"คุณหนูเจ้าขากลับกันเถิดเจ้าค่ะ หาไม่นายท่านกับฮูหยินเป็นห่วงเอาได้นะเจ้าคะ" เจียถงกระซิบข้างหูเจ้านายสาว หยวนเสี่ยวหงจึงพยักหน้ารับ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ทันได้พูดคุยกับท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงบุรุษที่แอบปลื้มมานานให้มากกว่านี้ แต่เพราะนางออกมาข้างนอกนานแล้ว หากไม่รีบกลับไปท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเป็นห่วงไม่น้อย
"ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน ลาก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ คุณหนูสวีอี้ฝาน" หญิงสาวระบายยิ้มหวานให้กับทุกคน ท่าทางอ่อนหวานงดงามจนทำให้ใครหลายคนยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว เว้นเสียแต่เปาอี้ส่วงที่ยังทำหน้านิ่งตีหน้าขรึมอยู่เช่นเดิม "ไม่มีอะไรแล้วเราก็กลับกันดีกว่าหลิงหลิง" สวีอี้ฝานรับรองเท้าผ้าแพรจากมือหลิงหลิงมาสวมกลับคืนก่อนจะหันไปกล่าวคำลากับคนตัวโต จากนั้นก็เดินจากไปทันที แต่เมื่อเดินมาถึงรถม้าก็เห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของพลขับรถม้า ก่อนจะหันไปเห็นล้อรถข้างหน้าทั้งสองข้างแบนราบไปกับพื้นราวกับเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน "เอาอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู ล้อแบนราบเช่นนี้คงนั่งรถม้ากลับจวนไม่ได้แล้ว" หลิงหลิงทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ยามนี้แดดเปรี้ยงยิ่งนัก ร้อนจนแสบไปทั่วทั้งผิวกาย "จะทำอย่างไรได้ล่ะหลิงหลิง นอกจากเดินกลับ" สวีอี้ฝานไม่ได้สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ทุกข์ร้อน จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปตามถนน ความลำบากแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง เพราะในตอนที่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์ฝึกหัดอยู่ในหน่วยม้าบิน นางลำบากมากกว่านี้หลายเท่า "ฮ้าาา" หลิงหลิงทำตาโตอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ จากตลาดไปถึงจวนสกุลสวีอยู่ไกลกันไม่ใช่น้อย พวกนางจะเดินไปถึงได้อย่างไรกัน แต่สุดท้ายก็ต้องรีบรวบกระโปรงขึ้นวิ่งตามเจ้านายสาวที่ก้าวดุ่มๆ เดินนำหน้าไปแล้ว กุบกับ กุบกับ! เดินห่างออกมาจากตลาดได้เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงรถม้าคันใหญ่วิ่งตรงมา ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าห่างออกไปจากพวกนางไม่ไกล "ขึ้นมาสิข้าจะไปส่ง" ม่านผืนบางถูกสายลมพัดจนเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งหลังตรงตาทิดมองไปเบื้องหน้าราวกับภาพเมื่อครู่ที่ตลาดก็มิปาน "ท่านแม่ทัพเปา" สวีอี้ฝานขานเรียกชื่อคนตัวโตเบาๆ "คุณหนูเจ้าขา บ่าวว่าเราควรรับน้ำใจจากท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ" หลิงหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ยามนี้ยังเดินออกมาจากตลาดไม่ถึงครึ่งทาง นางก็แทบจะไม่ไหวแล้ว สวีอี้ฝานหันไปสบตากับหลิงหลิงที่อยู่ในสภาพเหงื่อท่วมไปทั่วกายราวกับเพิ่งไปเล่นน้ำที่ไหนมา เห็นเช่นนี้ก็นึกสงสารสาวใช้คนสนิทไม่น้อย คิดว่าหากนางยังคงดึงดันเดินกลับจวนต่อ หลิงหลิงคงได้เป็นลมหมดสติไปก่อนถึงจวนเป็นแน่ สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจตอบรับน้ำใจจากเปาอี้ส่วง ประตูรถม้าถูกดึงให้เปิดออก สวีอี้ฝานก้าวเข้าไปนั่งด้านในฝั่งตรงข้ามกับคนตัวโต ส่วนหลิงหลิงได้ขึ้นไปนั่งข้างพลขับรถม้าที่ด้านนอก "ขอบคุณท่านแม่ทัพมากนะเจ้าคะ หากแต่ว่าข้ากับท่านอยู่ด้วยกันตามลำพังในรถม้าเช่นนี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก หากท่านแม่ทัพจะกรุณา ข้าขอให้สาวใช้ของข้าเข้ามานั่งด้วยได้หรือไม่" "จะสนใจไปไยในเมื่ออีกไม่นานเราทั้งสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี" เปาอี้ส่วงตอบเสียงเรียบ สวีอี้ฝานจึงจำต้องเงียบเสียงลงเพราะรู้ว่าพูดไปเขาก็คงไม่อนุญาต ตลอดทางกลับไปยังจวนสกุลสวีบรรยากาศมีเพียงแค่ความเงียบ สวีอี้ฝานขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด ในที่สุดจึงตัดสินใจถามในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป "ท่านแม่ทัพวางแผนอนาคตของเราสองคนอย่างไรบ้างเจ้าคะ" "หมายความว่าอย่างไร" "เอ่อ... ก็หมายความว่าหลังจากที่เราสองคนแต่งงานกันไปแล้ว ท่านแม่ทัพมีแผนอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตของเราสองคนเจ้าคะ" สวีอี้ฝานทำหน้ามุ่ย คำถามง่ายๆ เหตุใดเขาถึงไม่เข้าใจ "การแต่งงานสำหรับข้าเป็นเพียงหน้าที่หนึ่งที่ต้องกระทำ ไยต้องคิดอะไรมากมายให้ปวดหัว" ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดอยู่มาก สวีอี้ฝานคิดว่าท่านแม่ทัพเปาเองก็คงไม่ได้ต้องการแต่งงานกับนางกระมัง คำตอบของเขาทำให้คนฟังหมดอารมณ์จะถาม นอกจากเขาจะไม่วางแผนอนาคตของเขาและนางแล้ว ดูเหมือนว่าในสายตาของเขาจะมองนางเป็นเหมือนภาระของเขาเสียด้วยซ้ำไป สวีอี้ฝานเบ้ปากใส่คนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ เอาเถิด... เขาจะคิดอย่างไรก็ช่าง ในเมื่อไม่ช้าหรือเร็ว สุดท้ายทั้งเขาและนางก็ต้องแยกจากกันไปอยู่ดี ครึ่ก! รถม้าคันใหญ่เซถลาหลังจากเผชิญหน้ากับหลุมขนาดใหญ่ ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างในโงนเงนเซถลามาอีกฝั่งตามแรงเหวี่ยง "อ๊ะ!" หญิงสาวร้องเสียงหลง ร่างบางถลาไปข้างหน้าฝั่งตรงข้ามของตน มือบางรีบยื่นไปดันผนังรถม้าเอาไว้ก่อนที่ใบหน้าของนางจะกระแทกเข้ากับใบหน้าคมคายของเปาอี้ส่วง ดวงตาคู่งามกะพริบถี่ หัวใจเต้นแรงราวจะหลุดออกมานอกอก เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่คืบ การได้อยู่ใกล้กันเช่นนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่ยังเป็นมู่ฝาน ในวันที่นางเสียสละชีพปกป้องเขาเพราะความเข้าใจผิด นางเห็นเขามองสบตากับนางราวกับคนไม่ได้ตาบอด หรือเขาอาจจะโกหก... เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงขยับเข้าไปใช้สายตาจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของเขา พลางเอียงคอมองด้วยความสงสัยราวกับกำลังค้นหาความจริงบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าเปาอี้ส่วงยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ได้สะทกสะท้านต่อการจู่โจมของนาง สุดท้ายจึงยอมแพ้ถอยกลับไปนั่งลงตามเดิมโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังลอบถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ตลอดทางมาถึงจวนสกุลสวีทั้งเปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานก็ไม่ได้สนทนาด้วยกันอีก ต่างคนต่างนิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดของตนเอง เมื่อรถม้าเคลื่อนมาจอดที่หน้าประตูจวนสกุลสวีเรียบร้อยแล้ว สวีอี้ฝานก้าวลงจากรถม้าพลางหันกลับไปหาคนที่นั่งอยู่เพื่อจะเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปจิบชาแทนคำขอบคุณ "ท่านแม่ทัพ ข้าขอเชิญ..." "กลับจวนสกุลเปา" หญิงสาวเอ่ยยังไม่ทันจบประโยค เสียงห้าวพลันสั่งการเสียงดัง จากนั้นรถม้าคันใหญ่ก็เคลื่อนตัวจากไปด้วยความรวดเร็ว "หยิ่งผยอง อวดดี น่าหมั่นไส้!" สวีอี้ฝานตะโกนไล่หลังไปด้วยความหมั่นไส้ นี่น่ะหรือบุรุษที่กำลังจะกลายมาเป็นสามีของนางในอนาคต ดูท่าว่าชีวิตคู่ของเขาและนางคงจะล่มไม่เป็นท่าก่อนที่นางจะทันได้ทำให้เขากับหยวนเสี่ยวหงรักกันเสียด้วยซ้ำไป ดวงตากลมโตจดจ้องไปยังรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไป มุมปากบางยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบปิ่นหยกปักผมขึ้นมา หรี่ตาลงเล็กน้อย กะระยะจนคิดว่าไม่พลาดพร้อมปามันออกไปข้างหน้าอย่างแรง ฉึ่ก! ปลายแหลมของปิ่นปักลงไปบนล้อรถม้าอย่างแม่นยำ ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนไปตามถนน "คิกๆๆ" มือบางยกขึ้นมาปิดปาก ส่งเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจ "คุณหนูหัวเราะอะไรหรือเจ้าคะ" หลิงหลิงที่ยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ทางด้านหลังค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองเจ้านายสาวที่ยืนหัวเราะอยู่คนเดียวด้วยความประหลาดใจ "วันนี้อากาศแจ่มใส ข้าเลยอารมณ์ดีก็เท่านั้น" นางหันไปตอบสาวใช้คนสนิท พลางเดินกลับเข้าไปในจวนพร้อมส่งเสียงฮัมเพลงเบาๆอย่างอารมณ์ดี ดวงอาทิตย์ในยามบ่ายคล้อยส่องแสงสว่างจ้ากว่าเวลาเช้า ภายใต้ต้นไม้ใหญ่บนถนนที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าเผยให้เห็นรถม้าคันใหญ่คันหนึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ "ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าเห็นปิ่นปักผมเล่มนี้ปักอยู่ที่ล้อรถฝั่งทางด้านหลัง คาดว่าสาเหตุที่ยางแบนเกิดจากปิ่นเล่มนี้ขอรับ" หลูเผิงยื่นปิ่นหยกปักผมให้เจ้านายหนุ่ม เปาอี้ส่วงรับปิ่นเล่มนี้มาพิจารณา ไม่นานคิ้วกระบี่ก็เลิกขึ้นเล็กน้อย เขาจำได้ว่าเขาเห็นมันปักอยู่บนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวี "มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน" เขาพึมพำเสียงเบาด้วยความสงสัย หลังจากส่งสวีอี้ฝานและสาวใช้ของนางกลับจวนแล้ว รถม้าของเขาก็เคลื่อนกลับไปยังจวนสกุลเปา ทว่าเดินทางออกมาจากจวนสกุลสวีได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆรถม้าก็ส่ายไปส่ายมา ก่อนจะหยุดลง หลูเผิงรายงานว่าเป็นเพราะยางแบน ก่อนจะพบว่าสาเหตุที่ยางแบนนั้นมาจากปิ่นปักผมของสวีอี้ฝาน ก่อนที่นางจะเปิดประตูลงจากรถม้า เขายังเห็นปิ่นเล่มนี้ปักอยู่บนมวยผมของนาง แล้วเหตุไฉนยามนี้มันถึงได้มาปักอยู่บนรถม้าของเขาได้ นอกเสียจากว่านางจะเป็นคนทำ สวีอี้ฝาน เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากจริงๆ! ครั้นพอหวนนึกถึงยามที่นางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ส่งสายตามองเขาอย่างจับผิด มุมปากหยักก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย นางจะรู้หรือไม่ว่าในยามที่กลิ่นกายหอมกรุ่นจากกายนางลอยเข้ามาแตะจมูก ชวนให้เขาเกิดความรู้สึกปั่นป่วนมากเพียงใด แต่เขาจำต้องเก็บอาการเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย "ท่านแม่ทัพคิดอะไรอยู่หรือขอรับ" เสียงของหลูเผิงทำให้เปาอี้ส่วงหลุดจากภวังค์ เขาส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ "ช่างเถิด ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก รีบกลับจวนกันเถิด" "ขอรับท่านแม่ทัพ" หลูเผิงรับคำจากนั้นจึงยกมือขึ้นเป่าปาก เปาอี้ส่วงก็ทำแบบเดียวกัน รอเพียงไม่นานปรากฏอาชาตัวใหญ่สีขาวและสีดำวิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่ ร่างสูงกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาคมทอดมองไปเบื้องหน้า ยามนี้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจึงไม่ต้องปกปิดตัวตนของตนอีกต่อไป "ฮี้!" อาชาสีดำทะมึนราวกับสีนิลกาฬยกสองขาหน้าเปล่งเสียงร้องดังลั่น ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้า โดยมีอาชาสีขาวตัวใหญ่ของหลูเผิงวิ่งตามไปอย่างติดๆหลังจากที่หยางฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการประทานสมรสพระราชทานให้เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝาน ชาวเมืองต่างพากันตื่นเต้นในงานมงคลที่กำลังจะมาถึงอีกในไม่ช้านี้ ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงบ่าวสาวคู่นี้ว่า'เสียดายเจ้าบ่าวยิ่งนัก'ด้วยตัวเจ้าบ่าวเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฮั่น ผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ อีกทั้งยังหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพเซียน แม้จะสูญเสียการมองเห็นไปจากการรบทัพจับศึกเมื่อสองปีก่อน แต่ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาของเขาลดน้อยลงเลย ทุกอย่างล้วนดูดีไปเสียหมด ติดอยู่อย่างเดียวคือเจ้าสาว แม้นางจะเป็นสตรีที่มาจากชาติตระกูลสูงส่ง หน้าตางดงามไม่เป็นสองรองผู้ใด ทว่ากลับทำตัวไร้ประโยชน์ วันๆ เอาแต่แต่งตัวทาเครื่องประทินโฉมเดินกรีดกรายไปมา ทำให้ไม่ค่อยมีผู้ใดอยากคบค้าสมาคมด้วยเท่าใดนักสวีอี้ฝานหาได้สนใจคำวิจารณ์จากผู้อื่นไม่ หลังจากที่สวีชางหมิงน้องชายนำเรื่องนี้มาเล่าให้นางฟัง นางได้แต่ส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน ก็แล้วจะทำไมกันเล่า มีเงินซะอย่าง ท่านพ่อท่านแม่ของนางยังไม่บ่นสักคำ แล้วคนพูดเป็นผู้ใดกัน เหตุใดนางจะต้องใส่ใจด้วยล่ะเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดงานมงคลก็มาถึง ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวของ
เมื่อคืนสวีอี้ฝานนอนหลับสนิทตลอดคืนคงเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการถูกเคี่ยวกรำที่งานแต่งงานเมื่อวาน อีกทั้งยังรู้สึกวางใจที่เห็นเปาอี้ส่วงโดนฤทธิ์ยานอนหลับของนางจึงมั่นใจว่าเขาคงไม่ตื่นขึ้นมาทำมิดีมิร้ายนางได้แน่"ฮูหยินเจ้าขา ตื่นเถิดเจ้าค่ะ" เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเบาๆที่ข้างหู ปลุกให้คนที่นอนหลับใหลค่อยๆรู้สึกตัวตื่น "หลิงหลิง เหตุใดถึงมาปลุกข้าแต่เช้าเช่นนี้เล่า ข้าขอนอนต่ออีกหน่อยเถิดนะ" กล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ดวงตากวางยังคงปิดสนิทเช่นเดิม หญิงสาวพลิกกายหันหลังให้หลิงหลิงด้วยความรำคาญ ไม่ว่านางจะตื่นเวลาไหน ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่ตำหนินางหรอก"นอนต่อไม่ได้นะเจ้าคะฮูหยิน วันนี้ต้องไปเคารพฮูหยินผู้เฒ่าท่านย่าของท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงนะเจ้าคะ" หลิงหลิงที่ติดตามมารับใช้สวีอี้ฝานที่จวนสกุลเปากล่าวเตือนสติ ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะทำให้คนที่นอนอยู่ถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ตระหนักได้ว่ายามนี้นางไม่ได้อยู่ที่จวนสกุลสวีอีกต่อไปแล้ว"แย่แล้ว! หลิงหลิงไยเจ้าไม่ปลุกข้าให้เร็วกว่านี้เล่า""หามิได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพสั่งว่าห้ามรบกวนเวลานอนของฮูหยิน" หลิงหลิงก้มหน้าลงต่ำเอ่ยเสียงเบา หน้าเสียเ
ระหว่างทางเดินกลับเรือนใหญ่ จู่ๆ สายฝนก็กระหน่ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า หากยังดีที่เรือนเล็กกับเรือนใหญ่มีระเบียงที่ทอดยาวเชื่อมเรือนทั้งสองหลังเอาไว้ด้วยกันทำให้เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานไม่ต้องลุยฝนกลับเรือน"ท่านพี่" ชายเสื้อของคนตัวโตถูกดึงกระตุกเบาๆ จากคนที่เดินตามหลัง เปาอี้ส่วงจึงหยุดเดินหันกลับมาหาคนที่เป็นต้นเหตุ"ท่านย่าเป็นคนเข้มงวด หากยังไม่ชินจะรู้สึกว่าเป็นคนดุ เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย" เปาอี้ส่วงคิดว่าสวีอี้ฝานเป็นกังวลเกี่ยวกับฮูหยินผู้เฒ่า เขาจึงอธิบายให้นางเข้าใจ"เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็แยกเรือนกันอยู่ๆ แล้ว" หญิงสาวโบกไม้โบกมือไปมา ไม่ได้มีท่าทีทุกข์อันใดแม้แต่น้อย"แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรกัน" ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ พลันสีหน้าของนางก็ค่อยๆ เจื่อนลง"ท่านพี่บอกว่าคืนนี้จะอุ่นเตียงกับข้านั้นเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ"คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องฮูหยินผู้เฒ่า แต่กลับเป็นกังวลเรื่องอุ่นเตียงกับเขางั้นหรือ"ไยถึงถามเช่นนั้น" เปาอี้ส่วงยกมือขึ้นกอดอก ถามเสียงเข้ม"ก็ถ้าหากท่านพี่จะร่วมรักกับข้าวันไหน ท่านพี่ก็ต้องบอกข้าล่วงหน้าสิเ
เช้าวันใหม่เวียนมาถึงแล้ว เปาอี้ส่วงหายไปทั้งคืนและไม่ได้กลับมาที่จวนสกุลเปา จวบจนถึงเวลาเช้าสวีอี้ฝานตื่นนอนเขาก็ยังคงไม่กลับมารวมถึงหลูเผิงเองก็หายไปด้วยเเช่นกัน 'นี่มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว' สวีอี้ฝานคิดในใจ เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนคงไม่พ้นเรื่องแผนการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ของพวกจอมโจรชุดดำอย่างแน่นอนจอมโจรชุดดำ เป็นกลุ่มโจรที่สร้างตัวขึ้นเพื่อเตรียมการก่อกบฏ พวกมันต้องการที่จะยึดอำนาจของหวางฮ่องเต้ เมื่อหลายเดือนก่อนหวางจื่อชางอ๋องเคยแอบปลอมตัวเข้าไปสืบและเกือบได้รู้ถึงแหล่งที่ซ่อนของมัน โดยให้องครักษ์เงาทั้งสองคนคือมู่ฝานและฉางชินแอบติดตามไปอย่างลับๆ ทว่าเปาอี้ส่วงกลับนำทัพเข้าไปโจมตีพวกมันเสียก่อนระหว่างนั้นเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวาย เหตุเพราะกลุ่มคนทั้งสองต่างแต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทเหมือนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร และในตอนนั้นเองที่เปาอี้ส่วงไปยืนแทนที่ของหวางจื่อชางอ๋องตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เศษดินและเศษฝุ่นตลบอบอวลจนมองไม่เห็นสิ่งใดทำให้มู่ฝานคิดว่าท่านอ๋องกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงรีบเข้าไปช่วย กว่าจะรู้ตัวว่านางช่วยผิดคนก็สายไปเสียแล้วเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น สว
"โอ๊ย พี่สาวข้าเจ็บนะขอรับ" เสียงร้องโอดโอยของสวีชางหมิงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มือหนาของเขาพยายามแกะมือคนเป็นพี่ออกจากใบหู ทว่ามือเล็กของสวีอี้ฝานเกาะหนึบราวกับตีนตุ๊กแก ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถดึงมือของนางออกได้เลย"เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านเข้าหอนางโลม หนำซ้ำยังกล้าไปทะเลาะเบาะแว้งกับพวกนักเลงหัวโจกเพราะแย่งสตรีคนเดียวกัน ข้าไม่ดึงหูเจ้าขาดไปก็ดีแค่ไหนแล้ว" สวีอี้ฝานกล่าวเสียงดุ สวีชางหมิงเพิ่งจะอายุสิบห้าหนาว อายุห่างกับนางสองปี ท่านพ่อท่านแม่อุตส่าห์ส่งให้ไปเรียนที่สำนักศึกษาแต่กลับหนีออกมาเที่ยวหอนางโลมหากยังดีที่เกาถังฉลาดพอ เขาเลือกที่จะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากนางที่จวนสกุลเปา เพราะถ้าหากเขาวิ่งกลับไปที่จวนสกุลสวีและท่านพ่อกับท่านแม่รู้ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน"ข้าผิดไปแล้ว พี่สาวอภัยให้ข้าด้วยเถิด โอ๊ยย" ท้ายประโยคเขาร้องเสียงดัง เมื่อสวีอี้ฝานใช้มือบิดหูของเขาอย่างแรง หยดน้ำตาไหลปริ่มคลออยู่ที่หน่วยตา อีกไม่นานหูของเขาคงได้หลุดติดมือของพี่สาวออกมาจริงๆแน่สวีอี้ฝานถอนหายใจออกมาแรงๆหนหนึ่ง ก่อนจะดึงมือกลับ ปล่อยใบหูของสวีชางหมิงให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจ
"จะ เจ้าเหตุใดถึงแต่งกายเช่นนี้เล่า" เปาอี้ส่วงไม่ได้ตกใจที่นางจับได้ว่าเขาโกหก แต่เขาสนใจร่างกายกึ่งเปลือยของนางมากกว่าสวีอี้ฝานแค่นเสียงหึออกมาในลำคอ ก่อนจะรวบชุดคลุมขึ้นมาห่อหุ้มกายเอาไว้เช่นเดิม หากนางไม่ทำเช่นนี้เขาคงไม่มีวันยอมรับสินะ ท่านแม่ทัพเปาเป็นพวกบ้ากามชัดๆ"ข้าไม่รู้ว่าท่านโกหกทุกคนไปเพื่อเหตุใด แต่ข้าหรือฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนในครอบครัวของท่านแท้ๆแต่ท่านกลับไม่ไว้ใจ ท่านมันเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ" สวีอี้ฝานตำหนิออกไปตามตรง ไม่เพียงแค่นางเท่านั้นที่ตกใจ แต่ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่ารู้ก็คงจะเสียใจไม่น้อยเลยทีเดียวเปาอี้ส่วงขบกรามแน่นจนเห็นสันนูนเด่นชัด ตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าจวบจนถึงท่านพ่อและท่านแม่ของเขาในยามที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ยังไม่เคยตำหนิเขามาก่อน ทว่านางกล้าดีอย่างไรถึงได้เอ่ยปากตำหนิเขาเช่นนี้"ข้ามีเหตุผลของข้า""เหตุผลอะไรหรือเจ้าคะ" นางถามกลับทันควัน แต่งเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ไม่ควรมีความลับต่อกันและกันสิ หากเป็นเรื่องสำคัญนางจะได้ช่วยส่งเสริมเขาอย่างไรเล่า"เจ้าเป็นฮูหยินของข้าก็ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องราวต่างๆภายในจวนให้ดีเถิด เรื่องอื่นให้เป็นหน้าที่ของข้าก
"ข้าเป็นฮูหยินของที่นี่ เป็นภรรยาลำดับที่หนึ่งของท่านแม่ทัพ หน้าที่ดูแลจวนและทุกคนเป็นหน้าที่ของข้า หากผู้ใดไม่คิดหวั่นเกรงข้าๆไม่ว่า แต่อย่าทำกิริยาต่ำๆ เช่นนี้ หากพวกเจ้าไม่ชอบข้าๆไม่สน แต่ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่จงเคารพข้าในฐานะฮูหยินใหญ่ หาไม่ข้าจะไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น" สวีอี้ฝานกล่าวเสียงกร้าว กวาดตามองไปยังสาวใช้ทุกคนที่ยืนอยู่ บรรดาเหล่าสาวใช้ต่างพากันก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว ก่อนสายตาของสวีอี้ฝานจะมาหยุดอยู่ที่หนิงเชา"เข้าใจหรือไม่""เข้าใจเจ้าค่ะ" เสียงเหล่าสาวใช้ดังประสานเสียงกัน ไม่มีผู้ใดกล้าเพิกเฉยต่อคำถามนั้นเพราะไม่มีใครอยากมีปัญหากับฮูหยินใหญ่"ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า แต่อย่างไรเสียก็เป็นแค่บ่าว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบหน้าข้า แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบหน้าเจ้าเช่นกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไปเถิด อย่ามาก้าวก่ายหาเรื่องกัน เพราะคนอย่างข้าไม่ยอมถูกรังแกฝ่ายเดียวแน่"น้ำเสียงหนักแน่นและแววตาแข็งกระด้าง ผสานกับท่าทางเอาจริงเอาจังของสวีอี้ฝานทำให้หนิงเชาไม่กล้าปริปากเอ่ยวาจาใดอีก สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือหาหนทางรอด นางจึงยอมขานรับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ส
สวีอี้ฝานก้มหลบคมดาบที่ฟาดฟันมายังตนด้วยความว่องไว นางใช้วิทยายุทธจัดการกับอีกสามคนที่เหลือจนล้มไปกองกับพื้น ก่อนจะหันไปคว้ามือบางของหลิงหลิงให้วิ่งตามตนไปสองร่างวิ่งลัดเลาะเข้าไปในป่าไผ่ แม้นางจะมีฝีมือด้านการต่อสู้ แต่กลุ่มโจรชุดดำมีมากกว่านาง สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือการหนีเท่านั้น แต่ทว่าพวกโจรชุดดำก็ไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ พวกมันวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละเช่นกัน"หลิงหลิง ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากข้านับถึงสามเมื่อไหร่เจ้าจงรีบก้มตัวลงทันทีเข้าใจหรือไม่""หะ ฮูหยินว่าอย่างไรนะเจ้าคะ""หนึ่ง""... ""สอง""ฮูหยิน บ่าวยังไม่พร้อมเจ้าค่ะ" "สาม""กรี๊ดดดด" หลิงหลิวกรีดร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว แต่กระนั้นก็รีบก้มลงตามที่เจ้านายบอก นางสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แล่นผ่านศีรษะนางไปอย่างฉิวเฉียดฉั่บ! ฟิ้ว!สวีอี้ฝานดึงกริชเงินเล่มเล็กออกมาจากใต้แขนเสื้อตัวยาวพร้อมปาไปทางด้านหลังอย่างแม่นยำ กริชสีเงินกระทบกับลำต้นไม้ใหญ่ก่อนจะกระเด็นไปทางชายชุดดำทั้งสามคนจนพวกมันต้องรีบพากันหาทางหลบ บ้างก็โดนปลายกริชเงินเล่นงานจนได้เลือดตุ้บ! "โอ๊ย" หลิงหลิงร้องออกมาเสียงดังก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นเพราะสะด
หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา
"ในฐานะชายาของฝ่าบาทหรือเพคะ" หญิงสาวทวนคำของเขาอีกครั้งอย่างเหม่อลอยหวางจื่อชางเห็นเช่นนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้เอื้อมคว้ามือบางขึ้นมากอบกุมเอาไว้"ใช่ มู่ฝานที่ผ่านมาข้ารักเจ้ามาโดยตลอด หากแต่ข้าคิดว่าเจ้าเคียงข้างข้าเสมอมา ข้าคิดว่าจะบอกความในใจให้เจ้ารับรู้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ทว่าความตายกลับมาพรากเจ้าไปจากข้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าในตอนที่ข้าเสียเจ้าไป ข้าเสียใจมากแค่ไหน ข้าไม่เป็นอันทำอะไรต้องไปพึ่งพวกพ่อมดหมอผีเพื่อให้พวกเขาพาวิญญาณเจ้ากลับมาอยู่กับข้าเช่นเดิม จนกระทั่งข้าได้พบหมอดูหญิงโดยบังเอิญ ในตอนที่นางบอกว่าเจ้ายังอยู่ ข้าดีใจมาก ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในร่างของบุตรสาวสกุลสวีหรือใครก็ตามข้ารับได้ทั้งนั้น อย่าจากข้าไปอีกเลยนะ" หวางจื่อชางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ตลอดชีวิตไม่เคยทำเช่นนี้กับใครมาก่อน มีเพียงแค่มู่ฝานคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะยอม"ไม่ได้เพคะ" สวีอี้ฝานรีบดึงมือกลับ จากที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขา นางก็ซาบซึ้งใจอยู่หรอก หากแต่ว่าสำหรับนางแล้ว หวางจื่อชางเปรียบเสมือนเจ้านายและพี่ชายของนางเท่านั้น"ทำไมล่ะ เจ้ารังเกียจข้างั้นหรือ" หวางจื่อชางถามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เขารักนางมากปาน
"ยัยแก่ปลิ้นปล้อน ข้าไม่น่าเสียเวลากับเจ้าเลย รู้อย่างนี้คงไม่ทนเอาอกเอาใจยัยแก่บ้าอำนาจนิสัยร้ายกาจเช่นเจ้าหรอก เสียเวลาจริงๆ! กรี๊ดดดด! " หยวนเสี่ยวหงผุดลุกขึ้นพ่นวาจาหยาบคายเสร็จก็เดินกระแทกเท้าตึงตังออกไปด้วยความรวดเร็วจางเข่อซินยกมือขึ้นทาบอก อ้าปากพะงาบๆ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ"หนิงเชาข้าอยากเป็นลมเหลือเกิน""ว้าย ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าเป็นอะไรนะเจ้าคะ ใจเย็นๆ ก่อนเจ้าค่ะ" หนิงเชารีบปรี่เข้ามาพลางใช้มือโบกแทนพัดให้ฮูหยินผู้เฒ่า"เจ้าได้ยินที่นางด่าข้าหรือไม่" ถามเสียงสั่น หยดน้ำตาตลออยู่ที่หน่วยตา ตั้งแต่เกิดมาตั้งแต่ศีรษะเป็นสีดำยันเปลี่ยนเป็นสีขาวยังไม่เคยโดนผู้ใดพ่นวาจาร้ายกาจใส่เช่นนี้มาก่อน"ได้ยินชัดเต็มสองหูเลยเจ้าค่ะ" หนิงเชาทำหน้าแหยยกมือขยี้หูไปมา เสียงกรีดร้องของหยวนเสี่ยวหงยังคงติดหูของนางไม่หาย น่ากลัวยิ่งนัก...ฮูหยินผู้เฒ่าหอบหายใจสะท้าน ความรู้สึกตกใจยังไม่จางหาย แต่ที่แน่ๆ นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าสกุลเปาของนางกับสกุลหยวนคงไม่มีวันมองหน้ากันติดอีกแล้วอย่างแน่นอนก๊อกๆๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หลุดจากภ
สวีอี้ฝานน้ำตารื้นรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก อีกทั้งยังรู้สึกโมโหตนเองอยู่หลายส่วน ก่อนที่จะแต่งงานกับเขานางเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่มีวันปันใจให้กับเขาอย่างแน่นอน หรือนี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ท่านเทพเคยบอกว่า ระหว่างนางรองกับพระเอกจะมีเรื่องให้บาดหมางกันจนถึงขั้นลงชื่อหย่า และพระเอกก็ได้แต่งงานกับนางเอกสุดท้ายพระเอกก็ต้องคู่กับนางเอกสินะ คนที่เป็นเพียงแค่นางรองอย่างนางจะไปฝืนชะตาได้อย่างไรกัน"อุ๊บ" จู่ๆสวีอี้ฝานก็รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมา หญิงสาวรีบคว้ากระโถนก่อนจะอาเจียนออกจนหมดไส้หมดพุง"หลิงหลิงทำอะไรอยู่ เห็นหรือไม่ว่าลูกข้าไม่สบาย รีบไปตามหมอเร็วเข้า" หลี่อ้ายซีรู้สึกตกใจไม่น้อย รีบปรี่เข้าไปลูบแผ่นหลังบางของบุตรสาวไปมาพลางหันมาเอ่ยกับหลิงหลิง"เอ่อ... เจ้าค่ะ" หลิงหลิงตอบรับพร้อมทำท่าจะวิ่งออกไป แต่สวีอี้ฝานกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน"ไม่ต้องให้หลิงหลิงไปหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรแค่รู้สึกเหม็นอาหารเท่านั้น"หลี่อ้ายซีเงียบไปเล็กน้อย พลันไม่นานก็เบิกตากว้างกล่าวละล่ำละลักด้วยความตกใจปนตื่นเต้น"นี่ลูกกำลังตั้งครรภ์งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะท่านแม่" สวีอี้ฝานแย้มยิ้มออกมาบางๆ ยกมือขึ้นวางทา