรื่องราวที่เราเขียนจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณยิ้มได้ สุดท้ายนี้ขอให้มีความสุขกับโลกในจินตนาการนะคะ ขอบคุณค่ะ“พี่คนนั้นน่ารักว่ะ”“ดูสารรูปตัวเองก่อนมึงค่อยไปชอบเขา” “กูแค่บอกว่าน่ารักเอง” “ฮ่า ๆ อีควาย! ไม่ดูตัวเองเลย อย่าว่าแต่ชอบอย่างมึงจะมีคนมองหรือเปล่าก็ไม่รู้” แน่นอนว่าประโยคชั่วร้ายนี้ถูกพ่นออกมาจากปากของเพื่อนในกลุ่ม พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ระเบิดดังลั่นไปทั่วโรงอาหาร แต่ว่าฉันไม่โกรธหรอกนะคะที่พวกมันพูดก็เรื่องจริงเร็ว ๆ นี้จะมีการจัดกีฬาสีของโรงเรียนค่ะ และตอนนี้ก็ถึงเวลาจับฉลากคัดเลือกสีแล้วด้วย“เอ็งอยู่สีอะไรวะ” ไอ้หมูเอ่ยถาม“ข้า จูน อีต้นและก็กิ๊บอยู่สีส้ม”“จริงดิ กรี๊ด...!! ยินดีด้วยจ้ะเพื่อนมึงได้อยู่สีเดียวกับพี่ทิวค่ะ” หมูมันว่าพลางทำท่าทีดี๊ด๊าใส่“เอ็งรู้ได้ไงว่าพี่เขาอยู่สีส้ม”“ชอบใครสักคนแค่นี้คงไม่ใช่เรื่องยาก”“...” เหรอวะ? ได้แต่คิดในใจก่อนจะจับสังเกตอะไรบางอย่าง“น้ำตาล เอ็งอย่ามองข้าแบบนี้ดิ” มันว่ายิ้ม ๆ“มีอะไรอยากบอกไหม?”“ข้าแอบปลื้มพี่ริวอยู่เขาน่ารักมากเลย” พี่ริวเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับพี่ทิวค่ะ “เอ็งอย่าบอกพวกมันนะ ข้าไม่อยากได้ยินอะไรแย่ ๆ”“เออ เอ็งก็เก็บอาการหน่อยไม่ใช่มายืนบิดเป็นเลขแปดแบบนี้”“คิกคิก ก็เขาน่ารัก!”“หมูแต่พี่ริวมีแฟนแล้วไม่ใช่เห
หลายวันผ่านไปฉันซักเสื้อให้พี่ทิวแล้วนะคะ ตั้งใจไว้ว่าจะเอามาคืนแต่ยังหาจังหวะไม่ได้สักที จนกระทั่งถึงวันกีฬาสีไอ้จูนกับป๊อปมันแข่งวิ่งค่ะ ฉันมาเชียร์พวกมัน แน่นอนว่าชัยชนะเป็นของพวกเรา“สุดยอด! กูไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกมึงจะวิ่งเร็วขนาดนี้” เอ่ยแซวมันสองคนค่ะ“กูวิ่งหนีแม่บ่อย” ไอ้จูนเอ่ย“หนีทำไมวะ”“กวนตีนเขาไง แต่เขาไม่ได้วิ่งตามกูนะ ใช้รองเท้าขว้างมาแทน”“ฮ่า ๆ สมควรแล้ว”“แล้วเอ็งกับไอ้หมูล่ะได้ลงแข่งวอลเล่ย์บอลหรือเปล่า” ป๊อบถามขึ้นมาบ้าง“ข้าลง ไอ้หมูเป็นตัวสำรอง”“เออ แข่งกี่โมงวะ”“สิบเอ็ดโมงมั้ง”รอบนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ เอาจริง ๆ มันโคตรกดดันเลย โชคดีที่ถูกฝึกมาตั้งแต่ประถมไม่ได้จะอวดว่าเก่งนะ แต่ก็พอตัวแหละ ฮ่า ๆ “สู้ ๆ เว้ย แพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่แพ้เลยจะดีมาก” ไอ้หมูมันว่าขึ้น แต่ฟังแล้วรู้สึกกดดันยังไงไม่รู้“นี่ให้กำลังใจอยู่ใช่ไหม”“ฮ่า ๆ เออ”การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว ฉันไม่ได้โฟกัสอะไรเลยนอกจากตัวเองในสนามเท่านั้น ถ้าไม่มีสมาธิขาดไหวพริบทุกอย่างคือจบค่ะ แมตช์แรกชนะ แมตช์ที่สองแพ้ เท่ากับเสมอกันหนึ่งต่อหนึ่งจึงทำให้แมตช์ที่สามกลายเป็นแมตช์ก
และแล้วฤดูกาลสอบปลายภาคก็มาถึง เป็นการสอบแบบวันเว้นวัน“อ่านหนังสือมาบ้างปะ” ไอ้จูนเอ่ยถาม“จำมาผ่าน ๆ”“ดูมึงชิวเนอะ”“ตกก็แก้ มันจะยากอะไร” ฉันตอบกลับอย่างไม่จริงจังมากนัก“ยากตรงที่แม่ด่าว่ากูโง่นี่แหละ”“ฮ่า ๆ ดีนะที่แม่กูไม่เคยคาดหวัง” เช้าสอบสามวิชาค่ะบ่ายอีกสองวิชา หลังจากสอบเสร็จช่วงเช้าก็มานั่งเล่นกันที่หลังโรงเรียน มันเป็นทางเดินค่ะด้านข้างเป็นสนามฟุตบอล ถามว่าที่เงียบ ๆ แบบนี้มาหาอ่านหนังสือกันเหรอไม่ใช่เลย มานั่งคุยโทรศัพท์กันทั้งนั้น“น้ำตาลกูถามอะไรหน่อยดิ” คนนี้ชื่อน้องค่ะ บ้านอยู่ใกล้กัน“ว่า?”“กีฬาสีวันสุดท้าย พี่ทิวไปส่งมึงเหรอ”“กูกลับวินบ้างเหอะ มึงรู้มาจากไหน”“...”“รู้ไม่จริงแล้วเสือกอยากจะพูดต่อ” “อ้าว แล้วมึงจะมาด่ากูทำไม กูแค่ถาม”“กูไม่ได้ด่ามึงกูด่าคนที่มันพูดต่อ ก็ถามอยู่ว่ามึงรู้มาจากใครเพราะถ้ามึงเห็นกับตามึงจะไม่ถามกูแบบนี้”“จะเถียงกันทำไม” ไอ้ป๊อปแย้งขึ้นก่อนจะมองเราสองคนสลับกัน “มึงก็บอกมันไปดิอีน้องว่ามึงรู้มาจากไหน” เป็นคำถามที่ฉันก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องจริงและไม่ใกล้เคียงความเป็นไปได้เลยสักนิด“กูรู้มาจากไหนไม่สำคัญหรอก มันไม่ใช
ชีวิตมอสองเป็นอะไรที่ล่องลอยมากจริง ๆ สำหรับฉันมันเหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ แค่นั้นเองและบางวิชาก็ไม่รู้ว่าเรียนจบไปแล้วเอาไปทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น รำกระบี่กระบอง ... “ทำหน้าดี ๆ หน่อย กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอว่ามึงไม่ชอบเรียนวิชานี้”“พูดอย่างกับมึงชอบตายแหละ”“จำใจเรียนอะ เคยได้ยินไหม”“เฮ้อ...”“เขาเรียนให้มีความรู้ มึงอย่าสงสัยเยอะสิ” ฉันไม่ชอบเลยค่ะ อาจารย์ก็เอาแต่พูดว่าถ้าเธอรำเป็นนะไปสมัครงานที่ไหนเขาก็รับเลยทันที มันใช่เหรอคะ? มันเป็นศิลปะป้องกันตัวอย่างหนึ่งนะ แต่เหมือนอาจารย์ท่านนี้จะอธิบายแบบขอไปทีแล้วมันทำให้น่าเบื่อ กลายเป็นวิชาที่ไม่อยากเข้าเรียน“ท่องไว้ว่าเขาให้คะแนนเยอะ”“เฮ้อ...” ถอนหายใจวนไปค่ะไม่เข้าใจตรงไหนให้ถาม พอยกมือถามกลับถูกย้อนมาว่าตอนสอนทำไมไม่ฟัง อ้าว! กว่าจะหมดชั่วโมงคือนานมากไม่ชอบเลยเวลาที่ไม่ได้คำอธิบายอะไร แต่ช่างมันเถอะ!“คาบต่อไปเรียนอะไร”“คอมสองชั่วโมง บ่ายดนตรี”“ฝากเปิดคอมด้วยกูไปห้องน้ำก่อน” “เออ” คล้อยหลังไอ้จูนฉันก็รีบมาเข้าห้องน้ำทันทีแต่ว่าห้องคอมมันอยู่ตึกสามค่ะ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือห้องน้ำหลังตึกนั่นเองพอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมาล้างมือด
หลายเดือนผ่านไปตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นฉันเลี่ยงที่จะเจอหน้าพี่ทิวมาโดยตลอด บางครั้งก็งงกับตัวเองเหมือนกันนะเป็นอะไรกับเขาก่อน? เป็นแฟนก็ไม่ใช่ คนคุยก็ไม่ใช่ เฮ้อ...“มึงกินยาลดน้ำหนักเหรอ” คำถามของพลอยทำเอาขนมที่กำลังจะเข้าปากต้องหยุดลง“กู?”“เออ มึงผอมแล้วอะ สมส่วนด้วย”“ไม่นะ แค่เลิกกินน้ำอัดลมแล้วก็ลดขนมขบเคี้ยวเท่านั้นเอง”“เรียกอีอ้วนไม่ได้แล้วนะ ใครเรียกมึงอีอ้วนบอกกูมาได้เลยกูจะตบเรียงตัวให้” ไอ้จูนมันว่าขึ้น “กูจะฝากชีวิตไว้กับมึงได้ใช่ไหม”“แน่นอน”วันนี้ไม่ได้เรียนช่วงเช้าค่ะเพราะมีการตรวจสุขภาพประจำปีและสิ่งที่ทำให้น่าตกใจก็คือน้ำหนักของฉันนั่นเอง จากหกสิบตอนนี้เหลือห้าสิบสองดีใจเป็นบ้าเลยค่ะ ถ้าเทียบกับส่วนสูงที่ไม่ถึงร้อยหกสิบของฉันก็ยังดูอวบ ๆ อยู่ดีนั่นแหละแต่ช่างเถอะ! เอาเป็นว่าผอมลงก็แล้วกัน“ตาล มึงเอ็กซเรย์ยัง” ไอ้หมูเอ่ยถาม หอบแฮกมาเลยมันเพิ่งมา“กูเสร็จหมดละ มึงไปไหนมาเพิ่งจะเสด็จ”“ตื่นสาย”“เออ พวกกูรอที่โรงอาหารนะ”“โอเค”หลังจากนั้นฉันก็ลงมารอพวกมันที่โรงอาหาร มีฉัน จูน แล้วก็พลอย ที่เหลือยังไม่เสร็จกัน“น้ำตาล เอ็งลดน้ำหนักเนี่ยเพื่อตัวเองหรือเพื่อใคร”
วันแรกของการปิดเทอมใหญ่ฉันตั้งปณิธานกับตัวเองไว้เลยว่าจะต้องทำให้ได้ นั่งมองคนในกระจกพลางสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ไหนจะรอยสิวอีก ยอมอดค่าขนมเพื่อเก็บเงินไปซื้อครีมบำรุงผิว อันไหนที่เขาว่าดีอีนี่ก็กวาดมาหมดค่ะ ที่เห็นผลชัดเลยคือรอยสิวรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่จางลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหนึ่งเดือนแรก เรื่องการลดน้ำหนักก็เหมือนกันกว่าจะหักห้ามใจเลิกกินขนมได้แทบลงแดงเลยทีเดียว จากที่ไม่ชอบกินผักก็ต้องฝืนใจกินโดยเฉพาะมื้อเย็น ไม่กินเลยคืออยู่ไม่ได้ กินน้อยก็ไม่อยู่ท้องอีก ความจริงถ้าน้ำหนักไม่ลดฉันก็ไม่ซีเรียสนะคะ แต่อย่าขึ้นอย่างเดียวก็พอ อ๋อ! แล้วฉันก็เล่นฮูล่าฮูปวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงด้วยนะ ทำแบบนี้ทุกวันจนกระทั่งถึงวันเปิดเทอม...มัธยมศึกษาปีที่สาม“เชี่ย! กูไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ”“สวยขึ้นเยอะเลย”“มึงเป็นใคร! ออกจากร่างเพื่อนกูไปเดี๋ยวนี้นะ” “ยัง... ยังไม่เลิกเล่นกันอีก” ฉันว่าพลางมองหน้าพวกมันสามคนอย่างเอือมระอา“ตาลมึงสวยขึ้นจริง ๆ นะพูดแบบไม่อวยเลย ดูดีขึ้นมาก” ไอ้จูนค่ะ ไม่พูดเปล่ามันยังจับฉันหมุนไปมาอีกด้วย“จริง! คนละคนกันเลย”“ว้าวมากแม่!” ไอ้หมูกับไอ้พลอ
ในทุก ๆ วันก็เหมือนเดิมค่ะ มองบ้างเวลาเดินผ่าน ฉันไม่มองเขา เขาก็มองฉันจนคนอื่นคิดว่าเรากำลังศึกษาดูใจกันอยู่แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ไม่ใช่คนคุยหรืออะไรทั้งนั้น พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือไม่ได้เป็นอะไรกันนั่นแหละ“งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์กูไม่อยากไปเลย”“ไม่ไปก็ได้ แต่ไม่ได้คะแนน แต่อาจารย์ไม่ได้บังคับนะ”“ใช่ไหม? อาจารย์ไม่บังคับแต่ไม่ให้คะแนน”“เออ”... : ฮ่า ๆอีกสามวันต้องไปดูการทดลองที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ค่ะ แบ่งไปสามวัน ทีละสองระดับฉัน ฉันไปวันที่สามพร้อมพี่มอหก ที่บอกว่าไม่อยากไปคือมันน่าเบื่อไง แต่ดีตรงที่เจอเพื่อนโรงเรียนอื่นด้วยนี่แหละ“ขนมที่มึงคุ้นเคย” ไอ้จูนเอ่ยพร้อมกับคุกกี้ที่วางลงตรงหน้าฉัน“ใครให้เหรอจูน แบ่งกูบ้างสิ” ไอ้น้องแทรกขึ้นมาบ้าง“พี่ทิวฝากมาให้ไอ้ตาล”แอม : เอ็งกับพี่ทิวนี่ยังไง ข้าไม่อยากยุ่งหรอกแต่ข้าอยากรู้พลอย : เออ กูเห็นให้ขนมนี่ตั้งแต่มอหนึ่งละ สรุปยังไง“ไม่ยังไง ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย”ป๊อป : อะไรวะ! สถานะไม่ชัดเจนซะงั้น“กูแค่แอบปลื้มเขาเฉย ๆ ไม่ได้จะอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” ฉันพูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง ยอมรับค่ะว่ามีบ้างที่แอบหวงเวลาที่คนอื่นเข้าใ
หลังจากวันนั้นเวลาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ฉันกับพี่ทิวแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำเพราะเขาติวหนังสือหนักมาก เรียนวิชาเพิ่มเติมเยอะแยะไปหมด เลิกเรียนไม่ตรงกัน แต่ก็ยังพอได้แอบมองตอนเข้าแถวอยู่บ้างแหละ“แป๊บ ๆ ก็จะจบแล้วเศร้าจัง”“บ่นไรหมู”“เอ็งก็เป็นแบบนี้แหละน้ำตาล ทำเป็นเล่นตลอดเลย”“แล้วจะเครียดให้ได้อะไร พูดอย่างกับจบไปแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ”“เวลาเดินโคตรเร็วเลยเนอะ” เวลาเดินเร็วอย่างมันว่านั่นแหละค่ะ สามปีเหมือนนานแต่พอเอาเข้าจริงมันแค่แป๊บเดียวเอง ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ“บ่ายนี้แนะแนวว่ะ รวมกับพี่มอหก” “ไม่ได้เรียนหรอกเหรอ”“สลับคาบไปไว้วันพรุ่งนี้แทน”ตัดมาถึงคาบแนะแนวเลยแล้วกันนะคะ ก็มีการพูดเกี่ยวกับอาชีพ ความฝัน ความเป็นไปได้ รวมไปถึงสิ่งที่อยากเรียนก็ด้วย อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างที่จะผ่อนคลายค่ะ ไม่เข้มงวดจนบรรยากาศในห้องอึดอัด ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งฟังอยู่มีก้อนกระดาษตกลงมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าใครขว้างมาแต่ฉันก็เปิดอ่านนะ ขอเบอร์หน่อย อ่านแล้วก็ขยำมันวางไว้ที่เดิม“อะไรวะ” ไอ้จูนค่ะ“ไม่รู้ของใคร”“กูดูเอง” ไม่พูดเปล่ามันยังอ่านแล้วตอบกลับไปอี
ชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั
นานนับชั่วโมงที่ฉันจมอยู่กับความรู้สึกนี้ น้ำตาก็พาลไหลออกมาไม่หยุดเลยมันคิดไปหมดทุกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แล้วพี่ทิวนอกใจฉันจริง ๆ อย่างนั้นเหรอไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จนตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมจนบานประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับแสงไฟที่ส่องสว่าง“ทำไมไม่เปิดไฟครับ แล้วกลับมาก่อนทำไมไม่โทรบอกพี่” “หนูโทรแล้วแต่ไม่ติด”“โกหก! พี่เช็กดูแล้วไม่มีใครโทรมา”“ก็หนูโทรแล้วมันไม่ติดจริง ๆ” ฉันยังคงแถไปแบบนั้น “พี่เปลี่ยนน้ำหอมแล้วเหรอคะกลิ่นนี้หอมดีนะ” พี่ทิวหน้าเจื่อนไปเลยค่ะเมื่อฉันถามออกไปแบบนั้น “หนูอาบน้ำก่อนแล้วกัน เหนื่อย...” เหนื่อยที่ต้องรู้สึกเหนื่อยที่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ เหนื่อยที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จฉันก็เข้าห้องนอนทันที ปวดหัว ปวดตา ปวดไปหมดทุกอย่าง ไม่อยากรู้สึกไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ถ้าเขาหมดรัก หรือรักฉันน้อยลงเขาก็ควรจะบอก ไม่ควรทำกับฉันแบบนี้ ไม่ควรเลยจริง ๆ แค่เพียงไม่นานประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงที่ฉันคุ้นเคย “เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงข้างฉัน“ปวดหัวค่ะ อยากนอน”
หลายเดือนผ่านไป ตั้งแต่พี่ทิวกลับมาจากญี่ปุ่นฉันรู้สึกว่าพฤติกรรมเขาเปลี่ยนไปไม่เชิงว่าไม่เหมือนเดิมแต่เขาออกจากห้องบ่อยและกลับไม่ตรงเวลา อย่างเช่นวันนี้(พี่ยังทำธุระไม่เสร็จ หนูกลับห้องก่อนเลยนะพี่น่าจะดึก)“ค่ะ พี่ก็ขับรถดี ๆ นะ”(ครับ)ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะพูดว่าเดี๋ยวพี่ไปรับหรือไม่ก็ต้องรีบมารับฉันก่อน เขาจะละเว้นทุกอย่างเพื่อฉันเสมอแม้ว่าฉันจะดึงดันแค่ไหนพี่ทิวก็ไม่มีทางให้ฉันกลับเองเด็ดขาด แต่วันนี้...“เดี๋ยวเราไปส่งก็ได้ พี่เขาอาจจะงานเยอะอย่าคิดมาก” ภามเอ่ย“อืม”กลับถึงห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแหงนดูนาฬิกาจะสามทุ่มแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าพี่ทิวจะมา รอจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีตอนที่แผ่นหลังแตะสัมผัสกับที่นอนนุ่ม ๆ นั่นแหละ“เพิ่งมาเหรอคะ” เอ่ยถามก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาตีสองแล้วค่ะ“ครับ งานผิดพลาดนิดหน่อยพี่เลยต้องไปดูด้วยตัวเอง นอนเนอะพี่ง่วงแล้ว” พูดจบเขาก็ปิดไฟที่หัวเตียงแล้วกอดฉันอย่างเช่นทุกคืนรอจนแน่ใจว่าพี่ทิวหลับแล้วฉันจึงค่อย ๆ คลายกอดแล้วลงจากเตียงให้เบาที่สุด จากนั้นตรงไปยังตะกร้าผ้าทันทีหยิบชุดที่เขาสวมใส่ก่อนหน้านี้มาสูดดมว่ามีกลิ่นอื่นปะปนม
สามเดือนมานี้เป็นอะไรที่โหดมากสำหรับผม ไม่ว่าจะเรื่องงานรวมไปถึงหัวใจก็ด้วย ไหนจะแม่กับยายอีก มันเครียดและกังวลกดดันไปหมดทุกอย่างเพียงแต่ผมไม่แสดงออกให้ใครเห็นเท่านั้นเอง “หนูรู้สึกว่าพี่กลับมาก่อนเวลาหรือเปล่า?” น้ำเสียงใสเอ่ยพลางทำหน้าครุ่นคิด“คิดถึงเด็กอ้วนไงเลยไม่อยากอยู่นาน”“ความจริง?”“งานพี่เสร็จก่อนเลยขอกลับก่อน” น้องยังคงจ้องหน้าผมหวังจะเอาคำตอบอยู่แบบนั้น ขืนบอกไปว่าโหมงานเพื่อจะให้เสร็จเร็ว ๆ ก็ถูกโกรธกันพอดี “มองหน้าแบบนี้อยากมีเรื่องหรืออยากมีลูก?” “มุขโคตรเก่า”“ฮ่า ๆ พี่ได้พักตั้งหนึ่งอาทิตย์เราไปเที่ยวกันไหม” เฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปก่อนครับเดี๋ยวถูกจับได้“เสียใจด้วยค่ะสาขาหนูหยุดไม่ตรงเสาร์อาทิตย์ ถ้าจะหยุดติดกันสองวันก็คงเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์กลางปีโน่นแหละ ที่เหลือสลับกันหยุดค่ะ”“อันที่จริงทำไมหนูไม่ทำสาขาข้างนอกล่ะ ในห้างกว่าจะเลิกก็ฟ้ามืดแถมวันหยุดก็แทบไม่มีด้วยซ้ำ” ในความคิดผมนะมันเหนื่อยเกินไปครับ แต่ดีตรงที่เข้างานสายกว่าสาขาทั่วไปนั่นแหละ“สนุกดีนะ ถ้ามาทำในวันหยุดตัวเองก็ได้เงินเพิ่มไปอีก แถมยังตื่นสายได้ด้วยนะ แล้วพี่ไม่ต้องห่วงเรื่องกลับมืดนะคะเพราะสาขาหนูเ