หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ท่ามกลางหมู่มวลพฤกษานานาพรรณในป่าใหญ่ ต้นไม้รอบด้านกลายเป็นเงาครึ้มจากแสงจันทร์คืนมืดที่หม่นสลัว ลมราตรีหอบเอากลิ่นดอกกุ้ยฮวาลอยมาตามลม ในป่าลึกกลางดึกเช่นนี้ควรจะมีเพียงความเงียบสงัด แต่ความสงบของยามค่ำคืนกลับถูกทำลายลงด้วยเสียงอาวุธ กลุ่มคนในชุดสีดำสนิทสองกลุ่มกำลังฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับต้องการปลิดชีพอีกฝ่ายให้สิ้นซาก! ขณะที่เบื้องล่างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด บนกิ่งไม้ใหญ่กลับปรากฏร่างบอบบางของใครบางคนหลบอยู่ มู่ฝานชะโงกหน้าลงมามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ดวงหน้าของนางมีร่องรอยของความกังวลอย่างชัดเจน"ฝ่าบาท" ดวงตาคู่งามจดจ้องไปยังร่างสูงในชุดดำของคนผู้หนึ่งที่กำลังใช้ดาบฟันฉั่บเข้าไปยังร่างของศัตรู ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงด้วยความว้าวุ่นใจ หากแต่เขายังไม่ส่งสัญญาณให้ นางจึงทำได้เพียงแค่รอคอยทว่า..."ไม่นะ!" หญิงสาวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งกำลังเล็งลูกเกาทันฑ์มายังร่างสูงของเขา ก่อนที่ชายผู้นั้นจะลั่นไก "ฝ่าบาททรงระวังเพคะ!" มู่ฝานเรียกชายหนุ่มเสียงดัง ทว่าดูเหมือนว่าเขาจะยังคงไม่รู้ตัว หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาเขาด้วยความรวดเร็
ณ จวนสกุลสวี เมืองต้าเหลียง แคว้นฮั่นวันนี้คนสกุลสวียุ่งวุ่นวายเป็นการใหญ่ เมื่อจู่ๆไต้กงกงก็ถือพระราชโองการเข้ามาที่จวนสกุลสวี ทุกคนต่างรู้ดีว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับคนสกุลสวีเป็นแน่ และคนที่ดูจะกังวลเป็นพิเศษก็ไม่พ้นเป็นสวีฮูหยิน "ให้ข้าไปตามฝานฝานดีหรือไม่เจ้าคะท่านพี่" นางหันไปกระซิบถามสามีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าคมของเขาเรียบเฉย ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด"ไม่ต้อง" เขากล่าวเสียงเรียบ เกิดเป็นคนต้องรู้หน้าที่ หากนางจะปล่อยให้ทุกคนรอคอยอยู่เช่นนี้ก็แล้วแต่นางเถิดหลี่อ้ายซีลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางปรายตามองค้อนประมุขของจวนไปหนหนึ่ง ลางทีก็แอบเบื่อหน่ายกับนิสัยเข้มงวดของเขายิ่งนัก"หมิงหมิงยืนดีๆสิ!" นางหันมาส่งเสียงดุให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆที่กำลังขยับตัวยุกยิกไปมา ทางด้านสวีชางหมิงได้ยินเสียงดุของคนเป็นแม่พลันสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยืดอกขึ้น ยืนอย่างสงบเสงี่ยมต่อไป"ต้องให้แม่บอกสอนกี่ครั้ง แม่เหนื่อยกับเจ้ามากแล้วนะ" หลี่อ้ายซีตำหนิบุตรชายเสียงแข็ง ส่ายหน้าไปมาอย่างระอา บุตรชายคนนี้ดื้อด้านยิ่งนัก "ท่านแม่ พี่สาวมาแล้วขอรับ" สวีชางหมิงรีบขัดขึ้น ก่อนที่จะโดนมารดาบ่
รถม้าคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอยู่ที่ตลาดติดกับทะเลสาบหานฟง แสงอาทิตย์ทอประกายลงมากระทบผิวน้ำ ส่องแสงประกายวิบวับราวกับอัญมณีล้ำค่า บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายจากสายลมแห่งวสันตฤดูมู่ฝานในร่างของสวีอี้ฝานก้าวลงมาจากรถม้า ดวงตากวางกวาดมองไปรอบๆอย่างมีความสุข แม้นางจะเป็นคนแคว้นฮั่น แต่ไม่เคยได้มาแวะเวียนเดินเล่นซื้อของเช่นนี้มาก่อน นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกเฉียวกุ้ยเฟยพระมารดาของหวางจื่อชางอ๋องทรงเก็บมาเลี้ยงด้วยความเวทนา ทว่าแม้จะเป็นสตรีตัวเล็กบอบบางแต่เรื่องการต่อสู้ไม่แพ้บุรุษใด เมื่อโตขึ้นจึงถูกพาเข้าไปประจำที่หน่วยองครักษ์อวี่หลิน ฉายาหน่วยม้าบิน หน่วยราชองครักษ์ที่ถวายการอารักขาใกล้ชิดของเชื้อพระวงศ์ มู่ฝานฝึกปรือวิชาฝีมือจนผ่านการคัดเลือกได้รับตำแหน่งองครักษ์เงาประจำตัวของหวางจื่อชางอ๋อง นางอยู่รับใช้ข้างกายเขามาหลายปี ไม่เคยทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ" เสียงของหลิงหลิงบ่าวรับใช้คนสนิทข้างกายของสวีอี้ฝานดังขึ้นทำให้เจ้าตัวหลุดจากภวังค์ความคิด"มีอะไรหรือ" สวีอี้ฝานผินหน้ากลับมามองไปยังบ่าวรับใช้ข้างกายด้วยความงุนงง"คุณหนูคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ
"คุณหนูเจ้าขากลับกันเถิดเจ้าค่ะ หาไม่นายท่านกับฮูหยินเป็นห่วงเอาได้นะเจ้าคะ" เจียถงกระซิบข้างหูเจ้านายสาว หยวนเสี่ยวหงจึงพยักหน้ารับ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ทันได้พูดคุยกับท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงบุรุษที่แอบปลื้มมานานให้มากกว่านี้ แต่เพราะนางออกมาข้างนอกนานแล้ว หากไม่รีบกลับไปท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเป็นห่วงไม่น้อย"ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน ลาก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ คุณหนูสวีอี้ฝาน" หญิงสาวระบายยิ้มหวานให้กับทุกคน ท่าทางอ่อนหวานงดงามจนทำให้ใครหลายคนยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว เว้นเสียแต่เปาอี้ส่วงที่ยังทำหน้านิ่งตีหน้าขรึมอยู่เช่นเดิม"ไม่มีอะไรแล้วเราก็กลับกันดีกว่าหลิงหลิง" สวีอี้ฝานรับรองเท้าผ้าแพรจากมือหลิงหลิงมาสวมกลับคืนก่อนจะหันไปกล่าวคำลากับคนตัวโต จากนั้นก็เดินจากไปทันทีแต่เมื่อเดินมาถึงรถม้าก็เห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของพลขับรถม้า ก่อนจะหันไปเห็นล้อรถข้างหน้าทั้งสองข้างแบนราบไปกับพื้นราวกับเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน"เอาอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู ล้อแบนราบเช่นนี้คงนั่งรถม้ากลับจวนไม่ได้แล้ว" หลิงหลิงทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ยามนี้แดดเปรี้ยงยิ่งนัก ร้อนจนแสบไปทั่วทั้งผิวกาย"จะทำอย่างไรได้ล่ะหลิ
หลังจากที่หยางฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการประทานสมรสพระราชทานให้เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝาน ชาวเมืองต่างพากันตื่นเต้นในงานมงคลที่กำลังจะมาถึงอีกในไม่ช้านี้ ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงบ่าวสาวคู่นี้ว่า'เสียดายเจ้าบ่าวยิ่งนัก'ด้วยตัวเจ้าบ่าวเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฮั่น ผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ อีกทั้งยังหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพเซียน แม้จะสูญเสียการมองเห็นไปจากการรบทัพจับศึกเมื่อสองปีก่อน แต่ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาของเขาลดน้อยลงเลย ทุกอย่างล้วนดูดีไปเสียหมด ติดอยู่อย่างเดียวคือเจ้าสาว แม้นางจะเป็นสตรีที่มาจากชาติตระกูลสูงส่ง หน้าตางดงามไม่เป็นสองรองผู้ใด ทว่ากลับทำตัวไร้ประโยชน์ วันๆ เอาแต่แต่งตัวทาเครื่องประทินโฉมเดินกรีดกรายไปมา ทำให้ไม่ค่อยมีผู้ใดอยากคบค้าสมาคมด้วยเท่าใดนักสวีอี้ฝานหาได้สนใจคำวิจารณ์จากผู้อื่นไม่ หลังจากที่สวีชางหมิงน้องชายนำเรื่องนี้มาเล่าให้นางฟัง นางได้แต่ส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน ก็แล้วจะทำไมกันเล่า มีเงินซะอย่าง ท่านพ่อท่านแม่ของนางยังไม่บ่นสักคำ แล้วคนพูดเป็นผู้ใดกัน เหตุใดนางจะต้องใส่ใจด้วยล่ะเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดงานมงคลก็มาถึง ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวของ
เมื่อคืนสวีอี้ฝานนอนหลับสนิทตลอดคืนคงเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการถูกเคี่ยวกรำที่งานแต่งงานเมื่อวาน อีกทั้งยังรู้สึกวางใจที่เห็นเปาอี้ส่วงโดนฤทธิ์ยานอนหลับของนางจึงมั่นใจว่าเขาคงไม่ตื่นขึ้นมาทำมิดีมิร้ายนางได้แน่"ฮูหยินเจ้าขา ตื่นเถิดเจ้าค่ะ" เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเบาๆที่ข้างหู ปลุกให้คนที่นอนหลับใหลค่อยๆรู้สึกตัวตื่น "หลิงหลิง เหตุใดถึงมาปลุกข้าแต่เช้าเช่นนี้เล่า ข้าขอนอนต่ออีกหน่อยเถิดนะ" กล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ดวงตากวางยังคงปิดสนิทเช่นเดิม หญิงสาวพลิกกายหันหลังให้หลิงหลิงด้วยความรำคาญ ไม่ว่านางจะตื่นเวลาไหน ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่ตำหนินางหรอก"นอนต่อไม่ได้นะเจ้าคะฮูหยิน วันนี้ต้องไปเคารพฮูหยินผู้เฒ่าท่านย่าของท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงนะเจ้าคะ" หลิงหลิงที่ติดตามมารับใช้สวีอี้ฝานที่จวนสกุลเปากล่าวเตือนสติ ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะทำให้คนที่นอนอยู่ถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ตระหนักได้ว่ายามนี้นางไม่ได้อยู่ที่จวนสกุลสวีอีกต่อไปแล้ว"แย่แล้ว! หลิงหลิงไยเจ้าไม่ปลุกข้าให้เร็วกว่านี้เล่า""หามิได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพสั่งว่าห้ามรบกวนเวลานอนของฮูหยิน" หลิงหลิงก้มหน้าลงต่ำเอ่ยเสียงเบา หน้าเสียเ
ระหว่างทางเดินกลับเรือนใหญ่ จู่ๆ สายฝนก็กระหน่ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า หากยังดีที่เรือนเล็กกับเรือนใหญ่มีระเบียงที่ทอดยาวเชื่อมเรือนทั้งสองหลังเอาไว้ด้วยกันทำให้เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานไม่ต้องลุยฝนกลับเรือน"ท่านพี่" ชายเสื้อของคนตัวโตถูกดึงกระตุกเบาๆ จากคนที่เดินตามหลัง เปาอี้ส่วงจึงหยุดเดินหันกลับมาหาคนที่เป็นต้นเหตุ"ท่านย่าเป็นคนเข้มงวด หากยังไม่ชินจะรู้สึกว่าเป็นคนดุ เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย" เปาอี้ส่วงคิดว่าสวีอี้ฝานเป็นกังวลเกี่ยวกับฮูหยินผู้เฒ่า เขาจึงอธิบายให้นางเข้าใจ"เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็แยกเรือนกันอยู่ๆ แล้ว" หญิงสาวโบกไม้โบกมือไปมา ไม่ได้มีท่าทีทุกข์อันใดแม้แต่น้อย"แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรกัน" ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ พลันสีหน้าของนางก็ค่อยๆ เจื่อนลง"ท่านพี่บอกว่าคืนนี้จะอุ่นเตียงกับข้านั้นเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ"คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องฮูหยินผู้เฒ่า แต่กลับเป็นกังวลเรื่องอุ่นเตียงกับเขางั้นหรือ"ไยถึงถามเช่นนั้น" เปาอี้ส่วงยกมือขึ้นกอดอก ถามเสียงเข้ม"ก็ถ้าหากท่านพี่จะร่วมรักกับข้าวันไหน ท่านพี่ก็ต้องบอกข้าล่วงหน้าสิเ
หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา
"ในฐานะชายาของฝ่าบาทหรือเพคะ" หญิงสาวทวนคำของเขาอีกครั้งอย่างเหม่อลอยหวางจื่อชางเห็นเช่นนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้เอื้อมคว้ามือบางขึ้นมากอบกุมเอาไว้"ใช่ มู่ฝานที่ผ่านมาข้ารักเจ้ามาโดยตลอด หากแต่ข้าคิดว่าเจ้าเคียงข้างข้าเสมอมา ข้าคิดว่าจะบอกความในใจให้เจ้ารับรู้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ทว่าความตายกลับมาพรากเจ้าไปจากข้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าในตอนที่ข้าเสียเจ้าไป ข้าเสียใจมากแค่ไหน ข้าไม่เป็นอันทำอะไรต้องไปพึ่งพวกพ่อมดหมอผีเพื่อให้พวกเขาพาวิญญาณเจ้ากลับมาอยู่กับข้าเช่นเดิม จนกระทั่งข้าได้พบหมอดูหญิงโดยบังเอิญ ในตอนที่นางบอกว่าเจ้ายังอยู่ ข้าดีใจมาก ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในร่างของบุตรสาวสกุลสวีหรือใครก็ตามข้ารับได้ทั้งนั้น อย่าจากข้าไปอีกเลยนะ" หวางจื่อชางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ตลอดชีวิตไม่เคยทำเช่นนี้กับใครมาก่อน มีเพียงแค่มู่ฝานคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะยอม"ไม่ได้เพคะ" สวีอี้ฝานรีบดึงมือกลับ จากที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขา นางก็ซาบซึ้งใจอยู่หรอก หากแต่ว่าสำหรับนางแล้ว หวางจื่อชางเปรียบเสมือนเจ้านายและพี่ชายของนางเท่านั้น"ทำไมล่ะ เจ้ารังเกียจข้างั้นหรือ" หวางจื่อชางถามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เขารักนางมากปาน
"ยัยแก่ปลิ้นปล้อน ข้าไม่น่าเสียเวลากับเจ้าเลย รู้อย่างนี้คงไม่ทนเอาอกเอาใจยัยแก่บ้าอำนาจนิสัยร้ายกาจเช่นเจ้าหรอก เสียเวลาจริงๆ! กรี๊ดดดด! " หยวนเสี่ยวหงผุดลุกขึ้นพ่นวาจาหยาบคายเสร็จก็เดินกระแทกเท้าตึงตังออกไปด้วยความรวดเร็วจางเข่อซินยกมือขึ้นทาบอก อ้าปากพะงาบๆ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ"หนิงเชาข้าอยากเป็นลมเหลือเกิน""ว้าย ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าเป็นอะไรนะเจ้าคะ ใจเย็นๆ ก่อนเจ้าค่ะ" หนิงเชารีบปรี่เข้ามาพลางใช้มือโบกแทนพัดให้ฮูหยินผู้เฒ่า"เจ้าได้ยินที่นางด่าข้าหรือไม่" ถามเสียงสั่น หยดน้ำตาตลออยู่ที่หน่วยตา ตั้งแต่เกิดมาตั้งแต่ศีรษะเป็นสีดำยันเปลี่ยนเป็นสีขาวยังไม่เคยโดนผู้ใดพ่นวาจาร้ายกาจใส่เช่นนี้มาก่อน"ได้ยินชัดเต็มสองหูเลยเจ้าค่ะ" หนิงเชาทำหน้าแหยยกมือขยี้หูไปมา เสียงกรีดร้องของหยวนเสี่ยวหงยังคงติดหูของนางไม่หาย น่ากลัวยิ่งนัก...ฮูหยินผู้เฒ่าหอบหายใจสะท้าน ความรู้สึกตกใจยังไม่จางหาย แต่ที่แน่ๆ นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าสกุลเปาของนางกับสกุลหยวนคงไม่มีวันมองหน้ากันติดอีกแล้วอย่างแน่นอนก๊อกๆๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หลุดจากภ
สวีอี้ฝานน้ำตารื้นรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก อีกทั้งยังรู้สึกโมโหตนเองอยู่หลายส่วน ก่อนที่จะแต่งงานกับเขานางเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่มีวันปันใจให้กับเขาอย่างแน่นอน หรือนี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ท่านเทพเคยบอกว่า ระหว่างนางรองกับพระเอกจะมีเรื่องให้บาดหมางกันจนถึงขั้นลงชื่อหย่า และพระเอกก็ได้แต่งงานกับนางเอกสุดท้ายพระเอกก็ต้องคู่กับนางเอกสินะ คนที่เป็นเพียงแค่นางรองอย่างนางจะไปฝืนชะตาได้อย่างไรกัน"อุ๊บ" จู่ๆสวีอี้ฝานก็รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมา หญิงสาวรีบคว้ากระโถนก่อนจะอาเจียนออกจนหมดไส้หมดพุง"หลิงหลิงทำอะไรอยู่ เห็นหรือไม่ว่าลูกข้าไม่สบาย รีบไปตามหมอเร็วเข้า" หลี่อ้ายซีรู้สึกตกใจไม่น้อย รีบปรี่เข้าไปลูบแผ่นหลังบางของบุตรสาวไปมาพลางหันมาเอ่ยกับหลิงหลิง"เอ่อ... เจ้าค่ะ" หลิงหลิงตอบรับพร้อมทำท่าจะวิ่งออกไป แต่สวีอี้ฝานกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน"ไม่ต้องให้หลิงหลิงไปหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรแค่รู้สึกเหม็นอาหารเท่านั้น"หลี่อ้ายซีเงียบไปเล็กน้อย พลันไม่นานก็เบิกตากว้างกล่าวละล่ำละลักด้วยความตกใจปนตื่นเต้น"นี่ลูกกำลังตั้งครรภ์งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะท่านแม่" สวีอี้ฝานแย้มยิ้มออกมาบางๆ ยกมือขึ้นวางทา