ระหว่างทางเดินกลับเรือนใหญ่ จู่ๆ สายฝนก็กระหน่ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า หากยังดีที่เรือนเล็กกับเรือนใหญ่มีระเบียงที่ทอดยาวเชื่อมเรือนทั้งสองหลังเอาไว้ด้วยกันทำให้เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานไม่ต้องลุยฝนกลับเรือน
"ท่านพี่" ชายเสื้อของคนตัวโตถูกดึงกระตุกเบาๆ จากคนที่เดินตามหลัง เปาอี้ส่วงจึงหยุดเดินหันกลับมาหาคนที่เป็นต้นเหตุ "ท่านย่าเป็นคนเข้มงวด หากยังไม่ชินจะรู้สึกว่าเป็นคนดุ เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย" เปาอี้ส่วงคิดว่าสวีอี้ฝานเป็นกังวลเกี่ยวกับฮูหยินผู้เฒ่า เขาจึงอธิบายให้นางเข้าใจ "เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็แยกเรือนกันอยู่ๆ แล้ว" หญิงสาวโบกไม้โบกมือไปมา ไม่ได้มีท่าทีทุกข์อันใดแม้แต่น้อย "แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรกัน" ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ พลันสีหน้าของนางก็ค่อยๆ เจื่อนลง "ท่านพี่บอกว่าคืนนี้จะอุ่นเตียงกับข้านั้นเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องฮูหยินผู้เฒ่า แต่กลับเป็นกังวลเรื่องอุ่นเตียงกับเขางั้นหรือ "ไยถึงถามเช่นนั้น" เปาอี้ส่วงยกมือขึ้นกอดอก ถามเสียงเข้ม "ก็ถ้าหากท่านพี่จะร่วมรักกับข้าวันไหน ท่านพี่ก็ต้องบอกข้าล่วงหน้าสิเจ้าคะ ข้าจะได้เตรียมตัวไว้" 'นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!เจ้าจะหาทางหลบเลี่ยงข้าล่ะสิไม่ว่า' ชายหนุ่มคิดในใจ เขายังจำเหตุการณ์เมื่อคืนที่นางวางยานอนหลับเขาได้ และหากวันนี้นางทำอีก เขาจะจัดการวางแผนตลบหลังนางเสีย! "หากวันไหนข้าคิดอยากจะร่วมรักกับเจ้า ข้าต้องบอกเจ้าล่วงหน้าด้วยหรือ" เขาถามเสียงสูง พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ การร่วมรักกับเขามันน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ "ใช่สิเจ้าคะ" สวีอี้ฝานผงกศีรษะรับหงึกๆ "พอเถิด ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว" ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความรำคาญ ขายาวก้าวดุ่มๆ เดินจากไป ยิ่งคุยกับนางเขาก็ยิ่งปวดหัว แต่สวีอี้ฝานไม่ยอมแพ้ นางรีบสาวเท้าวิ่งตามไปทันที "อีกเรื่องเจ้าค่ะ" "มีอะไรอีก" เขาถามด้วยความหงุดหงิด นางจะอะไรกับเขานักหนา แต่กระนั้นก็ยอมรับฟังแต่โดยดี "ที่เรือนใหญ่ของสกุลเปา ข้านับดูห้องหับคร่าวๆ นับว่ามีเกือบยี่สิบห้อง จะเป็นอะไรหรือไม่ หากข้าจะขอท่านพี่สักหนึ่งห้องให้ห้องนั้นเป็นห้องส่วนตัวของข้าแต่เพียงผู้เดียว" "เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เหตุใดต้องแยกห้องกันด้วยเล่า" "อ้าว บางครั้งคนเราก็ต้องการเวลาส่วนตัวนะเจ้าคะ ท่านพี่ก็ถามแปลกๆ" นางไม่ได้ต้องการเวลาส่วนตัวจริงๆหรอก แค่อยากหลบเลี่ยงเขาก็เท่านั้น 'ข้าน่ะหรือแปลก คนที่แปลกคือเจ้าล่ะสิไม่ว่า' เปาอี้ส่วงคิดในใจ "เอาเถิด อยากได้ห้องไหนก็ไปเลือกเอาก็แล้วกัน" กล่าวจบเปาอี้ส่วงก็เดินจากไป ทว่าเพียงแค่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นร่างเล็กของสวีอี้ฝานวิ่งแจ้นนำหน้าเขาไปเสียแล้วด้วยเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนใจก่อน ขณะที่บรรยากาศภายในเรือนเล็กเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หลังจากที่เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานกลับไป ทั้งจางเข่อซินและหนิงเชาบ่าวรับใช้คนสนิทของนางก็หารือกันอย่างคร่ำเคร่ง "ดูเหมือนว่าเปาฮูหยิน เอ๊ย บุตรสาวสกุลสวีจะเป็นสตรีเจ้ามารยานะเจ้าคะ" "ข้าเองก็คิดเช่นนั้น นางไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆด้วย หลานชายของข้านั่นก็อีกคน หลงนางจนหัวปักหัวปำไปแล้วสิท่า มีอย่างที่ไหนกล้าออกหน้ารับแทนนาง" มือบางกำเข้าหากันพลางทุบลงไปบนพนักวางแขนเสียงดังตุ้บด้วยความโกรธเคือง ในวันที่หวางฮ่องเต้ทรงประกาศสมรสพระราชทานระหว่างเปาอี้ส่วงกับบุตรสาวสกุลสวี นางได้ส่งคนไปสืบเกี่ยวกับนิสัยใจคอของสตรีผู้นั้นพบว่านางเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม ชอบนอนตื่นสาย และชอบแต่งกายงดงามเดินกรีดกรายไปมาอยู่ที่จวน สตรีขี้เกียจสันหลังยาวเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับฐานะฮูหยินสกุลเปาเลยแม้แต่น้อย "เป็นเช่นนี้แล้วฮูหยินจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ" หนิงเชายื่นหน้าเข้ามาใกล้ถามด้วยความใคร่รู้ "ไม่ต้องห่วงหรอก อย่างไรเสียคนที่ข้าจะยอมรับเป็นหลานสะใภ้ก็มีเพียงหงเอ๋อร์เท่านั้น" ฮูหยินผู้เฒ่าเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย แผนการร้ายกาจผุดขึ้นมาในหัว รับรองว่าอีกไม่นาน บุตรสาวสกุลสวีจะต้องรีบเก็บข้าวของหอบผ้าหอบผ่อนวิ่งแจ้นกลับจวนสกุลสวีแทบไม่ทันเลยทีเดียว ยามนี้เวลาเวียนมาถึงยามซวี (19.00 - 20.59 น.) แล้ว ทว่าสายฝนภายนอกยังคงโปรยปรายกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย หลิงหลิงเห็นว่าวันนี้อากาศหนาวเย็นจึงจัดการจุดไฟที่เตาผิงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่เเจ้านายสาว ไม่นานพ่อบ้านหลิวก็เดินมาเคาะห้องรายงานว่าท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงต้องเดินทางเข้าวังหลวงเป็นการด่วน "เข้าวังหลวงงั้นหรือ ในยามนี้เนี่ยนะ?" สวีอี้ฝานถามด้วยความสงสัย นึกแปลกใจไม่น้อยที่ฮ่องเต้เรียกขุนนางเข้าวังหลวงในยามนี้ ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ "เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพยังบอกอีกว่าให้ฮูหยินทานมื้อเย็นและเข้านอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ" สวีอี้ฝานผงกศีรษะรับ ในใจอดเป็นห่วงหวางอ๋องไม่ได้ เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนจะเป็นเรื่องอะไรกันหนอ "ฮูหยินจะรับมื้อเย็นเลยหรือไม่เจ้าคะ" "อืม ดีเหมือนกันข้าหิวแล้ว" ตอบพลางใช้มือลูบท้องป้อยๆ หากวันนี้เปาอี้ส่วงไม่ได้กลับจวนก็ดีเหมือนกัน นางจะหลบเขาอยู่ในห้องนี้และนอนหลับอย่างสบายใจ หลังจากที่ประมุขของจวนอนุญาต สวีอี้ฝานก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการค้นหาห้องที่นางต้องการ ทว่าสวีอี้ฝานเป็นคนฉลาด นางตั้งใจละเว้นห้องที่ใหญ่ที่สุดของเรือน เหตุเพราะคิดว่าห้องนั้นจะต้องเป็นห้องของท่านแม่ทัพเปาเป็นแน่ หลังจากเดินหาอยู่นานสุดท้ายก็ได้ห้องที่ตรงกับความต้องการ ห้องนี้อยู่สุดมุมขวาทางด้านทิศเหนือของจวน มองจากหน้าต่างลงไปแลเห็นสวนอุทยานร่มรื่นสบายตา นั่งผิงไฟได้เพียงไม่นานหลิงหลิงก็เดินกลับมาพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน ในมือของพวกนางยกสำรับอาหารเข้ามา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะกลมพร้อมขยับเข้าไปหยุดยืนรอรับใช้อยู่ที่มุมห้อง ยามนี้สวีอี้ฝานหิวจนไส้กิ่ว ทันทีที่เห็นอาหารตรงหน้านางจึงรีบส่งอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆด้วยความหิว ทว่าทันทีที่ได้รับรู้ถึงรสชาติอาหารนางก็นิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะไอโขลกสำลักจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างน่าสงสาร "ฮูหยินเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ" หลิงหลิงรีบเดินเข้ามารินน้ำชาใส่จอกยื่นให้เจ้านายพลางใช้มือลูบแผ่นหลังบางไปมา "สงวนกิริยาไว้บ้างก็ดีนะเจ้าคะฮูหยิน ที่นี่มิใช่จวนสกุลสวี" สาวใช้คนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนจะหันไปหัวเราะกับสาวใช้อีกคน สวีอี้ฝานเงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกนางกำลังส่งสายตามองมาด้วยความขบขันก็รับรู้ได้ทันทีว่านางกำลังโดนแกล้ง "บังอาจ!" หลิงหลิงตวาดขึ้นเสียงดัง หันขวับไปมองคนพูดอย่างเอาเรื่อง แต่ก่อนที่นางจะทันได้ขยับตัวก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นเสียก่อน ปึง! เสียงตบโต๊ะทำให้สาวใช้ทั้งสองคนถึงกับสะดุ้งโหยง พวกนางรีบก้มหน้างุดไม่กล้าสบสายตา "เจ้าชื่ออะไร" "เฉียวเฉียวเจ้าค่ะ" สาวใช้ที่เป็นหัวโจกคนแรกกล่าวขึ้น น้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย "แล้วเจ้าล่ะ" สวีอี้ฝานชี้นิ้วไปยังสาวใช้อีกคน "เพ่ยหลินเจ้าค่ะ" กล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นสายดุๆกำลังจ้องมองมาก็สะดุ้งโหยงพลางก้มหน้าหลบสายตาเช่นเดิม "การที่ได้กลั่นแกล้งข้าคงทำให้พวกเจ้าสนุกสนานมากสินะ" มือบางยกขึ้นกอดอก ผุดลุกขึ้นเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกนาง "บ่าวไม่ได้กลั่นแกล้งฮูหยินเจ้าค่ะ" เฉียวเฉียวปฏิเสธเสียงแข็ง ท่าทางอ่อนน้อมทว่าหาได้มีความเคารพหวั่นเกรงสวีอี้ฝานเท่าใดนัก "ไม่ได้แกล้งงั้นหรือ ดียิ่ง! เช่นนั้นพวกเจ้าเอาอาหารพวกนี้ไปกินเสียสิ" "หามิได้เจ้าค่ะ พวกบ่าวเป็นแค่บ่าวจะให้ทานสำรับของเจ้านายได้อย่างไรกัน" เพ่ยหลินปฏิเสธอีกคน แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น "ข้าไม่ได้ขอแต่นี่เป็นคำสั่ง หากพวกเจ้าบอกว่าไม่ได้กลั่นแกล้งข้าก็จงมาลองกินอาหารพวกนี้ดูสิ หากพวกเจ้าทนได้และกินจนหมด ข้าจะไม่เอาเรื่อง" ดวงหน้างามก้มต่ำลงมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง วางมือลงบนไหล่บางของเฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินเบาๆเป็นการกดดันทางอ้อม สวีอี้ฝานสังเกตเห็นสาวใช้ทั้งสองคนลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนที่พวกนางจะหันไปพยักหน้าให้กันและเดินมานั่งอยู่ที่โต๊ะกลม ทว่าเพียงแค่ส่งอาหารเข้าปาก พวกนางก็ไอโขลกสำลักออกมาอย่างหนัก อาการเฉกเช่นเดียวกับที่สวีอี้ฝานเป็นเมื่อครู่นี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน "ฮูหยินเจ้าขา พวกบ่าวผิดไปแล้ว อภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ" ใบหน้าของเพ่ยหลินและเฉียวเฉียวแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเกิดจากการร้องไห้หรือเป็นเพราะรสชาติอาหารที่เผ็ดจนแสบท้องกันแน่ "ใครสั่งให้เจ้าทำ" สวีอี้ฝานไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่พวกนางแทน นางมั่นใจว่าลำพังแค่สาวใช้ธรรมดาคงไม่กล้าคิดวางแผนทำร้ายฮูหยินได้เช่นนี้หรอก เรื่องนี้ต้องมีคนบงการซึ่งสวีอี้ฝานก็พอจะเดาได้ว่านางเป็นผู้ใด แต่อย่างไรเสียนางต้องทำให้สาวใช้ทั้งสองคนนี้เป็นฝ่ายยอมเปิดปากยอมรับเสียก่อน จะได้มีหลักฐานนำไปฟ้องเปาอี้ส่วงได้ "เอ่อ คือว่า..." สาวใช้ทั้งสองคนหันมาสบกันกล่าวด้วยน้ำเสียงอึกอัก "ข้าถามว่าใครสั่งให้พวกเจ้าทำ!" เสียงตวาดที่ดังขึ้นทำให้เฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินถึงกับน้ำตาร่วง ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ยามนี้ฮูหยินช่างน่ากลัวเกินเหลือ ก็ไหนท่านป้าหนิงเชาบอกว่าฮูหยินเป็นพวกหัวอ่อน ไม่สู้คนอย่างไรเล่า พวกนางไม่น่าเชื่อท่านป้าหนิงเชาเลย "มะ ไม่มีเจ้าค่ะ พวกบ่าวเป็นคนทำเอง" ในที่สุดเพ่ยหลินก็เปิดปากยอมพูด แต่วาจาของนางไม่ได้ทำสวีอี้ฝานเชื่อแต่อย่างใด "ดี! ไม่ยอมรับใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงกินอาหารพวกนี้ให้หมดเสีย หากกินไม่หมดห้ามผู้ใดก้าวออกจากห้องนี้แม้แต่คนเดียว" สวีอี้ฝานสั่งการเสียงแข็ง จะหาว่านางใจร้ายไม่ได้นะ นางจะร้ายกับคนที่สมควรร้ายด้วยเท่านั้น เพราะความเกรงกลัวฮูหยินผู้เฒ่ามันค้ำคอทำให้เฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินไม่ยอมเปิดปากบอกความจริง พวกนางจำต้องกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะกลมจนหมด ก่อนจะถูกไล่ออกมาจากห้องด้วยสภาพหน้าแดงก่ำ ปากบวมเจ่อราวกับโดนผึ้งต่อยเช้าวันใหม่เวียนมาถึงแล้ว เปาอี้ส่วงหายไปทั้งคืนและไม่ได้กลับมาที่จวนสกุลเปา จวบจนถึงเวลาเช้าสวีอี้ฝานตื่นนอนเขาก็ยังคงไม่กลับมารวมถึงหลูเผิงเองก็หายไปด้วยเเช่นกัน 'นี่มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว' สวีอี้ฝานคิดในใจ เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนคงไม่พ้นเรื่องแผนการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ของพวกจอมโจรชุดดำอย่างแน่นอนจอมโจรชุดดำ เป็นกลุ่มโจรที่สร้างตัวขึ้นเพื่อเตรียมการก่อกบฏ พวกมันต้องการที่จะยึดอำนาจของหวางฮ่องเต้ เมื่อหลายเดือนก่อนหวางจื่อชางอ๋องเคยแอบปลอมตัวเข้าไปสืบและเกือบได้รู้ถึงแหล่งที่ซ่อนของมัน โดยให้องครักษ์เงาทั้งสองคนคือมู่ฝานและฉางชินแอบติดตามไปอย่างลับๆ ทว่าเปาอี้ส่วงกลับนำทัพเข้าไปโจมตีพวกมันเสียก่อนระหว่างนั้นเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวาย เหตุเพราะกลุ่มคนทั้งสองต่างแต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทเหมือนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร และในตอนนั้นเองที่เปาอี้ส่วงไปยืนแทนที่ของหวางจื่อชางอ๋องตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เศษดินและเศษฝุ่นตลบอบอวลจนมองไม่เห็นสิ่งใดทำให้มู่ฝานคิดว่าท่านอ๋องกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงรีบเข้าไปช่วย กว่าจะรู้ตัวว่านางช่วยผิดคนก็สายไปเสียแล้วเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น สว
"โอ๊ย พี่สาวข้าเจ็บนะขอรับ" เสียงร้องโอดโอยของสวีชางหมิงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มือหนาของเขาพยายามแกะมือคนเป็นพี่ออกจากใบหู ทว่ามือเล็กของสวีอี้ฝานเกาะหนึบราวกับตีนตุ๊กแก ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถดึงมือของนางออกได้เลย"เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านเข้าหอนางโลม หนำซ้ำยังกล้าไปทะเลาะเบาะแว้งกับพวกนักเลงหัวโจกเพราะแย่งสตรีคนเดียวกัน ข้าไม่ดึงหูเจ้าขาดไปก็ดีแค่ไหนแล้ว" สวีอี้ฝานกล่าวเสียงดุ สวีชางหมิงเพิ่งจะอายุสิบห้าหนาว อายุห่างกับนางสองปี ท่านพ่อท่านแม่อุตส่าห์ส่งให้ไปเรียนที่สำนักศึกษาแต่กลับหนีออกมาเที่ยวหอนางโลมหากยังดีที่เกาถังฉลาดพอ เขาเลือกที่จะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากนางที่จวนสกุลเปา เพราะถ้าหากเขาวิ่งกลับไปที่จวนสกุลสวีและท่านพ่อกับท่านแม่รู้ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน"ข้าผิดไปแล้ว พี่สาวอภัยให้ข้าด้วยเถิด โอ๊ยย" ท้ายประโยคเขาร้องเสียงดัง เมื่อสวีอี้ฝานใช้มือบิดหูของเขาอย่างแรง หยดน้ำตาไหลปริ่มคลออยู่ที่หน่วยตา อีกไม่นานหูของเขาคงได้หลุดติดมือของพี่สาวออกมาจริงๆแน่สวีอี้ฝานถอนหายใจออกมาแรงๆหนหนึ่ง ก่อนจะดึงมือกลับ ปล่อยใบหูของสวีชางหมิงให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจ
"จะ เจ้าเหตุใดถึงแต่งกายเช่นนี้เล่า" เปาอี้ส่วงไม่ได้ตกใจที่นางจับได้ว่าเขาโกหก แต่เขาสนใจร่างกายกึ่งเปลือยของนางมากกว่าสวีอี้ฝานแค่นเสียงหึออกมาในลำคอ ก่อนจะรวบชุดคลุมขึ้นมาห่อหุ้มกายเอาไว้เช่นเดิม หากนางไม่ทำเช่นนี้เขาคงไม่มีวันยอมรับสินะ ท่านแม่ทัพเปาเป็นพวกบ้ากามชัดๆ"ข้าไม่รู้ว่าท่านโกหกทุกคนไปเพื่อเหตุใด แต่ข้าหรือฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนในครอบครัวของท่านแท้ๆแต่ท่านกลับไม่ไว้ใจ ท่านมันเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ" สวีอี้ฝานตำหนิออกไปตามตรง ไม่เพียงแค่นางเท่านั้นที่ตกใจ แต่ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่ารู้ก็คงจะเสียใจไม่น้อยเลยทีเดียวเปาอี้ส่วงขบกรามแน่นจนเห็นสันนูนเด่นชัด ตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าจวบจนถึงท่านพ่อและท่านแม่ของเขาในยามที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ยังไม่เคยตำหนิเขามาก่อน ทว่านางกล้าดีอย่างไรถึงได้เอ่ยปากตำหนิเขาเช่นนี้"ข้ามีเหตุผลของข้า""เหตุผลอะไรหรือเจ้าคะ" นางถามกลับทันควัน แต่งเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ไม่ควรมีความลับต่อกันและกันสิ หากเป็นเรื่องสำคัญนางจะได้ช่วยส่งเสริมเขาอย่างไรเล่า"เจ้าเป็นฮูหยินของข้าก็ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องราวต่างๆภายในจวนให้ดีเถิด เรื่องอื่นให้เป็นหน้าที่ของข้าก
"ข้าเป็นฮูหยินของที่นี่ เป็นภรรยาลำดับที่หนึ่งของท่านแม่ทัพ หน้าที่ดูแลจวนและทุกคนเป็นหน้าที่ของข้า หากผู้ใดไม่คิดหวั่นเกรงข้าๆไม่ว่า แต่อย่าทำกิริยาต่ำๆ เช่นนี้ หากพวกเจ้าไม่ชอบข้าๆไม่สน แต่ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่จงเคารพข้าในฐานะฮูหยินใหญ่ หาไม่ข้าจะไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น" สวีอี้ฝานกล่าวเสียงกร้าว กวาดตามองไปยังสาวใช้ทุกคนที่ยืนอยู่ บรรดาเหล่าสาวใช้ต่างพากันก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว ก่อนสายตาของสวีอี้ฝานจะมาหยุดอยู่ที่หนิงเชา"เข้าใจหรือไม่""เข้าใจเจ้าค่ะ" เสียงเหล่าสาวใช้ดังประสานเสียงกัน ไม่มีผู้ใดกล้าเพิกเฉยต่อคำถามนั้นเพราะไม่มีใครอยากมีปัญหากับฮูหยินใหญ่"ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า แต่อย่างไรเสียก็เป็นแค่บ่าว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบหน้าข้า แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบหน้าเจ้าเช่นกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไปเถิด อย่ามาก้าวก่ายหาเรื่องกัน เพราะคนอย่างข้าไม่ยอมถูกรังแกฝ่ายเดียวแน่"น้ำเสียงหนักแน่นและแววตาแข็งกระด้าง ผสานกับท่าทางเอาจริงเอาจังของสวีอี้ฝานทำให้หนิงเชาไม่กล้าปริปากเอ่ยวาจาใดอีก สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือหาหนทางรอด นางจึงยอมขานรับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ส
สวีอี้ฝานก้มหลบคมดาบที่ฟาดฟันมายังตนด้วยความว่องไว นางใช้วิทยายุทธจัดการกับอีกสามคนที่เหลือจนล้มไปกองกับพื้น ก่อนจะหันไปคว้ามือบางของหลิงหลิงให้วิ่งตามตนไปสองร่างวิ่งลัดเลาะเข้าไปในป่าไผ่ แม้นางจะมีฝีมือด้านการต่อสู้ แต่กลุ่มโจรชุดดำมีมากกว่านาง สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือการหนีเท่านั้น แต่ทว่าพวกโจรชุดดำก็ไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ พวกมันวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละเช่นกัน"หลิงหลิง ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากข้านับถึงสามเมื่อไหร่เจ้าจงรีบก้มตัวลงทันทีเข้าใจหรือไม่""หะ ฮูหยินว่าอย่างไรนะเจ้าคะ""หนึ่ง""... ""สอง""ฮูหยิน บ่าวยังไม่พร้อมเจ้าค่ะ" "สาม""กรี๊ดดดด" หลิงหลิวกรีดร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว แต่กระนั้นก็รีบก้มลงตามที่เจ้านายบอก นางสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แล่นผ่านศีรษะนางไปอย่างฉิวเฉียดฉั่บ! ฟิ้ว!สวีอี้ฝานดึงกริชเงินเล่มเล็กออกมาจากใต้แขนเสื้อตัวยาวพร้อมปาไปทางด้านหลังอย่างแม่นยำ กริชสีเงินกระทบกับลำต้นไม้ใหญ่ก่อนจะกระเด็นไปทางชายชุดดำทั้งสามคนจนพวกมันต้องรีบพากันหาทางหลบ บ้างก็โดนปลายกริชเงินเล่นงานจนได้เลือดตุ้บ! "โอ๊ย" หลิงหลิงร้องออกมาเสียงดังก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นเพราะสะด
เปาอี้ส่วงถูกพาตัวกลับมายังจวนสกุลเปา โดยที่หมอที่เก่งที่สุดของแคว้นฮั่นถูกเรียกตัวมาเป็นการด่วน ทันทีที่ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ข่าวว่าหลานชายได้รับบาดเจ็บก็รีบเดินทางมาที่เรือนใหญ่ เมื่อเห็นหน้าของหลานสะใภ้ก็ไม่รอช้าปรี่เข้ามาหาพร้อมเงื้อมมือหมายจะฟาดลงไปบนใบหน้าของนางหมั่บ!"ฮูหยินผู้เฒ่าจะทำอะไรเจ้าคะ" สวีอี้ฝานถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ มือบางกำรอบข้อมือของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ได้ทันก่อนที่นางจะฟาดฝ่ามือลงบนแก้มขาว"สตรีกาลกินี แต่งกับหลานชายข้าได้ไม่ถึงเดือนก็สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้เสียแล้ว" ดวงตาสองข้างของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากบางเฉียบสั่นระริกไปมาบ่งบอกถึงความเสียใจอย่างสุดขีดนางสูญเสียบุตรชายและสะใภ้ไปหนหนึ่งแล้ว หากนางต้องสูญเสียหลานชายสุดที่รักไปอีกคน นางจะอยู่ได้อย่างไร"ลงชื่อในหนังสือหย่าซะ เจ้าไม่เหมาะกับตำแหน่งฮูหยินของสกุลเปาหรอก อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะทำให้หลานชายของข้าต้องเดือดร้อน""เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าลองคุยกับท่านพี่เองเถิดเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพยอมหย่า ข้าก็จะลงชื่อในหนังสือหย่าให้" สวีอี้ฝานกล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉย ดวงตาของจางเข่อซินวาวโรจ
"ท่านพี่จะเขินไปไยเล่า มาเถิดเจ้าค่ะมาทำให้มันจบๆไปเถิด" สวีอี้ฝานกวักมือเรียก นางอยากทำเรื่องนี้ให้มันจบแต่โดยเร็วที่สุด ใช่ว่านางจะไม่อายที่ต้องมาเปลื้องผ้าต่อหน้าบุรุษเช่นนี้ เปาอี้ส่วงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหน้ากลับมา เอาเถิด... แม้จะไม่เคยลงมือปฏิบัติจริง แต่เขาก็เคยศึกษาตำรากามสูตรมาก่อนที่จะแต่งงาน อีกทั้งเรื่องแบบนี้เป็นไปตามสัญชาตญาณของการสืบพันธุ์อยู่แล้ว'คงไม่อยากเท่าใดกระมัง'ชายหนุ่มจัดการเปลื้องอาภรณ์ออกจากกาย แต่เขาก็ยังคงชักช้าไม่ทันใจของสวีอี้ฝานอยู่ดี ทันทีที่เสื้อตัวนอกหลุดออกไป หญิงสาวก็ช่วยปลดกางเกงของเขาออกจนเห็นบางอย่างดีดผึงออกมาทักทาย"หนอนน้อยของท่านพี่" สวีอี้ฝานเปล่งเสียงหัวเราะคิกคักพลางย่อกายนั่งลงจับจ้องความเป็นบุรุษเพศตาเป็นมันพร้อมใช้นิ้วจิ้มลงไปบริเวณส่วนลำใหญ่"หนอนน้อยที่ไหนกัน นี่คือมังกรยักษ์ต่างหาก" เปาอี้ส่วงกล่าวเสียงแหบห้าว คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเพราะความขัดใจเล็กน้อย หลังจากได้ยินสวีอี้ฝานเรียกอาวุธประจำกายว่าหนอนน้อย เขารู้สึกเสียเชิงชายอย่างมาก"จริงด้วยเจ้าค่ะ" สวีอี้ฝานเห็นด้วยกับวาจาของเขา หนอนน้อยอะไรจะใหญ่น่ากลัวถึงเพียง
เสียงหอบหายใจกระเส่าดังขึ้นเบาๆที่ข้างหู เปาอี้ส่วงซบใบหน้าลงบนซอกคอขาว ในขณะที่สวีอี้ฝานเองก็หอบหายใจสะท้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน"ท่านพี่แผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง" หลังเสร็จสิ้นภารกิจรัก นางได้เอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวล เปาอี้ส่วงจึงหยัดกายขึ้นเผยให้เห็นผ้าปิดแผลสีขาวที่มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย"เลือดออกนี่" สวีอี้ฝานมองบาดแผลด้วยความตกใจ ทว่าคนตัวโตกลับโบกมือไปมาพลางเอ่ยว่า"ข้าไม่เป็นอะไรหรอก" สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ไม่มีความทุกข์ร้อนอันใด และไม่บ่งบอกว่ารู้สึกเจ็บแผลเลยแม้แต่น้อย"เราทำกันไปแล้ว ท่านพี่คงจะไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถาม วาจานั้นทำให้เปาอี้ส่วงเงียบไปเล็กน้อย ก่อนที่คนตัวโตจะจู่โจมคนตัวเล็กกว่าอย่างรวดเร็ว"ข้าคงไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ข้ายังต้องการเจ้าอีก" น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น ในขณะที่มือหนาเคล้นคลึงทรวงอกอิ่มของนางไปด้วย สวีอี้ฝานทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน ฉะนั้นเขาอยากทำกับนางอีก ไม่อยากปล่อยนางออกจากอ้อมแขนแม้สักหนึ่งถ้วยชา"ท่านพี่บ้าไปแล้ว เดี๋ยวก็เจ็บแผลหรอก" "หากเจ้ากลัวข้าเจ็บ เจ้าก็เป็นฝ่ายทำให้ข้าสิ""ทะ...ทำ
หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา
"ในฐานะชายาของฝ่าบาทหรือเพคะ" หญิงสาวทวนคำของเขาอีกครั้งอย่างเหม่อลอยหวางจื่อชางเห็นเช่นนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้เอื้อมคว้ามือบางขึ้นมากอบกุมเอาไว้"ใช่ มู่ฝานที่ผ่านมาข้ารักเจ้ามาโดยตลอด หากแต่ข้าคิดว่าเจ้าเคียงข้างข้าเสมอมา ข้าคิดว่าจะบอกความในใจให้เจ้ารับรู้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ทว่าความตายกลับมาพรากเจ้าไปจากข้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าในตอนที่ข้าเสียเจ้าไป ข้าเสียใจมากแค่ไหน ข้าไม่เป็นอันทำอะไรต้องไปพึ่งพวกพ่อมดหมอผีเพื่อให้พวกเขาพาวิญญาณเจ้ากลับมาอยู่กับข้าเช่นเดิม จนกระทั่งข้าได้พบหมอดูหญิงโดยบังเอิญ ในตอนที่นางบอกว่าเจ้ายังอยู่ ข้าดีใจมาก ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในร่างของบุตรสาวสกุลสวีหรือใครก็ตามข้ารับได้ทั้งนั้น อย่าจากข้าไปอีกเลยนะ" หวางจื่อชางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ตลอดชีวิตไม่เคยทำเช่นนี้กับใครมาก่อน มีเพียงแค่มู่ฝานคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะยอม"ไม่ได้เพคะ" สวีอี้ฝานรีบดึงมือกลับ จากที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขา นางก็ซาบซึ้งใจอยู่หรอก หากแต่ว่าสำหรับนางแล้ว หวางจื่อชางเปรียบเสมือนเจ้านายและพี่ชายของนางเท่านั้น"ทำไมล่ะ เจ้ารังเกียจข้างั้นหรือ" หวางจื่อชางถามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เขารักนางมากปาน
"ยัยแก่ปลิ้นปล้อน ข้าไม่น่าเสียเวลากับเจ้าเลย รู้อย่างนี้คงไม่ทนเอาอกเอาใจยัยแก่บ้าอำนาจนิสัยร้ายกาจเช่นเจ้าหรอก เสียเวลาจริงๆ! กรี๊ดดดด! " หยวนเสี่ยวหงผุดลุกขึ้นพ่นวาจาหยาบคายเสร็จก็เดินกระแทกเท้าตึงตังออกไปด้วยความรวดเร็วจางเข่อซินยกมือขึ้นทาบอก อ้าปากพะงาบๆ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ"หนิงเชาข้าอยากเป็นลมเหลือเกิน""ว้าย ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าเป็นอะไรนะเจ้าคะ ใจเย็นๆ ก่อนเจ้าค่ะ" หนิงเชารีบปรี่เข้ามาพลางใช้มือโบกแทนพัดให้ฮูหยินผู้เฒ่า"เจ้าได้ยินที่นางด่าข้าหรือไม่" ถามเสียงสั่น หยดน้ำตาตลออยู่ที่หน่วยตา ตั้งแต่เกิดมาตั้งแต่ศีรษะเป็นสีดำยันเปลี่ยนเป็นสีขาวยังไม่เคยโดนผู้ใดพ่นวาจาร้ายกาจใส่เช่นนี้มาก่อน"ได้ยินชัดเต็มสองหูเลยเจ้าค่ะ" หนิงเชาทำหน้าแหยยกมือขยี้หูไปมา เสียงกรีดร้องของหยวนเสี่ยวหงยังคงติดหูของนางไม่หาย น่ากลัวยิ่งนัก...ฮูหยินผู้เฒ่าหอบหายใจสะท้าน ความรู้สึกตกใจยังไม่จางหาย แต่ที่แน่ๆ นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าสกุลเปาของนางกับสกุลหยวนคงไม่มีวันมองหน้ากันติดอีกแล้วอย่างแน่นอนก๊อกๆๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หลุดจากภ
สวีอี้ฝานน้ำตารื้นรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก อีกทั้งยังรู้สึกโมโหตนเองอยู่หลายส่วน ก่อนที่จะแต่งงานกับเขานางเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่มีวันปันใจให้กับเขาอย่างแน่นอน หรือนี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ท่านเทพเคยบอกว่า ระหว่างนางรองกับพระเอกจะมีเรื่องให้บาดหมางกันจนถึงขั้นลงชื่อหย่า และพระเอกก็ได้แต่งงานกับนางเอกสุดท้ายพระเอกก็ต้องคู่กับนางเอกสินะ คนที่เป็นเพียงแค่นางรองอย่างนางจะไปฝืนชะตาได้อย่างไรกัน"อุ๊บ" จู่ๆสวีอี้ฝานก็รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมา หญิงสาวรีบคว้ากระโถนก่อนจะอาเจียนออกจนหมดไส้หมดพุง"หลิงหลิงทำอะไรอยู่ เห็นหรือไม่ว่าลูกข้าไม่สบาย รีบไปตามหมอเร็วเข้า" หลี่อ้ายซีรู้สึกตกใจไม่น้อย รีบปรี่เข้าไปลูบแผ่นหลังบางของบุตรสาวไปมาพลางหันมาเอ่ยกับหลิงหลิง"เอ่อ... เจ้าค่ะ" หลิงหลิงตอบรับพร้อมทำท่าจะวิ่งออกไป แต่สวีอี้ฝานกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน"ไม่ต้องให้หลิงหลิงไปหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรแค่รู้สึกเหม็นอาหารเท่านั้น"หลี่อ้ายซีเงียบไปเล็กน้อย พลันไม่นานก็เบิกตากว้างกล่าวละล่ำละลักด้วยความตกใจปนตื่นเต้น"นี่ลูกกำลังตั้งครรภ์งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะท่านแม่" สวีอี้ฝานแย้มยิ้มออกมาบางๆ ยกมือขึ้นวางทา