หลังจากวันนั้นเวลาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ฉันกับพี่ทิวแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำเพราะเขาติวหนังสือหนักมาก เรียนวิชาเพิ่มเติมเยอะแยะไปหมด เลิกเรียนไม่ตรงกัน แต่ก็ยังพอได้แอบมองตอนเข้าแถวอยู่บ้างแหละ
“แป๊บ ๆ ก็จะจบแล้วเศร้าจัง” “บ่นไรหมู” “เอ็งก็เป็นแบบนี้แหละน้ำตาล ทำเป็นเล่นตลอดเลย” “แล้วจะเครียดให้ได้อะไร พูดอย่างกับจบไปแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ” “เวลาเดินโคตรเร็วเลยเนอะ” เวลาเดินเร็วอย่างมันว่านั่นแหละค่ะ สามปีเหมือนนานแต่พอเอาเข้าจริงมันแค่แป๊บเดียวเอง ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ “บ่ายนี้แนะแนวว่ะ รวมกับพี่มอหก” “ไม่ได้เรียนหรอกเหรอ” “สลับคาบไปไว้วันพรุ่งนี้แทน” ตัดมาถึงคาบแนะแนวเลยแล้วกันนะคะ ก็มีการพูดเกี่ยวกับอาชีพ ความฝัน ความเป็นไปได้ รวมไปถึงสิ่งที่อยากเรียนก็ด้วย อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างที่จะผ่อนคลายค่ะ ไม่เข้มงวดจนบรรยากาศในห้องอึดอัด ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งฟังอยู่มีก้อนกระดาษตกลงมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าใครขว้างมาแต่ฉันก็เปิดอ่านนะ ขอเบอร์หน่อย อ่านแล้วก็ขยำมันวางไว้ที่เดิม “อะไรวะ” ไอ้จูนค่ะ “ไม่รู้ของใคร” “กูดูเอง” ไม่พูดเปล่ามันยังอ่านแล้วตอบกลับไปอีกด้วย “เขียนอะไรน่ะ” “ถามใครครับ ปาให้แม่น ๆ หน่อย” ตอบเสร็จก็ปาไปหลังห้องที่พี่มอหกนั่งอยู่ เป็นทิศทางเดียวกับตอนที่ถูกปามาเช่นกันค่ะ เลิกสนใจกระดาษนั่นแล้วอยู่กับความคิดตัวเองต่อ ในหัวของฉันตอนนี้มันว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจบมอสามแล้วจะเรียนต่ออะไร ปึก! คราวนี้มันลงหัวฉันเต็ม ๆ เลยค่ะ เบือนหน้าไปมองก็ไม่มีใครสนใจนอกจากสายตาแสนจะเย็นชาของพี่ทิวที่กำลังจ้องมองฉันอยู่ “มานี่กูอ่านเอง” ไอ้จูนมันว่าก่อนจะหยิบก้อนกระดาษไปแต่ฉันกลับรั้งมันไว้ซะก่อน “ช่างมันเหอะ ไร้สาระ” “เอาตามนี้?” “เออ” หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนกระทั่งหมดชั่วโมงและได้เวลากลับบ้าน “รอนี่นะกูไปเอารถก่อน” “แล้วอ้อล่ะ” “มันซ้อมเต้นเลิกสามทุ่ม เดี๋ยวอาจารย์ไปส่ง” “โอเค” ตกลงกับไอ้จูนเสร็จก็ออกมารอมันตรงหลังโรงเรียน เพราะมันเอารถไปจอดไว้อีกที่หนึ่ง บ้านฉันถึงก่อนบ้านมันค่ะจะบอกว่าเป็นทางผ่านก็ได้แหละ “ทิวรอด้วยสิ เรียกไม่หันเลยนะ ไม่เห็นต้องเมินเกตุขนาดนี้” “มีไร?” “ทิว...” “ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัว” พูดจบพี่ทิวก็เดินตรงมาทางฉันแล้วหยุดยืนตรงหน้า “รอใคร” “ไอ้จูน” “ขอบคุณที่ไม่ตอบอะไรในกระดาษแผ่นนั้น” ฉันมองหน้าพี่ทิวนิ่ง ๆ ก่อนจะตั้งคำถามออกไป “ในนั้นมีอะไรเหรอคะ” “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องรู้หรอก” เขาว่ายิ้ม ๆ แต่มันกลับทำให้ฉันอยากรู้ขึ้นไปอีก ผลัก! “อ๊ะ!” “กูบอกมึงว่าไงอีเหี้ย!” พี่เกตุเดินเข้ามาผลักฉันเต็มแรงก่อนจะชี้หน้าและด่าทอออกมาอย่างไม่พอใจ “กูเคยบอกแล้วใช่ไหม” พี่ทิวเอาตัวเองบังฉันไว้แล้วหันไปเผชิญหน้ากับพี่เกตุแทน น้ำเสียงและการพูดจาของเขาโคตรจะไร้เยื่อใยเลยค่ะ “ทิวก็รู้ว่าเราคิดยังไง ตั้งสามปีมันไม่มีความหมายเลยเหรอวะ” “อะไรที่กูไม่ได้สนใจมันไม่เคยมีความหมายทั้งนั้นแหละ มึงช่วยเลิกระรานคนอื่นจะได้ไหม ถ้ายังอยากเหลือคำว่าเพื่อนอยู่ช่วยกรุณาอย่าล้ำเส้นกูด้วย” “กูถามจริง ๆ เหอะมึงมีหัวใจบ้างไหม ฮึก..มีความรู้สึกเหมือนกูบ้างไหม” “...” ทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ความรู้สึกตอนนี้เหมือนฉันเป็นคนมาทีหลังแล้วทำให้เขาสองคนทะเลาะกันเลย “เกิดอะไรขึ้นวะ” พี่ริววิ่งมาก่อนจะมองหน้าฉันกับพี่เกตุสลับกัน “กูบอกมึงกี่รอบแล้วเกตุ” “ฮึก! ทำไมล่ะ ที่ผ่านมาพวกมึงก็รู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับทิว แล้วทำไมมึงยังเข้าข้างมันอีก” “เพราะมันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงไงเกตุ ถ้ามึงไม่อยากเสียเพื่อนมึงอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหม แล้วเนี่ยมึงมาโวยวายใส่น้องมันมันถูกเหรอวะ กูไม่ได้เข้าข้างไอ้ทิวแต่กูพูดตามความจริงมึงสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันเพราะฉะนั้นมึงไม่มีสิทธิ์” “แล้วมันมีสิทธิ์เหี้ยอะไร มันก็ไม่ได้เป็นอะไรเหมือนกัน” “แต่ไอ้ทิวมันชอบน้อง มันไม่ได้ชอบมึง! เลิกบ้าสักที!!” พี่ริวตวาดออกไปอย่างเหลืออด ฉันได้ยินทุกอย่างชัดถ้อยชัดคำ มันจะดีกว่านี้หากว่าพี่ทิวเป็นคนพูดคำนั้นออกมาจากปากตัวเอง “ตาล! มึงทำอะไรเพื่อนกู” ไอ้จูนมาถึงมันก็ตั้งท่าจะเข้าไปหาพี่เกตุทันที “มึงใจเย็น ๆ กูไม่เป็นอะไร” “มึงก็เป็นแบบนี้แหละ ครั้งก่อนที่ห้องน้ำมึงคิดว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นหรือไง” “เออมันจบไปแล้วเลิกพูดเหอะกลับบ้าน” “เดี๋ยว! เรื่องที่ห้องน้ำหมายความว่ายังไง” พี่ทิวเอ่ยถามพลางมองหน้าฉันกับไอ้จูนหวังจะเอาคำตอบ “จะหมายความว่ายังไงพี่สนใจด้วยเหรอวะ เอาเวลาถามเรื่องนี้ไปหาความมั่นใจหาความชัดเจนของตัวเองดีกว่านะ จะจีบก็จีบดิวะ กั๊กอยู่นั่นแหละ แล้วมึงอีกตัวหนึ่งถ้าไม่เลิกวุ่นวายกับเพื่อนกูนะ มึงเจอกูแน่!” ประโยคหลังไอ้จูนมันหันไปชี้หน้าพี่เกตุค่ะ หลังจากนั้นก็รั้งฉันขึ้นรถและมาส่งบ้านทันที “จูนมึงอย่าขับรถเร็ว กูกลัว” มันไม่ตอบแต่ความเร็วของรถก็ลดลงค่ะ จนกระทั่งถึงบ้านฉัน “โทษละกันที่กูพูดแรง ๆ ออกไปแบบนั้น” “ไม่เป็นไร มึงก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่” “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปความสัมพันธ์ของมึงกับเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้” “เพ้อเจ้อ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้นแหละ จุดเริ่มต้นมันยังไม่เคยมีเลยด้วยซ้ำ” “มีอะไรโทรหากูละกัน” “อืม ขอบใจมาก ขับรถดี ๆ ” คล้อยหลังไอ้จูนฉันก็กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่ความจริงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว เพราะจุดเริ่มต้นของพวกเรามันไม่เคยมีด้วยซ้ำเช้าอีกวันฉันมาเรียนตามปกติพร้อมกับหัวใจที่ห่อเหี่ยว ถามว่าอกหักเหรอก็ไม่ใช่ ไม่รู้ซึมอะไรเหมือนกัน วันนี้ดันมาเช้ากว่าทุกวันอีกด้วยค่ะ เนื่องจากพ่อกับแม่ไปทำงานเร็วฉันเลยต้องเร็วตามไปด้วย เหลือบดูนาฬิกาเพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง พวกมันก็ยังไม่มีใครมาหรอก ฉันเลยเลือกที่จะมานั่งรอในโรงอาหารแทน แต่แค่ไม่นานที่นั่งตรงข้ามกลับมีใครบางคนมานั่งด้วย“ไงเรา มาแต่เช้าเลยนะ”“พี่ริวก็มาเช้าเหมือนกันนะคะ” “ปกติของพี่ครับ เรื่องเมื่อวานพี่ขอโทษแทนเกตุด้วยนะ”“...” ใจจริงฉันอยากจะถามออกไปตรง ๆ เลยด้วยซ้ำว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า ถึงฉันจะไม่ถูกชะตากับพี่เกตุเท่าไหร่แต่ผู้หญิงเหมือนกันมันดูออกค่ะว่าเขารู้สึกกับพี่ทิวมากแค่ไหน“มันไม่ใช่แบบที่เราคิดหรอกนะ” พี่ริวพูดดักทางฉันก่อนเลยค่ะ “พี่รู้เหรอว่าหนูคิดอะไร”“พี่เป็นผู้ชายนะ ... เหมือนกับไอ้ทิวนั่นแหละ”“หนู...”“ไอ้ริว! ไปยุ่งกับน้องอ้วนของไอ้ทิวมันทำไมเดี๋ยวมันก็เตะปากมึงหรอก”“หุบปากไอ้เต้กูว่าไอ้ทิวมันจะเตะปากมึงมากกว่านะ”“ฮ่า ๆ” “ไม่ต้องไปสนใจมัน สนแค่ไอ้ทิวคนเดียวก็พอครับ”“เกี่ยวอะไรกันล่ะคะ”“พี่รู้ว่าเราเข้าใจ” ฉันเข้าใจแล
หลายเดือนผ่านไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้นพี่ทิวก็ไม่เคยอยู่ในสายตาฉันอีกเลยเพราะเขาเอาแต่หลบหน้า เดินสวนกันก็ทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้กลับมาเป็นคนเดิมเสียที ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดไปเองหรือหวั่นไหวอะไรเกี่ยวกับเขาอีก กับไอ้น้องมันก็ไม่พูดกับฉันเหมือนกันค่ะตั้งแต่ไอ้จูนว่าคราวนั้น ฉันเองก็ไม่ได้สนใจไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด แยกแยะไม่ได้ก็แล้วแต่วันเวลายังคงผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงวันปัจฉิมนิเทศ ก่อนหน้าฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่แยกย้ายกันไปเรียน แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับหวิวแปลก ๆ รู้สึกใจหายเหมือนกันมันเป็นกิจกรรมที่ต้องบอกลาและอวยพรในเวลาเดียวกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข ความเศร้าและรอยยิ้ม ฉันได้รับคำอวยพรจากรุ่นพี่รุ่นน้องมากมาย แถมยังได้ของขวัญได้เขียนข้อความต่าง ๆ ลงบนเสื้อนักเรียนเพื่อบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความสุขเคยมีความทรงจำร่วมกันก่อนที่จะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีก รู้สึกเหมือนกำลังจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทุกคนไปเรียนต่อที่อื่นกันหมด เจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ฉันเรียนต่อที่เดิมสายวิทย์คณิต ไอ้จูนไฟฟ้ากำลัง หมูบัญชี
ช่วงปิดเทอมรู้สึกว้าเหว่แปลก ๆ เพราะรู้ดีว่าเปิดเทอมมาจะไม่เจอพวกมันเลยสักคน บรรยากาศคงเดิมแต่ความรู้สึกมันเปลี่ยนระหว่างนี้ฉันก็คุยกับต้นทุกวันนะคะ ค้างสายกันก็บ่อย เท่าที่รู้มาต้นอยู่กับแม่แค่สองคน พ่อมีเมียน้อยและบางครั้งก็สัมผัสได้ว่านางมีปมในใจ แต่ฉันว่ามันก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เป็นใครก็ต้องรู้สึกเป็นธรรมดา (ฮัลโหลตาลยังฟังต้นอยู่ปะเนี่ย)“ฟังอยู่”(แล้วถามทำไมไม่ตอบ)“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”(คิดถึงคนอื่นอะดิ)“เพ้อเจ้อ”(ถามจริงคุยกับใครอยู่หรือเปล่า)“ไม่มี ถ้าคุยกับคนอื่นด้วยจะค้างสายต้นได้เหรอ”(เออ ก็จริงเนอะ)“เป็นเอามาก”(ฮ่า ๆ)ยอมรับค่ะว่ารู้สึกดี ตลอดหลายเดือนที่คุยกันผ่านโทรศัพท์ ต้นมันปลดล็อคฉันหลายเรื่องมาก มันทำให้ฉันรู้สึกกล้าที่จะตอบกลับ กล้าที่จะเผชิญ กล้าที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น อย่างเช่นเรื่องการเดินทาง ฉันเป็นลูกคนเล็กค่ะ แม่ดุและพ่อห่วงมาก แค่ซ้อนมอเตอร์ไซม์พี่สาวไปตลาดยังไม่ได้เลย ระวังขานะลูก ระวังรถล้มนะลูก คือฉันเข้าใจค่ะว่าเป็นห่วง แต่แบบพ่อ! หนูสิบห้าแล้วไง หนูจะเรียนมอปลายแล้วนะ หนูต้องขึ้นรถเมล์ ต้องใช้รถประจำทาง มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันน่ะ
หลังจากเก็บมาคิดอยู่นานในที่สุดฉันก็ตัดสินใจเปิดใจให้กับต้นอย่างเป็นทางการค่ะ เรียกแฟนไม่เต็มปากแต่เวลาไปไหนมาไหนหรือทำอะไร มันจะบอกฉันก่อนเสมอ ซึ่งฉันมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี จะไปเล่นเกมส์ไม่เคยว่า ไปบ้านเพื่อนก็ไม่เคยว่า เพราะรับรู้ตลอดว่าทำอะไรกับใครที่ไหน มันกลายเป็นความสบายใจของเราสองคนมากกว่า“เสาร์นี้ว่างไหม”“ว่างทุกเสาร์ทำไมเหรอ”“เจอกันหน่อยดิ คนละครึ่งทาง”“ได้นะ เดี๋ยวเราไปกับจูน”“โอเค ต้นก็ไปกับไอ้กล้าเพราะมันรู้ทางขึ้นรถสายนั้นบ่อย”“แล้ว...”“คุยกับใคร ตื๊ด... ตื๊ด...ตื๊ด” หลังจากนั้นสายมันก็ตัดไปเลย ฉันโทรกลับไปก็ปิดเครื่องไปแล้วค่ะ เสียงสุดท้ายที่ได้ยินไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ เป็นเสียงผู้หญิงแทรกมาว่าคุยกับใคร หน้าชาไปชั่วขณะ ก็คนมันรู้สึกไปแล้วนี่เนอะ จะไม่ให้คิดอะไรเลยมันก็ไม่ได้หรือเปล่า เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่ฉันพยายามโทรพยายามติดต่อต้น ทั้งเอาเบอร์เพื่อนในกลุ่มโทรไป ให้ไอ้จูนโทรไปมันก็ไม่ติดเหมือนเดิม บางช่วงติดแต่ก็ไม่มีคนรับ จากที่คิดว่ามันเชื่อใจได้ตอนนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว(โหลตาล กูโทรติดแต่ไม่มีคนรับว่ะ)“เออช่างมันเหอะ ขอบใจมากจูนมึงเสียเวลากับกูเยอะเลย”(อย่
ทุกอย่างจะดีขึ้นตามกาลเวลา ประโยคนี้มันโคตรจริง ทุกครั้งที่เสียความรู้สึกไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมันจะติดอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกแล้วแต่มันก็ไม่ลืม ก็คงคล้ายแผลเป็นล่ะมั้ง ไม่เจ็บแต่ก็จำได้ว่าโดนอะไรมาวนกลับมาเรื่องเรียนกันดีกว่าค่ะ มอปลายสำหรับฉันเหมือนมันยากมากเลย ต้องมาเริ่มปรับพื้นฐานตัวเองใหม่เกือบทั้งหมด กว่าจะชินและทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันก็คือต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร เรื่องอื่นฉันตัดทิ้งออกจากสมองไปหมดแล้ว บางอย่างถ้าถึงเวลามันก็คงเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ต้องพยายามไม่ต้องคาดหวัง แบบนี้มันคงจะมีความสุขไม่น้อยฉันคิดแบบนั้นค่ะ“ตาล เลิกเรียนไปร้านสะดวกซื้อเป็นเพื่อนแนนหน่อยสิ”“ไปสิ แต่เดี๋ยวเอาใบงานเคมีไปส่งอาจารย์ก่อนนะ เพิ่งทำเสร็จอะ มันงงเลยใช้เวลาทำความเข้าใจนานหน่อย”“แล้วทำได้หรือยัง เข้าใจหรือเปล่า แนนอธิบายให้ฟังได้นะ”“ขอบใจมาก ตอนนี้เข้าใจแล้ว” ในกลุ่มฉันสนิทกับแนนที่สุดค่ะ แต่กับคนอื่นก็สนิทนะแต่แบบมันยังไม่ถึงที่สุดไง ถึงเวลาเลิกเรียนฉันก็เอาใบงานมาส่ง ระหว่างทางเดินรู้สึกได้เลยว่าแนนมันเงียบ ซึมหงอยแปลก ๆ ปกติมันพูดเก่งมาก“มึงเป็
เช้าวันใหม่กับความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ อาบน้ำแต่งตัวมาโรงเรียนอย่างเช่นทุกวันแต่วันนี้อารมณ์ดีมากค่ะ และแน่นอนว่าออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ในโรงเรียนมันก็จะวังเวงแปลก ๆ เพราะนักเรียนยังไม่มี เพื่อนก็ยังไม่มา ฉันเลยแก้ปัญหาด้วยการเดินตลาดนัดตอนเช้าเพื่อค่าเวลาไปก่อน วันนี้แม่ให้มาสามร้อยค่ะ ปกติได้แปดสิบบาท ไม่ได้ใจดีหรอกนะถูกหวย! ครืด... ครืด...“ว่าไงมึง” ไอ้จูนค่ะ มันไม่ได้หายไปไหนหรอก นาน ๆ จะโทรมาที มันยังโคจรรอบตัวฉันเสมอ(รับสายโคตรเร็ว อยู่ไหนวะ)“ตลาดเนี่ย กูออกมาเร็วไง”(กูก็อยู่ท่ารถเหมือนกัน เดี๋ยวกูเดินเข้าไปหา)“เออ กูอยู่กลางตลาดนะ”(เจอกัน) วางสายแค่ไม่นานมันก็เดินมาหาแล้วค่ะ แต่สีหน้าไม่ค่อยดีเลย“กูมีอะไรจะสารภาพ” “ว่ามา”“กูรับสายไอ้ต้นและเคลียร์ปัญหาทุกอย่างแทนมึงหมดละ ขอโทษด้วยที่ทำอะไรแบบพละการ”“เรื่องมันผ่านไปนานแล้วช่างมันเหอะ มึงจะรู้สึกผิดอะไรนักหนา” ฉันพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนัก เรื่องมันผ่านไปนานแล้วจริง ๆ ไม่ติดใจอะไรทั้งนั้นแหละ“ไม่ได้! กับมึงยิ่งไม่ได้เลย อ๋อ! เรื่องที่แม่มันด่ามึงอะ เขาโทรมาขอโทษแล้วนะเว้ย เขาไม่รู้ว่ามึงกับไอ้ต้นยังไม่ได้เป็นอะไ
“เฮ้อ...” “สัส! ทีอย่างนี้มานั่งถอนหายใจอยู่ได้ ผ่านมาไม่รู้ตั้งกี่ปีแทนที่จะทำให้มันชัดเจน เสือกทำให้ยุ่งยากเข้าไปอีก” “เออ มึงไม่จีบแต่แรกวะ”“จีบอะไร ... ก็แค่ความรักเด็ก ๆ”“หึ! ความรักเด็ก ๆ แต่ก็ตามเฝ้าจนน้องมันโตเป็นสาวละ”“...” ถ้าจะถามหาจุดเริ่มต้น คงเป็นตอนที่ผมถูกเพื่อนในห้องแซวว่ามีเด็กอ้วนมาแอบชอบล่ะมั้ง ตอบตามความจริงตอนนั้นเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร น้องเองก็ไม่เคยเข้ามายุ่งวุ่นวายกับผมเหมือนคนอื่นมีบ้างที่เปลี่ยนคาบเรียนเดินสวนกันแล้วมอง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร น้องไม่เคยเข้าหาผม ไม่เคยทักผมเลย ถ้าจะพูดให้ถูกผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงของเธอเลยด้วยซ้ำ จะได้ยินก็แต่เสียงกวนอารมณ์ของไอ้เต้กับไอ้ริวนี่แหละ“ถ้าผอมนะ น่ารักมากเลย” เป็นประโยคที่ไอ้ริวเคยพูดไว้ ผมคิดนะถ้าไม่ผอมคือไม่สวยเหรอ ผู้หญิงหลายคนจะมีความคิดแบบนี้หรือเปล่า แต่สำหรับผู้ชายอย่างผมมันไม่ใช่ครับ ถ้าชอบก็คือชอบไม่ผอมก็ยังชอบอยู่ดีนั่นแหละ“ไอ้เหี้ยทิว!”“เออ มึงจะด่าทำไมวะ” ถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์มากนัก“กูเรียกนานแล้วไหม? มัวคิดอะไรอยู่น้องตาลเดินหายไปไหนแล้ว มึงเนี่ยช้าฉิบหายเลย ความคิดก็ช้า ความรู้สึกยิ่งโ
นี่ไม่ใช่ความฝันแน่ ๆ ฉันควรรู้สึกยังไงดีที่พี่ทิวรับรู้มาตลอดว่าฉันแอบชอบเขา แต่เขาจะรู้บ้างไหมว่าฉันไม่เคยคาดหวังกับความสัมพันธ์ในจินตนาการของตัวเองเลยเพราะรู้ดีว่าโลกความเป็นจริงมันตรงข้ามกันมาก“คุยกับใครอยู่หรือเปล่า” พี่ทิวตั้งคำถามอีกครั้งหลังจากเห็นฉันเงียบอยู่นาน“คุย ... คนคุยน่ะเหรอคะ”“อืม”“ไม่มีค่ะ คุยไปก็เท่านั้นแหละ เสียเวลา เสียความรู้สึกอีกด้วย”“...” “เอ่อ...” ฉันพลั้งปากพูดความรู้สึกตัวเองออกมาซะแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็เข็ดนั่นแหละจากกรณีของต้นไง มันเสียความรู้สึกมากหนำซ้ำยังถูกแม่เขาต่อว่าอีกด้วย“พูดต่อสิ พี่รอฟังอยู่” น้ำเสียงของพี่ทิวปกติมาก แต่แววตาของเขามันนิ่งจนฉันรู้สึกประหม่า“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ช่างมันเถอะ” “จบไม่ดีสินะ” จบอะไรของเขา? ฉันกับต้นยังไม่เคยเริ่มอะไรด้วยกันเลยมั้งแค่คุยกันเฉย ๆ ไม่ได้มีสถานะสักหน่อย “ไม่สิ! ไม่ได้คบกันสักหน่อย” เขาว่าพลางเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์“บางทีพี่ก็รู้เรื่องของหนูเยอะไปนะ” ฉันคิดมาตลอดว่าตัวเองรู้จักเขาพอสมควร แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ตัวตนที่แท้จริงของพี่ทิวมันมีอะไรให้ค้นหามากกว่าที่เห็นซะอีก“เขารู้กันหมดครับ มีแต่หนูน
ชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั
นานนับชั่วโมงที่ฉันจมอยู่กับความรู้สึกนี้ น้ำตาก็พาลไหลออกมาไม่หยุดเลยมันคิดไปหมดทุกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แล้วพี่ทิวนอกใจฉันจริง ๆ อย่างนั้นเหรอไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่จนตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมจนบานประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับแสงไฟที่ส่องสว่าง“ทำไมไม่เปิดไฟครับ แล้วกลับมาก่อนทำไมไม่โทรบอกพี่” “หนูโทรแล้วแต่ไม่ติด”“โกหก! พี่เช็กดูแล้วไม่มีใครโทรมา”“ก็หนูโทรแล้วมันไม่ติดจริง ๆ” ฉันยังคงแถไปแบบนั้น “พี่เปลี่ยนน้ำหอมแล้วเหรอคะกลิ่นนี้หอมดีนะ” พี่ทิวหน้าเจื่อนไปเลยค่ะเมื่อฉันถามออกไปแบบนั้น “หนูอาบน้ำก่อนแล้วกัน เหนื่อย...” เหนื่อยที่ต้องรู้สึกเหนื่อยที่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ เหนื่อยที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จฉันก็เข้าห้องนอนทันที ปวดหัว ปวดตา ปวดไปหมดทุกอย่าง ไม่อยากรู้สึกไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ถ้าเขาหมดรัก หรือรักฉันน้อยลงเขาก็ควรจะบอก ไม่ควรทำกับฉันแบบนี้ ไม่ควรเลยจริง ๆ แค่เพียงไม่นานประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงที่ฉันคุ้นเคย “เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงข้างฉัน“ปวดหัวค่ะ อยากนอน”
หลายเดือนผ่านไป ตั้งแต่พี่ทิวกลับมาจากญี่ปุ่นฉันรู้สึกว่าพฤติกรรมเขาเปลี่ยนไปไม่เชิงว่าไม่เหมือนเดิมแต่เขาออกจากห้องบ่อยและกลับไม่ตรงเวลา อย่างเช่นวันนี้(พี่ยังทำธุระไม่เสร็จ หนูกลับห้องก่อนเลยนะพี่น่าจะดึก)“ค่ะ พี่ก็ขับรถดี ๆ นะ”(ครับ)ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะพูดว่าเดี๋ยวพี่ไปรับหรือไม่ก็ต้องรีบมารับฉันก่อน เขาจะละเว้นทุกอย่างเพื่อฉันเสมอแม้ว่าฉันจะดึงดันแค่ไหนพี่ทิวก็ไม่มีทางให้ฉันกลับเองเด็ดขาด แต่วันนี้...“เดี๋ยวเราไปส่งก็ได้ พี่เขาอาจจะงานเยอะอย่าคิดมาก” ภามเอ่ย“อืม”กลับถึงห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแหงนดูนาฬิกาจะสามทุ่มแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าพี่ทิวจะมา รอจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีตอนที่แผ่นหลังแตะสัมผัสกับที่นอนนุ่ม ๆ นั่นแหละ“เพิ่งมาเหรอคะ” เอ่ยถามก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาตีสองแล้วค่ะ“ครับ งานผิดพลาดนิดหน่อยพี่เลยต้องไปดูด้วยตัวเอง นอนเนอะพี่ง่วงแล้ว” พูดจบเขาก็ปิดไฟที่หัวเตียงแล้วกอดฉันอย่างเช่นทุกคืนรอจนแน่ใจว่าพี่ทิวหลับแล้วฉันจึงค่อย ๆ คลายกอดแล้วลงจากเตียงให้เบาที่สุด จากนั้นตรงไปยังตะกร้าผ้าทันทีหยิบชุดที่เขาสวมใส่ก่อนหน้านี้มาสูดดมว่ามีกลิ่นอื่นปะปนม
สามเดือนมานี้เป็นอะไรที่โหดมากสำหรับผม ไม่ว่าจะเรื่องงานรวมไปถึงหัวใจก็ด้วย ไหนจะแม่กับยายอีก มันเครียดและกังวลกดดันไปหมดทุกอย่างเพียงแต่ผมไม่แสดงออกให้ใครเห็นเท่านั้นเอง “หนูรู้สึกว่าพี่กลับมาก่อนเวลาหรือเปล่า?” น้ำเสียงใสเอ่ยพลางทำหน้าครุ่นคิด“คิดถึงเด็กอ้วนไงเลยไม่อยากอยู่นาน”“ความจริง?”“งานพี่เสร็จก่อนเลยขอกลับก่อน” น้องยังคงจ้องหน้าผมหวังจะเอาคำตอบอยู่แบบนั้น ขืนบอกไปว่าโหมงานเพื่อจะให้เสร็จเร็ว ๆ ก็ถูกโกรธกันพอดี “มองหน้าแบบนี้อยากมีเรื่องหรืออยากมีลูก?” “มุขโคตรเก่า”“ฮ่า ๆ พี่ได้พักตั้งหนึ่งอาทิตย์เราไปเที่ยวกันไหม” เฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปก่อนครับเดี๋ยวถูกจับได้“เสียใจด้วยค่ะสาขาหนูหยุดไม่ตรงเสาร์อาทิตย์ ถ้าจะหยุดติดกันสองวันก็คงเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์กลางปีโน่นแหละ ที่เหลือสลับกันหยุดค่ะ”“อันที่จริงทำไมหนูไม่ทำสาขาข้างนอกล่ะ ในห้างกว่าจะเลิกก็ฟ้ามืดแถมวันหยุดก็แทบไม่มีด้วยซ้ำ” ในความคิดผมนะมันเหนื่อยเกินไปครับ แต่ดีตรงที่เข้างานสายกว่าสาขาทั่วไปนั่นแหละ“สนุกดีนะ ถ้ามาทำในวันหยุดตัวเองก็ได้เงินเพิ่มไปอีก แถมยังตื่นสายได้ด้วยนะ แล้วพี่ไม่ต้องห่วงเรื่องกลับมืดนะคะเพราะสาขาหนูเ