วันแรกของการปิดเทอมใหญ่ฉันตั้งปณิธานกับตัวเองไว้เลยว่าจะต้องทำให้ได้ นั่งมองคนในกระจกพลางสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ไหนจะรอยสิวอีก ยอมอดค่าขนมเพื่อเก็บเงินไปซื้อครีมบำรุงผิว อันไหนที่เขาว่าดีอีนี่ก็กวาดมาหมดค่ะ ที่เห็นผลชัดเลยคือรอยสิวรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่จางลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหนึ่งเดือนแรก
เรื่องการลดน้ำหนักก็เหมือนกันกว่าจะหักห้ามใจเลิกกินขนมได้แทบลงแดงเลยทีเดียว จากที่ไม่ชอบกินผักก็ต้องฝืนใจกินโดยเฉพาะมื้อเย็น ไม่กินเลยคืออยู่ไม่ได้ กินน้อยก็ไม่อยู่ท้องอีก ความจริงถ้าน้ำหนักไม่ลดฉันก็ไม่ซีเรียสนะคะ แต่อย่าขึ้นอย่างเดียวก็พอ อ๋อ! แล้วฉันก็เล่นฮูล่าฮูปวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงด้วยนะ ทำแบบนี้ทุกวันจนกระทั่งถึงวันเปิดเทอม... มัธยมศึกษาปีที่สาม “เชี่ย! กูไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ” “สวยขึ้นเยอะเลย” “มึงเป็นใคร! ออกจากร่างเพื่อนกูไปเดี๋ยวนี้นะ” “ยัง... ยังไม่เลิกเล่นกันอีก” ฉันว่าพลางมองหน้าพวกมันสามคนอย่างเอือมระอา “ตาลมึงสวยขึ้นจริง ๆ นะพูดแบบไม่อวยเลย ดูดีขึ้นมาก” ไอ้จูนค่ะ ไม่พูดเปล่ามันยังจับฉันหมุนไปมาอีกด้วย “จริง! คนละคนกันเลย” “ว้าวมากแม่!” ไอ้หมูกับไอ้พลอยเสริมขึ้นมาอีก ฉันก้มมองตัวเองมันก็ปกตินะคะ หรือว่าฉันชินกับตัวเองอยู่แล้วก็ไม่รู้ เป็นการมาเรียนที่ทำให้รู้สึกใจหายไม่น้อยเลยเพราะอีกแค่ไม่นานทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไป รวมไปถึงใครคนนั้นก็ด้วย “มึงคาดหวังให้พี่ทิวสนใจถึงขนาดต้องลดน้ำหนักเลยเหรอ” คำถามนี้ฉันไม่ลังเลที่จะตอบเลยด้วยซ้ำ “เปล่า กูอยากสวยเพื่อตัวกูเองบ้างไม่ได้เหรอน้อง ใคร ๆ เขาก็ต้องดูแลตัวเองกันเปล่าวะ” “เชื่อตายแหละ เฝ้ามองเขามาสองสามปีไม่คาดหวังเลยสิแปลก” “แล้วแต่... กูพูดให้ฟัง ไม่ได้พูดให้เชื่อ” เลิกสนใจมันแล้วพากันเดินเข้าโรงเรียนตามปกติ แต่ระหว่างทางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ตลอด หันไปมองรอบตัวก็ไม่มีใครนะคะจนกระทั่งเห็นซุ้มไม้ที่มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ “ลงทุนฉิบหาย” “ฮ่า ๆ คิดว่าทิวจะต้องชอบมึงจริง ๆ ใช่ไหม” น้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากด้านหลังก่อนจะเดินนำหน้าพวกเราไป “คนที่ใช่ไม่ต้องใช้ความพยายาม เนอะ!” ไอ้จูนพูดลอย ๆ ขึ้นมา ฉันรู้ว่ามันจงใจให้ประโยคนี้กระแทกเข้าไปในโสตประสาทของใครบางคน และมันได้ผลค่ะ หันกลับมามองตาแทบปริ้น ฮ่า ๆ “มึงจะออกตัวแรงตั้งแต่วันแรกไม่ได้นะ” “ไม่แคร์โว้ย! เป็นพี่มอสามแล้วจะทำอะไรก็ได้” “อีสัส ห้าวแต่หัววันเลย” ... : ฮ่า ๆ หยอกล้อกันตามประสาเพื่อนจนถึงซุ้มไม้ที่ใครบางคนนั่งอยู่ ฉันทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจแล้วพูดคุยหัวเราะกับไอ้จูนต่อ แต่หางตาก็แอบเหล่มองเหมือนกันนะคะ พี่ทิวเขาดูดีขึ้นมากเลย แต่แววตายังนิ่งเหมือนเดิม “กูรู้สึกว่าเทอมนี้ใครบางคนจะงานเข้านะ” “บ่นไรมึงไอ้ริว” “เสือก!” “ไอ้สัส! ถามนิดถามหน่อยก็ไม่ได้” ไม่ได้หยุดฟังนะคะมันลอยเข้ามาในหูเอง แต่ช่างเถอะ! ฉันไม่อะไรแล้วแหละ ถึงเวลาเข้าแถว แน่นอนว่ากรรมการนักเรียน ประธานนักเรียนจะต้องถูกเลือกใหม่ทั้งหมด พี่ริวลงสมัครเป็นประธานนักเรียนด้วยค่ะ ส่วนอีกสองคนเป็นผู้หญิง เขาให้ส่งตัวแทนห้องละหนึ่งคน บรรยากาศมันก็จำเจเหมือนเดิมนั่นแหละ หรือเป็นเพราะฉันไม่ได้โฟกัสตรงนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ไม่รู้นะ “ตาล ขอเบอร์หน่อยดิ” เกมส์เพื่อนผู้ชายร่วมห้องมันพูดขึ้น “สามแปด” “อะไรวะสามแปด” “เบอร์รองเท้า” “ชั่วร้ายมาก” “ใครขอ?” ฉันถามออกไปตรง ๆ เพราะเป็นเพื่อนกันมานานไม่ใช่มันแน่นอน “บอกก็รู้อะดิ ” “กวนตีน” เลิกสนใจมัน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีพี่ทิวก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว บัตรที่แขวนคอเขาอยู่บ่งบอกให้รู้ว่านี่คือกรรมการนักเรียน “อย่าคุยกัน” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์ชี้แจงอยู่ พูดโคตรนาน ใจคอจะพูดวันนี้ให้หมดทุกเรื่องเลยมั้ง ไม่ได้ขี้เกียจนั่งฟังหรอกแต่แดดมันร้อนค่ะ อาจารย์จะพูดกี่ชั่วโมงก็ได้เพราะตัวเองอยู่ในร่มไง พอเลิกแถวก็แยกย้ายกันเข้าห้อง แจกตารางเรียนกันตามปกติ วิชาแรกภาษาไทยค่ะ ระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนก็เดินผ่านห้องวิชาการที่ตอนนี้กำลังประชุมกรรมการนักเรียนกันอยู่ “แวะมองได้นะเดี๋ยวพวกกูรอ” “มึงก็มองไปคนเดียวดิ” “จ้า ๆ แม่คนเก่ง” “วันนี้มึงกวนตีนกูมากนะจูน” “ก็...” “ ไหนเบอร์อะ” ไอ้แกรมค่ะ หมอนี่มันเป็นนักดนตรีของโรงเรียนอยู่ห้องหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันพรวดพราดมาจากไหน “เบอร์เรา?” “เออดิ ให้ไอ้เกมส์มาขอไม่ได้เรื่องเลย” “ยังไม่ให้ได้ปะ” “ได้ดิ แต่แอดHiไปรับเพื่อนด้วยนะ” “อืม” ตอบกลับมันยิ้ม ๆ ก่อนจะแยกกันคนละทาง “กูสัมผัสได้ถึงสายตาอัมหิต” “น่ากลัวฉิบหาย” เสียงไอ้หมูกับไอ้จูนพูดตามหลัง ฉันไม่ได้สนใจฟังค่ะ ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นตึกไป ตัดมาตอนเลิกเรียนเลยแล้วกันนะคะ แยกกับเพื่อนฉันก็เดินออกทางประตูหลังเหมือนเดิม แต่วันนี้เส้นทางเปลี่ยนนิดหน่อยเพราะว่าต้องมาเอาชุดที่แม่ตัดไว้ซึ่งร้านก็อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียนนั่นแหละ “ต้องหลบหน้าขนาดนี้เลยหรือไง” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากข้างกำแพง “ใครหลบคะ ทำไมหนูต้องหลบหน้าพี่ด้วย” “พี่ถามเราอยู่นะ ไม่ได้ให้เรามาย้อน” “...” “คำพูดคนอื่นมันมีผลต่อความรู้สึกมากขนาดนั้นเลยเหรอถึงต้องทำอะไรแบบนี้” “ใช่ค่ะ! มันมีผลต่อความรู้สึกของหนูมาก พี่ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกต่อว่านี่พี่จะรู้สึกอะไร” “...” พี่ทิวถอนหายใจออกมาเบา ๆ คล้ายกำลังระงับอารมณ์ตัวเองอยู่ “แล้วจะไปไหน ปกติรอรถตรงโน้นไม่ใช่เหรอ” “ไปเอาชุดให้แม่ที่ท้ายตลาดค่ะ” “ไปสิ เดี๋ยวเดินไปเป็นเพื่อน” “ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปคนเดียวได้” “จะห้าโมงเย็นแล้วนะ มองดูรอบ ๆ ซิว่ามันมีคนหรือเปล่า” “...” กวาดสายตาไปรอบบริเวณมันไม่มีใครจริง ๆ ค่ะ คือโรงเรียนมันติดกับวัดไง ถัดจากวัดก็จะเป็นตลาดแล้วร้านตัดเสื้อมันก็อยู่ในตลาดอีกที แน่นอนว่าบรรยากาศมันวังเวงแม้ว่าฟ้าจะสว่างก็ตาม ระหว่างทางเดินพวกเราเงียบมาก ฉันแอบได้ยินเสียงพี่ทิวลอบถอนหายใจออกมาอยู่หลายครั้งจนต้องหันไปมอง เหมือนว่าเขาจะอึดอัดนะคะ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น “คุยกับใครอยู่เหรอตอนนี้” ตึกตัก! ตึกตัก! “คบกับใครอยู่หรือเปล่า” คำถามตรง ๆ ของพี่ทิวทำเอาใบหน้าฉันร้อนเห่อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทำไมต้องรู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายคนนี้ด้วยนะ “ไม่ได้คุยค่ะ ไม่ได้คบกับใคร” พี่ทิวไม่ได้ตอบอะไรแค่อมยิ้มออกมาเท่านั้น ความตั้งใจของฉันจะมาพังไม่เป็นท่าเพียงเพราะรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ไม่ได้นะ เขาไม่ได้บอกว่าชอบเราสักหน่อย อย่าหลงตัวเอง อย่าคิดไปเอง ฉันเตือนตัวเองแบบนี้เสมอในทุก ๆ วันก็เหมือนเดิมค่ะ มองบ้างเวลาเดินผ่าน ฉันไม่มองเขา เขาก็มองฉันจนคนอื่นคิดว่าเรากำลังศึกษาดูใจกันอยู่แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ไม่ใช่คนคุยหรืออะไรทั้งนั้น พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือไม่ได้เป็นอะไรกันนั่นแหละ“งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์กูไม่อยากไปเลย”“ไม่ไปก็ได้ แต่ไม่ได้คะแนน แต่อาจารย์ไม่ได้บังคับนะ”“ใช่ไหม? อาจารย์ไม่บังคับแต่ไม่ให้คะแนน”“เออ”... : ฮ่า ๆอีกสามวันต้องไปดูการทดลองที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ค่ะ แบ่งไปสามวัน ทีละสองระดับฉัน ฉันไปวันที่สามพร้อมพี่มอหก ที่บอกว่าไม่อยากไปคือมันน่าเบื่อไง แต่ดีตรงที่เจอเพื่อนโรงเรียนอื่นด้วยนี่แหละ“ขนมที่มึงคุ้นเคย” ไอ้จูนเอ่ยพร้อมกับคุกกี้ที่วางลงตรงหน้าฉัน“ใครให้เหรอจูน แบ่งกูบ้างสิ” ไอ้น้องแทรกขึ้นมาบ้าง“พี่ทิวฝากมาให้ไอ้ตาล”แอม : เอ็งกับพี่ทิวนี่ยังไง ข้าไม่อยากยุ่งหรอกแต่ข้าอยากรู้พลอย : เออ กูเห็นให้ขนมนี่ตั้งแต่มอหนึ่งละ สรุปยังไง“ไม่ยังไง ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย”ป๊อป : อะไรวะ! สถานะไม่ชัดเจนซะงั้น“กูแค่แอบปลื้มเขาเฉย ๆ ไม่ได้จะอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” ฉันพูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง ยอมรับค่ะว่ามีบ้างที่แอบหวงเวลาที่คนอื่นเข้าใ
หลังจากวันนั้นเวลาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ฉันกับพี่ทิวแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำเพราะเขาติวหนังสือหนักมาก เรียนวิชาเพิ่มเติมเยอะแยะไปหมด เลิกเรียนไม่ตรงกัน แต่ก็ยังพอได้แอบมองตอนเข้าแถวอยู่บ้างแหละ“แป๊บ ๆ ก็จะจบแล้วเศร้าจัง”“บ่นไรหมู”“เอ็งก็เป็นแบบนี้แหละน้ำตาล ทำเป็นเล่นตลอดเลย”“แล้วจะเครียดให้ได้อะไร พูดอย่างกับจบไปแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ”“เวลาเดินโคตรเร็วเลยเนอะ” เวลาเดินเร็วอย่างมันว่านั่นแหละค่ะ สามปีเหมือนนานแต่พอเอาเข้าจริงมันแค่แป๊บเดียวเอง ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ“บ่ายนี้แนะแนวว่ะ รวมกับพี่มอหก” “ไม่ได้เรียนหรอกเหรอ”“สลับคาบไปไว้วันพรุ่งนี้แทน”ตัดมาถึงคาบแนะแนวเลยแล้วกันนะคะ ก็มีการพูดเกี่ยวกับอาชีพ ความฝัน ความเป็นไปได้ รวมไปถึงสิ่งที่อยากเรียนก็ด้วย อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างที่จะผ่อนคลายค่ะ ไม่เข้มงวดจนบรรยากาศในห้องอึดอัด ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งฟังอยู่มีก้อนกระดาษตกลงมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าใครขว้างมาแต่ฉันก็เปิดอ่านนะ ขอเบอร์หน่อย อ่านแล้วก็ขยำมันวางไว้ที่เดิม“อะไรวะ” ไอ้จูนค่ะ“ไม่รู้ของใคร”“กูดูเอง” ไม่พูดเปล่ามันยังอ่านแล้วตอบกลับไปอี
เช้าอีกวันฉันมาเรียนตามปกติพร้อมกับหัวใจที่ห่อเหี่ยว ถามว่าอกหักเหรอก็ไม่ใช่ ไม่รู้ซึมอะไรเหมือนกัน วันนี้ดันมาเช้ากว่าทุกวันอีกด้วยค่ะ เนื่องจากพ่อกับแม่ไปทำงานเร็วฉันเลยต้องเร็วตามไปด้วย เหลือบดูนาฬิกาเพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง พวกมันก็ยังไม่มีใครมาหรอก ฉันเลยเลือกที่จะมานั่งรอในโรงอาหารแทน แต่แค่ไม่นานที่นั่งตรงข้ามกลับมีใครบางคนมานั่งด้วย“ไงเรา มาแต่เช้าเลยนะ”“พี่ริวก็มาเช้าเหมือนกันนะคะ” “ปกติของพี่ครับ เรื่องเมื่อวานพี่ขอโทษแทนเกตุด้วยนะ”“...” ใจจริงฉันอยากจะถามออกไปตรง ๆ เลยด้วยซ้ำว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า ถึงฉันจะไม่ถูกชะตากับพี่เกตุเท่าไหร่แต่ผู้หญิงเหมือนกันมันดูออกค่ะว่าเขารู้สึกกับพี่ทิวมากแค่ไหน“มันไม่ใช่แบบที่เราคิดหรอกนะ” พี่ริวพูดดักทางฉันก่อนเลยค่ะ “พี่รู้เหรอว่าหนูคิดอะไร”“พี่เป็นผู้ชายนะ ... เหมือนกับไอ้ทิวนั่นแหละ”“หนู...”“ไอ้ริว! ไปยุ่งกับน้องอ้วนของไอ้ทิวมันทำไมเดี๋ยวมันก็เตะปากมึงหรอก”“หุบปากไอ้เต้กูว่าไอ้ทิวมันจะเตะปากมึงมากกว่านะ”“ฮ่า ๆ” “ไม่ต้องไปสนใจมัน สนแค่ไอ้ทิวคนเดียวก็พอครับ”“เกี่ยวอะไรกันล่ะคะ”“พี่รู้ว่าเราเข้าใจ” ฉันเข้าใจแล
หลายเดือนผ่านไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้นพี่ทิวก็ไม่เคยอยู่ในสายตาฉันอีกเลยเพราะเขาเอาแต่หลบหน้า เดินสวนกันก็ทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้กลับมาเป็นคนเดิมเสียที ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดไปเองหรือหวั่นไหวอะไรเกี่ยวกับเขาอีก กับไอ้น้องมันก็ไม่พูดกับฉันเหมือนกันค่ะตั้งแต่ไอ้จูนว่าคราวนั้น ฉันเองก็ไม่ได้สนใจไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด แยกแยะไม่ได้ก็แล้วแต่วันเวลายังคงผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงวันปัจฉิมนิเทศ ก่อนหน้าฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่แยกย้ายกันไปเรียน แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับหวิวแปลก ๆ รู้สึกใจหายเหมือนกันมันเป็นกิจกรรมที่ต้องบอกลาและอวยพรในเวลาเดียวกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข ความเศร้าและรอยยิ้ม ฉันได้รับคำอวยพรจากรุ่นพี่รุ่นน้องมากมาย แถมยังได้ของขวัญได้เขียนข้อความต่าง ๆ ลงบนเสื้อนักเรียนเพื่อบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความสุขเคยมีความทรงจำร่วมกันก่อนที่จะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีก รู้สึกเหมือนกำลังจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทุกคนไปเรียนต่อที่อื่นกันหมด เจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ฉันเรียนต่อที่เดิมสายวิทย์คณิต ไอ้จูนไฟฟ้ากำลัง หมูบัญชี
ช่วงปิดเทอมรู้สึกว้าเหว่แปลก ๆ เพราะรู้ดีว่าเปิดเทอมมาจะไม่เจอพวกมันเลยสักคน บรรยากาศคงเดิมแต่ความรู้สึกมันเปลี่ยนระหว่างนี้ฉันก็คุยกับต้นทุกวันนะคะ ค้างสายกันก็บ่อย เท่าที่รู้มาต้นอยู่กับแม่แค่สองคน พ่อมีเมียน้อยและบางครั้งก็สัมผัสได้ว่านางมีปมในใจ แต่ฉันว่ามันก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เป็นใครก็ต้องรู้สึกเป็นธรรมดา (ฮัลโหลตาลยังฟังต้นอยู่ปะเนี่ย)“ฟังอยู่”(แล้วถามทำไมไม่ตอบ)“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”(คิดถึงคนอื่นอะดิ)“เพ้อเจ้อ”(ถามจริงคุยกับใครอยู่หรือเปล่า)“ไม่มี ถ้าคุยกับคนอื่นด้วยจะค้างสายต้นได้เหรอ”(เออ ก็จริงเนอะ)“เป็นเอามาก”(ฮ่า ๆ)ยอมรับค่ะว่ารู้สึกดี ตลอดหลายเดือนที่คุยกันผ่านโทรศัพท์ ต้นมันปลดล็อคฉันหลายเรื่องมาก มันทำให้ฉันรู้สึกกล้าที่จะตอบกลับ กล้าที่จะเผชิญ กล้าที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น อย่างเช่นเรื่องการเดินทาง ฉันเป็นลูกคนเล็กค่ะ แม่ดุและพ่อห่วงมาก แค่ซ้อนมอเตอร์ไซม์พี่สาวไปตลาดยังไม่ได้เลย ระวังขานะลูก ระวังรถล้มนะลูก คือฉันเข้าใจค่ะว่าเป็นห่วง แต่แบบพ่อ! หนูสิบห้าแล้วไง หนูจะเรียนมอปลายแล้วนะ หนูต้องขึ้นรถเมล์ ต้องใช้รถประจำทาง มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันน่ะ
หลังจากเก็บมาคิดอยู่นานในที่สุดฉันก็ตัดสินใจเปิดใจให้กับต้นอย่างเป็นทางการค่ะ เรียกแฟนไม่เต็มปากแต่เวลาไปไหนมาไหนหรือทำอะไร มันจะบอกฉันก่อนเสมอ ซึ่งฉันมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี จะไปเล่นเกมส์ไม่เคยว่า ไปบ้านเพื่อนก็ไม่เคยว่า เพราะรับรู้ตลอดว่าทำอะไรกับใครที่ไหน มันกลายเป็นความสบายใจของเราสองคนมากกว่า“เสาร์นี้ว่างไหม”“ว่างทุกเสาร์ทำไมเหรอ”“เจอกันหน่อยดิ คนละครึ่งทาง”“ได้นะ เดี๋ยวเราไปกับจูน”“โอเค ต้นก็ไปกับไอ้กล้าเพราะมันรู้ทางขึ้นรถสายนั้นบ่อย”“แล้ว...”“คุยกับใคร ตื๊ด... ตื๊ด...ตื๊ด” หลังจากนั้นสายมันก็ตัดไปเลย ฉันโทรกลับไปก็ปิดเครื่องไปแล้วค่ะ เสียงสุดท้ายที่ได้ยินไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ เป็นเสียงผู้หญิงแทรกมาว่าคุยกับใคร หน้าชาไปชั่วขณะ ก็คนมันรู้สึกไปแล้วนี่เนอะ จะไม่ให้คิดอะไรเลยมันก็ไม่ได้หรือเปล่า เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่ฉันพยายามโทรพยายามติดต่อต้น ทั้งเอาเบอร์เพื่อนในกลุ่มโทรไป ให้ไอ้จูนโทรไปมันก็ไม่ติดเหมือนเดิม บางช่วงติดแต่ก็ไม่มีคนรับ จากที่คิดว่ามันเชื่อใจได้ตอนนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว(โหลตาล กูโทรติดแต่ไม่มีคนรับว่ะ)“เออช่างมันเหอะ ขอบใจมากจูนมึงเสียเวลากับกูเยอะเลย”(อย่
ทุกอย่างจะดีขึ้นตามกาลเวลา ประโยคนี้มันโคตรจริง ทุกครั้งที่เสียความรู้สึกไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมันจะติดอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกแล้วแต่มันก็ไม่ลืม ก็คงคล้ายแผลเป็นล่ะมั้ง ไม่เจ็บแต่ก็จำได้ว่าโดนอะไรมาวนกลับมาเรื่องเรียนกันดีกว่าค่ะ มอปลายสำหรับฉันเหมือนมันยากมากเลย ต้องมาเริ่มปรับพื้นฐานตัวเองใหม่เกือบทั้งหมด กว่าจะชินและทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันก็คือต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร เรื่องอื่นฉันตัดทิ้งออกจากสมองไปหมดแล้ว บางอย่างถ้าถึงเวลามันก็คงเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ต้องพยายามไม่ต้องคาดหวัง แบบนี้มันคงจะมีความสุขไม่น้อยฉันคิดแบบนั้นค่ะ“ตาล เลิกเรียนไปร้านสะดวกซื้อเป็นเพื่อนแนนหน่อยสิ”“ไปสิ แต่เดี๋ยวเอาใบงานเคมีไปส่งอาจารย์ก่อนนะ เพิ่งทำเสร็จอะ มันงงเลยใช้เวลาทำความเข้าใจนานหน่อย”“แล้วทำได้หรือยัง เข้าใจหรือเปล่า แนนอธิบายให้ฟังได้นะ”“ขอบใจมาก ตอนนี้เข้าใจแล้ว” ในกลุ่มฉันสนิทกับแนนที่สุดค่ะ แต่กับคนอื่นก็สนิทนะแต่แบบมันยังไม่ถึงที่สุดไง ถึงเวลาเลิกเรียนฉันก็เอาใบงานมาส่ง ระหว่างทางเดินรู้สึกได้เลยว่าแนนมันเงียบ ซึมหงอยแปลก ๆ ปกติมันพูดเก่งมาก“มึงเป็
เช้าวันใหม่กับความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ อาบน้ำแต่งตัวมาโรงเรียนอย่างเช่นทุกวันแต่วันนี้อารมณ์ดีมากค่ะ และแน่นอนว่าออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ในโรงเรียนมันก็จะวังเวงแปลก ๆ เพราะนักเรียนยังไม่มี เพื่อนก็ยังไม่มา ฉันเลยแก้ปัญหาด้วยการเดินตลาดนัดตอนเช้าเพื่อค่าเวลาไปก่อน วันนี้แม่ให้มาสามร้อยค่ะ ปกติได้แปดสิบบาท ไม่ได้ใจดีหรอกนะถูกหวย! ครืด... ครืด...“ว่าไงมึง” ไอ้จูนค่ะ มันไม่ได้หายไปไหนหรอก นาน ๆ จะโทรมาที มันยังโคจรรอบตัวฉันเสมอ(รับสายโคตรเร็ว อยู่ไหนวะ)“ตลาดเนี่ย กูออกมาเร็วไง”(กูก็อยู่ท่ารถเหมือนกัน เดี๋ยวกูเดินเข้าไปหา)“เออ กูอยู่กลางตลาดนะ”(เจอกัน) วางสายแค่ไม่นานมันก็เดินมาหาแล้วค่ะ แต่สีหน้าไม่ค่อยดีเลย“กูมีอะไรจะสารภาพ” “ว่ามา”“กูรับสายไอ้ต้นและเคลียร์ปัญหาทุกอย่างแทนมึงหมดละ ขอโทษด้วยที่ทำอะไรแบบพละการ”“เรื่องมันผ่านไปนานแล้วช่างมันเหอะ มึงจะรู้สึกผิดอะไรนักหนา” ฉันพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนัก เรื่องมันผ่านไปนานแล้วจริง ๆ ไม่ติดใจอะไรทั้งนั้นแหละ“ไม่ได้! กับมึงยิ่งไม่ได้เลย อ๋อ! เรื่องที่แม่มันด่ามึงอะ เขาโทรมาขอโทษแล้วนะเว้ย เขาไม่รู้ว่ามึงกับไอ้ต้นยังไม่ได้เป็นอะไ
ชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั
นานนับชั่วโมงที่ฉันจมอยู่กับความรู้สึกนี้ น้ำตาก็พาลไหลออกมาไม่หยุดเลยมันคิดไปหมดทุกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แล้วพี่ทิวนอกใจฉันจริง ๆ อย่างนั้นเหรอไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จนตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมจนบานประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับแสงไฟที่ส่องสว่าง“ทำไมไม่เปิดไฟครับ แล้วกลับมาก่อนทำไมไม่โทรบอกพี่” “หนูโทรแล้วแต่ไม่ติด”“โกหก! พี่เช็กดูแล้วไม่มีใครโทรมา”“ก็หนูโทรแล้วมันไม่ติดจริง ๆ” ฉันยังคงแถไปแบบนั้น “พี่เปลี่ยนน้ำหอมแล้วเหรอคะกลิ่นนี้หอมดีนะ” พี่ทิวหน้าเจื่อนไปเลยค่ะเมื่อฉันถามออกไปแบบนั้น “หนูอาบน้ำก่อนแล้วกัน เหนื่อย...” เหนื่อยที่ต้องรู้สึกเหนื่อยที่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ เหนื่อยที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จฉันก็เข้าห้องนอนทันที ปวดหัว ปวดตา ปวดไปหมดทุกอย่าง ไม่อยากรู้สึกไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ถ้าเขาหมดรัก หรือรักฉันน้อยลงเขาก็ควรจะบอก ไม่ควรทำกับฉันแบบนี้ ไม่ควรเลยจริง ๆ แค่เพียงไม่นานประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงที่ฉันคุ้นเคย “เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงข้างฉัน“ปวดหัวค่ะ อยากนอน”
หลายเดือนผ่านไป ตั้งแต่พี่ทิวกลับมาจากญี่ปุ่นฉันรู้สึกว่าพฤติกรรมเขาเปลี่ยนไปไม่เชิงว่าไม่เหมือนเดิมแต่เขาออกจากห้องบ่อยและกลับไม่ตรงเวลา อย่างเช่นวันนี้(พี่ยังทำธุระไม่เสร็จ หนูกลับห้องก่อนเลยนะพี่น่าจะดึก)“ค่ะ พี่ก็ขับรถดี ๆ นะ”(ครับ)ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะพูดว่าเดี๋ยวพี่ไปรับหรือไม่ก็ต้องรีบมารับฉันก่อน เขาจะละเว้นทุกอย่างเพื่อฉันเสมอแม้ว่าฉันจะดึงดันแค่ไหนพี่ทิวก็ไม่มีทางให้ฉันกลับเองเด็ดขาด แต่วันนี้...“เดี๋ยวเราไปส่งก็ได้ พี่เขาอาจจะงานเยอะอย่าคิดมาก” ภามเอ่ย“อืม”กลับถึงห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแหงนดูนาฬิกาจะสามทุ่มแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าพี่ทิวจะมา รอจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีตอนที่แผ่นหลังแตะสัมผัสกับที่นอนนุ่ม ๆ นั่นแหละ“เพิ่งมาเหรอคะ” เอ่ยถามก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาตีสองแล้วค่ะ“ครับ งานผิดพลาดนิดหน่อยพี่เลยต้องไปดูด้วยตัวเอง นอนเนอะพี่ง่วงแล้ว” พูดจบเขาก็ปิดไฟที่หัวเตียงแล้วกอดฉันอย่างเช่นทุกคืนรอจนแน่ใจว่าพี่ทิวหลับแล้วฉันจึงค่อย ๆ คลายกอดแล้วลงจากเตียงให้เบาที่สุด จากนั้นตรงไปยังตะกร้าผ้าทันทีหยิบชุดที่เขาสวมใส่ก่อนหน้านี้มาสูดดมว่ามีกลิ่นอื่นปะปนม
สามเดือนมานี้เป็นอะไรที่โหดมากสำหรับผม ไม่ว่าจะเรื่องงานรวมไปถึงหัวใจก็ด้วย ไหนจะแม่กับยายอีก มันเครียดและกังวลกดดันไปหมดทุกอย่างเพียงแต่ผมไม่แสดงออกให้ใครเห็นเท่านั้นเอง “หนูรู้สึกว่าพี่กลับมาก่อนเวลาหรือเปล่า?” น้ำเสียงใสเอ่ยพลางทำหน้าครุ่นคิด“คิดถึงเด็กอ้วนไงเลยไม่อยากอยู่นาน”“ความจริง?”“งานพี่เสร็จก่อนเลยขอกลับก่อน” น้องยังคงจ้องหน้าผมหวังจะเอาคำตอบอยู่แบบนั้น ขืนบอกไปว่าโหมงานเพื่อจะให้เสร็จเร็ว ๆ ก็ถูกโกรธกันพอดี “มองหน้าแบบนี้อยากมีเรื่องหรืออยากมีลูก?” “มุขโคตรเก่า”“ฮ่า ๆ พี่ได้พักตั้งหนึ่งอาทิตย์เราไปเที่ยวกันไหม” เฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปก่อนครับเดี๋ยวถูกจับได้“เสียใจด้วยค่ะสาขาหนูหยุดไม่ตรงเสาร์อาทิตย์ ถ้าจะหยุดติดกันสองวันก็คงเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์กลางปีโน่นแหละ ที่เหลือสลับกันหยุดค่ะ”“อันที่จริงทำไมหนูไม่ทำสาขาข้างนอกล่ะ ในห้างกว่าจะเลิกก็ฟ้ามืดแถมวันหยุดก็แทบไม่มีด้วยซ้ำ” ในความคิดผมนะมันเหนื่อยเกินไปครับ แต่ดีตรงที่เข้างานสายกว่าสาขาทั่วไปนั่นแหละ“สนุกดีนะ ถ้ามาทำในวันหยุดตัวเองก็ได้เงินเพิ่มไปอีก แถมยังตื่นสายได้ด้วยนะ แล้วพี่ไม่ต้องห่วงเรื่องกลับมืดนะคะเพราะสาขาหนูเ