งานเลี้ยงก็จบลงเช่นนี้ เซวียนชินอ๋องดื่มจนเมามายไม่ได้สติ อวี้หลิงก็ออกคำสั่งให้บ่าวไพร่ในจวนเก็บกวาดลานเรือนให้เรียบร้อย ส่วนมู่หลานเฟินก็เดินกลับเรือน ระหว่างทางนางเดินผ่านสระบัว หญิงสาวหยุดมองดูมันพลางครุ่นคิด
นี่คือสระบัวที่มู่หลานเฟินคนก่อนตกลงไปและถึงแก่ชีวิตจนจากโลกนี้ไปแล้วนางก็ได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน
มู่หลานเฟินมองเงาของตนที่สะท้อนบนผิวน้ำ แสงจันทร์ยามค่ำคืนทำให้นางมองเห็นภาพสะท้อนของตนเองบนผิวน้ำได้อย่างชัดเจน ใบหน้านี้งดงามอ่อนเยาว์ นางเหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปในโลกอนาคตที่ตนเองจากมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ครั้งแล้วที่นางทะลุมิติไปเป็นคนนั้นทีคนนี้ที เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นบุรุษบ้าง
นับว่าครั้งนี้ได้เป็นตัวเองเสียที แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้ได้อีกนานเท่าใดนัก เพราะจากหลายๆเหตุการณ์ในชาติก่อนๆ นางนั้นมีอายุไม่ยืนยาวสักเท่าใดนัก
หญิงสาวถอนหายใจออกมา ยังไม่ทันจะเดินกลับเรือนก็ได้ยินเสียงของป้ามหาภัยเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"หลานสาวตัวดี เจ้ายังมีอารมณ์มายืนชมนกชมไม้ ชมสระบัวอยู่อีกหรือ"
มู่หลานเฟินกลอกตาไปมา ก่อนจะหันมามองอวี้หลิงอย่างเอือมระอา
"ข้าจะไปนอนแล้ว ง่วงมาก เชิญท่านป้าตามสบาย"
"นังเด็กคนนี้นี่!"
มู่หลานเฟินไม่รอให้อวี้หลิงมาพูดจาไม่เข้าท่ากรอกหูนางอีก นางกลับไปอาบน้ำ ก่อนจะเอนกายนอนบนเตียง แต่จนแล้วจนรอดกลับนอนไม่หลับเอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่ค่อนคืน เมื่อนอนแล้วไม่หลับเสียทีนางจึงออกมาเดินเล่นรับลมที่นอกห้อง เมื่อออกมาจากห้องก็มองเห็นลั่วเหมยสาวใช้ที่กำลังนั่งสัปปะหงกอยู่หน้าห้องนอนของนาง อีกทั้งเหมือนจะไม่รู้สึกตัวอีกด้วย มู่หลานเฟินส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
ที่จวนแห่งนี้หรูหราสุขสบาย แต่นางรู้ดีว่าการที่นางมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเช่นนี้ก็เพราะมีท่านป้าเป็นถึงพระชายาเอก หากวันใดที่อวี้หลิงทำตามแผนการไม่สำเร็จ และเซวียนซานหลางขึ้นมาเป็นชินอ๋องคนใหม่ เขาคงไม่มีทางเก็บพวกนางเอาไว้ในจวนให้เป็นหอกข้างแคร่
ช่างเถอะ ฝีมือการทำอาหารของนางก็มี หากโดนไล่ออกจากจวนจริงๆ ก็แค่ไปหาเช่าแผงลอยเล็กๆทำอาหารมาขายก็สิ้นเรื่อง คนเราควรต้องพึงพาตนเองให้ได้ไม่ใช่หรือ
มู่หลานเฟินเดินมาตามทางเรื่อยๆเพียงลำพัง กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าตนเองเดินมาถึงด้านหลังของจวนอ๋องเสียแล้ว ที่ตรงนี้มีแค่คบไฟจุดให้ความสว่างเพียงไม่กี่ดวง อีกทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่รายล้อมให้ความรู้สึกน่าประหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยเลย
มู่หลานเฟินคิดจะหันหลังเดินกลับแต่สายตาของนางเหลือบไปเห็นกระท่อมไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล อีกทั้งยังมีไฟส่องให้ความสว่างมาจากภายใน หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น เดิมทีคิดว่าไม่ควรสอดรู้เรื่องของคนอื่นดีกว่าจะได้ไม่ตายไว แต่อีกใจหนึ่งนางกลับไม่เห็นด้วย หากเป็นโจรเล่าเช่นนั้นไม่แย่หรอกหรือ
มู่หลานเฟินค่อยๆเดินเข้าไป เมื่อเดินเข้าไปใกล้กระท่อมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังพูดคุยกัน นางคิดไปไกลถึงขนาดที่ว่าอาจจะมีคนคิดชั่วในจวน หรือมีโจรมาขโมยของ สัญชาตญาณระวังตนเริ่มทำงานทันที
เพราะมีชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นสุนัข ทั้งหูและจมูกของนางจึงได้ยินและรับกลิ่นได้ดี
มารดามันเถอะความรู้สึกที่เหมือนมีวิญญาณหมาอยู่ในร่างตลอดเวลานี่มันคืออันใดกัน!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมู่หลานเฟินจึงเดินเข้าใกล้ๆกระท่อมหลังนั้นด้วยฝีเท้าที่เงียบเชียบ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงสนทนาภายในชัดเจนขึ้น
เป็นเสียงของบุรุษสองคน?
คุ้นหูเสียด้วย
ภายในกระท่อมเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันกำลังนั่งอ่านรายงานการตายของสตรีหลายสิบคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ที่นี่คือที่นัดหมายลับของพวกเขายามที่มีเรื่องต้องสะสาง นัดพบกันที่อื่นย่อมไม่อาจวางใจ ในจวนของเขาย่อมปลอดภัยกว่าเพราะมีหูตาของเขาคอยคุ้มกันอยู่เต็มไปหมด
การตายของพวกนางทุกคนล้วนน่าสงสัย ทุกศพเป็นสตรีซ้ำยังสวมใส่ชุดเจ้าสาว ที่คอมีร่องรอยของการถูกเชือกรัดรึง ดวงตาสองข้างถูกควักออกจนกลวงโบ๋ เล็บมือเล็บเท้าถูกถอดออก การตายวิปริตเช่นนี้คนที่ลงมือจะต้องอำมหิตไม่เบาเลย
เซวียนซานหลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยกับเสิ่นเหวยอัน
"คนของเจ้าสืบได้ความใดมาบ้าง"
เสิ่นเหวยอันเงยหน้ามามองเซวียนซานหลาง ระหว่างพวกเขาสองคนแม้จะไม่ลงรอยกันไปบ้างแต่ยามที่ต้องทำงานกลับร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี
"ศพทุกศพล้วนน่าสงสัย อีกทั้งสตรีที่ถูกสังหารครั้งนี้ล้วนเป็นหญิงสาวที่เข้าพิธีแต่งงานและรออยู่ในห้องหอ เจ้าบ่าวของพวกนางบอกว่าหลังจากส่งแขกเสร็จ เมื่อกลับมาเจ้าสาวก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว คนร้ายลงมือได้น่าพรั่นพรึงมาก ถึงขนาดควักดวงตา ถอดเล็บ รัดคอ คนของท่านเจ้าเมืองก็ตามสืบร่องรอยของฆาตรกรไม่พบ ชาวบ้านหวาดผวา สตรีทุกคนที่ถึงวัยออกเรือนต่างไม่กล้าออกเรือนแต่งงานเพราะกลัวความตายจะมาเยือน คนของข้าบอกว่าพวกเขามีความเชื่อว่ามีวิญญาณของสตรีนางหนึ่งที่ตายในคืนวันแต่งงานและอาฆาตแค้นมาก จึงมาเอาชีวิตของหญิงสาวที่แต่งงานทุกคนไปอยู่กับตน คนในหมู่บ้านถงหวางบางคนหวาดกลัวจึงออกจากหมู่บ้านมาตั้งรกรากใกล้เมืองหลวง รวมตัวกันเขียนจดหมายร้องเรียนทางการว่ามีวิญญาณไล่ฆ่าคน โชคดีที่จดหมายร้องเรียนนั้นมาถึงมือข้าพอดี ข้าจึงนำถวายให้ฝ่าบาท ซื่อจื่อ ท่านคิดว่าจะจัดการเช่นไรดี แล้วมีความคิดเห็นเช่นไร"
เซวียนซานหลางมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย
"วิญญาณอันใดกันเหลวไหลสิ้นดี ข้าว่ามันเป็นฝีมือคนชัดๆ เช่นนั้นเอาอย่างนี้ พวกเราต้องปลอมตัวเข้าไปที่หมู่บ้านถงหวาง หากเข้าไปด้วยฐานะที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ อาจจะทำให้คนร้ายไหวตัวทัน ที่สำคัญต้องเล่นตามแผน ในเมื่อฆาตรกรพุ่งเป้าไปที่หญิงสาวที่แต่งงานเข้าหอ เช่นนั้นเราต้องหาสตรีสักคนในหมู่บ้านมาร่วมแสดงละครตบตาคนร้ายเพื่อหลอกล่อฆาตรกรออกมา"
เสิ่นเหวยอันพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ย
"แผนการนี้จะว่าง่ายก็ง่ายอยู่หรอก แต่หากไต่ตรองให้ถี่ถ้วนจะพบว่าไม่ง่ายเท่าใดนัก สตรีทุกคนในหมู่บ้านถงหวางหวาดกลัวถึงเพียงนี้ย่อมไม่ให้ความร่วมมือกับเราแน่ ที่สำคัญอาจจะกลายเป็นจุดอ่อนของพวกเราได้ พวกนางเอาแต่เก็บตัวเพราะกลัวความตาย เราคงจะต้องหาสตรีในเมืองหลวงสักคนให้ติดตามไปด้วย จ่ายเงินให้นางมากหน่อย ที่สำคัญต้องหาคนที่มีวรยุทธ์สามารถปกป้องตนเองได้ ไม่อย่างนั้นนางอาจจะกลายเป็นเหยื่อไปอีกคน แต่จะหาสตรีจากที่ไหนกันที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ สตรีน้อยในเมืองหลวงวันๆเอาแต่ผลัดแป้งแต่งหน้า ให้ไปเสี่ยงอันตรายอาจจะเป็นตัวถ่วง อ่า ข้านึกออกแล้ว น้องหรานหร่านอย่างไรเล่า!"
เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินก็แทบจะพ่นน้ำชาออกจากปาก เสิ่นเหวยอันดูท่าจะปักใจชอบพอมู่หลานเฟินจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว ไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนนึกถึงแต่หน้านางมารน้อยผู้นั้น
"ไม่ได้!"
"เหตุใดจึงไม่ได้?"
เซวียนซานหลางเม้มริมฝีปากแน่น เรื่องที่อวี้หลิงคิดจะสังหารเขาและส่งมู่หลานเฟินมายั่วยวนเขานั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยบอกเล่ากับใคร เพราะไม่ต้องการให้คนนอกล่วงรู้เรื่องโสมมภายในจวนของเขา
"ไม่ต้องถามหาเหตุผล ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้"
"ซื่อจื่อ ท่านอย่าทำตัวไร้สาะไปหน่อยเลย เราต้องทำงานนี้ให้แล้วเสร็จ ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทจะทรงต่อว่าท่านและข้าแน่นอน ท่านวางอคติในใจลงก่อน ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบน้องหรานหร่าน แต่ตอนนี้สตรีในเมืองหลวงที่มีคุณสมบัติอย่างที่พวกเราตามหาก็เห็นจะมีแค่น้องหร่านหร่านเพียงคนเดียว ท่านว่าจริงหรือไม่"
เซวียนซานหลางถึงกับเถียงไม่ออก ที่เสิ่นเหวยอันพูดมาไม่ผิด สตรีในเมืองหลวงที่มีวรยุทธ์แทบไม่มี แต่มู่หลานเฟินกลับเป็นข้อยกเว้น
เสิ่นเหวยอันยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย
"ตกลงตามนี้"
"ผู้ใดตกกลง?"
"ซื่อจื่อ งานนี้ท่านและข้าต้องตัดสินใจร่วมกัน คนที่มีอำนาจในการตัดสินใจก็คือข้าด้วยส่วนหนึ่ง ท่านเอาอคติส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานเช่นนี้ หากงานไม่สำเร็จ จะทำเช่นไร ช่างไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ"
"เสิ่นเหวยอัน!"
ด้านมู่หลานเฟินที่แอบฟังอยู่ข้างนอกกระท่อมก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดชัดเจน นางได้ยินว่าพวกเขาจะไปสืบคดีกัน และต้องการตัวหญิงสาวคนหนึ่งที่มีวรยุทธ์ติดตามไปด้วย เสิ่นเหวยอันเสนอชื่อนาง นางรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ตั้งแต่ทะลุมิติมาที่นี่นอกจากกินกับนอนแล้วนางก็ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก ไม่สู้ออกไปท่องยุทธภพเสียหน่อย ช่วยพวกเขาทำงาน จะได้ไม่ต้องทนมองหน้าอวี้หลิงป้ามหาภัยนั่นทุกวัน
ยังไม่ทันที่นางจะเดินเข้าไปหาพวกเขาก็พบว่ามีดาบยาวเล่มหนึ่งวางพาดอยู่บนลำคอของนาง เมื่อเหลือบสายตาไปมองก็พบว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังจ้องมองนางเขม็ง
"คุณหนูมู่ สอดรู้สอดเห็นสมควรตาย"
"เจ้าเป็นองค์รักษ์ลับของเซวียนซานหลางหรือ"
คนผู้นั้นไม่เอ่ยตอบแต่กลับจ้องนางเขม็ง มู่หลานเฟินถึงกับส่งเสียงเหอะในใจ เจ้านายกับลูกน้องนิสัยไม่ต่างกันเลยจริงๆ วันๆจ้องแต่จะฆ่านาง
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบและยังจะฆ่านางอีกด้วย นางจึงฉวยโอกาศตอนเขาไม่ทันระวังตนใช้ฝ่ามือปัดด้ามดาบให้ออกห่างจากคอตนเอง และยกเท้าถีบองค์รักษ์ลับผู้นั้นจนล้มลง
เสียงเคลื่อนไหวที่ด้านนอกทำให้เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันหันมามองหน้ากันโดยพลัน ก่อนที่คนทั้งสองจะรีบวิ่งออกมาจากกระท่อม เมื่อออกมาเห็นภาพตรงหน้าก็ทำเอาเซวียนซานหลางหน้าเขียวคล้ำ ส่วนเสิ่นเหวยอันก็ยืนปรบมือชอบใจอยู่ข้างๆเขา
ตอนนี้องค์รักษ์ลับผู้นั้นกำลังนอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของมู่หลานเฟินพลางร้องโอดครวญไม่เป็นภาษา
"มู่หลานเฟิน เจ้าทำอันใดองค์รักษ์ของข้า"
เซวียนซานหลางเอ่ยถามมู่หลานเฟินด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ มู่หลานเฟินหันมายิ้มให้เขาก่อนจะเอ่ยตอบ
"ไม่ได้ทำอันใด องค์รักษ์ของท่านจะตีข้า ข้าก็เลยชิงตีเขาก่อน ข้าเพียงผ่านทางมาได้ยินเรื่องที่พวกท่านสองคนกำลังปรึกษากัน เดิมทีคิดจะจากไปแล้วแต่คนของท่านจะทุบตีข้า ข้าเลยต้องป้องกันตัว"
เสิ่นเหวยอันเมื่อได้ยินที่มู่หลานเฟินบอกเล่าก็ยิ้มตาหยี
"น้องหรานหร่าน เจ้าช่างน่าค้นหาขึ้นทุกวันจริงๆ"
"พี่เสิ่นชมเกินไปแล้ว เกรงใจๆ"
เซวียนซานหลางหลับตาลงพยายามข่มกลั้นโทสะ ก่อนจะเดินเข้าไปดึงแขนของมู่หลานเฟินและลากนางเข้าไปในกระท่อม
ในเมื่อสตรีนางนี้รู้แล้วว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร คงจะปล่อยให้นางเอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาไม่ได้ ท้ายที่สุด เซวียนซานหลางจำต้องยอมให้มู่หลานเฟินติดตามไปด้วย
"หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ภารกิจของข้าล้มเหลว หากแผนการของข้าพังคร่ืนไม่เป็นท่าเพราะเจ้า ข้าจะส่งเจ้าไปนอนกองรวมกับเจ้าสาวที่เป็นศพพวกนั้น!"
มู่หลานเฟินลอบเบ้ปากในใจ
ขู่เก่ง! ชาติก่อนเคยเกิดเป็นงูเห่าหรือ!
แม้ในใจจะก่นด่าแต่เบื้องหน้ามู่หลานเฟินกลับพนักหน้ารับรู้ เสิ่นเหวยอันยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยกับนาง
"น้องหรานหร่านไม่ต้องกลัว มีพี่เสิ่นคนนี้อยู่ทั้งคน ซื่อจื่อคนบ้าอำนาจทำอันใดเจ้าไม่ได้หรอก"
“ได้ ข้าเชื่อพี่เสิ่นเจ้าค่ะ”
“ดีมาก เด็กดี”
เซวียนซานหลาง”....”
เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าตนเองไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้เล่า รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินอย่างไรอย่างนั้น!
ท้ายที่สุดแล้วเซวียนซานหลางก็จำต้องให้มู่หลานเฟินติดตามไปด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เรื่องการสืบคดีนับว่าเป็นงานราชการลับที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ เพราะอย่างนี้เซวียนซานหลางจึงไม่ได้บอกกับผู้ใดแม้กระทั่งบิดาของตน อีกทั้งยังกำชับมู่หลานเฟินอีกด้วยว่าห้ามนางปากเปราะ หลายวันมานี้มู่หลานเฟินแทบจะกระดิกตัวทำสิ่งใดไม่ได้ เพราะมีคนของเขาจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลาหลายวันต่อมา เซวียนซานหลางบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าเขามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการที่นอกเมืองหลวง อีกทั้งจะออกครั้งนี้เดินทางไปนานเสียหน่อยไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด และยังต้องการให้สาวใช้ติดตามไปคอยรับใช้สักคนสองคนเพื่อดูแลเรื่องความเป็นอยู่ หากจะไปหาซื้อสาวใช้ที่นอกเมืองหลวงเกรงว่าจะทำงานไม่ได้เรื่องเท่าสาวใช้ที่ได้รับการฝึกฝนในจวนใหญ่ อวี้หลิงเมื่อได้ทราบเรื่องก็รีบไปบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าอยากให้มู่หลานเฟินติดตามไปคอยดูแลเซวียนซานหลางด้วย เซวียนชินอ๋องเองก็ตกปากรับคำ อย่างไรเขาก็อยากให้บุตรชายแต่งงานกับมู่หลานเฟินอยู่แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงไปบอกเรื่องนี้กับบุตรชายทันทีเซวียนซานหลางเมื่อได้ฟังก็แสร้งทำทีเป็นคัดค้านเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า
คนทั้งหมดเดินทางเข้ามาเมืองถงหวางอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่จะเดินทางมา เซวียนซานหลางได้ให้องค์รักษ์ของตนมาสำรวจลู่ทางของที่นี่เรียบร้อยแล้ว อาต่งองค์รักษ์ของเขาได้ซื้อบ้านเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตลาด เป็นร้านของอดีตเถ้าแก่ร้านขายอาหาร แต่เพราะในเมืองถงหวางเกิดเรื่องมากมาย เถ้าแก้ร้านจึงย้ายออกไปอยู่เมืองอื่นพร้อมกับบุตรสาวของตนบ้านหลังนี้ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปพอให้พักกันได้สบายๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เซวียนซานหลางจึงให้มู่หลานเฟินพักอยู่ในห้องเดียวกัน และยังตั้งกฎกับนางว่าห้ามล้ำเส้นเขา ไม่อย่างนั้นดาบในมือของเขาอาจจะพลาดพลั้งบั่นคอนางขาดได้ มู่หลานเฟินลอบเบ้ปาก เขาจะหลงตนเองเกินไปแล้วกระมัง นางมีหรือจะอยากเข้าใกล้เขาขนาดนั้น แค่หายใจร่วมกันยังแทบจะหายใจไม่ออก นี่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกันอีก ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะไขคดีจบสิ้น นางอึดอัดจะตายอยู่แล้วด้านเซวียนเจ๋อนั้นก็พักอยู่อีกห้องหนึ่งใกล้ๆกับลั่วเหมย เพราะเซวียนซานหลางสั่งห้ามไม่ให้เขาแต่งเป็นบุรุษ เขาจึงต้องยืมเสื้อผ้าของลั่วเหมยมาสวมใส่ โชคดีที่ตัวของเขาผอมบางจึงใส่เสื้อผ้าของลั่วเหมยได้ ลั่วเหมยถึงกับหมดอาลัยตายอยาก
เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาเองไม่ได้กลิ่นอันใด แต่เสียงที่มู่หลานเฟินบอกนั้นตลอดหลายคืนมานี้เขาจะพอจะได้ยินอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เขาไปสอบถามเสิ่นเหวยอันก็ได้ความว่าเสิ่นเหวยอันก็ได้ยินเช่นเดียวกันการเดินทางเข้าเมืองถงหวางครั้งนี้เขาไม่ได้แจ้งต่อท่านเจ้าเมือง เพราะต้องการสืบคดีให้แน่ชัด การที่มีคนนอกล่วงรู้เรื่องนี้มากเกินไปอาจไม่ส่งผลดีต่อรูปคดีที่สำคัญตัวตนของเขาพวกเขาได้ถูกปิดบังอย่างชัดเจนแล้ว ก่อนเข้าเมืองก็ได้จัดการเอกสารหลักฐานที่ใช้เข้าเมืองได้อย่างแนบเนียนไม่มีพิรุธ"คืนนี้ข้าจะไปตรวจดูรอบๆเมือง เจ้าอยู่ในบ้านปิดหน้าต่างและประตูให้ดี""ข้าไปด้วยสิ"มู่หลานเฟินรีบอ้อนวอนเซวียนซานหลาง แต่ชายหนุ่มกลับมองนางเหมือนมองตัวปัญหา"อย่าเป็นตัวถ่วงข้า""ตัวถ่วงอันใดกันเล่า ท่านลืมไปแล้วหรือว่าจมูกดีมาก หูข้ารึก็ดีกว่าท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ท่านและพี่เสิ่นตามเบาะแสของคนร้ายได้ ข้ารับรองว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านแน่นอน ไม่ต้องกังวล""ไม่...""ที่น้องหรานหร่านเอ่ยมาก็นับว่ามีเหตุมีผล ซื่อจื่อ ท่านก็อย่าเอาแต่ใจนักเลย"เสียงที่คุ้นเคยทำให้เซวียนซานหลางถึงกับหัวเสีย เป
ข่าวการตายของสตรีนางนั้นรวมไปถึงหญิงสาวต่างหมู่บ้านอีกหลายคนเริ่มลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น สตรีทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านล้วนหวาดกลัว ไม่แต่งงาน แม้แต่เหล่าบุรุษก็ยังไม่กล้าสู่ขอสตรีอันเป็นที่รักของตนแต่งงานด้วย เพราะเกรงว่าพวกนางจะถูกวิญญาณร้ายมาเอาตัวไป ชาวบ้านต่างปักใจเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวนางนั้น แต่มู่หลานเฟินกลับไม่คิดเช่นนั้น จากร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย นางมั่นใจเต็มร้อยว่ามันเป็นการฆาตรกรรมอำพรางฆาตรกรลงมืออำมหิตเป็นอย่างมาก ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกินสิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นก็คือพวกนางไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้คนที่เดินวนไปเวียนมาอยู่รอบกายของนางใครกันแน่คือฆาตรกรตัวจริงเช้าวันนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันยังคงไปสืบหาเบาะแสของคดีอย่างเช่นที่เคยทำ ส่วนมู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อก็อยู่ที่ร้านเพื่อรอฟังข่าวคราว เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่ได้รับรู้เรื่องราวน่าหวาดหวั่นก็ไม่กล้าทำตัววุ่นวายเท่าใดนัก"หรานหร่าน เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวตนนั้นหรือไม่"เซวียนเจ๋อเอ่ยถามนางในขณะที่มือก็แกะเมล็ดถั่วกินไปด้
สามวันต่อมาก็เป็นวันแต่งงานของเซวียนซานหลางและมู่หลานเฟิน นางถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากพลางหาววอดๆ อีกทั้งยังบิดกายไปมาอย่างเกียจคร้าน ลั่วเหมยที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก แต่ไหนแต่ไรเจ้านายของนางรักหน้าตาเป็นที่สุด อีกทั้งยังพิถีพิถันเป็นอย่างมาก จะออกจวนแต่ละคราต้องแต่งหน้าแต่งตัวอยู่นานสองนาน แต่ยามนี้คุณหนูคนเดิมกลับหายไปไหนไม่รู้ได้ เจ้านายคนนี้ของนางในตอนนี้นอกจากจะไม่เรื่องมาก ไม่ตบตีนางแล้ว ยังแบ่งอาหารให้นางกิน มู่หลานเฟินกินสิ่งใดนางก็ได้กินด้วย อีกทั้งยังไม่เรื่องมากเจ้ากี้เจ้าการเช่นแต่ก่อน หากเทียบกันแล้ว นางกลับชอบมู่หลานเฟินในตอนนี้มากกว่า"คุณหนู บ่าวจะสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้นะเจ้าคะ คุณหนูต้องระวังและดูแลตนเองให้ดี เดิมทีคุณหนูสามารถใช้ข้ออ้างในการแต่งงานครั้งนี้ผูกมัดเขาเอาไว้ บอกว่าเขาและท่านแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วที่เมืองถงหวาง บ่าวจะช่วยเป็นพยานให้ท่านเอง เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกซื่อจื่อก็จะไม่อาจปฏิเสธคุณหนูได้อีก"ลั่วเหมยพยายามเอ่ยโน้มน้าวเจ้านายตน แต่มู่หลานเฟินที่ได้ยินกลับส่ายหน้าไปมา"ลั่วเหมย ท่านป้าของข้าสั่งให้เจ้ามา
อาหลินบุตรสาวเจ้าเมืองเมืองเมื่อถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว นางจึงคิดจะหนี แต่เสิ่นเหวยอันกลับใช้แส้ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของเขาตวัดไปรัดรอบลำตัวของอาหลินเอาไว้ แรงของเขาไม่เบาเลย ทำให้อาหลินถูกดึงจนล้มลงกับพื้นส่งเสียงร้องโอดครวญไม่หยุดด้านเซวียนซานหลางนั้นก็ประคองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้อ่อนแรงเอาไว้ ริมฝีปากของนางมีโลหิตสีดำไหลออกมาไม่หยุด"มู่หลานเฟินเจ้าห้ามหลับนะ นี่คือคำสั่ง หากเจ้ากล้าหลับข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!"มู่หลานเฟินในตอนนี้แม้แต่แรงเถียงเขายังแทบไม่มี พิษนี้หนักหนาจริงๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายจนไม่เหลือแล้วตอนนี้จึงรู้สึกทนไม่ไหว"ซื่อจื่อ ข้าเจ็บ..."ก่อนหน้านี้แม้นางจะระวังตัวมากเพียงใดแต่ก็ยังมีช่องโหว่ อาหลินสาดผงยาพิษใส่ใบหน้าของนางอย่างรวดเร็วจนนางไม่ทันตั้งตัว"ซื่อจื่อ ในห้องยังมีฝุ่นผงของยาพิษอยู่ ท่านกับพี่เสิ่นรีบออกไปก่อน เร็ว!""จะตายแล้วยังมาห่วงพวกข้า มู่หลานเฟิน เจ้าจำเอาไว้ ข้าไม่ให้เจ้าตาย ข้ายังไม่ได้สะสางหนี้แค้นกับเจ้า มู่หลานเฟิน มู่หลานเฟิน!"มู่หลานเฟินหมดสติไปแล้ว เซวียนซานหลางหลางตื่นตระหนกไม่น้อย เขาพยายามตั้งสติก่อนจะหันไปเอ่ยกั
ยามเช้าของวันต่อมามู่หลานเฟินก็ได้สติฟื้นกลับมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับเซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่อยู่ดูแลนางไม่ห่างเมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้น เซวียนเจ๋อบอกกับนางว่าเมื่อคืนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนอุ้มนางมารักษาที่นี่ มู่หลานเฟินเพียงพยักหน้ารู้ไม่ได้เอ่ยถามอันใดอีกเมื่อคืนนี้นางคิดว่าตนเองจะไม่รอดเสียแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาคอยย้ำเตือนนางว่าทุกคราที่นางทะลุมิติไปอยู่ในอีกร่างหนึ่งมักจะมีอายุไม่ยืนยาว ไม่โดนฆ่าตายก็เกิดเรื่องจนตาย ไม่คิดว่าครั้งนี้ยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมาจะยังมีชีวิตอยู่เซวียนเจ๋อให้ลั่วเหมยนำโจ๊กมาป้อนให้นางกิน มู่หลานเฟินกินไปไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มเสียแล้ว นางจึงกินยาต่อ โชคดีที่มารักษาได้ทันท่วงที ท่านหมอบอกว่าพิษนี้หากทิ้งเอาไว้นาน สุดท้ายนางจะไม่อาจรอดชีวิตได้อีกเมื่อนึกถึงเซวียนซานหลางขึ้นมา มู่หลานเฟินก็พลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ เขาดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยเลยตอนที่เห็นสภาพของนาง แต่นางไม่อยากคิดจะอะไรมากให้มากความ ที่เขาร้อนใจปานนั้นก็คงเป็นเพราะกลัวว่านางจะทำแผนการของเขาพังไม่เป็นท่าเสียมากกว่าท่านหมอมาตรวจอาการนางอีกครั้งเมื่อเห็นว
ท้ายที่สุดคดีสังหารเจ้าสาวก็ถูกปิดลง เจ้าเมืองถงหวางถูกซูอวี้เฉิงสังหาร ส่วนอาหลินก็ถูกตัดสินประหารชีวิต เหล่าข้ารับใช้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารคนของสองพ่อลูกก็ถูกประหารตามเจ้านายของตนไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น เหล่าชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งที่สองพ่อลูกทำให้บุตรสาวของพวกเขาต้องมาด่วนจากโลกใบนี้ไป อีกทั้งยังลงมืออำมหิตโหดเหี้ยมอย่างไม่อาจให้อภัยอีกด้วยเมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง เซวียนซานหลางได้ส่งคนนำรายงานเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นไปถวายให้กับฮ่องเต้เซวียนจง อีกทั้งยังฝากความไปบอกด้วยว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงไปกราบทูลรายงานความเป็นไปทั้งหมดด้วยตนเองฮ่องเต้เซวียนจงทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก คนหนุ่มมากความสามารถเหล่านี้ล้วนเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยทำงานให้เขาได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะหลานชายของเขาคนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนสุขุมรอบคอบ ที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความลำบากใจอะไรให้กับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่โลภมาก เขาเองไม่เคยหวาดระแวงในตัวหลานชายคนนี้เลยแม้แต่น้อยเมื่อปิดคดีได้สำเร็จ ฮ่องเต้เซวียนจงจึงออกราชโองการ ส่งท่านเจ้าเมืองคนใหม่ไปที่เมืองถงหวาง เจ้าเมืองคนน
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ
เสียงน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง เซวียนซานหลางที่ได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที เมิื่อเห็นว่ามู่หลานเฟินตกน้ำลงไปพร้อมกับสวีเมิ่งเหยาเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่านางลอบยักคิ้วให้เขาหนึ่งครั้ง เซวียนซานหลางก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออกนี่นางกำลังจะทำอันใดกันเซวียนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาเซวียนซานหลาง"พี่ใหญ่ รีบช่วยหรานหร่านเร็วเข้า"ด้านฮ่องเต้เซวียนจงและเฉินฮองเฮาก็เริ่มร้อนใจแล้ว แม้แต่อวี้หลิงก็ยังนั่งไม่ติดที่สวีเมิ่งเหยาที่ถูกมู่หลานเฟินลากลงน้ำมาด้วยกันเริ่มมีโทสะขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างไม่พอใจ"นังสารเลว เจ้าคิดจะทำอันใด""เจ้าอยากกล่าวโทษข้า ว่าข้าผลักเจ้าตกน้ำไม่ใช่หรือ""เจ้ารู้ได้เช่นไร""เหอะ สวีเมิ่งเหยา เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดมากนักหรือ แผนการเช่นนี้ข้ามองปราดเดียวก็กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากเล่นข้าก็จะเล่นด้วย พวกเรามาเล่นกันเถอะ"เอ่ยจบนางก็คว้ามือของสวีเมิ่งเหยามากดหัวตนเองให้จมน้ำ พร้อมกับทำท่าทางจะเป็นจะตาย สวีเมิ่งเหยาเลิกลั่กแล้ว มู่หลานเฟินไม่เพียงดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน แต่นางยังใช้มืออีกข้างยื่นมาหยิกที่เอวของสวีเมิ่งเหยาอย่างแรง
เช้าวันต่อมา มู่หลานเฟินตื่นนอนแต่เช้า นางไปหาอวี้หลิงและเซวียนเจ๋อที่พักอยู่อีกเรือนหนึ่ง เพื่อร่วมกินมื้อเช้า เช้าวันนี้ฮ่องเต้เซวียนจงไม่ได้สั่งให้พวกนางไปร่วมมื้อเช้าด้วย มู่หลานเฟินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางก็ไม่อยากจะพบร่วมโต๊ะกับพวกเขาเท่าใดนักระยะนี้อวี้หลิงดูเหมือนจะมีท่าทางแปลกไป นอกจากจะไม่ก่อคลื่นลมใดแล้ว ในแววตายังดูเหมือนมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มู่หลานเฟินเองไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดและไม่ได้วางใจเช่นกัน การที่อวี้หลิงไม่ก่อคลื่นลมไม่ได้แปลว่าพวกนางจะวางใจได้หลังจากผ่านพ้นมื้อเช้าไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้เซวียนจงก็มีรีบสั่งให้เซวียนซานหลางไปสนทนาที่ตำหนักใหญ่ มู่หลานเฟินไม่ได้ตามไปด้วย นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กับเซวียนเจ๋ออากาศที่นี่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย มองไปทางใดก็เห็นเหล่ามวลผกาออกดอกล้อเล่นลม ป่าไผ่รอบข้างก็เขียวขจีสดชื่น แม้แต่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ยังงดงามราวกับภาพวาด เซวียนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างกายมู่หลานเฟิน พลันเอ่ยถามญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย"หรานหร่าน หากพี่ใหญ่แต่งงานกับสวีเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร เจ้าจะยอมแต่งเป็นภรรยาของเขาหร
หลายวันต่อมา มู่หลานเฟินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็ทำทีเป็นว่าทราบเรื่องที่วัดสือฉีเปิดให้หญิงสาวไปผูกดวงขอความรัก นางจึงเดินทางไปที่วัดแห่งนั้นและเขียนดวงชะตาของตนเองผูกเอาไว้เพราะเข้าสู่ช่วงกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแล้ว ฮ่องเต้เซวียนจงจึงมีรับสั่งว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนด้านนอกเมืองหลวง ที่นั่นบรรยากาศดีและเย็นสบายกว่าเมืองหลวง อีกทั้งยังตรัสว่าให้เหล่าขุนนางชั้นสูงติดตามไปด้วย เหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต้องติดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอันใด เพราะบ้านพักของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังฤดูร้อนอยู่แล้วแน่นอนว่าคนในจวนชินอ๋องย่อมต้องติดตามไปด้วยเพราะเป็นเครือญาติและเชื้อพระวงศ์ อวี้หลิงพระชายาเอกนั้นได้สั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมของให้พร้อมสรรพ ก่อนที่นางจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนเมื่อนั่งอยู่เพียงลำพังแล้ว อวี้หลิงก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เมื่อสองคืนก่อนนางได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายบอกว่า มีเบาะแสที่สามารถชี้ตัวคนร้ายที่สังหารน้องสาวและน้องเขยของนางได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งนั่นก็คือ นางจะต้องสังหารเซวียนซานหลางเสีย