อาหลินบุตรสาวเจ้าเมืองเมืองเมื่อถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว นางจึงคิดจะหนี แต่เสิ่นเหวยอันกลับใช้แส้ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของเขาตวัดไปรัดรอบลำตัวของอาหลินเอาไว้ แรงของเขาไม่เบาเลย ทำให้อาหลินถูกดึงจนล้มลงกับพื้นส่งเสียงร้องโอดครวญไม่หยุด
ด้านเซวียนซานหลางนั้นก็ประคองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้อ่อนแรงเอาไว้ ริมฝีปากของนางมีโลหิตสีดำไหลออกมาไม่หยุด
"มู่หลานเฟินเจ้าห้ามหลับนะ นี่คือคำสั่ง หากเจ้ากล้าหลับข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!"
มู่หลานเฟินในตอนนี้แม้แต่แรงเถียงเขายังแทบไม่มี พิษนี้หนักหนาจริงๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายจนไม่เหลือแล้วตอนนี้จึงรู้สึกทนไม่ไหว
"ซื่อจื่อ ข้าเจ็บ..."
ก่อนหน้านี้แม้นางจะระวังตัวมากเพียงใดแต่ก็ยังมีช่องโหว่ อาหลินสาดผงยาพิษใส่ใบหน้าของนางอย่างรวดเร็วจนนางไม่ทันตั้งตัว
"ซื่อจื่อ ในห้องยังมีฝุ่นผงของยาพิษอยู่ ท่านกับพี่เสิ่นรีบออกไปก่อน เร็ว!"
"จะตายแล้วยังมาห่วงพวกข้า มู่หลานเฟิน เจ้าจำเอาไว้ ข้าไม่ให้เจ้าตาย ข้ายังไม่ได้สะสางหนี้แค้นกับเจ้า มู่หลานเฟิน มู่หลานเฟิน!"
มู่หลานเฟินหมดสติไปแล้ว เซวียนซานหลางหลางตื่นตระหนกไม่น้อย เขาพยายามตั้งสติก่อนจะหันไปเอ่ยกับเสิ่นเหวยอัน
"เจ้าจัดการนาง ข้าจะพามู่หลานเฟินไปหาหมอ อีกไม่นานซูอวี้เฉิงน่าจะใกล้เดินทางมาถึงแล้ว พวกเราจะได้สะสางเรื่องนี้ในคราเดียว"
"ได้เจ้ารีบพานางไปรักษา ทางนี้ข้าจะจัดการเอง"
เอ่ยจบเซวียนซานหลางก็อุ้มมู่หลานเฟินที่หมดสติวิ่งตรงไปที่โรงหมอทันที เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่เห็นสภาพของมู่หลานเฟินก็ตื่นตระหนก เพราะพวกเขาไม่ได้กินสิ่งใดไปต่างไม่ได้หมดสติเช่นชาวบ้านคนอื่น
"พี่ใหญ่ หรานหร่าน!"
"อย่าเพิ่งถาม รีบพานางไปโรงหมอ ชักช้าไม่ไม่ได้แล้ว"
เซวียนซานหลางอุ้มมู่หลานเฟินวิ่งไปโรงหมอ ระหว่างทางเขาลอบสังเกตสีหน้าของนางเป็นระยะ ยามนี้ใบหน้าสวยหวานเริ่มซีดเผือดลงไปทุกขณะ
โรงหมอแต่ละแห่งล้วนปิดหมด ท่านหมอที่มาร่วมงานล้วนกินดื่มไปไม่น้อยจึงหมดสติลง เซวียนซานหลางเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทุกขณะ
แต่เหมือนสวรรค์จะยังเข้าข้างเขาอยู่บ้าง เมื่อมีท่านหมอผู้หนึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากไปรักษาคนต่างหมู่บ้าน จึงไม่ได้มาร่วมงานแต่งและกินดื่มจนหมดสติ เซวียนซานหลางรีบบอกให้ท่านหมอช่วยคน ท่านหมอเองก็ไม่รอช้ารีบลงมือรักษามู่หลานเฟินทันที
โชคดีที่ท่านหมอมาทันเวลาในที่สุดมู่หลานเฟินก็ปลอดภัย แต่เพราะนางบาดเจ็บภายในไม่น้อย จำต้องพักรักษาตัวที่โรงหมอให้สุขภาพดีขึ้นเสียก่อน
เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ส่วนเซวียนซานหลางก็เอาแต่จ้องมองมู่หลานเฟินที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาครุ่นคิด
ก่อนออกมาจากบ้าน นางบอกให้เขาและเสิ่นเหวยอันระวังตัวเพราะอาจยังมีฝุ่นละอองของพิษหลงเหลืออยู่ เขาจึงกินยาถอนพิษที่ท่านหมอมอบให้เช่นเดียวกัน และยังให้อาต่งนำไปมอบให้เสิ่นเหวยอันด้วยเช่นเดียวกัน
ท่าทีทีเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงใจของนางนั้นมันทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างแปลกประหลาด
มู่หลานเฟิน ยิ่งนานวัน ข้ายิ่งรู้สึกว่าข้าคาดเดาความนึกคิดของเจ้าไม่ออกเลยจริงๆ
เช้าวันต่อมาเรื่องที่อาหลินคือฆาตรกรก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองถงหวาง เหล่าชาวบ้านต่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองว่าอาหลินบุตรสาวท่านเจ้าเมืองที่มีนิสัยอ่อนโยนและเอาใจใส่ชาวบ้านจะเป็นฆาตรกรที่สังหารบุตรสาวของพวกเขา จากที่เคยเอ็นดูรักใคร่กลับกลายเป็นความเกลียดชังถึงขั้นด่าทอสาปแช่งอย่างยากจะให้อภัย
ท่านเจ้าเมืองถงหวางเมื่อทราบเรื่องก็รีบมาหาบุตรสาวของตนที่ศาลาว่าการเมืองถงหวาง เพื่อเจรจาของตัวคนกับไปไต่สวนด้วยตนเอง
เสิ่นเหวยอันนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน พลางปรายตามองเจ้าเมืองถงหวางด้วยแววตาที่เย็นชา
ตอนนี้จับตัวคนทำความผิดได้แล้ว แน่นอนว่าเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดสถานะของตนเองอีกต่อไป แม้จะยังไม่ได้บอกอันใดกับเจ้าเมืองถงหวางมากนัก แต่มีหรือที่เจ้าเมืองถงหวางจะมองไม่ออกว่าชายหนุ่มที่นั่งมองหน้าเขาด้วยแววตาเย็นชาตอนนี้มีอำนาจในมือมากเพียงใดแววตานี้สามารถกดดันคนให้ตายได้อย่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
"ท่านเข้าเมือง บุตรสาวของท่านทนการทรมาณของข้าไม่ไหว จึงยอมรับสารภาพเรื่องราวทั้งหมดแล้ว หวังว่าท่านจะเห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่หญิงสาวที่ตายไปอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้ข้าลงโทษบุตรสาวของท่านอย่างไม่คัดค้าน อย่าได้ขวางงานข้า"
เจ้าเมืองถงหวางหันไปมองอาหลินบุตรสาวของตนที่ตอนนี้นั่งหัวเราะราวกับคนบ้าก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก นางถูกทรมาณจนขนาดสติรู้แจ้งไปเสียแล้ว เขาเจ็บปวดใจยิ่งนัก ชายหลางคนกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ย
"อาหลินเป็นบุตรสาวของข้า อย่างไรเรื่องนี้ข้าย่อมต้องจัดการด้วยตนเอง ท่านเป็นเพียงขุนนางที่ได้รับมอบหมายให้มาจับคนร้าย เป็นเพียงขุนนางที่ผ่านทางมา ซ้ำตอนเข้าเมืองถงหวางก็ยังไม่เข้ามารายงานต่อข้าผู้เป็นเจ้าเมือง กลับลอบกระทำการตามใจชอบกันเอง เรื่องนี้ช่างทำการอุกอาจเกินไป"
เสิ่นเหวยอันเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ดูท่าเจ้าเมืองถงหวางผู้นี้คงจะตามใจบุตรสาวจนเคยตัว เห็นผิดเป็นชอบกลับดำเป็นขาวได้อย่างไม่น่าให้อภัย
"เจ้าเมืองถงหวาง ท่านคิดจะขัดขวางการทำงานของข้าหรือ ข้าไม่ใช่ขุนนางผู้ผ่านทางมาเพียงเท่านั้น แต่ข้าคือหัวหน้าศาลต้าหลี่ มีสิทธิ์ตัดสินโทษของบุตรสาวเจ้าโดยชอบธรรม"
เจ้าเมืองถงหวางกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว
"ข้าต้องการตัวคนกลับไป!"
"วันนี้จะไม่มีใครพาตัวนักโทษกลับไปได้ทั้งนั้น!"
อยู่ๆก็มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเย็นชาและทรงอำนาจเป็นอย่างมาก เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูการตัดสินคดีต่างหันไปมอง ก่อนจะต้องตกใจไม่น้อย
ตอนนี้เซวียนซานหลางไม่ได้แต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไปอีกแล้ว เขาสวมชุดสีดำ ลวดลายการปักละเอียดประณีต ยามที่เขาย่างกายผ่านฝูงชนเข้ามา ช่างดูสูงส่งสง่างามน่าเกรงขามหาใดเปรียบ เจ้าเมืองถงหวางถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ ส่วนอาหลินที่เห็นเซวียนซานหลางเดินเข้ามาก็ตกตะลึงไม่น้อย
เดิมทีนางไม่อยากจะสารภาพความผิดแต่เพราะทนการทรมานไม่ไหวจึงยอมรับความจริงและแสร้งทำเป็นคนบ้า
ไม่คิดเลยว่าอาซานจะเป็นขุนนางหนุ่มที่รูปงามมากถึงขนาดนี้ น่าเสียดายนักที่แผนการของนางล้มเหลว
หรือว่าที่ผ่านมาเป็นแผนการของเขาที่คิดจะจับคนคนร้ายอย่างนางอยู่ก่อนแล้ว
อาหลินส่งเสียงออกมาเหมือนคนบ้า เซวียนซานหลางปรายตามองนางอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเจ้าเมืองถงหวาง
"บุตรสาวของท่านทำความผิด เข่นฆ่าคนบริสุทธ์เพียงเพราะความแค้นส่วนตน ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ต้องตัดสินประหารชีวิตเท่านั้น"
“เจ้าเป็นใครกัน จึงกล้ามาตัดสินประหารชีวิตคนตามใจชอบ!”
“ข้าน่ะหรือ ข้าคือเซวียนซื่อจื่อ บุตรชายคนโตของจวนชินอ๋อง และยังเป็นหลานชายของฝ่าบาท รู้เช่นนี้แล้ว เจ้าคงไม่ต้องถามอีกหนกระมังว่าข้าเป็นใคร เหตุใดจึงสั่งประหารบุตรสาวของเจ้าได้”
เจ้าเมืองถงหวางเมื่อได้ยินก็หน้าซีดเผือดลนลาน เซวียนซานหลางคร้านจะสนใจเขา ชายหนุ่มเดินไปหาเสิ่นเหวยอันที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน เสิ่นเหวยอันไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด เซวียนซานหลางก็คร้านจะทะเลาะกับเสิ่นเหวยอันเพียงเพราะที่นั่งตำแหน่งเดียว จึงไม่ได้ต่อว่าอันใด
เสิ่นเหวยอันได้ส่งคนมาแจ้งเขาก่อนหน้านี้แล้ว ถึงสาเหตุที่อาหลินลงมือ
เมื่อสองปีก่อนนางรักใคร่ชอบพออยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง แต่แล้วเขากลับหักหลังนาง แท้จริงเขามีภรรยาแล้ว อาหลินหลงรักคนผิดจนขาดสติ นางลงมือลวงภรรยาของชายคนนั้นมาฆ่าทิ้ง นางลงมืออย่างอำมหิต ด้วยการควักดวงตา ถอดเล็บ และรัดคอ ก่อนจะส่งคนไปฆ่าบุรุษผู้นั้นด้วยอีกคน
เดิมทีเมื่อได้สะสางความแค้นแล้วเรื่องราวก็ควรจบลงเพียงเท่านี้ แต่ดูเหมือนจิตใจของอาหลินจะบิดเบี้ยวไปเสียแล้ว นางหลงใหลการฆ่า เห็นสตรีคนใดแต่งงานมีความสุขไม่ได้ เพราะนางคิดว่าในเมื่อตนเองไม่มีความสุข แล้วเหตุใดสตรีน่าโง่เหล่านั้นจะต้องมีความสุขมาก นางเกลียดชุดแต่งงาน และเกลียดคนที่ได้สวมใส่มันด้วย! นางจึงวางแผนให้คนไปจับตัวหญิงสาวเพื่อนั้นมาสังหารทิ้งเสียด้วยวิธีการเดียวกับที่ฆ่าภรรยาของอดีตคนรัก
ก่อนตายหญิงสาวเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรมานมาก อาหลินเล่าว่านางลงมือสังหารอย่างไรโดยไม่รู้สึกผิด นางใช้ผงสลายลมปราณและเส้นเอ้นกับสตรีเหล่านั้นซึ่งก็คือยาพิษตัวเดียวที่ใช้กับมู่หลานเฟิน เมื่อคนถูกพาตัวมาแล้วนางก็จัดการถอดเล็บ ควักดวงตาหญิงสาวทั้งเป็น มองดูพวกนางทรมานท่ี่ขยับตัวไม่ได้ หนีไม่ได้ กรีดร้องไม่ได้ นางรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก จากนั้นค่อยจัดการแขวนคอพวกนางเสีย
และเสียงที่มู่หลานเฟินได้ยินก็คือเสียงของอาหลินเอง ทุกคืนนางจะร้องเพลงเสียงโหยหวนชวนหัวลุกเพื่อระบายความเหงา
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดชาวบ้านจึงหลับสนิทคล้ายถูกวางยานั้นนางกลับปิดปากเงียบไม่ยอมเอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
สตรีจิตใจอำมหิตเช่นนี้มีเพียงต้องตกตายไปสถานเดียวเท่านั้นจึงจะสาสมกับสิ่งที่นางทำลงไป
ต่อให้โกรธแค้นความรักมากเพียงใดก็ไม่มีสิทธิ์หมายมาดทำลายชีวิตของผู้อื่น
เรื่องนี้ค่อนข้างอยู่เหนือความคาดหมายสำหรับเซวียนซานหลางอยู่บ้าง สตรีนางนี้เก็บงำมือที่เปื้อนเลือดของตนเองเอาไว้ได้อย่างมิดชิด เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นนาง
อีกทั้งนางยังมีบิดาคอยให้ท้าย
อยู่ๆเซวียนซานหลางก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
หรือว่าการที่อาหลินลงมือได้อย่างราบรื่นเช่นนี้เป็นเพราะบิดาของนางคอยถือหางให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง?
เขาปรายตามองพิจารณาเจ้าเมืิองถงหวางแต่กลับไม่พบพิรุธอันใด เห็นเพียงบิดาผู้หนึ่งที่ต้องการปกป้องบุตรสาว แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ก็ย่อมเป็นธรรมชอบของคนเป็นพ่อ ไม่ว่าลูกจะทำความผิดมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วย่อมคนเป็นพ่อก็ออกมาต้องกางปีกปกป้องอย่างไม่มีข้อแม้
เมื่อเห็นว่าเรื่องราวคงจะไม่เป็นไปตามที่ตนคิด เจ้าเมืองถงหวางจึงคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
อาหลินเป็นบุตราสาวเพียงคนเดียวของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจนิ่งดูดายทนมองนางตายได้ เขาถอนหายใจก่อนจะเอ่ยกับเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอัน
"เช่นนั้นข้าอยากขอเวลาพวกท่านสักสองวัน อาหลินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของข้า แต่ไหนแต่ไรมานางถูกทะนุถนอมราวกับไข่มุกในฝ่ามือ นางผิดข้ายอมรับ แต่คนเป็นบิดาจะทนมองบุตรสาวตนเองตกตายไปต่อหน้าต่อตาได้หรือ ข้าอยากจะขอให้พวกท่านเลื่อนเวลาตัดสินลงโทษไปอีกสักสองวัน เพื่อให้ข้าได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายกับบุตรสาวได้หรือไม่"
เสิ่นเหวยอันเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันมามองหน้าเซวียนซานหลาง เซวียนซานหลางพยักหน้าเป็นเชิงตกลง เจ้าเมืองถงหลางเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก เซวียนซานหลางลอบส่งสายตาให้อาต่งองค์รักษ์ของตนไปจับตาดูคนของจวนเจ้าเมืองเอาไว้และกลับมารายงานเขา อาต่งเองก็รู้หน้าที่เป็นอย่างดี
ทันทีที่กลับมาถึงจวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองถงหวางก็หันไปสั่งการกับคนของตนทันที
"จัดการไปเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือไม่ขอรับท่านเจ้าเมือง"
องค์รักษ์ข้างกายเอ่ยปรามอย่างไม่เห็นด้วย แต่เจ้าเมืองถงหวางตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ชีวิตของอาหลินขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาแล้ว อย่างไรเขาต้องช่วยนางอย่างสุดความสามารถ
เมื่อเห็นว่าไม่อาจคัดค้านเจ้านายได้ องค์รักษ์ข้างกายจำต้องยอมทำตามที่เจ้านายสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยามเช้าของวันต่อมามู่หลานเฟินก็ได้สติฟื้นกลับมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับเซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่อยู่ดูแลนางไม่ห่างเมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้น เซวียนเจ๋อบอกกับนางว่าเมื่อคืนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนอุ้มนางมารักษาที่นี่ มู่หลานเฟินเพียงพยักหน้ารู้ไม่ได้เอ่ยถามอันใดอีกเมื่อคืนนี้นางคิดว่าตนเองจะไม่รอดเสียแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาคอยย้ำเตือนนางว่าทุกคราที่นางทะลุมิติไปอยู่ในอีกร่างหนึ่งมักจะมีอายุไม่ยืนยาว ไม่โดนฆ่าตายก็เกิดเรื่องจนตาย ไม่คิดว่าครั้งนี้ยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมาจะยังมีชีวิตอยู่เซวียนเจ๋อให้ลั่วเหมยนำโจ๊กมาป้อนให้นางกิน มู่หลานเฟินกินไปไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มเสียแล้ว นางจึงกินยาต่อ โชคดีที่มารักษาได้ทันท่วงที ท่านหมอบอกว่าพิษนี้หากทิ้งเอาไว้นาน สุดท้ายนางจะไม่อาจรอดชีวิตได้อีกเมื่อนึกถึงเซวียนซานหลางขึ้นมา มู่หลานเฟินก็พลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ เขาดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยเลยตอนที่เห็นสภาพของนาง แต่นางไม่อยากคิดจะอะไรมากให้มากความ ที่เขาร้อนใจปานนั้นก็คงเป็นเพราะกลัวว่านางจะทำแผนการของเขาพังไม่เป็นท่าเสียมากกว่าท่านหมอมาตรวจอาการนางอีกครั้งเมื่อเห็นว
ท้ายที่สุดคดีสังหารเจ้าสาวก็ถูกปิดลง เจ้าเมืองถงหวางถูกซูอวี้เฉิงสังหาร ส่วนอาหลินก็ถูกตัดสินประหารชีวิต เหล่าข้ารับใช้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารคนของสองพ่อลูกก็ถูกประหารตามเจ้านายของตนไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น เหล่าชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งที่สองพ่อลูกทำให้บุตรสาวของพวกเขาต้องมาด่วนจากโลกใบนี้ไป อีกทั้งยังลงมืออำมหิตโหดเหี้ยมอย่างไม่อาจให้อภัยอีกด้วยเมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง เซวียนซานหลางได้ส่งคนนำรายงานเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นไปถวายให้กับฮ่องเต้เซวียนจง อีกทั้งยังฝากความไปบอกด้วยว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงไปกราบทูลรายงานความเป็นไปทั้งหมดด้วยตนเองฮ่องเต้เซวียนจงทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก คนหนุ่มมากความสามารถเหล่านี้ล้วนเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยทำงานให้เขาได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะหลานชายของเขาคนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนสุขุมรอบคอบ ที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความลำบากใจอะไรให้กับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่โลภมาก เขาเองไม่เคยหวาดระแวงในตัวหลานชายคนนี้เลยแม้แต่น้อยเมื่อปิดคดีได้สำเร็จ ฮ่องเต้เซวียนจงจึงออกราชโองการ ส่งท่านเจ้าเมืองคนใหม่ไปที่เมืองถงหวาง เจ้าเมืองคนน
เมื่อเรื่องราวที่เมืองถงหวางจบสิ้นลงแล้ว ก็ได้เวลากลับเมืองหลวงกันเสียที ก่อนเดินทางกลับหนึ่งวัน เสิ่นเหวยอันนึกสนุกจึงเอาสุราชั้นดีมาให้ทุกคนได้ดื่ม อีกทั้งยังย่างเนื้อกินกันอย่างสนุกสนานแสงของกองไฟที่สว่างเจิดจ้า ส่องกระทบใบหน้างดงามของมู่หลานเฟิน นางยังคงยิ้มร่าเริง เข้ากับชาวบ้านได้ดี ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังลงมือย่างเนื้อเองกับเมือ "คุณหนูมู่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือทำอาหารดีเช่นนี้ ข้าไม่เคยกินเนื้อย่างที่ไหนแล้วอร่อยเท่าของเจ้ามาก่อนเลย"ซูอวี้เฉิงเอ่ยชมมู่หลานเฟิน เขาได้ยินเรื่องเล่าของสตรีน้อยนางนี้มาพอสมควร ทั้งเรื่องที่นางช่วยจับนักโทษ และเรื่องที่่ช่วยสืบคดี อีกทั้งตอนนั้นที่นางถือดาบหมายจะสังหารเจ้าเมืองถงหวางคนเก่า แววตาของนางมุ่งมั่นไม่สั่นคลอนและไม่หวาดกลัว อีกทั้งยังแน่วแน่เป็นอย่างมากน้อยนักที่ในเมืองหลวงจะมีสตรีที่กล้าหาญถึงเพียงนี้"ใต้เท้าซูเอ่ยชมเกินไปแล้ว"มู่หลานเฟินเอ่ยพร้อมกับยิ้มตอบเขา ซูอวี้เฉิงคือคุณชายรองของจวนตระกูลซู พี่ชายเขาก่อนหน้านี้เป็นหนุ่มรูปงามในเมืองหลวง สอบได้ตำแหน่งจอหงวน เป็นความหวังของสกุลซู แต่ไม่นานกลับพลัดตกม้าสมอง
การเดินทางกลับเมืองหลวงครั้งนี้่ย่อมต้องใช้เวลาไม่น้อย ระหว่างทางเซวียนซานหลางตัดสินใจพักที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ลั่วเหมยและเซวียนเจ๋อช่วยประคองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้เมาไม่ได้สติเข้าไปพักในห้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนเซวียนซานหลางกำลังนั่งอยู่ในอ่างน้ำ ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับขอบถังน้ำก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ม่านขนตาเรียวยาวมีไอน้ำพร่างพราวเกาะอยู่ มองดูแล้วช่างน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่งเขานั่งนอนอยู่ในอ่างน้ำครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า อยู่ๆชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาในห้องนอน สัญชาตญาณการป้องกันตัวของเซวียนซานหลางเริ่มทำงานทันที เขาคว้ากดาบคู่ใจขึ้นมา ก่อนจะหันไปตวัดฟาดฟันใส่ผู้ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญในทันทีคนที่บุกเข้ามาเป็นชายชุดดำสามคน ฝีมือไม่ธรรมดา พวกมันอำพรางใบหน้าตน เซวียนซานหลางจ้องมองคนทั้งสามด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยถาม"ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา""คนที่อยากให้เจ้าตายอย่างไรเล่า"เอ่ยจบนักฆ่าชุดดำสามคนก็พุ่งเข้าหาเซวียนซานหลางทันที แต่ชายหนุ่มเบี่ยงกายหลบได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกองค์รักษ์ลับให้เข้ามาจัดการ นักฆ่าเมื่อรู้ว่าเริ่มปะมือไม่ไหว จ
มู่หลิงเมื่อได้ยินอย่างนั้นแม้ในใจจะสงสัยแต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกอดเสียดายไม่ได้ เหตุใดนักฆ่าเหล่านั้นจึงลงมือพลาดกันนะ มู่หลานเฟินคร้านจะสนใจป้าของนางอีกจึงกลับมาที่เรือนพัก อีกทั้งยังบอกอีกว่าลั่วเหมยและพี่สาวนางจะรับมาดูแลต่อเอง หากอวี้หลิงไม่ยอมนางก็จะโบยคนของอวี้หลิงจนตายเช่นเดียวกัน อวี้หลิงส่งเสียงเหอะออกมา ไม่คิดว่าหลานสาวตัวดีจะกล้าข่มขู่นาง แต่แววตาของมู่หลานเฟินไม่ได้มีทีท่าล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย นางจึงรับปากไปอย่างส่งๆ รอให้มู่หลานเฟินลืมเรื่องนี้ไปค่อยจัดการก็ยังไม่สายด้านเซวียนซานหลางหลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เซวียนจงผู้เป็นเสด็จลุง บอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้รับรู้ ยามนี้ในห้องทรงอักษรยังมีเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงอยู่ด้วย ฮ่องเต้เซวียนจงเอ่ยชมทั้งสามคน ไม่คาดคิดเลยว่าคดีที่ปิดไม่ได้ในครั้งนี้ จะเกี่ยวพันกับจวนเจ้าเมืองถงหวาง อีกทั้งบุตรสาวของเขาที่เสียสติเพราะความรักจนลงมือได้อย่างอำหิตนางนั้นก็ได้รับผลกรรมไปตามสมควรแล้ว"ซานหลาง ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า หลานสาวของมารดาเลี้ยงเจ้ามีส่วนช่วยเหลือพวกเจ้าในการสืบคดี ไหนเจ
ไม่นานรถม้ามาจอดที่หน้าทางเข้าสำนักศึกษา เซวียนเจ๋อแยกตัวไปที่สำนักศึกษาจิ้นหมิง และบอกอีกว่ายามเย็นจะมารับนาง มู่หลานเฟินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในสำนักศึกษาเสวียนลู่ทันทีภายในสำนักศึกษาตกแต่งได้งดงามเป็นอย่างมาก หญิงสาวมองดูห้องเรียนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า การตกแต่งของห้องเรียนใหญ่งดงามหรูหรา เพียงมองจากภายนอก นางก็นึกภาพออกได้แล้วว่าภายในจะต้องตกแต่งอย่างเอริกเกริกแน่นอน เพราะมีแต่สตรีที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ถูกเลี้ยงดูมาราวไข่มุกในฝ่ามือเท่านั้นที่จะได้เข้าไปเรียน วันหน้าวาสนาจะสูงส่งยิ่งนัก บางคนอาจจะได้แต่งให้กับบุรุษที่ดีพร้อม บางคนอาจจะได้เข้าวังหลวงไปเป็นพระสนมคนโปรดของฝ่าบาทนางไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใด สำหรับนางแล้ว คนเราล้วนเกิดมาตัวเปล่ากันทั้งนั้น สิ่งของนอกกายเหล่านี้เป็นเพียงภาพมายา วันใดที่หมดลมหายใจล้วนเอาพวกมันติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง ไม่สู้อย่าไปยึดติดกับของภายนอกเหล่านั้นให้มากนักจะดีกว่ามู่หลานเฟินคร้านจะสนใจอีก นางเดินไปที่ห้องเรียนเล็กซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ระหว่างทางนางได้ยินเสียงสตรีน้อยที่มาจากตระกูลขุนนางกำลังเอ่ยวาจากระซิบกระซาบนินทานางอย่างออกรส บาง
เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหลายวัน มู่หลานเฟินยังคงไปเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม ระยะนี้นางได้พบเพื่อนใหม่มากมาย อีกทั้งบุรุษที่นางช่วยในวันนั้นก็ได้กลายมาเป็นสหายของนาง เขามีนามว่าอาจ้าน อาจ้านเป็นคนนิสัยดี อีกทั้งยังแนะนำสหายบหลายคนให้มารู้จักนางอีกด้วย พวกเขาแม้จะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยสูงส่งแต่กลับมีนิสัยใจคอที่ดีและน่าคบหาส่วนเซียวเหลียนและพรรคพวกก็ไม่กล้ามายุ่งกับพวกนางอีกเอ่ยถึงเซวียนซานหลงแล้ว มู๋หลานเฟินเองก็รู้สึกติดค้างเขาอยู่เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ที่เกิดเรื่องเขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนาง นางไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนเขา จึงตั้งใจทำขนมเล็กๆน้อยๆไปมอบให้เขาแทนวันนี้ไม่มีเรียน มู่หลานเฟินเองก็ว่าง นางจึงทำขนมไปขอบคุณเขา ปลายฤดูใบไม้ผลิอากาศเริ่มจะร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังคงหลงเหลือบรรยากาศของความหนาวเย็นอยู่บ้าง มู่หลานเฟินเดินถือกล่องใส่อาหารมาที่เรือนของเซวียนซานหลาง หญิงสาวชั่งใจว่าจะเข้าไปดีไหม เขาจะมองนางเช่นไรเมื่อสอบถามสาวใช้ที่เรือนของเซวียนซานหลาง ก็ได้ความว่าเขาไปนั่งพักผ่อนที่ศาลาใต้้ต้นไม้ที่ด้านหลังเรือน มู่หลานเฟินที่ได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่าดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งวุ่น
ที่นี่คือเมืองเจียงตาน ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นตงหลาง หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากในเมืองเจียงตานเท่าใดนัก พวกเขามีอาชีพจับปลาไปขายที่ตลาดในเมืองเจียงตาน เซวียนซานหลางไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะลอยตามกระแสน้ำจนมาถึงเมืองนี้ได้เรื่องที่เขาได้ยินมาจากสตรีเหล่านั้นก็คือช่วงหลายเดือนมานี้ในเมืองเจียงตานมีเด็กชายอายุสิบขวบหายไปจากบ้าน อย่างไร้ร่องรอง ก่อนที่จะมีเด็กหายพวกชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงกลองป๋องแป๋งซึ่งเป็นของเล่นเด็กดังขึ้น จากนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกสสืมสลือและผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าของอีกวันก็พบว่าบุตรชายของตนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้วผู้คนเล่าลือกันว่าก่อนหน้านี้มีหญิงสาวคนหนึ่งตั้งครรภ์ ไม่นานสามีนางก็ทิ้งไปกับภรรยาใหม่ นางให้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง แต่เพราะบุตรชายคลอดก่อนกำหนดจึงไม่แข็งแรง ไม่นานก็ตายจากนางไป นางเสียสติและตัดสินใจปลิดชีพตนให้ตายตามลูกไป หลังจากที่นางตายไป ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น นั่นก็คือเด็กๆ มักจะหายตัวไป ทางการออกตามหาตัวแต่กลับไม่พบ ช่างน่าแปลกประหลาดยิ่งนักเซวียนซานหลางขมวดคิ้วมุ่น เรื่องนี้คล้ายกับคดีที่เมืองถงหวางอยู่บ้างผีสางอันใดกัน คงจ
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ
เสียงน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง เซวียนซานหลางที่ได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที เมิื่อเห็นว่ามู่หลานเฟินตกน้ำลงไปพร้อมกับสวีเมิ่งเหยาเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่านางลอบยักคิ้วให้เขาหนึ่งครั้ง เซวียนซานหลางก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออกนี่นางกำลังจะทำอันใดกันเซวียนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาเซวียนซานหลาง"พี่ใหญ่ รีบช่วยหรานหร่านเร็วเข้า"ด้านฮ่องเต้เซวียนจงและเฉินฮองเฮาก็เริ่มร้อนใจแล้ว แม้แต่อวี้หลิงก็ยังนั่งไม่ติดที่สวีเมิ่งเหยาที่ถูกมู่หลานเฟินลากลงน้ำมาด้วยกันเริ่มมีโทสะขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างไม่พอใจ"นังสารเลว เจ้าคิดจะทำอันใด""เจ้าอยากกล่าวโทษข้า ว่าข้าผลักเจ้าตกน้ำไม่ใช่หรือ""เจ้ารู้ได้เช่นไร""เหอะ สวีเมิ่งเหยา เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดมากนักหรือ แผนการเช่นนี้ข้ามองปราดเดียวก็กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากเล่นข้าก็จะเล่นด้วย พวกเรามาเล่นกันเถอะ"เอ่ยจบนางก็คว้ามือของสวีเมิ่งเหยามากดหัวตนเองให้จมน้ำ พร้อมกับทำท่าทางจะเป็นจะตาย สวีเมิ่งเหยาเลิกลั่กแล้ว มู่หลานเฟินไม่เพียงดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน แต่นางยังใช้มืออีกข้างยื่นมาหยิกที่เอวของสวีเมิ่งเหยาอย่างแรง
เช้าวันต่อมา มู่หลานเฟินตื่นนอนแต่เช้า นางไปหาอวี้หลิงและเซวียนเจ๋อที่พักอยู่อีกเรือนหนึ่ง เพื่อร่วมกินมื้อเช้า เช้าวันนี้ฮ่องเต้เซวียนจงไม่ได้สั่งให้พวกนางไปร่วมมื้อเช้าด้วย มู่หลานเฟินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางก็ไม่อยากจะพบร่วมโต๊ะกับพวกเขาเท่าใดนักระยะนี้อวี้หลิงดูเหมือนจะมีท่าทางแปลกไป นอกจากจะไม่ก่อคลื่นลมใดแล้ว ในแววตายังดูเหมือนมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มู่หลานเฟินเองไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดและไม่ได้วางใจเช่นกัน การที่อวี้หลิงไม่ก่อคลื่นลมไม่ได้แปลว่าพวกนางจะวางใจได้หลังจากผ่านพ้นมื้อเช้าไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้เซวียนจงก็มีรีบสั่งให้เซวียนซานหลางไปสนทนาที่ตำหนักใหญ่ มู่หลานเฟินไม่ได้ตามไปด้วย นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กับเซวียนเจ๋ออากาศที่นี่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย มองไปทางใดก็เห็นเหล่ามวลผกาออกดอกล้อเล่นลม ป่าไผ่รอบข้างก็เขียวขจีสดชื่น แม้แต่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ยังงดงามราวกับภาพวาด เซวียนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างกายมู่หลานเฟิน พลันเอ่ยถามญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย"หรานหร่าน หากพี่ใหญ่แต่งงานกับสวีเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร เจ้าจะยอมแต่งเป็นภรรยาของเขาหร
หลายวันต่อมา มู่หลานเฟินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็ทำทีเป็นว่าทราบเรื่องที่วัดสือฉีเปิดให้หญิงสาวไปผูกดวงขอความรัก นางจึงเดินทางไปที่วัดแห่งนั้นและเขียนดวงชะตาของตนเองผูกเอาไว้เพราะเข้าสู่ช่วงกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแล้ว ฮ่องเต้เซวียนจงจึงมีรับสั่งว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนด้านนอกเมืองหลวง ที่นั่นบรรยากาศดีและเย็นสบายกว่าเมืองหลวง อีกทั้งยังตรัสว่าให้เหล่าขุนนางชั้นสูงติดตามไปด้วย เหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต้องติดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอันใด เพราะบ้านพักของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังฤดูร้อนอยู่แล้วแน่นอนว่าคนในจวนชินอ๋องย่อมต้องติดตามไปด้วยเพราะเป็นเครือญาติและเชื้อพระวงศ์ อวี้หลิงพระชายาเอกนั้นได้สั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมของให้พร้อมสรรพ ก่อนที่นางจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนเมื่อนั่งอยู่เพียงลำพังแล้ว อวี้หลิงก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เมื่อสองคืนก่อนนางได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายบอกว่า มีเบาะแสที่สามารถชี้ตัวคนร้ายที่สังหารน้องสาวและน้องเขยของนางได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งนั่นก็คือ นางจะต้องสังหารเซวียนซานหลางเสีย