ยามเช้าของวันต่อมามู่หลานเฟินก็ได้สติฟื้นกลับมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับเซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่อยู่ดูแลนางไม่ห่าง
เมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้น เซวียนเจ๋อบอกกับนางว่าเมื่อคืนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนอุ้มนางมารักษาที่นี่ มู่หลานเฟินเพียงพยักหน้ารู้ไม่ได้เอ่ยถามอันใดอีก
เมื่อคืนนี้นางคิดว่าตนเองจะไม่รอดเสียแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาคอยย้ำเตือนนางว่าทุกคราที่นางทะลุมิติไปอยู่ในอีกร่างหนึ่งมักจะมีอายุไม่ยืนยาว ไม่โดนฆ่าตายก็เกิดเรื่องจนตาย ไม่คิดว่าครั้งนี้ยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมาจะยังมีชีวิตอยู่
เซวียนเจ๋อให้ลั่วเหมยนำโจ๊กมาป้อนให้นางกิน มู่หลานเฟินกินไปไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มเสียแล้ว นางจึงกินยาต่อ โชคดีที่มารักษาได้ทันท่วงที ท่านหมอบอกว่าพิษนี้หากทิ้งเอาไว้นาน สุดท้ายนางจะไม่อาจรอดชีวิตได้อีก
เมื่อนึกถึงเซวียนซานหลางขึ้นมา มู่หลานเฟินก็พลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ เขาดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยเลยตอนที่เห็นสภาพของนาง
แต่นางไม่อยากคิดจะอะไรมากให้มากความ ที่เขาร้อนใจปานนั้นก็คงเป็นเพราะกลัวว่านางจะทำแผนการของเขาพังไม่เป็นท่าเสียมากกว่า
ท่านหมอมาตรวจอาการนางอีกครั้งเมื่อเห็นว่าปลอดภัยและขจัดพิษออกหมดแล้วจึงให้กลับมาพักทีบ้านได้ ระหว่างที่จัดเทียบยาอยู่นั้น ท่านหมอก็หันมาเอ่ยกับมู่หลานเฟิน
"แม่นาง สาวใช้ของท่านคนที่รูปร่างสูงใหญ่่ต่างจากสตรีทั่วไป อีกทั้งการแต่งหน้าก็จัดจ้านงดงามยิ่งนัก นางมีสามีหรือยัง หากไม่มีข้าอยากจะแต่งนางเป็นภรรยา ถึงข้าจะแก่แล้ว แต่ก็สามารถดูแลนางได้"
มู่หลานเฟินแทบจะพ่นยาร้อนออกมาจากปาก ท่านหมอผู้นี้ถูกตาต้องใจเซวียนเจ๋อที่แต่งกายเป็นสาวใช้เข้าให้แล้ว นางยิ้มแห้ง ก่อนจะเอ่ย
"ท่านหมอ สาวใช้ของข้าผู้นี้ทำงานดีมาก ข้าตัดใจทิ้งนางเอาไว้ที่นี่ไม่ลงหรอก"
"เห้อ น่าเสียดายนัก"
เอ่ยจบก็หันไปส่งยิ้มหวานให้เซวียนเจ๋อที่ยืนอยู่ไม่ไกล เซวียนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าสายตาที่ท่านหมอผู้นั้นใช้มองเขาออกจะประหลาดเกินไปสักหน่อย
เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วคนทั้งหมดจึงกลับมาที่บ้านละลั่วเหมย เมื่อได้เอนหลังลงพักแล้ว มู่หลานเฟินจึงบอกเล่าเรื่องที่ท่านหมอเอ่ยกับนางก่อนจะกลับมาที่บ้าน เซวียนเจ๋อเมื่อได้ฟังก็ลมออกหูถึงขนาดจะไปพังร้านหมอให้พินาศย่อยยับ โชคดีที่มู่หลานเฟินห้ามปรามได้ทันเสียก่อน และเอ่ยถามเรื่องอื่นกับเขาเพื่อเปลี่ยนบทสนทนาเป็นหัวข้ออื่นไปเสีย
"สถาณกาณ์ด้านนอกเป็นเช่นไรบ้าง เซวียนซานหลางเอาตัวคนไปแล้วหรือ"
เซวียนเจ๋อเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้รู้รายละเอียดของเรื่องนี้มากเท่าใดนัก อีกทั้งยังไม่กล้าเอ่ยถามพี่ชายของตนส่งเดช มู่หลานเฟินที่เห็นอย่างนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดต่อ นางเอนกายนอนหลับจนถึงช่วงบ่าย ก่อนจะได้ยินเส่ียงฝีเท้าตึงตังดังมาจากด้านล่าง เสียงนั้นดังมากจนนางสะดุ้งตื่น เมื่อลุกขึ้นมาดูก็พบว่าคนที่วิ่งเข้ามาคือเซวียนเจ๋อนั่นเอง
"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงรีบร้อนปานนี้"
เซวียนเจ๋อมีท่าทางตื่นตะหนกก่อนจะเอ่ย
"แย่แล้ว ที่ศาลาว่าการตอนนี้เกิดเรื่องกับพี่ใหญ่และใต้เท้าเสิ่นแล้ว"
มู่หลานเฟินเมื่อไอ้ยินก็รีบเอ่ยถามความเป็นไปในทันที
"เกิดเรื่องใดขึ้น"
"ท่านเจ้าเมืองถงหวางคิดจะชิงตัวบุตรสาว ถึงขนาดพากำลังทหารมาทำร้ายคนของเรา"
มู่หลานเฟินขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะจบไม่ง่ายๆเสียแล้ว นางรีบหาลุกจากเตียงนอน ก่อนจะสั่งให้เซวียนเจ๋อพานางไปที่ศาลาว่าการ หญิงสาวไม่ลืมที่จะนำมีดสั้นติดมือไปด้วย ตอนนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมากแล้ว หากถึงยามคับขันจะได้ช่วยเหลือพวกเขาได้
เรื่องที่อาหลินทำลงไปนั้นเซวียนเจ๋อและลั่วเหมยเล่าให้นางฟังหมดแล้ว มู่หลานเฟินไม่คิดเลยว่าสตรีที่อ่อนหวานน่ารักอย่างอาหลินจะกระทำการอำมหิตเช่นนี้ได้แบบตาไม่กระพริบ
เมื่อมาถึงศาลาว่าการก็พบว่ามีทหารล้อมศาลาว่าการเอาไว้เป็นจำนวนมาก เจ้าเมืองถงหวางคิดจะชิงตัวบุตรสาว อีกทั้งยังคิดจะสังหารเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันอีกด้วย
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เหล่าชาวบ้านต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น เซวียนซานหลางใช้ดาบของเขารับมือกับทหารของเจ้าเมืองถงหวาง
ด้านเสิ่นเหวยอันก็ใช้แส้ในมือตวัดฟาดใส่ทหารของเจ้าเมืองเมืองถงหวางอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมกับใช้แส้ตวัดแย่งตัวอาหลินกลับไปได้ นั่นยิ่งทำให้เจ้าเมืองถงหลางบ้าระห่ำมากกว่าเดิม
องค์รักษ์ลับของพวกเขาปะทะกับทหารของเจ้าเมืองถงหวางจนเกิดการสูญเสียไปไม่น้อย เซวียนซานหลางเห็นว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ดีแน่นแล้ว อย่างไรนี่ก็คือทหารของแคว้นต้าหลาง จะมาฆ่าแกงกันเช่นนี้คงไม่ดีเท่าใดนัก
เจ้าเมืองถงหวางเสียสติไปแล้ว เขาถึงกับตะโกนออกมาว่าการตายของสตรีเหล่านั้นเป็นเขาที่ช่วยบุตรสาวปิดบังเอาไว้ อีกทั้งบางศพเขายังช่วยนางถอดเล็บเองกับมือ!
รวมไปถึงเรื่องการวางยาเขาก็เป็นคนทำ!
มู่หลานเฟินถึงกับกำมือแน่น ก่อนหน้านี้เซวียนซานหลางเคยเล่าให้นางฟังว่า คดีนี้แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังสืบหาตัวคนร้ายไม่พบ
แท้จริงแล้วมันไม่ใช่สืบหาไม่พบหรอก แต่คนร้ายตัวจริงคือสองพอลูกนี่เองต่างหาก
ในเมื่อคนร้ายคือบุตรสาวของตน เจ้าเมืองถงหวางจะยินยอมให้นางถูกจับไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างนั้นหรือ
ย่อมไม่มีทาง!
"ซื่อจื่อ เราต้องหาทางจับตัวเจ้าเมืองถงหวางมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการต่อสู้ไม่จบไม่สิ้น ข้าจะเอาตัวอาหลินไป ส่วนเจ้าเมืองถงหวางมอบท่านแล้ว"
เสิ่นเหวยอันเอ่ยพร้อมกับหันไปมองเซวียนซานหลาง เซวียนซานหลางพยักหน้า ก่อนจะฝ่าวงล้อมเข้าไปต่อสู้กับเจ้าเมืองถงหวาง ด้านเสิ่นเหวยอันก็พาตัวอาหลินไปคุมขังเอาไว้
ทหารของเมืองถงหวางฝีมือไม่ด้อยเลย กำลังทหารของเซวียนซานหลางตอนนี้มีไม่มากนัก องค์รักษ์ลับก็พยายามต้านรับเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ไม่นานนักเจ้าเมืองถงหวางก็สั่งให้ทหารล้อมเซวียนซานหลางเอาไว้ตรงกลาง พร้อมกับยืนธนูใส่ เซวียนซานหลาง แต่ชายหนุ่มอาศัยความว่องไวปราดเปรียวของตนสามารถเบี่ยงกายหลบธนูได้
มู่หลานเฟินเห็นว่าสถาณการณ์เริ่มไม่ดีแน่แล้ว นางมองเห็นดาบเล่มหนึ่งตกอยู่ที่พื้นจึงก้มหยิบมันขึ้นมา หมายจะวิ่งฝ่าวงล้อมเข้าไปช่วยเซวียนซานหลาง แต่ยังไม่ทันทีนางจะได้ลงมือก็รู้สึกเหมือนว่ามีสายลมวูบหนึ่งพัดผ่านข้างกายของนางไปอย่างรวดเร็ว
ปรากฏว่ามีพัดสีทองเล่มหนึ่งที่ลอยละล่องไปเบื้องหน้าราวกับวิหกถลาลม ก่อนที่พัดเล่มนั้นจะตวัดพาดผ่านลำคอของเจ้าเมืองถงหวางอย่างรวดเร็ว
เจ้าเมืองถงหวางสิ้นใจตายในทันที เหล่าทหารต่างหยุดชะงักไม่กล้าสู้ต่อ
"ใครกล้าลงมืออีกข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้ประหารพวกเจ้าทั้งตระกูลเสีย!"
เซวียนซานหลางหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นซูอวี้เฉิงนั่นเอง เขารีบจัดการทหารเหล่านั้นจนพวกมันไม่กล้าก่อเรื่องอีก ก่อนจะก้มลงมองดูแขนซ้ายของตนที่เป็นแผลฉกรรจ์อย่างไม่ใส่ใจ
มู่หลานเฟินหันไปมอง ก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังกระโดดลงมาจากหลังม้าพร้อมกับนำทหารอีกร่วมหลายร้อยนาย ใบหน้าของเขาหล่อเหลา ดวงตาทอประกายคล้ายกับดวงดารา ท่วงท่าองอาจน่ามอง ในมือถือพัดสีทองเล่มนั้นเอาไว้ เขาปรายตามองผู้คนโดยรอบก่อนจะเดินเข้ามาท่ามกลางฝูงคน
"ให้ตายเถอะ นี่ก็คือใต้เท้าซู หัวหน้าองค์รักษ์เสื้อแพรไม่ใช่หรือ ได้เห็นฝีมือของเขาแล้วช่างน่านับถือยิ่งนัก"
เซวียนเจ๋อเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินจึงเอ่ยถามญาติผู้พี่ เซวียนเจ๋อจึงเล่าเรื่องของซูอวี้เฉิงให้นางฟัง
ที่แท้เขาก็คือหนึ่งในยอดบุรุษของแคว้นต้าหลางที่เหล่าสตรีน้อยเอ่ยถึงกันปากต่อปากนี่เอง ฝีมือของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันเลยแม้แต่น้อย
ซูอวี้เฉิงเดินเข้าไปหาเซวียนซานหลาง ก่อนจะเอ่ย
"อาซาน ขออภัยที่ข้ามาช้า"
"ไม่เป็นอันใด รีบจัดการคนพวกนี้เถอะ"
ซูอวี้เฉิงพยักหน้าก่อนจะมองไปโดยรอบ
"เหวยอันเล่า"
"พาตัวคนไปแล้ว"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซูอวี้เฉิงก็ไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีกเรื่องที่เมืองถงหวางเขาพอจะรู้มาบ้าง ชายหนุ่มสั่งให้คนของตนจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เซวียนซานหลางหันไปมองมู่หลานเฟินที่กำลังหันหลังเดินจากไป เมื่อครู่นี้เขาเห็นว่านางกำลังจับดาบในมือหมายจะสังหารเจ้าเมืองถงหวาง
แววตาของชายหนุ่มวูบไหว จิตใจของเขาเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างที่แปลกไป มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
ท้ายที่สุดคดีสังหารเจ้าสาวก็ถูกปิดลง เจ้าเมืองถงหวางถูกซูอวี้เฉิงสังหาร ส่วนอาหลินก็ถูกตัดสินประหารชีวิต เหล่าข้ารับใช้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารคนของสองพ่อลูกก็ถูกประหารตามเจ้านายของตนไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น เหล่าชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งที่สองพ่อลูกทำให้บุตรสาวของพวกเขาต้องมาด่วนจากโลกใบนี้ไป อีกทั้งยังลงมืออำมหิตโหดเหี้ยมอย่างไม่อาจให้อภัยอีกด้วยเมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง เซวียนซานหลางได้ส่งคนนำรายงานเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นไปถวายให้กับฮ่องเต้เซวียนจง อีกทั้งยังฝากความไปบอกด้วยว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงไปกราบทูลรายงานความเป็นไปทั้งหมดด้วยตนเองฮ่องเต้เซวียนจงทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก คนหนุ่มมากความสามารถเหล่านี้ล้วนเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยทำงานให้เขาได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะหลานชายของเขาคนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนสุขุมรอบคอบ ที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความลำบากใจอะไรให้กับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่โลภมาก เขาเองไม่เคยหวาดระแวงในตัวหลานชายคนนี้เลยแม้แต่น้อยเมื่อปิดคดีได้สำเร็จ ฮ่องเต้เซวียนจงจึงออกราชโองการ ส่งท่านเจ้าเมืองคนใหม่ไปที่เมืองถงหวาง เจ้าเมืองคนน
เมื่อเรื่องราวที่เมืองถงหวางจบสิ้นลงแล้ว ก็ได้เวลากลับเมืองหลวงกันเสียที ก่อนเดินทางกลับหนึ่งวัน เสิ่นเหวยอันนึกสนุกจึงเอาสุราชั้นดีมาให้ทุกคนได้ดื่ม อีกทั้งยังย่างเนื้อกินกันอย่างสนุกสนานแสงของกองไฟที่สว่างเจิดจ้า ส่องกระทบใบหน้างดงามของมู่หลานเฟิน นางยังคงยิ้มร่าเริง เข้ากับชาวบ้านได้ดี ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังลงมือย่างเนื้อเองกับเมือ "คุณหนูมู่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือทำอาหารดีเช่นนี้ ข้าไม่เคยกินเนื้อย่างที่ไหนแล้วอร่อยเท่าของเจ้ามาก่อนเลย"ซูอวี้เฉิงเอ่ยชมมู่หลานเฟิน เขาได้ยินเรื่องเล่าของสตรีน้อยนางนี้มาพอสมควร ทั้งเรื่องที่นางช่วยจับนักโทษ และเรื่องที่่ช่วยสืบคดี อีกทั้งตอนนั้นที่นางถือดาบหมายจะสังหารเจ้าเมืองถงหวางคนเก่า แววตาของนางมุ่งมั่นไม่สั่นคลอนและไม่หวาดกลัว อีกทั้งยังแน่วแน่เป็นอย่างมากน้อยนักที่ในเมืองหลวงจะมีสตรีที่กล้าหาญถึงเพียงนี้"ใต้เท้าซูเอ่ยชมเกินไปแล้ว"มู่หลานเฟินเอ่ยพร้อมกับยิ้มตอบเขา ซูอวี้เฉิงคือคุณชายรองของจวนตระกูลซู พี่ชายเขาก่อนหน้านี้เป็นหนุ่มรูปงามในเมืองหลวง สอบได้ตำแหน่งจอหงวน เป็นความหวังของสกุลซู แต่ไม่นานกลับพลัดตกม้าสมอง
การเดินทางกลับเมืองหลวงครั้งนี้่ย่อมต้องใช้เวลาไม่น้อย ระหว่างทางเซวียนซานหลางตัดสินใจพักที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ลั่วเหมยและเซวียนเจ๋อช่วยประคองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้เมาไม่ได้สติเข้าไปพักในห้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนเซวียนซานหลางกำลังนั่งอยู่ในอ่างน้ำ ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับขอบถังน้ำก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ม่านขนตาเรียวยาวมีไอน้ำพร่างพราวเกาะอยู่ มองดูแล้วช่างน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่งเขานั่งนอนอยู่ในอ่างน้ำครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า อยู่ๆชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาในห้องนอน สัญชาตญาณการป้องกันตัวของเซวียนซานหลางเริ่มทำงานทันที เขาคว้ากดาบคู่ใจขึ้นมา ก่อนจะหันไปตวัดฟาดฟันใส่ผู้ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญในทันทีคนที่บุกเข้ามาเป็นชายชุดดำสามคน ฝีมือไม่ธรรมดา พวกมันอำพรางใบหน้าตน เซวียนซานหลางจ้องมองคนทั้งสามด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยถาม"ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา""คนที่อยากให้เจ้าตายอย่างไรเล่า"เอ่ยจบนักฆ่าชุดดำสามคนก็พุ่งเข้าหาเซวียนซานหลางทันที แต่ชายหนุ่มเบี่ยงกายหลบได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกองค์รักษ์ลับให้เข้ามาจัดการ นักฆ่าเมื่อรู้ว่าเริ่มปะมือไม่ไหว จ
มู่หลิงเมื่อได้ยินอย่างนั้นแม้ในใจจะสงสัยแต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกอดเสียดายไม่ได้ เหตุใดนักฆ่าเหล่านั้นจึงลงมือพลาดกันนะ มู่หลานเฟินคร้านจะสนใจป้าของนางอีกจึงกลับมาที่เรือนพัก อีกทั้งยังบอกอีกว่าลั่วเหมยและพี่สาวนางจะรับมาดูแลต่อเอง หากอวี้หลิงไม่ยอมนางก็จะโบยคนของอวี้หลิงจนตายเช่นเดียวกัน อวี้หลิงส่งเสียงเหอะออกมา ไม่คิดว่าหลานสาวตัวดีจะกล้าข่มขู่นาง แต่แววตาของมู่หลานเฟินไม่ได้มีทีท่าล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย นางจึงรับปากไปอย่างส่งๆ รอให้มู่หลานเฟินลืมเรื่องนี้ไปค่อยจัดการก็ยังไม่สายด้านเซวียนซานหลางหลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เซวียนจงผู้เป็นเสด็จลุง บอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้รับรู้ ยามนี้ในห้องทรงอักษรยังมีเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงอยู่ด้วย ฮ่องเต้เซวียนจงเอ่ยชมทั้งสามคน ไม่คาดคิดเลยว่าคดีที่ปิดไม่ได้ในครั้งนี้ จะเกี่ยวพันกับจวนเจ้าเมืองถงหวาง อีกทั้งบุตรสาวของเขาที่เสียสติเพราะความรักจนลงมือได้อย่างอำหิตนางนั้นก็ได้รับผลกรรมไปตามสมควรแล้ว"ซานหลาง ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า หลานสาวของมารดาเลี้ยงเจ้ามีส่วนช่วยเหลือพวกเจ้าในการสืบคดี ไหนเจ
ไม่นานรถม้ามาจอดที่หน้าทางเข้าสำนักศึกษา เซวียนเจ๋อแยกตัวไปที่สำนักศึกษาจิ้นหมิง และบอกอีกว่ายามเย็นจะมารับนาง มู่หลานเฟินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในสำนักศึกษาเสวียนลู่ทันทีภายในสำนักศึกษาตกแต่งได้งดงามเป็นอย่างมาก หญิงสาวมองดูห้องเรียนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า การตกแต่งของห้องเรียนใหญ่งดงามหรูหรา เพียงมองจากภายนอก นางก็นึกภาพออกได้แล้วว่าภายในจะต้องตกแต่งอย่างเอริกเกริกแน่นอน เพราะมีแต่สตรีที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ถูกเลี้ยงดูมาราวไข่มุกในฝ่ามือเท่านั้นที่จะได้เข้าไปเรียน วันหน้าวาสนาจะสูงส่งยิ่งนัก บางคนอาจจะได้แต่งให้กับบุรุษที่ดีพร้อม บางคนอาจจะได้เข้าวังหลวงไปเป็นพระสนมคนโปรดของฝ่าบาทนางไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใด สำหรับนางแล้ว คนเราล้วนเกิดมาตัวเปล่ากันทั้งนั้น สิ่งของนอกกายเหล่านี้เป็นเพียงภาพมายา วันใดที่หมดลมหายใจล้วนเอาพวกมันติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง ไม่สู้อย่าไปยึดติดกับของภายนอกเหล่านั้นให้มากนักจะดีกว่ามู่หลานเฟินคร้านจะสนใจอีก นางเดินไปที่ห้องเรียนเล็กซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ระหว่างทางนางได้ยินเสียงสตรีน้อยที่มาจากตระกูลขุนนางกำลังเอ่ยวาจากระซิบกระซาบนินทานางอย่างออกรส บาง
เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหลายวัน มู่หลานเฟินยังคงไปเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม ระยะนี้นางได้พบเพื่อนใหม่มากมาย อีกทั้งบุรุษที่นางช่วยในวันนั้นก็ได้กลายมาเป็นสหายของนาง เขามีนามว่าอาจ้าน อาจ้านเป็นคนนิสัยดี อีกทั้งยังแนะนำสหายบหลายคนให้มารู้จักนางอีกด้วย พวกเขาแม้จะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยสูงส่งแต่กลับมีนิสัยใจคอที่ดีและน่าคบหาส่วนเซียวเหลียนและพรรคพวกก็ไม่กล้ามายุ่งกับพวกนางอีกเอ่ยถึงเซวียนซานหลงแล้ว มู๋หลานเฟินเองก็รู้สึกติดค้างเขาอยู่เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ที่เกิดเรื่องเขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนาง นางไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนเขา จึงตั้งใจทำขนมเล็กๆน้อยๆไปมอบให้เขาแทนวันนี้ไม่มีเรียน มู่หลานเฟินเองก็ว่าง นางจึงทำขนมไปขอบคุณเขา ปลายฤดูใบไม้ผลิอากาศเริ่มจะร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังคงหลงเหลือบรรยากาศของความหนาวเย็นอยู่บ้าง มู่หลานเฟินเดินถือกล่องใส่อาหารมาที่เรือนของเซวียนซานหลาง หญิงสาวชั่งใจว่าจะเข้าไปดีไหม เขาจะมองนางเช่นไรเมื่อสอบถามสาวใช้ที่เรือนของเซวียนซานหลาง ก็ได้ความว่าเขาไปนั่งพักผ่อนที่ศาลาใต้้ต้นไม้ที่ด้านหลังเรือน มู่หลานเฟินที่ได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่าดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งวุ่น
ที่นี่คือเมืองเจียงตาน ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นตงหลาง หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากในเมืองเจียงตานเท่าใดนัก พวกเขามีอาชีพจับปลาไปขายที่ตลาดในเมืองเจียงตาน เซวียนซานหลางไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะลอยตามกระแสน้ำจนมาถึงเมืองนี้ได้เรื่องที่เขาได้ยินมาจากสตรีเหล่านั้นก็คือช่วงหลายเดือนมานี้ในเมืองเจียงตานมีเด็กชายอายุสิบขวบหายไปจากบ้าน อย่างไร้ร่องรอง ก่อนที่จะมีเด็กหายพวกชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงกลองป๋องแป๋งซึ่งเป็นของเล่นเด็กดังขึ้น จากนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกสสืมสลือและผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าของอีกวันก็พบว่าบุตรชายของตนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้วผู้คนเล่าลือกันว่าก่อนหน้านี้มีหญิงสาวคนหนึ่งตั้งครรภ์ ไม่นานสามีนางก็ทิ้งไปกับภรรยาใหม่ นางให้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง แต่เพราะบุตรชายคลอดก่อนกำหนดจึงไม่แข็งแรง ไม่นานก็ตายจากนางไป นางเสียสติและตัดสินใจปลิดชีพตนให้ตายตามลูกไป หลังจากที่นางตายไป ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น นั่นก็คือเด็กๆ มักจะหายตัวไป ทางการออกตามหาตัวแต่กลับไม่พบ ช่างน่าแปลกประหลาดยิ่งนักเซวียนซานหลางขมวดคิ้วมุ่น เรื่องนี้คล้ายกับคดีที่เมืองถงหวางอยู่บ้างผีสางอันใดกัน คงจ
ข่าวการหายตัวไปของคนทั้งสาม สร้างความแตกตื่นแก่ผู้คนในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฮ่องเต้เซวียนจงที่ตอนนี้ร้อนรนจนนั่งไม่ติด เพราะหลานชายทั้งสองคนของเขาได้หายตัวไปอย่างกระทันหัน อีกทั้งยังหาตัวคนไม่พบ เบาะแสใดใดก็ยังไม่มี นั่นยิ่งทำให้เขากลุ้มใจเป็นอย่างมากด้านเซวียนชินอ๋องเองก็ไม่ต่างกัน แม้ยามปกติเขาดูเหมือนจะไม่สนใจเซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเท่าใดนัก แต่อย่างไรเด็กสองคนนั้นก็คือทายาทของเขา เป็นสายเลือดของเขา เขาย่อมไม่อาจเฉยเมยได้ จึงสั่งให้คนไปตามหาอีกแรงหนึ่งด้านอวี้ิหลิงนั้นนางเองก็ร้อนใจเหมือนไฟเผา ใจหนึ่งนางดีใจที่เซวียนซานหลางหายตัวไป นางถึงกับสาปแช่งให้เขาตกตายไปเสียและไม่มีโอกาศรอดกลับมาเมืองหลวงได้อีก แต่อีกใจหนึ่งนางก็แทบคลุ้มคลั่งเพราะเซวียนเจ๋อบุตรชายของนางก็หายไปพร้อมกัน อีกทั้งมู่หลานเฟินก็หายไปด้วยผู้คนในเมืองหลวงต่างเอ่ยกันไปต่างๆนาๆถึงการหายหายตัวไปของคนทั้งสาม บ้างก็ว่าเป็นรักสามเศร้าพวกเขาตกลงกันไม่ได้จึงพากันไปตาย บ้างก็ว่าเซวียนซานหลางเป็นคนฆ่าเซวียนเจ๋อและมู่หลานเฟินเพราะรับไม่ได้ที่ถูกน้องชานหยามเกียรติแย่งสตรีของตนไป เรื่องราวเลยเถิดเป็นอย่างมากจนฮ่องเต
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ
เสียงน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง เซวียนซานหลางที่ได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที เมิื่อเห็นว่ามู่หลานเฟินตกน้ำลงไปพร้อมกับสวีเมิ่งเหยาเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่านางลอบยักคิ้วให้เขาหนึ่งครั้ง เซวียนซานหลางก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออกนี่นางกำลังจะทำอันใดกันเซวียนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาเซวียนซานหลาง"พี่ใหญ่ รีบช่วยหรานหร่านเร็วเข้า"ด้านฮ่องเต้เซวียนจงและเฉินฮองเฮาก็เริ่มร้อนใจแล้ว แม้แต่อวี้หลิงก็ยังนั่งไม่ติดที่สวีเมิ่งเหยาที่ถูกมู่หลานเฟินลากลงน้ำมาด้วยกันเริ่มมีโทสะขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างไม่พอใจ"นังสารเลว เจ้าคิดจะทำอันใด""เจ้าอยากกล่าวโทษข้า ว่าข้าผลักเจ้าตกน้ำไม่ใช่หรือ""เจ้ารู้ได้เช่นไร""เหอะ สวีเมิ่งเหยา เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดมากนักหรือ แผนการเช่นนี้ข้ามองปราดเดียวก็กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากเล่นข้าก็จะเล่นด้วย พวกเรามาเล่นกันเถอะ"เอ่ยจบนางก็คว้ามือของสวีเมิ่งเหยามากดหัวตนเองให้จมน้ำ พร้อมกับทำท่าทางจะเป็นจะตาย สวีเมิ่งเหยาเลิกลั่กแล้ว มู่หลานเฟินไม่เพียงดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน แต่นางยังใช้มืออีกข้างยื่นมาหยิกที่เอวของสวีเมิ่งเหยาอย่างแรง
เช้าวันต่อมา มู่หลานเฟินตื่นนอนแต่เช้า นางไปหาอวี้หลิงและเซวียนเจ๋อที่พักอยู่อีกเรือนหนึ่ง เพื่อร่วมกินมื้อเช้า เช้าวันนี้ฮ่องเต้เซวียนจงไม่ได้สั่งให้พวกนางไปร่วมมื้อเช้าด้วย มู่หลานเฟินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางก็ไม่อยากจะพบร่วมโต๊ะกับพวกเขาเท่าใดนักระยะนี้อวี้หลิงดูเหมือนจะมีท่าทางแปลกไป นอกจากจะไม่ก่อคลื่นลมใดแล้ว ในแววตายังดูเหมือนมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มู่หลานเฟินเองไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดและไม่ได้วางใจเช่นกัน การที่อวี้หลิงไม่ก่อคลื่นลมไม่ได้แปลว่าพวกนางจะวางใจได้หลังจากผ่านพ้นมื้อเช้าไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้เซวียนจงก็มีรีบสั่งให้เซวียนซานหลางไปสนทนาที่ตำหนักใหญ่ มู่หลานเฟินไม่ได้ตามไปด้วย นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กับเซวียนเจ๋ออากาศที่นี่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย มองไปทางใดก็เห็นเหล่ามวลผกาออกดอกล้อเล่นลม ป่าไผ่รอบข้างก็เขียวขจีสดชื่น แม้แต่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ยังงดงามราวกับภาพวาด เซวียนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างกายมู่หลานเฟิน พลันเอ่ยถามญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย"หรานหร่าน หากพี่ใหญ่แต่งงานกับสวีเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร เจ้าจะยอมแต่งเป็นภรรยาของเขาหร
หลายวันต่อมา มู่หลานเฟินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็ทำทีเป็นว่าทราบเรื่องที่วัดสือฉีเปิดให้หญิงสาวไปผูกดวงขอความรัก นางจึงเดินทางไปที่วัดแห่งนั้นและเขียนดวงชะตาของตนเองผูกเอาไว้เพราะเข้าสู่ช่วงกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแล้ว ฮ่องเต้เซวียนจงจึงมีรับสั่งว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนด้านนอกเมืองหลวง ที่นั่นบรรยากาศดีและเย็นสบายกว่าเมืองหลวง อีกทั้งยังตรัสว่าให้เหล่าขุนนางชั้นสูงติดตามไปด้วย เหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต้องติดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอันใด เพราะบ้านพักของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังฤดูร้อนอยู่แล้วแน่นอนว่าคนในจวนชินอ๋องย่อมต้องติดตามไปด้วยเพราะเป็นเครือญาติและเชื้อพระวงศ์ อวี้หลิงพระชายาเอกนั้นได้สั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมของให้พร้อมสรรพ ก่อนที่นางจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนเมื่อนั่งอยู่เพียงลำพังแล้ว อวี้หลิงก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เมื่อสองคืนก่อนนางได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายบอกว่า มีเบาะแสที่สามารถชี้ตัวคนร้ายที่สังหารน้องสาวและน้องเขยของนางได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งนั่นก็คือ นางจะต้องสังหารเซวียนซานหลางเสีย