และแล้วฤดูกาลสอบปลายภาคก็มาถึง เป็นการสอบแบบวันเว้นวัน
“อ่านหนังสือมาบ้างปะ” ไอ้จูนเอ่ยถาม “จำมาผ่าน ๆ” “ดูมึงชิวเนอะ” “ตกก็แก้ มันจะยากอะไร” ฉันตอบกลับอย่างไม่จริงจังมากนัก “ยากตรงที่แม่ด่าว่ากูโง่นี่แหละ” “ฮ่า ๆ ดีนะที่แม่กูไม่เคยคาดหวัง” เช้าสอบสามวิชาค่ะบ่ายอีกสองวิชา หลังจากสอบเสร็จช่วงเช้าก็มานั่งเล่นกันที่หลังโรงเรียน มันเป็นทางเดินค่ะด้านข้างเป็นสนามฟุตบอล ถามว่าที่เงียบ ๆ แบบนี้มาหาอ่านหนังสือกันเหรอไม่ใช่เลย มานั่งคุยโทรศัพท์กันทั้งนั้น “น้ำตาลกูถามอะไรหน่อยดิ” คนนี้ชื่อน้องค่ะ บ้านอยู่ใกล้กัน “ว่า?” “กีฬาสีวันสุดท้าย พี่ทิวไปส่งมึงเหรอ” “กูกลับวินบ้างเหอะ มึงรู้มาจากไหน” “...” “รู้ไม่จริงแล้วเสือกอยากจะพูดต่อ” “อ้าว แล้วมึงจะมาด่ากูทำไม กูแค่ถาม” “กูไม่ได้ด่ามึงกูด่าคนที่มันพูดต่อ ก็ถามอยู่ว่ามึงรู้มาจากใครเพราะถ้ามึงเห็นกับตามึงจะไม่ถามกูแบบนี้” “จะเถียงกันทำไม” ไอ้ป๊อปแย้งขึ้นก่อนจะมองเราสองคนสลับกัน “มึงก็บอกมันไปดิอีน้องว่ามึงรู้มาจากไหน” เป็นคำถามที่ฉันก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องจริงและไม่ใกล้เคียงความเป็นไปได้เลยสักนิด “กูรู้มาจากไหนไม่สำคัญหรอก มันไม่ใช่เรื่องจริงก็แล้วไป” พูดจบมันก็นั่งเล่นเกมส์ในมือถือต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ทำไมเหรอ แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาใครจะขาดใจตายเหรอ” ไอ้จูนว่าขึ้น คำถามของมันทำเอาฉันนิ่งไปนั่นเป็นสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของฉัน มันเกินความจริงไปมาก แต่ก็นั่นแหละพื้นที่ของความสุขค่ะ “ฮ่า ๆ มึงคิดก่อนพูดก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย” น้องมันตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะ “...” “สภาพแทบจะไม่เหมือนคนยังจะหวังสูงอีก” “หวังสูงยังไงวะ กูเห็นพี่ทิวมันก็เป็นคนเหมือนกัน มึงนั่นแหละเลิกว่าคนอื่นเขาได้แล้ว” ไอ้จูนยังคงเถียงต่อ ดูท่าทางแล้วจะยาวค่ะฉันเลยรีบปรามขึ้นก่อนที่มันจะเลยเถิดมากเกินไป “เออ พอ...จบ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน” หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง ในใจก็แอบเคืองแหละทำไมต้องมาว่ากันด้วย เป็นไปได้ฉันอยากย้อนเวลากลับไปและจะไม่หลุดพูดให้ใครรู้เป็นอันขาดว่าแอบปลื้มพี่ทิวอยู่ หลังจากสอบเสร็จช่วงบ่ายตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลยแต่อีต้นมันดันชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวปลาหน้าโรงเรียน อีนี่ก็ใจง่ายไปค่ะ ไม่ปฏิเสธ “ชะนีมึงเอาเหมือนเดิมใช่ปะ” “เออ” อีต้นมันเดินไปสั่งฉันก็เลยอาสาไปตักน้ำเอง แต่ว่าดันสายตาดีเห็นพี่ทิวอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้าน จำไม่ได้ว่ามองนานแค่ไหน มันนานพอที่แม่ค้าทำก๋วยเตี๋ยวเสร็จนั่นแหละ “เลิกมองก่อนค่ะมึง มาแดกได้แล้ว” “มองอะไร มึงมั่วแล้ว” “อย่ามาเฉไฉ สรุปเรื่องจริงใช่ไหมที่มึงชอบพี่ทิว” คำถามตรง ๆ ของมันทำเอาฉันเงียบไปหลายวินาที “ไม่ได้จะว่าอะไรแต่แอบชอบก็คือแอบชอบนะ พี่ทิวหล่อขนาดนั้นเขาต้องมีคนคุยอยู่แล้วแหละ” “เรื่องของเขาสิ ข้าไม่เคยคาดหวังอยู่แล้ว” “ทำได้จริงอย่างที่พูดก็ดี” “...” ฉันไม่ได้ตอบกลับอะไรเลือกที่จะนั่งกินเงียบ ๆ แทน จนกลุ่มเพื่อนพี่ทิวเดินเข้ามาในร้าน “มึง...” “รีบกินเถอะจะได้กลับ” “มึง...” ไม่พูดเปล่ามันยังยื่นเท้ามาเขี่ยขาฉันอีกด้วยจนต้องเงยหน้าไปมองมัน “พี่ทิวเดินมาทางนี้” เสียงโคตรเบาแต่ก็พอจับใจความได้อยู่ พรึบ! แซนวิชไส้กรอกชีสถูกวางลงตรงหน้าฉันพร้อมกับร่างสูงเจ้าของมันที่กำลังทำหน้านิ่งใส่อยู่ “ให้” พูดจบเขาก็เดินออกจากร้านไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคน “เขาให้ใครวะ” “อยู่ตรงหน้ามึงเขาคงให้กูมั้ง” อีต้นมันว่ายิ้ม ๆ “ให้กูเหรอ? ให้กูเรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าคนอื่นให้เขามาแล้วเขาไม่กินเลยเอามาโยนให้กูหรอกนะ” “อีบ้า! ใครจะทำแบบนั้น ถ้าไม่กินก็โยนลงถังขยะไปค่ะ มึงคิดมากไปนะเนี่ย” “เหรอวะ” ตั้งคำถามกับตัวเองพลางจ้องมองมันไปด้วย เปิดถุงดูมันมีสองชิ้นค่ะ แบ่งกันคนละชิ้นกับอีต้น หลังจากนั้นก็แยกย้ายกัน ช่วงปิดเทอมใหญ่เป็นอะไรที่เหงามาก อยู่แต่บ้านไม่ได้ไปไหนเลย พ่อกับแม่ก็ทำงานทุกวัน ตื่นมาก็เจอแค่เงินกับสำรับข้าววางไว้ให้เห็นต่างหน้า บางวันงานไม่เสร็จกลับตีสองตีสามก็มี แอบกระซิบหน่อยว่าฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยเลยค่ะ พ่อกับแม่เป็นผู้รับเหมาทำถนน ส่วนตากับยายก็ขายขนมไทยค่ะ วกกลับมาเรื่องของฉันต่อดีกว่า ตอนโรงเรียนเปิดก็ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะปิดเทอมสักที แต่พอโรงเรียนปิดก็ดันเป็นพวกขี้เหงาอยากเจอเพื่อน อยากไปโรงเรียนขึ้นมาซะงั้น และวันเวลาก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ... จากน้องมอหนึ่งในวันนั้น ตอนนี้กลายเป็นพี่มอสองแล้วนะคะ มัธยมศึกษาปีที่สอง “แลดูมีความสุขขึ้นเยอะ” คำทักทายแรกถูกเอ่ยออกมาจากเพื่อนเลิฟของฉัน ไอ้จูนนั่นเอง “ปกตินะ ว่าแต่มึงเหอะเปิดเทอมแล้วทำไมไม่ย้อมสีผมกลับอีก เดี๋ยวก็โดนอาจารย์เล่นหรอก” “เอาตามความจริงไหม” “เออ” “ยังห้าวอยู่” “อีสัส!” “เพื่อนด่าแปลว่าเพื่อนรัก” “เพื่อนด่าก็คือเพื่อนด่า มึงอย่าเปลี่ยนความหมาย” “ฮ่า ๆ” พอถึงเวลาเข้าแถวก็มีการแอบมองไปทางพี่มอห้าเล็กน้อยค่ะ ไม่เจอกันแค่สองเดือน พี่ทิวสูงขึ้นเยอะเลย สังเกตได้จากระดับสายตา ถ้าเทียบกันตอนนี้หัวฉันไม่ถึงไหล่เขาเลยด้วยซ้ำ “อะแฮ่ม! เก็บอาการหน่อย” “ไรมึง” “กูเห็น” ขี้เสือกจริงเชียว ได้แต่แอบด่ามันในใจ คิกคิก บรรยากาศการมาเรียนในวันแรกของมอสองตื่นเต้นแปลก ๆ อาจเป็นเพราะการรอคอยที่จะได้เจอใครคนนั้นก็ได้ วันแรกไม่ได้เรียนเลยค่ะ ส่วนใหญ่อาจารย์จะให้ตารางเรียนกับแจกหนังสือซะมากกว่า เป็นแบบนี้อยู่ครึ่งวันจนถึงเวลาพักเที่ยง “เชี่ย...” “อะไรของมึงวะ” “ป้าร้านข้าวมันไก่หายไปไหน” ไอ้จูนว่าขึ้นพร้อมกับทอดสายตาสุดจะน่าสงสารไปทางด้านในโรงอาหาร “เขาหมดสัญญาเช่าเขาก็ไปขายที่อื่นดิ” “ไม่นะ!! นั่นร้านโปรดกูเลยนะโว้ย” “โอ๋... ไม่งอแงนะลองร้านใหม่ก็ได้ บางทีอาจจะถูกปากมากกว่าร้านเดิมไรงี้” “ไม่มีทาง! ขนาดปิดเทอมตั้งสองเดือนมึงยังไม่เลิกชอบเขาเลย” “มึงก็สรรหาเปรียบเทียบเหลือเกินนะ” เสียเวลาอยู่หลายนาทีเลยค่ะกว่ามันจะเลิกงอแง พอจองโต๊ะเสร็จก็ฝากให้ไอ้จูนไปซื้อข้าว ส่วนฉันอาสามาซื้อน้ำเอง “น้ำตาล เอ็งเห็นปะ” “เห็นไรวะหมู” “พี่ริวไง คิกคิก ใจละลาย” “เก็บอาการเล็กน้อยถึงปานกลางด้วยค่ะ” “ก็เขาน่ารัก!” เลิกสนใจมันก่อนจะเดินไปต่อแถวซื้อน้ำ เปิดเทอมวันแรกมีแต่น้ำเปล่าค่ะ ปกติจะมีน้ำผลไม้ด้วย “น้ำเปล่าสิบขวดค่ะ” “หกสิบบาทลูก” กำลังจะจ่ายเงินแต่ใครบางคนกลับจ่ายแทนซะก่อน “นี่ครับ” คนข้างหลังเยอะพอสมควร เกรงใจคนอื่นเขาฉันจึงหยิบน้ำออกมาก่อนแล้วให้หมูช่วยถือไว้ห้าขวด หลังจากนั้นฉันก็หยิบเงินให้พี่ทิวไปแต่ว่าเจ้าตัวเขาไม่รับค่ะ “ค่าน้ำค่ะ” “พี่เลี้ยงเอง” “แต่มันหลายขวด” “ไม่เป็นไร ... ผอมลงนะเนี่ย” เขินแหละ ไม่รู้เขินอะไร “เอ่อ ... ขอบคุณนะคะสำหรับค่าน้ำ” พี่ทิวไม่ได้ตอบกลับอะไรแค่ยิ้มให้เฉย ๆ พอกลับมาถึงโต๊ะทุกสายตาก็พุ่งเป้ามาทางฉันทันที พลอย : หืม... อะไรยังไงซิ แอม : เล่ามา เอม : ให้ไว! กิ๊บ : มีความลับอะไรหรือเปล่า “ใจเย็นพวกมึง เขาแค่ซื้อน้ำให้ เนี่ยสิบขวดครบแก๊งพอดี” น้อง : และมึงคุยอะไรกัน “เปล่า แค่ขอบคุณเขา” มุข : ใช่เหรอกูเห็นยิ้มอยู่ “เออ! มึงอย่าจับผิดดิ” ป๊อป : พวกกูไม่ได้จับผิดเลยคนอื่นเขาเห็นกันเยอะแยะบอกมาซะดี ๆ น้ำตาลอย่าให้กูสืบเองนะ “เขาแค่ทักว่าผอมลง ก็แค่นี้” “ผอมลงไม่ได้แปลว่าผอมแล้ว” ไอ้น้องมันพูดขึ้น ฉันไม่ได้ตอบอะไร แค่สบตากับไอ้หมูเท่านั้นเพราะมันเองก็อยู่ด้วยและรู้ว่าฉันพูดความจริง “เออ แต่มึงก็ผอมลงจริง ๆ นั่นแหละ” ไอ้พลอยเสริมขึ้นมาอีกคน “เหรอวะ ข้าก็ไม่ได้ลดน้ำหนักนะแดกกระจาย” เลิกสนใจเรื่องนี้แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวกัน บนโต๊ะอาหารก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่หยิบยกมาพูดระหว่างปิดเทอม หลังจากกินข้าวเสร็จก็มาสิงอยู่หน้าห้องน้ำต่อ ไม่รู้เป็นอะไรต้องมาเข้าห้องน้ำตอนพักเที่ยงทุกวันเลย “ช่วยด้วย ไปมินิมาร์ทเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ไอ้มุขโผล่หัวออกมาจากในห้องน้ำ “อย่าบอกนะว่าเป็นวันแดงเดือด” “ถูกต้อง! มุขไม่ได้เตรียมผ้าอนามัยมา” “เอาเงินมา เดี๋ยวไปซื้อให้ก็ได้” “เอาแบบมีปีกนะ” “เออ” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงอาหารอีกครั้ง มินิมาร์ทมันอยู่หน้าโรงอาหารน่ะ ระหว่างรอจ่ายเงินกลุ่มพี่ทิวก็เดินเข้ามาซื้อขนมเช่นกันค่ะ “ทิวกินไร เดี๋ยวเราซื้อให้” “ไม่อะ” “อ้าว ไม่อยากกินขนมแล้วเข้ามาทำไม” “ไม่ต้องยุ่ง!” โอ้โห ปากร้ายใช่ย่อยค่ะ พี่ผู้หญิงคนนั้นถึงกับเบะปากใส่เลยทีเดียว พอจ่ายเงินเสร็จจังหวะที่จะออกคือคนเยอะพอสมควร มันก็เบียดกันบ้างค่ะ พี่ทิวเอาขนมใส่กระเป๋าเสื้อฉันแล้วเขาก็เดินนำออกไปเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบขึ้นมาดูมันเป็นคุกกี้ค่ะ แบบเดียวกับที่ให้ฉันเมื่อวันกีฬาสีเลย เห็นแบบนั้นฉันจึงหันไปดูที่ชั้นขนมว่ามีแบบนี้ขายไหม ปรากฏว่าไม่มีค่ะ “อยู่กับความเป็นจริงหน่อยนะ สภาพแบบนี้ทิวมันไม่มองหรอก” “ทำตัวเองให้เหมือนคนก่อนดีกว่า ฮ่า ๆ” “...” เสียงหัวเราะค่อย ๆ ห่างออกไปพร้อมกับความรู้สึกมากมายในใจฉัน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกต่อว่าแบบนี้จากคนอื่น นึกว่าตัวเองสวยมากหรือไงถึงได้เอาแต่ด่าคนอื่นอยู่ได้ “ช่างแม่งมันเหอะ อย่าไปสนใจ” ไม่รู้ว่าไอ้จูนตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันคงเห็นและได้ยินหมดแล้ว “พี่เขาก็พูดถูกแหละ สภาพกูอย่างกับครึ่งผีใครจะมามอง” “ดูถูกตัวเองเกินไปแล้วมั้ง เดี๋ยวโตไปก็สวยเองแหละ” “แต่เราต้องอยู่กับความเป็นจริงไม่ใช่เหรอ” “ก็ใช่! มึงจะคิดมากกับคำพูดคนอื่นไปเพื่ออะไร ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าพี่ทิวเอามาให้เอง มึงไม่ได้ไปตามวอแวเขาสักหน่อย มีแต่พวกอิจฉาเท่านั้นแหละที่เป็นเดือดเป็นร้อนน่ะ” ฉันพยายามที่จะไม่สนใจคำพูดของใคร แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้จริง ๆ อ้วนก็รู้ตัวค่ะ ดูไม่ได้เลยก็รู้ตัวเหมือนกัน ก็แค่แอบชอบมันจะเดือดร้อนชีวิตใครนักหนาชีวิตมอสองเป็นอะไรที่ล่องลอยมากจริง ๆ สำหรับฉันมันเหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ แค่นั้นเองและบางวิชาก็ไม่รู้ว่าเรียนจบไปแล้วเอาไปทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น รำกระบี่กระบอง ... “ทำหน้าดี ๆ หน่อย กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอว่ามึงไม่ชอบเรียนวิชานี้”“พูดอย่างกับมึงชอบตายแหละ”“จำใจเรียนอะ เคยได้ยินไหม”“เฮ้อ...”“เขาเรียนให้มีความรู้ มึงอย่าสงสัยเยอะสิ” ฉันไม่ชอบเลยค่ะ อาจารย์ก็เอาแต่พูดว่าถ้าเธอรำเป็นนะไปสมัครงานที่ไหนเขาก็รับเลยทันที มันใช่เหรอคะ? มันเป็นศิลปะป้องกันตัวอย่างหนึ่งนะ แต่เหมือนอาจารย์ท่านนี้จะอธิบายแบบขอไปทีแล้วมันทำให้น่าเบื่อ กลายเป็นวิชาที่ไม่อยากเข้าเรียน“ท่องไว้ว่าเขาให้คะแนนเยอะ”“เฮ้อ...” ถอนหายใจวนไปค่ะไม่เข้าใจตรงไหนให้ถาม พอยกมือถามกลับถูกย้อนมาว่าตอนสอนทำไมไม่ฟัง อ้าว! กว่าจะหมดชั่วโมงคือนานมากไม่ชอบเลยเวลาที่ไม่ได้คำอธิบายอะไร แต่ช่างมันเถอะ!“คาบต่อไปเรียนอะไร”“คอมสองชั่วโมง บ่ายดนตรี”“ฝากเปิดคอมด้วยกูไปห้องน้ำก่อน” “เออ” คล้อยหลังไอ้จูนฉันก็รีบมาเข้าห้องน้ำทันทีแต่ว่าห้องคอมมันอยู่ตึกสามค่ะ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือห้องน้ำหลังตึกนั่นเองพอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมาล้างมือด
หลายเดือนผ่านไปตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นฉันเลี่ยงที่จะเจอหน้าพี่ทิวมาโดยตลอด บางครั้งก็งงกับตัวเองเหมือนกันนะเป็นอะไรกับเขาก่อน? เป็นแฟนก็ไม่ใช่ คนคุยก็ไม่ใช่ เฮ้อ...“มึงกินยาลดน้ำหนักเหรอ” คำถามของพลอยทำเอาขนมที่กำลังจะเข้าปากต้องหยุดลง“กู?”“เออ มึงผอมแล้วอะ สมส่วนด้วย”“ไม่นะ แค่เลิกกินน้ำอัดลมแล้วก็ลดขนมขบเคี้ยวเท่านั้นเอง”“เรียกอีอ้วนไม่ได้แล้วนะ ใครเรียกมึงอีอ้วนบอกกูมาได้เลยกูจะตบเรียงตัวให้” ไอ้จูนมันว่าขึ้น “กูจะฝากชีวิตไว้กับมึงได้ใช่ไหม”“แน่นอน”วันนี้ไม่ได้เรียนช่วงเช้าค่ะเพราะมีการตรวจสุขภาพประจำปีและสิ่งที่ทำให้น่าตกใจก็คือน้ำหนักของฉันนั่นเอง จากหกสิบตอนนี้เหลือห้าสิบสองดีใจเป็นบ้าเลยค่ะ ถ้าเทียบกับส่วนสูงที่ไม่ถึงร้อยหกสิบของฉันก็ยังดูอวบ ๆ อยู่ดีนั่นแหละแต่ช่างเถอะ! เอาเป็นว่าผอมลงก็แล้วกัน“ตาล มึงเอ็กซเรย์ยัง” ไอ้หมูเอ่ยถาม หอบแฮกมาเลยมันเพิ่งมา“กูเสร็จหมดละ มึงไปไหนมาเพิ่งจะเสด็จ”“ตื่นสาย”“เออ พวกกูรอที่โรงอาหารนะ”“โอเค”หลังจากนั้นฉันก็ลงมารอพวกมันที่โรงอาหาร มีฉัน จูน แล้วก็พลอย ที่เหลือยังไม่เสร็จกัน“น้ำตาล เอ็งลดน้ำหนักเนี่ยเพื่อตัวเองหรือเพื่อใคร”
วันแรกของการปิดเทอมใหญ่ฉันตั้งปณิธานกับตัวเองไว้เลยว่าจะต้องทำให้ได้ นั่งมองคนในกระจกพลางสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ไหนจะรอยสิวอีก ยอมอดค่าขนมเพื่อเก็บเงินไปซื้อครีมบำรุงผิว อันไหนที่เขาว่าดีอีนี่ก็กวาดมาหมดค่ะ ที่เห็นผลชัดเลยคือรอยสิวรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่จางลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหนึ่งเดือนแรก เรื่องการลดน้ำหนักก็เหมือนกันกว่าจะหักห้ามใจเลิกกินขนมได้แทบลงแดงเลยทีเดียว จากที่ไม่ชอบกินผักก็ต้องฝืนใจกินโดยเฉพาะมื้อเย็น ไม่กินเลยคืออยู่ไม่ได้ กินน้อยก็ไม่อยู่ท้องอีก ความจริงถ้าน้ำหนักไม่ลดฉันก็ไม่ซีเรียสนะคะ แต่อย่าขึ้นอย่างเดียวก็พอ อ๋อ! แล้วฉันก็เล่นฮูล่าฮูปวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงด้วยนะ ทำแบบนี้ทุกวันจนกระทั่งถึงวันเปิดเทอม...มัธยมศึกษาปีที่สาม“เชี่ย! กูไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ”“สวยขึ้นเยอะเลย”“มึงเป็นใคร! ออกจากร่างเพื่อนกูไปเดี๋ยวนี้นะ” “ยัง... ยังไม่เลิกเล่นกันอีก” ฉันว่าพลางมองหน้าพวกมันสามคนอย่างเอือมระอา“ตาลมึงสวยขึ้นจริง ๆ นะพูดแบบไม่อวยเลย ดูดีขึ้นมาก” ไอ้จูนค่ะ ไม่พูดเปล่ามันยังจับฉันหมุนไปมาอีกด้วย“จริง! คนละคนกันเลย”“ว้าวมากแม่!” ไอ้หมูกับไอ้พลอ
ในทุก ๆ วันก็เหมือนเดิมค่ะ มองบ้างเวลาเดินผ่าน ฉันไม่มองเขา เขาก็มองฉันจนคนอื่นคิดว่าเรากำลังศึกษาดูใจกันอยู่แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ไม่ใช่คนคุยหรืออะไรทั้งนั้น พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือไม่ได้เป็นอะไรกันนั่นแหละ“งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์กูไม่อยากไปเลย”“ไม่ไปก็ได้ แต่ไม่ได้คะแนน แต่อาจารย์ไม่ได้บังคับนะ”“ใช่ไหม? อาจารย์ไม่บังคับแต่ไม่ให้คะแนน”“เออ”... : ฮ่า ๆอีกสามวันต้องไปดูการทดลองที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ค่ะ แบ่งไปสามวัน ทีละสองระดับฉัน ฉันไปวันที่สามพร้อมพี่มอหก ที่บอกว่าไม่อยากไปคือมันน่าเบื่อไง แต่ดีตรงที่เจอเพื่อนโรงเรียนอื่นด้วยนี่แหละ“ขนมที่มึงคุ้นเคย” ไอ้จูนเอ่ยพร้อมกับคุกกี้ที่วางลงตรงหน้าฉัน“ใครให้เหรอจูน แบ่งกูบ้างสิ” ไอ้น้องแทรกขึ้นมาบ้าง“พี่ทิวฝากมาให้ไอ้ตาล”แอม : เอ็งกับพี่ทิวนี่ยังไง ข้าไม่อยากยุ่งหรอกแต่ข้าอยากรู้พลอย : เออ กูเห็นให้ขนมนี่ตั้งแต่มอหนึ่งละ สรุปยังไง“ไม่ยังไง ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย”ป๊อป : อะไรวะ! สถานะไม่ชัดเจนซะงั้น“กูแค่แอบปลื้มเขาเฉย ๆ ไม่ได้จะอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” ฉันพูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง ยอมรับค่ะว่ามีบ้างที่แอบหวงเวลาที่คนอื่นเข้าใ
หลังจากวันนั้นเวลาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ฉันกับพี่ทิวแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำเพราะเขาติวหนังสือหนักมาก เรียนวิชาเพิ่มเติมเยอะแยะไปหมด เลิกเรียนไม่ตรงกัน แต่ก็ยังพอได้แอบมองตอนเข้าแถวอยู่บ้างแหละ“แป๊บ ๆ ก็จะจบแล้วเศร้าจัง”“บ่นไรหมู”“เอ็งก็เป็นแบบนี้แหละน้ำตาล ทำเป็นเล่นตลอดเลย”“แล้วจะเครียดให้ได้อะไร พูดอย่างกับจบไปแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ”“เวลาเดินโคตรเร็วเลยเนอะ” เวลาเดินเร็วอย่างมันว่านั่นแหละค่ะ สามปีเหมือนนานแต่พอเอาเข้าจริงมันแค่แป๊บเดียวเอง ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ“บ่ายนี้แนะแนวว่ะ รวมกับพี่มอหก” “ไม่ได้เรียนหรอกเหรอ”“สลับคาบไปไว้วันพรุ่งนี้แทน”ตัดมาถึงคาบแนะแนวเลยแล้วกันนะคะ ก็มีการพูดเกี่ยวกับอาชีพ ความฝัน ความเป็นไปได้ รวมไปถึงสิ่งที่อยากเรียนก็ด้วย อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างที่จะผ่อนคลายค่ะ ไม่เข้มงวดจนบรรยากาศในห้องอึดอัด ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งฟังอยู่มีก้อนกระดาษตกลงมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าใครขว้างมาแต่ฉันก็เปิดอ่านนะ ขอเบอร์หน่อย อ่านแล้วก็ขยำมันวางไว้ที่เดิม“อะไรวะ” ไอ้จูนค่ะ“ไม่รู้ของใคร”“กูดูเอง” ไม่พูดเปล่ามันยังอ่านแล้วตอบกลับไปอี
เช้าอีกวันฉันมาเรียนตามปกติพร้อมกับหัวใจที่ห่อเหี่ยว ถามว่าอกหักเหรอก็ไม่ใช่ ไม่รู้ซึมอะไรเหมือนกัน วันนี้ดันมาเช้ากว่าทุกวันอีกด้วยค่ะ เนื่องจากพ่อกับแม่ไปทำงานเร็วฉันเลยต้องเร็วตามไปด้วย เหลือบดูนาฬิกาเพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง พวกมันก็ยังไม่มีใครมาหรอก ฉันเลยเลือกที่จะมานั่งรอในโรงอาหารแทน แต่แค่ไม่นานที่นั่งตรงข้ามกลับมีใครบางคนมานั่งด้วย“ไงเรา มาแต่เช้าเลยนะ”“พี่ริวก็มาเช้าเหมือนกันนะคะ” “ปกติของพี่ครับ เรื่องเมื่อวานพี่ขอโทษแทนเกตุด้วยนะ”“...” ใจจริงฉันอยากจะถามออกไปตรง ๆ เลยด้วยซ้ำว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า ถึงฉันจะไม่ถูกชะตากับพี่เกตุเท่าไหร่แต่ผู้หญิงเหมือนกันมันดูออกค่ะว่าเขารู้สึกกับพี่ทิวมากแค่ไหน“มันไม่ใช่แบบที่เราคิดหรอกนะ” พี่ริวพูดดักทางฉันก่อนเลยค่ะ “พี่รู้เหรอว่าหนูคิดอะไร”“พี่เป็นผู้ชายนะ ... เหมือนกับไอ้ทิวนั่นแหละ”“หนู...”“ไอ้ริว! ไปยุ่งกับน้องอ้วนของไอ้ทิวมันทำไมเดี๋ยวมันก็เตะปากมึงหรอก”“หุบปากไอ้เต้กูว่าไอ้ทิวมันจะเตะปากมึงมากกว่านะ”“ฮ่า ๆ” “ไม่ต้องไปสนใจมัน สนแค่ไอ้ทิวคนเดียวก็พอครับ”“เกี่ยวอะไรกันล่ะคะ”“พี่รู้ว่าเราเข้าใจ” ฉันเข้าใจแล
หลายเดือนผ่านไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้นพี่ทิวก็ไม่เคยอยู่ในสายตาฉันอีกเลยเพราะเขาเอาแต่หลบหน้า เดินสวนกันก็ทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้กลับมาเป็นคนเดิมเสียที ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดไปเองหรือหวั่นไหวอะไรเกี่ยวกับเขาอีก กับไอ้น้องมันก็ไม่พูดกับฉันเหมือนกันค่ะตั้งแต่ไอ้จูนว่าคราวนั้น ฉันเองก็ไม่ได้สนใจไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด แยกแยะไม่ได้ก็แล้วแต่วันเวลายังคงผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงวันปัจฉิมนิเทศ ก่อนหน้าฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่แยกย้ายกันไปเรียน แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับหวิวแปลก ๆ รู้สึกใจหายเหมือนกันมันเป็นกิจกรรมที่ต้องบอกลาและอวยพรในเวลาเดียวกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข ความเศร้าและรอยยิ้ม ฉันได้รับคำอวยพรจากรุ่นพี่รุ่นน้องมากมาย แถมยังได้ของขวัญได้เขียนข้อความต่าง ๆ ลงบนเสื้อนักเรียนเพื่อบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความสุขเคยมีความทรงจำร่วมกันก่อนที่จะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีก รู้สึกเหมือนกำลังจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทุกคนไปเรียนต่อที่อื่นกันหมด เจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ฉันเรียนต่อที่เดิมสายวิทย์คณิต ไอ้จูนไฟฟ้ากำลัง หมูบัญชี
ช่วงปิดเทอมรู้สึกว้าเหว่แปลก ๆ เพราะรู้ดีว่าเปิดเทอมมาจะไม่เจอพวกมันเลยสักคน บรรยากาศคงเดิมแต่ความรู้สึกมันเปลี่ยนระหว่างนี้ฉันก็คุยกับต้นทุกวันนะคะ ค้างสายกันก็บ่อย เท่าที่รู้มาต้นอยู่กับแม่แค่สองคน พ่อมีเมียน้อยและบางครั้งก็สัมผัสได้ว่านางมีปมในใจ แต่ฉันว่ามันก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เป็นใครก็ต้องรู้สึกเป็นธรรมดา (ฮัลโหลตาลยังฟังต้นอยู่ปะเนี่ย)“ฟังอยู่”(แล้วถามทำไมไม่ตอบ)“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”(คิดถึงคนอื่นอะดิ)“เพ้อเจ้อ”(ถามจริงคุยกับใครอยู่หรือเปล่า)“ไม่มี ถ้าคุยกับคนอื่นด้วยจะค้างสายต้นได้เหรอ”(เออ ก็จริงเนอะ)“เป็นเอามาก”(ฮ่า ๆ)ยอมรับค่ะว่ารู้สึกดี ตลอดหลายเดือนที่คุยกันผ่านโทรศัพท์ ต้นมันปลดล็อคฉันหลายเรื่องมาก มันทำให้ฉันรู้สึกกล้าที่จะตอบกลับ กล้าที่จะเผชิญ กล้าที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น อย่างเช่นเรื่องการเดินทาง ฉันเป็นลูกคนเล็กค่ะ แม่ดุและพ่อห่วงมาก แค่ซ้อนมอเตอร์ไซม์พี่สาวไปตลาดยังไม่ได้เลย ระวังขานะลูก ระวังรถล้มนะลูก คือฉันเข้าใจค่ะว่าเป็นห่วง แต่แบบพ่อ! หนูสิบห้าแล้วไง หนูจะเรียนมอปลายแล้วนะ หนูต้องขึ้นรถเมล์ ต้องใช้รถประจำทาง มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันน่ะ
ชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั
นานนับชั่วโมงที่ฉันจมอยู่กับความรู้สึกนี้ น้ำตาก็พาลไหลออกมาไม่หยุดเลยมันคิดไปหมดทุกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แล้วพี่ทิวนอกใจฉันจริง ๆ อย่างนั้นเหรอไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จนตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมจนบานประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับแสงไฟที่ส่องสว่าง“ทำไมไม่เปิดไฟครับ แล้วกลับมาก่อนทำไมไม่โทรบอกพี่” “หนูโทรแล้วแต่ไม่ติด”“โกหก! พี่เช็กดูแล้วไม่มีใครโทรมา”“ก็หนูโทรแล้วมันไม่ติดจริง ๆ” ฉันยังคงแถไปแบบนั้น “พี่เปลี่ยนน้ำหอมแล้วเหรอคะกลิ่นนี้หอมดีนะ” พี่ทิวหน้าเจื่อนไปเลยค่ะเมื่อฉันถามออกไปแบบนั้น “หนูอาบน้ำก่อนแล้วกัน เหนื่อย...” เหนื่อยที่ต้องรู้สึกเหนื่อยที่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ เหนื่อยที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จฉันก็เข้าห้องนอนทันที ปวดหัว ปวดตา ปวดไปหมดทุกอย่าง ไม่อยากรู้สึกไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ถ้าเขาหมดรัก หรือรักฉันน้อยลงเขาก็ควรจะบอก ไม่ควรทำกับฉันแบบนี้ ไม่ควรเลยจริง ๆ แค่เพียงไม่นานประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงที่ฉันคุ้นเคย “เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงข้างฉัน“ปวดหัวค่ะ อยากนอน”
หลายเดือนผ่านไป ตั้งแต่พี่ทิวกลับมาจากญี่ปุ่นฉันรู้สึกว่าพฤติกรรมเขาเปลี่ยนไปไม่เชิงว่าไม่เหมือนเดิมแต่เขาออกจากห้องบ่อยและกลับไม่ตรงเวลา อย่างเช่นวันนี้(พี่ยังทำธุระไม่เสร็จ หนูกลับห้องก่อนเลยนะพี่น่าจะดึก)“ค่ะ พี่ก็ขับรถดี ๆ นะ”(ครับ)ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะพูดว่าเดี๋ยวพี่ไปรับหรือไม่ก็ต้องรีบมารับฉันก่อน เขาจะละเว้นทุกอย่างเพื่อฉันเสมอแม้ว่าฉันจะดึงดันแค่ไหนพี่ทิวก็ไม่มีทางให้ฉันกลับเองเด็ดขาด แต่วันนี้...“เดี๋ยวเราไปส่งก็ได้ พี่เขาอาจจะงานเยอะอย่าคิดมาก” ภามเอ่ย“อืม”กลับถึงห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแหงนดูนาฬิกาจะสามทุ่มแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าพี่ทิวจะมา รอจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีตอนที่แผ่นหลังแตะสัมผัสกับที่นอนนุ่ม ๆ นั่นแหละ“เพิ่งมาเหรอคะ” เอ่ยถามก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาตีสองแล้วค่ะ“ครับ งานผิดพลาดนิดหน่อยพี่เลยต้องไปดูด้วยตัวเอง นอนเนอะพี่ง่วงแล้ว” พูดจบเขาก็ปิดไฟที่หัวเตียงแล้วกอดฉันอย่างเช่นทุกคืนรอจนแน่ใจว่าพี่ทิวหลับแล้วฉันจึงค่อย ๆ คลายกอดแล้วลงจากเตียงให้เบาที่สุด จากนั้นตรงไปยังตะกร้าผ้าทันทีหยิบชุดที่เขาสวมใส่ก่อนหน้านี้มาสูดดมว่ามีกลิ่นอื่นปะปนม
สามเดือนมานี้เป็นอะไรที่โหดมากสำหรับผม ไม่ว่าจะเรื่องงานรวมไปถึงหัวใจก็ด้วย ไหนจะแม่กับยายอีก มันเครียดและกังวลกดดันไปหมดทุกอย่างเพียงแต่ผมไม่แสดงออกให้ใครเห็นเท่านั้นเอง “หนูรู้สึกว่าพี่กลับมาก่อนเวลาหรือเปล่า?” น้ำเสียงใสเอ่ยพลางทำหน้าครุ่นคิด“คิดถึงเด็กอ้วนไงเลยไม่อยากอยู่นาน”“ความจริง?”“งานพี่เสร็จก่อนเลยขอกลับก่อน” น้องยังคงจ้องหน้าผมหวังจะเอาคำตอบอยู่แบบนั้น ขืนบอกไปว่าโหมงานเพื่อจะให้เสร็จเร็ว ๆ ก็ถูกโกรธกันพอดี “มองหน้าแบบนี้อยากมีเรื่องหรืออยากมีลูก?” “มุขโคตรเก่า”“ฮ่า ๆ พี่ได้พักตั้งหนึ่งอาทิตย์เราไปเที่ยวกันไหม” เฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปก่อนครับเดี๋ยวถูกจับได้“เสียใจด้วยค่ะสาขาหนูหยุดไม่ตรงเสาร์อาทิตย์ ถ้าจะหยุดติดกันสองวันก็คงเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์กลางปีโน่นแหละ ที่เหลือสลับกันหยุดค่ะ”“อันที่จริงทำไมหนูไม่ทำสาขาข้างนอกล่ะ ในห้างกว่าจะเลิกก็ฟ้ามืดแถมวันหยุดก็แทบไม่มีด้วยซ้ำ” ในความคิดผมนะมันเหนื่อยเกินไปครับ แต่ดีตรงที่เข้างานสายกว่าสาขาทั่วไปนั่นแหละ“สนุกดีนะ ถ้ามาทำในวันหยุดตัวเองก็ได้เงินเพิ่มไปอีก แถมยังตื่นสายได้ด้วยนะ แล้วพี่ไม่ต้องห่วงเรื่องกลับมืดนะคะเพราะสาขาหนูเ