เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาเองไม่ได้กลิ่นอันใด แต่เสียงที่มู่หลานเฟินบอกนั้นตลอดหลายคืนมานี้เขาจะพอจะได้ยินอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เขาไปสอบถามเสิ่นเหวยอันก็ได้ความว่าเสิ่นเหวยอันก็ได้ยินเช่นเดียวกัน
การเดินทางเข้าเมืองถงหวางครั้งนี้เขาไม่ได้แจ้งต่อท่านเจ้าเมือง เพราะต้องการสืบคดีให้แน่ชัด การที่มีคนนอกล่วงรู้เรื่องนี้มากเกินไปอาจไม่ส่งผลดีต่อรูปคดี
ที่สำคัญตัวตนของเขาพวกเขาได้ถูกปิดบังอย่างชัดเจนแล้ว ก่อนเข้าเมืองก็ได้จัดการเอกสารหลักฐานที่ใช้เข้าเมืองได้อย่างแนบเนียนไม่มีพิรุธ
"คืนนี้ข้าจะไปตรวจดูรอบๆเมือง เจ้าอยู่ในบ้านปิดหน้าต่างและประตูให้ดี"
"ข้าไปด้วยสิ"
มู่หลานเฟินรีบอ้อนวอนเซวียนซานหลาง แต่ชายหนุ่มกลับมองนางเหมือนมองตัวปัญหา
"อย่าเป็นตัวถ่วงข้า"
"ตัวถ่วงอันใดกันเล่า ท่านลืมไปแล้วหรือว่าจมูกดีมาก หูข้ารึก็ดีกว่าท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ท่านและพี่เสิ่นตามเบาะแสของคนร้ายได้ ข้ารับรองว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านแน่นอน ไม่ต้องกังวล"
"ไม่..."
"ที่น้องหรานหร่านเอ่ยมาก็นับว่ามีเหตุมีผล ซื่อจื่อ ท่านก็อย่าเอาแต่ใจนักเลย"
เสียงที่คุ้นเคยทำให้เซวียนซานหลางถึงกับหัวเสีย เป็นเสิ่นเหวยอันอีกแล้ว
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ประตูร้านปิดแล้ว”
“อ้อ มีช่องสุนัขลอดอยู่ตรงนั้น”
“เจ้าลอดเข้ามาทางช่องสุนัข?”
“ไม่ได้หรือ? ซื่อจื่อท่านลองลอดดูสักครั้งสิ สนุกมากเลยล่ะ”
“เหอะ”
เสิ่นเหวยอันชี้ไม้ชี้มือไปทางช่องลอดสุนัขตรงหลังบ้านของเขาอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย อีกทั้งในมือยังหิ้วสุราไหหนึ่งติดมือมาด้วย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมู่หลานเฟิน มู่หลานเฟินถึงกับต้องมองเสิ่นเหวยอันใหม่ ไม่คิดว่าเขาจะถึงขนาดลอดช่องสุนัขเข้ามาเช่นนี้ ด้านเซวียนเจ๋อก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารไม่กล้าเงยหน้า เพราะตอนนี้เขาสวมชุดสตรีอีกทั้งยังแต่งหน้าทาปาก หากใต้เท้าเสิ่นจำเขาได้คงได้อับอายไปจนตายแน่นอน หลังจากกินเสร็จเขาก็วิ่งหนีเข้าห้องตนไปทันที
เสิ่นเหวยอันหันมาส่งยิ้มให้มู่หลานเฟินพร้อมเอ่ยอย่างชื่นชม
"น้องหรานหร่าน เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าได้กลิ่นประหลาด จมูกของเจ้านี่ดีจริงๆ น่าทึ่งนัก สตรีที่มีความสามารถเช่นนี้หายากมากนัก จมูกดีเหมือนสุนัขที่จวนของข้าเลย"
มู่หลานเฟินถึงกับยิ้มแห้ง ที่เสิ่นเหวยอันเอ่ยมาก็ไม่ผิด นางเคยเป็นสุนัขจริงๆนั่นแหละ
เซวียนซานหลางวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะเอ่ยกับเสิ่นเหวยอัน
"เจ้าให้นางตามไป หากรูปคดีเกิดปัญหา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ"
"ย่อมไหวแน่นอน เพราะน้องหรานหร่านจะไม่มีทางก่อปัญหา ข้ามั่นใจ"
"เหอะ"
เซวียนวานหลางหมดคำจะกล่่าว เมื่อหันไปมองก็พบว่าตอนนี้มู่หลานเฟินกำลังยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ในใจเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ยิ้มให้ผู้ใดดูกัน!
กลางดึกคืนนั้น เซวียนซานหลางสั่งให้เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยปิดบ้านให้ดี ส่วนเขา มู่หลานเฟิน และเสิ่นเหวยอันนั้นได้ลอบออกมาจากบ้านกลางดึก คนทั้งสามสวมชุดสีดำและใช้ผ้าปิดบังใบหน้า มู่หลานเฟินมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง ท่าทีของนางดูทะมัดทะแมงเหมือนบุรุษ อีกทั้งยังไม่ได้ทำตัวเป็นภาระให้เซวียนซานหลางอย่างที่กล่าวเอาไว้จริงๆ
ยามดึกท้องฟ้ามืดทะมึน บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจเต้น มู่หลานเฟินมองฝ่าความมืด ฉับพลันหูของนางก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังแว่วมาตามสายลม เซวียนซานหลางเมื่อเห็นนางมีท่าทีแปลกไปก็รีบเอ่ยถามทันที
“เจ้าเป็นอันใดไป"
มู่หลานเฟินย่นหัวคิ้ว พร้อมกับตั้งใจฟังเสียงนั้น
"มีเสียงหญิงสาวกำลังร้องเพลง อีกทั้งยังมีเสียงร่ำไห้ ผสมผสานกับเสียงกรีดร้องของสตรี"
เสิ่นเหวยอันที่ยืนอยู่ข้างกันเมื่อได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ทอประกายเย็นเยียบ เขาก้าวเข้ามาก่อนจะกระซิบถามมู่หลานเฟิน
"ทิศทางของเสียงอยู่ที่ใด เจ้าพอจับใจความได้หรือไม่"
มู่หลานเฟินมองไปโดยรอบ ก่อนจะชี้มือไปยังท้ายหมู่บ้าน
"ทางนั้น ให้ตายเถอะ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นมาก รีบไปเร็ว!"
เมื่อได้ยินมู่หลานเฟินเอ่ยเช่นนั้น ทั้งเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันต่างก็ไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงนั้นทันที ยิ่งเข้าใกลท้ายหมู่บ้านเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงและเสียงร่ำไห้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจของสตรีดังแว่วมาเป็นระยะอีกด้วย
จากตรงนี้ไม่มีบ้านคนแล้ว เพราะเป็นป่ารกที่มีต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมเต็มไปหมด สายลมพัดมาผะแผ่ว กิ่งของตนไม้เอนไหวไปตามทิศทางลม มองดูแล้วคล้ายปีศาจต้นไม้กำลังร่ายรำ ช่างน่าหวาดหวั่นไม่น้อยเลย
คนทั้งสามหันมามองหน้ากัน อยู่ๆ มู่หลานเฟินก็สัมผัสได้ว่ามีของเหลวหยดลงมาบนหว่างคิ้วของตน นางยกมือแตะมันและเอามาดม ก่อนจะต้องผงะ
เลือดหรือ!
หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นไปมองทิศทางของโลหิตปริศนานั้นทันที ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเบื้องหน้าปรากฎร่างของสตรีสวมชุดแต่งงานนางหนึ่งกำลังห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ใหญ่
มู่หลานเฟินจ้องมองภาพตรงหน้าเขม็ง ก่อนจะเขวี้ยงมีดที่นำติดตัวมาด้วยตัดเชือกเส้นนั้นจนขาดสะบั้น เซวียนซานหลางรีบวิ่งเข้าไปดูพร้อมเสิ่นเหวยอัน ก่อนจะพบว่ามันคือหุ่นเจ้าสาวที่ถูกย้อมด้วยเลือดเพียงเท่านั้น
มันคือหุ่นที่ทำจากฟางและใช้เลือดอาบย้อมจนเปียกชุ่ม กลิ่นเหม็นเน่าคาวคละคลุ้งจนมู่หลานเฟินรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
เซวียนซานหลางมองไปโดยรอบก่อนจะเอ่ย
"หุ่นฟางเจ้าสาวย้อมโลหิตนี่มันมาจากที่ใดกัน"
มู่หลานเฟินย่นหัวคิ้ว ก่อนจะคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยกับพวกทันที
“ซื่อจื่อ พี่เสิ่น ข้าลืมบอกพวกท่านไปเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่ชาวบ้านเล่าถึงเรื่องวิญญาณของสตรีนางนั้น พวกเขาบอกว่า ยามที่มีหญิงสาวถูกเอาตัวไป ก่อนพบศพจะเจอกับหุ่นฟางเจ้าสาวอาบย้อมเลือดห้อยโตงเตงบนต้นไม้ ไม่ไกลกันนักจะพบศพของสตรีผู้เคราะห์ร้าย ชาวบ้านเชื่อกันว่าหุ่นฟางเจ้าสาวย้อมโลหิตนี้ คือตัวแทนวิญญาณของสตรีนางนั้น ที่มาพรากชีวิตของหญิงสาวที่เข้าพิธีแต่งงานไป ในเมื่อเราเจอหุ่นตัวปัญหานี่ เป็นไปได้ว่าศพอาจจะอยู่ไม่ไกล คืนนี้จะต้องมีคนตายอีกแน่!”
เอ่ยจบนางจะทิ้งกายลงนั่งยองๆ พลางยื่นมือไปลูบๆพื้นดินข้างล่างก่อนจะหยิบดินขึ้นมาดม การกระทำของนางทำให้เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เสิ่นเหวยอันรีบเอ่ยถามทันที
“น้องหรานหร่านเจ้ากำลังทำอันใด"
มู่หลานเฟินไม่ตอบ เสิ่นเหวยอันคิดจะถามอีกแต่เซวียนซานหลางกลับส่ายหน้าปรามเขาเอาไว้
นางกำเศษดินนั้นมาดมอีกหลายครั้ง จมูกของหญิงสาวพลันรับรู้ได้ถึงกลิ่นดินผสมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มู่หลานเฟินมีท่่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
"ข้าได้กลิ่นเลือด เลือดนี้เป็นเลือดใหม่ ไม่ใช่เลือดเลือดเหม็นเน่าที่ชะโลมหุ่นเจ้าสาวตัวนั้น ดูเหมือนว่าจะมีการฆ่าคนเกิดขึ้น อาจเพราะตอนลากตัวเหยื่อไปไม่ทันระวังทำให้เลือดของเหยื่อหยดลงไปตามทาง หากเราตามกลิ่นเลือดนี้ไป อาจจะพบคนร้ายก็ได้"
เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันพยักหน้า ตอนนี้สิ่งใดที่เป็นเบาะแสย่อมต้องทำตามไปก่อน
ตลอดทางที่เดินไปมู่หลานเฟินจะหยิบดินขึ้นมาดมกลิ่นเป็นระยะ พวกนางตามกลิ่นนั้นไปเรื่อยๆ เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันหันมองหน้ากันไปมาแต่ไม่อาจรอช้าได้ ยามนี้การตามไล่ล่าจับคนร้ายให้ได้เป็นสิ่งสำคัญ หากยังจับตัวมันมาลงโทษไม่ได้ เมืองถงหวางย่อมหาความสงบสุขไม่ได้ และพวกเขาอาจจะไม่ได้กลับเมืองหลวงในเร็ววัน
มู่หลานเฟินนำทางโดยใช้จมูกดมกลิ่นเป็นระยะ โดยมีเสิ่นเหวยอันและเซวียนซานหลางคอยระวังหลังให้ เดินกันมาเรื่อยๆกลับพบว่าทางเบื้องหน้าเป็นทางตันเสียแล้ว คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกหน ในขณะที่กำลังใช้ความคิด มู่หลานเฟินก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวอุ่นๆหยดลงมาโดนเสื้อผ้าของนาง
หญิงสาวรีบก้าวถอยหลัง พลางเงยหน้าขึ้นไปมอง ภาพตรงหน้าทำเอามู่หลานเฟินถึงกับผงะ!
ศพของสตรีนางหนึ่งถูกมัดห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เห็นได้ชัดว่าสภาพศพน่าหวาดหวั่นมากเพียงใด!
ตอนที่ทะลุมิติไปเป็นบุตรสาวของหวูโจ้วคนผ่าศพ นางได้ตามบิดาไปพบเจอศพมากมาย แม้จะรู้สึกชินตามากเพียงใด แต่เมื่อได้เห็นศพตรงหน้าที่ีมีสภาพยับเยินเช่นนี้นางก็ยังรู้สึกหวาดหวั่น
คนร้ายลงมือได้อำมหิตโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ยิ่งนัก!
"อย่ามอง หลับตา!"
เซวียนซานหลางดึงตัวมู่หลานเฟินให้หันหน้ามาหาเขาและบอกให้นางหลับตา ก่อนจะสั่งให้เสิ่นเหวยอันหาทางนำศพลงมาจากต้นไม้
เซวียนซานหลางมองเห็นว่าตอนนี้สีหน้าของมู่หลานเฟินไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก บางครานางอาจจะตกใจกลัวจนขวัญเสีย
มู่หลานเฟินพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ นางจะต้องไม่กลัว หากปล่อยให้ความกลัวครอบงำเช่นนี้จะทำการใดต่อไปไม่ได้อีก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมา แต่เพราะตอนนี้อยู่ใกล้กับเซวียนซานหลางมากเกินไป ทำให้ตอนเงยหน้าขึ้นมาศีรษะของนางจึงดูเหมือนกำลังซบอยู่กับแผงอกของเขา อีกทั้งท่าทีของเขายามนี้ก็เหมือนกับกำลังโอบกอดปลอบประโลมนางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเซวียนซานหลางก้มหน้าลงมาก็สบเข้ากับดวงตาใสกระจ่างของมู่หลานเฟิน คนทั้งสองมีท่าทีกระอักกระอ่วนก่อนจะรีบผละออกจากกัน
เสิ่นเหวยอันจัดการใช้ดาบฟันเชือกให้ขาดจนศพร่วงมาที่พื้น ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเซวียนซานหลาง
"ต้องแจ้งทางการ"
"ตอนนี้พวกเรายังเปิดเผยตัวตนไม่ได้"
“นั่นสิ เช่นนั้นเอาอย่างไรดี”
“วางศพนางไว้ตรงนี้ล่ะ เราต้องรอให้ชาวบ้านมาพบศพแล้วแจ้งทางการ ระหว่างนี้ต้องห้ามแตะต้องศพ ห้ามทำสิ่งใดกับศพจนกว่าคนของทางการจะมาถึง หากพวกเราเร่งเปิดเผยตัวตนคงไม่ดีแน่”
เสิ่นเหวยอันที่ได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่เขากำลังจะนำศพของสตรีผู้เคราะห์ร้ายไปวางไว้ใต้ต้นไม้ มู่หลานเฟินก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"ช้าก่อน ข้าขอดูศพของแม่นางผู้นี้หน่อย"
เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รีบคว้าแขนของนางเอาไว้ทันที
“เจ้าจะทำอันใด"
"ท่านวางใจ ข้าจะไม่ทำให้เสียเรื่องแน่นอน"
เอ่ยจบมู่หลานเฟินก็เดินเข้าไปใกล้ๆศพ หญิงสาวทิ้งกายนั่งลงพลางมองสำราวจอย่างละเอียด นางเพียงใช้สายตามองไม่ได้ยื่นมือไปแตะต้องศพเลยแม้แต่น้อย
มู่หลานเฟินมองสำรวจศพอย่างละเอียด ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวลาง ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง
"ดวงตาเหมือนเพิ่งถูกควักออกไปเพราะในเบ้าตายังมีเลือดสดๆซึมออกมา รอบลำคอคล้ายถูกเชือกรัดรึงอย่างแน่นหนาก่อนแล้วค่อยนำมาแขวนเอาไว้บนต้นไม้ รอยของการรัดไม่คงที่ ดูเหมือนจะเกิดการขัดขืนต่อสู้ เหยื่อต้องการเอาตัวรอดทำให้ต้องพยายามรัดคออยู่หลายครั้งจึงสำเร็จ ส่วนเล็บมือเล็บเท้าของนางคล้ายถูกของมีคมดึงออก นี่ไม่ใช่วิญญาณอาฆาตอันใดหรอก แต่นางถูกลักพาตัวมาฆ่าต่างหาก แต่ที่ข้าอยากรู้ก็คือ แรงจูงใจของฆาตรกรคือสาเหตุใดกันแน่ ทำไมถึงลงมือกับสตรีบอบบางได้อย่างอำมหิตและโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้"
มู่หลานเฟินเอ่ยไปพลางจ้องมองศพไปพลาง
เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันเองก็คิดเช่นเดียวกัน สภาพศพที่พวกเขาพบเห็นยามนี้มีพิรุธหลายอย่างจริงๆ
ท้ายที่สุดพวกเขาจำต้องทิ้งศพเอาไว้เพราะไม่อาจแตะต้องศพส่งเดชได้
หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน มู่หลานเฟินก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะลงมาที่ชั้นล่างเพื่อหารือกับเซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอัน
"คดีนี้แปลกพิลึก คนร้ายต้องการสิ่งใดกันแน่"
เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันมีท่าทีครุ่นคิด แต่คิดเท่าใดก็ยังคิดไม่ออก ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกทั้งอย่างไรย่อมต้องพักผ่อนเอาแรง สุดท้ายคนทั้งสามก็แยกย้ายกันไปพัก คืนนี้มู่หลานเฟินนอนไม่หลับ ยามที่กำลังจะข่มตาหลับก็จะได้กลิ่นคาวเลือด ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงร่ำไห้ของสตรีดังแว่วมาเป็นระยะ เช้าวันต่อมานางจึงไม่ได้เปิดร้านขายอาหาร
ตอนสายของวันต่อมา เซวียนซานหลางได้พานางลอบเข้าไปในห้องเก็บศพของสตรีนางนั้นเพื่อดูบาดแผลภายใน สภาพของสตรีนางนี้น่าเวทนาไม่น้อย เหมือนว่าก่อนตายจะถูกทารุณอย่างหนัก ร่างกายภายในบอบช้ำเสียหาย มู่หลานเฟินโมโหยิ่งนัก นางอยากจะเด็ดหัวฆาตรกรใจชั่วออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เจ้าหน้าที่ตัดสินคดีจบแล้ว เรื่องราวจบลงที่ว่าเป็นฆ่า แต่ยังหาตัวคนร้ายไม่พบ หญิงสาวคนนี้เป็นสตรีต่างหมู่บ้าน นางได้แต่งงานกับชายคนรักซึ่งเป็นคนหมู่บ้านถงหวาง พวกเขาจัดงานแต่งกันเงียบๆมีเพียงคนสนิทที่รู้ ในงานแต่งงานนางก็ยังปกติดี จนกระทั่งเข้าหอ สามีนางส่งแขกเหรื่อเสร็จ เมื่อเข้ามาในห้องหอเจ้าสาวสุดที่รักก็หายไปเสียแล้วก็หาย ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นศพเช่นนี้ เจ้าบ่าวของนางร้องไห้เสียสติ เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่เมื่อได้เห็นสภาพศพของหญิงคนรักที่ตรงกับเรื่องเล่าทุกประการเขาก็เริ่มเชื่อและหวาดกลัวสุดท้ายก็กลายเป็นคนเสียสติ ศพของหญิงสาวถูกญาตินำมารับกลับไปทำพิธีที่บ้านของนาง
เรื่องราวก็จบลงเช่นนี้
มู่หลานเฟินกำมือแน่น นึกสงสารสตรีนางนั้นและคนรักของนางจับหัวใจ สตรีนางหนึ่งกำลังจะได้มีชีวิตที่ดี กำลังจะได้สร้างครอบครัวกับชายอันเป็นที่รัก กำลังจะมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น สุดท้ายกลับถูกความตายมาพรากจากไป
เดิมทีเรื่องราวควรจบลงเพียงเท่านี้ แต่ทว่าสามคืนถัดมาก็มีคนพบศพหญิงสาวตายในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง ครั้งนี้ลุกลามบานปลายไปถึงต่างหมู่บ้าน ผู้คนเริ่มหวาดกลัวจนไม่เป็นอันกินอันนอน
มู่หลานเฟินเริ่มทนไม่ไหวแล้ว นางคิดว่าอย่างไรคงจะต้องเร่งจัดงานแต่งปลอมๆระหว่างนางและเซวียนซานหลางเสียที
ต้องใช้งานแต่งจอมปลอมครั้งนี้ลากคอคนร้ายออกมาให้ได้!
ข่าวการตายของสตรีนางนั้นรวมไปถึงหญิงสาวต่างหมู่บ้านอีกหลายคนเริ่มลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น สตรีทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านล้วนหวาดกลัว ไม่แต่งงาน แม้แต่เหล่าบุรุษก็ยังไม่กล้าสู่ขอสตรีอันเป็นที่รักของตนแต่งงานด้วย เพราะเกรงว่าพวกนางจะถูกวิญญาณร้ายมาเอาตัวไป ชาวบ้านต่างปักใจเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวนางนั้น แต่มู่หลานเฟินกลับไม่คิดเช่นนั้น จากร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย นางมั่นใจเต็มร้อยว่ามันเป็นการฆาตรกรรมอำพรางฆาตรกรลงมืออำมหิตเป็นอย่างมาก ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกินสิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นก็คือพวกนางไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้คนที่เดินวนไปเวียนมาอยู่รอบกายของนางใครกันแน่คือฆาตรกรตัวจริงเช้าวันนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันยังคงไปสืบหาเบาะแสของคดีอย่างเช่นที่เคยทำ ส่วนมู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อก็อยู่ที่ร้านเพื่อรอฟังข่าวคราว เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่ได้รับรู้เรื่องราวน่าหวาดหวั่นก็ไม่กล้าทำตัววุ่นวายเท่าใดนัก"หรานหร่าน เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวตนนั้นหรือไม่"เซวียนเจ๋อเอ่ยถามนางในขณะที่มือก็แกะเมล็ดถั่วกินไปด้
สามวันต่อมาก็เป็นวันแต่งงานของเซวียนซานหลางและมู่หลานเฟิน นางถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากพลางหาววอดๆ อีกทั้งยังบิดกายไปมาอย่างเกียจคร้าน ลั่วเหมยที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก แต่ไหนแต่ไรเจ้านายของนางรักหน้าตาเป็นที่สุด อีกทั้งยังพิถีพิถันเป็นอย่างมาก จะออกจวนแต่ละคราต้องแต่งหน้าแต่งตัวอยู่นานสองนาน แต่ยามนี้คุณหนูคนเดิมกลับหายไปไหนไม่รู้ได้ เจ้านายคนนี้ของนางในตอนนี้นอกจากจะไม่เรื่องมาก ไม่ตบตีนางแล้ว ยังแบ่งอาหารให้นางกิน มู่หลานเฟินกินสิ่งใดนางก็ได้กินด้วย อีกทั้งยังไม่เรื่องมากเจ้ากี้เจ้าการเช่นแต่ก่อน หากเทียบกันแล้ว นางกลับชอบมู่หลานเฟินในตอนนี้มากกว่า"คุณหนู บ่าวจะสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้นะเจ้าคะ คุณหนูต้องระวังและดูแลตนเองให้ดี เดิมทีคุณหนูสามารถใช้ข้ออ้างในการแต่งงานครั้งนี้ผูกมัดเขาเอาไว้ บอกว่าเขาและท่านแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วที่เมืองถงหวาง บ่าวจะช่วยเป็นพยานให้ท่านเอง เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกซื่อจื่อก็จะไม่อาจปฏิเสธคุณหนูได้อีก"ลั่วเหมยพยายามเอ่ยโน้มน้าวเจ้านายตน แต่มู่หลานเฟินที่ได้ยินกลับส่ายหน้าไปมา"ลั่วเหมย ท่านป้าของข้าสั่งให้เจ้ามา
อาหลินบุตรสาวเจ้าเมืองเมืองเมื่อถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว นางจึงคิดจะหนี แต่เสิ่นเหวยอันกลับใช้แส้ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของเขาตวัดไปรัดรอบลำตัวของอาหลินเอาไว้ แรงของเขาไม่เบาเลย ทำให้อาหลินถูกดึงจนล้มลงกับพื้นส่งเสียงร้องโอดครวญไม่หยุดด้านเซวียนซานหลางนั้นก็ประคองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้อ่อนแรงเอาไว้ ริมฝีปากของนางมีโลหิตสีดำไหลออกมาไม่หยุด"มู่หลานเฟินเจ้าห้ามหลับนะ นี่คือคำสั่ง หากเจ้ากล้าหลับข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!"มู่หลานเฟินในตอนนี้แม้แต่แรงเถียงเขายังแทบไม่มี พิษนี้หนักหนาจริงๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายจนไม่เหลือแล้วตอนนี้จึงรู้สึกทนไม่ไหว"ซื่อจื่อ ข้าเจ็บ..."ก่อนหน้านี้แม้นางจะระวังตัวมากเพียงใดแต่ก็ยังมีช่องโหว่ อาหลินสาดผงยาพิษใส่ใบหน้าของนางอย่างรวดเร็วจนนางไม่ทันตั้งตัว"ซื่อจื่อ ในห้องยังมีฝุ่นผงของยาพิษอยู่ ท่านกับพี่เสิ่นรีบออกไปก่อน เร็ว!""จะตายแล้วยังมาห่วงพวกข้า มู่หลานเฟิน เจ้าจำเอาไว้ ข้าไม่ให้เจ้าตาย ข้ายังไม่ได้สะสางหนี้แค้นกับเจ้า มู่หลานเฟิน มู่หลานเฟิน!"มู่หลานเฟินหมดสติไปแล้ว เซวียนซานหลางหลางตื่นตระหนกไม่น้อย เขาพยายามตั้งสติก่อนจะหันไปเอ่ยกั
ยามเช้าของวันต่อมามู่หลานเฟินก็ได้สติฟื้นกลับมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับเซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่อยู่ดูแลนางไม่ห่างเมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้น เซวียนเจ๋อบอกกับนางว่าเมื่อคืนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนอุ้มนางมารักษาที่นี่ มู่หลานเฟินเพียงพยักหน้ารู้ไม่ได้เอ่ยถามอันใดอีกเมื่อคืนนี้นางคิดว่าตนเองจะไม่รอดเสียแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาคอยย้ำเตือนนางว่าทุกคราที่นางทะลุมิติไปอยู่ในอีกร่างหนึ่งมักจะมีอายุไม่ยืนยาว ไม่โดนฆ่าตายก็เกิดเรื่องจนตาย ไม่คิดว่าครั้งนี้ยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมาจะยังมีชีวิตอยู่เซวียนเจ๋อให้ลั่วเหมยนำโจ๊กมาป้อนให้นางกิน มู่หลานเฟินกินไปไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มเสียแล้ว นางจึงกินยาต่อ โชคดีที่มารักษาได้ทันท่วงที ท่านหมอบอกว่าพิษนี้หากทิ้งเอาไว้นาน สุดท้ายนางจะไม่อาจรอดชีวิตได้อีกเมื่อนึกถึงเซวียนซานหลางขึ้นมา มู่หลานเฟินก็พลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ เขาดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยเลยตอนที่เห็นสภาพของนาง แต่นางไม่อยากคิดจะอะไรมากให้มากความ ที่เขาร้อนใจปานนั้นก็คงเป็นเพราะกลัวว่านางจะทำแผนการของเขาพังไม่เป็นท่าเสียมากกว่าท่านหมอมาตรวจอาการนางอีกครั้งเมื่อเห็นว
ท้ายที่สุดคดีสังหารเจ้าสาวก็ถูกปิดลง เจ้าเมืองถงหวางถูกซูอวี้เฉิงสังหาร ส่วนอาหลินก็ถูกตัดสินประหารชีวิต เหล่าข้ารับใช้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารคนของสองพ่อลูกก็ถูกประหารตามเจ้านายของตนไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น เหล่าชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งที่สองพ่อลูกทำให้บุตรสาวของพวกเขาต้องมาด่วนจากโลกใบนี้ไป อีกทั้งยังลงมืออำมหิตโหดเหี้ยมอย่างไม่อาจให้อภัยอีกด้วยเมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง เซวียนซานหลางได้ส่งคนนำรายงานเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นไปถวายให้กับฮ่องเต้เซวียนจง อีกทั้งยังฝากความไปบอกด้วยว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงไปกราบทูลรายงานความเป็นไปทั้งหมดด้วยตนเองฮ่องเต้เซวียนจงทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก คนหนุ่มมากความสามารถเหล่านี้ล้วนเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยทำงานให้เขาได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะหลานชายของเขาคนนี้เซวียนซานหลางเป็นคนสุขุมรอบคอบ ที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความลำบากใจอะไรให้กับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่โลภมาก เขาเองไม่เคยหวาดระแวงในตัวหลานชายคนนี้เลยแม้แต่น้อยเมื่อปิดคดีได้สำเร็จ ฮ่องเต้เซวียนจงจึงออกราชโองการ ส่งท่านเจ้าเมืองคนใหม่ไปที่เมืองถงหวาง เจ้าเมืองคนน
เมื่อเรื่องราวที่เมืองถงหวางจบสิ้นลงแล้ว ก็ได้เวลากลับเมืองหลวงกันเสียที ก่อนเดินทางกลับหนึ่งวัน เสิ่นเหวยอันนึกสนุกจึงเอาสุราชั้นดีมาให้ทุกคนได้ดื่ม อีกทั้งยังย่างเนื้อกินกันอย่างสนุกสนานแสงของกองไฟที่สว่างเจิดจ้า ส่องกระทบใบหน้างดงามของมู่หลานเฟิน นางยังคงยิ้มร่าเริง เข้ากับชาวบ้านได้ดี ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังลงมือย่างเนื้อเองกับเมือ "คุณหนูมู่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีฝีมือทำอาหารดีเช่นนี้ ข้าไม่เคยกินเนื้อย่างที่ไหนแล้วอร่อยเท่าของเจ้ามาก่อนเลย"ซูอวี้เฉิงเอ่ยชมมู่หลานเฟิน เขาได้ยินเรื่องเล่าของสตรีน้อยนางนี้มาพอสมควร ทั้งเรื่องที่นางช่วยจับนักโทษ และเรื่องที่่ช่วยสืบคดี อีกทั้งตอนนั้นที่นางถือดาบหมายจะสังหารเจ้าเมืองถงหวางคนเก่า แววตาของนางมุ่งมั่นไม่สั่นคลอนและไม่หวาดกลัว อีกทั้งยังแน่วแน่เป็นอย่างมากน้อยนักที่ในเมืองหลวงจะมีสตรีที่กล้าหาญถึงเพียงนี้"ใต้เท้าซูเอ่ยชมเกินไปแล้ว"มู่หลานเฟินเอ่ยพร้อมกับยิ้มตอบเขา ซูอวี้เฉิงคือคุณชายรองของจวนตระกูลซู พี่ชายเขาก่อนหน้านี้เป็นหนุ่มรูปงามในเมืองหลวง สอบได้ตำแหน่งจอหงวน เป็นความหวังของสกุลซู แต่ไม่นานกลับพลัดตกม้าสมอง
การเดินทางกลับเมืองหลวงครั้งนี้่ย่อมต้องใช้เวลาไม่น้อย ระหว่างทางเซวียนซานหลางตัดสินใจพักที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ลั่วเหมยและเซวียนเจ๋อช่วยประคองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้เมาไม่ได้สติเข้าไปพักในห้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนเซวียนซานหลางกำลังนั่งอยู่ในอ่างน้ำ ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับขอบถังน้ำก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ม่านขนตาเรียวยาวมีไอน้ำพร่างพราวเกาะอยู่ มองดูแล้วช่างน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่งเขานั่งนอนอยู่ในอ่างน้ำครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า อยู่ๆชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาในห้องนอน สัญชาตญาณการป้องกันตัวของเซวียนซานหลางเริ่มทำงานทันที เขาคว้ากดาบคู่ใจขึ้นมา ก่อนจะหันไปตวัดฟาดฟันใส่ผู้ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญในทันทีคนที่บุกเข้ามาเป็นชายชุดดำสามคน ฝีมือไม่ธรรมดา พวกมันอำพรางใบหน้าตน เซวียนซานหลางจ้องมองคนทั้งสามด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยถาม"ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา""คนที่อยากให้เจ้าตายอย่างไรเล่า"เอ่ยจบนักฆ่าชุดดำสามคนก็พุ่งเข้าหาเซวียนซานหลางทันที แต่ชายหนุ่มเบี่ยงกายหลบได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกองค์รักษ์ลับให้เข้ามาจัดการ นักฆ่าเมื่อรู้ว่าเริ่มปะมือไม่ไหว จ
มู่หลิงเมื่อได้ยินอย่างนั้นแม้ในใจจะสงสัยแต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกอดเสียดายไม่ได้ เหตุใดนักฆ่าเหล่านั้นจึงลงมือพลาดกันนะ มู่หลานเฟินคร้านจะสนใจป้าของนางอีกจึงกลับมาที่เรือนพัก อีกทั้งยังบอกอีกว่าลั่วเหมยและพี่สาวนางจะรับมาดูแลต่อเอง หากอวี้หลิงไม่ยอมนางก็จะโบยคนของอวี้หลิงจนตายเช่นเดียวกัน อวี้หลิงส่งเสียงเหอะออกมา ไม่คิดว่าหลานสาวตัวดีจะกล้าข่มขู่นาง แต่แววตาของมู่หลานเฟินไม่ได้มีทีท่าล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย นางจึงรับปากไปอย่างส่งๆ รอให้มู่หลานเฟินลืมเรื่องนี้ไปค่อยจัดการก็ยังไม่สายด้านเซวียนซานหลางหลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เซวียนจงผู้เป็นเสด็จลุง บอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้รับรู้ ยามนี้ในห้องทรงอักษรยังมีเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงอยู่ด้วย ฮ่องเต้เซวียนจงเอ่ยชมทั้งสามคน ไม่คาดคิดเลยว่าคดีที่ปิดไม่ได้ในครั้งนี้ จะเกี่ยวพันกับจวนเจ้าเมืองถงหวาง อีกทั้งบุตรสาวของเขาที่เสียสติเพราะความรักจนลงมือได้อย่างอำหิตนางนั้นก็ได้รับผลกรรมไปตามสมควรแล้ว"ซานหลาง ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า หลานสาวของมารดาเลี้ยงเจ้ามีส่วนช่วยเหลือพวกเจ้าในการสืบคดี ไหนเจ
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ
เสียงน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง เซวียนซานหลางที่ได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที เมิื่อเห็นว่ามู่หลานเฟินตกน้ำลงไปพร้อมกับสวีเมิ่งเหยาเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่านางลอบยักคิ้วให้เขาหนึ่งครั้ง เซวียนซานหลางก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออกนี่นางกำลังจะทำอันใดกันเซวียนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาเซวียนซานหลาง"พี่ใหญ่ รีบช่วยหรานหร่านเร็วเข้า"ด้านฮ่องเต้เซวียนจงและเฉินฮองเฮาก็เริ่มร้อนใจแล้ว แม้แต่อวี้หลิงก็ยังนั่งไม่ติดที่สวีเมิ่งเหยาที่ถูกมู่หลานเฟินลากลงน้ำมาด้วยกันเริ่มมีโทสะขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างไม่พอใจ"นังสารเลว เจ้าคิดจะทำอันใด""เจ้าอยากกล่าวโทษข้า ว่าข้าผลักเจ้าตกน้ำไม่ใช่หรือ""เจ้ารู้ได้เช่นไร""เหอะ สวีเมิ่งเหยา เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดมากนักหรือ แผนการเช่นนี้ข้ามองปราดเดียวก็กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากเล่นข้าก็จะเล่นด้วย พวกเรามาเล่นกันเถอะ"เอ่ยจบนางก็คว้ามือของสวีเมิ่งเหยามากดหัวตนเองให้จมน้ำ พร้อมกับทำท่าทางจะเป็นจะตาย สวีเมิ่งเหยาเลิกลั่กแล้ว มู่หลานเฟินไม่เพียงดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน แต่นางยังใช้มืออีกข้างยื่นมาหยิกที่เอวของสวีเมิ่งเหยาอย่างแรง
เช้าวันต่อมา มู่หลานเฟินตื่นนอนแต่เช้า นางไปหาอวี้หลิงและเซวียนเจ๋อที่พักอยู่อีกเรือนหนึ่ง เพื่อร่วมกินมื้อเช้า เช้าวันนี้ฮ่องเต้เซวียนจงไม่ได้สั่งให้พวกนางไปร่วมมื้อเช้าด้วย มู่หลานเฟินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางก็ไม่อยากจะพบร่วมโต๊ะกับพวกเขาเท่าใดนักระยะนี้อวี้หลิงดูเหมือนจะมีท่าทางแปลกไป นอกจากจะไม่ก่อคลื่นลมใดแล้ว ในแววตายังดูเหมือนมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มู่หลานเฟินเองไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดและไม่ได้วางใจเช่นกัน การที่อวี้หลิงไม่ก่อคลื่นลมไม่ได้แปลว่าพวกนางจะวางใจได้หลังจากผ่านพ้นมื้อเช้าไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้เซวียนจงก็มีรีบสั่งให้เซวียนซานหลางไปสนทนาที่ตำหนักใหญ่ มู่หลานเฟินไม่ได้ตามไปด้วย นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กับเซวียนเจ๋ออากาศที่นี่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย มองไปทางใดก็เห็นเหล่ามวลผกาออกดอกล้อเล่นลม ป่าไผ่รอบข้างก็เขียวขจีสดชื่น แม้แต่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ยังงดงามราวกับภาพวาด เซวียนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างกายมู่หลานเฟิน พลันเอ่ยถามญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย"หรานหร่าน หากพี่ใหญ่แต่งงานกับสวีเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร เจ้าจะยอมแต่งเป็นภรรยาของเขาหร
หลายวันต่อมา มู่หลานเฟินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็ทำทีเป็นว่าทราบเรื่องที่วัดสือฉีเปิดให้หญิงสาวไปผูกดวงขอความรัก นางจึงเดินทางไปที่วัดแห่งนั้นและเขียนดวงชะตาของตนเองผูกเอาไว้เพราะเข้าสู่ช่วงกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแล้ว ฮ่องเต้เซวียนจงจึงมีรับสั่งว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนด้านนอกเมืองหลวง ที่นั่นบรรยากาศดีและเย็นสบายกว่าเมืองหลวง อีกทั้งยังตรัสว่าให้เหล่าขุนนางชั้นสูงติดตามไปด้วย เหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต้องติดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอันใด เพราะบ้านพักของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังฤดูร้อนอยู่แล้วแน่นอนว่าคนในจวนชินอ๋องย่อมต้องติดตามไปด้วยเพราะเป็นเครือญาติและเชื้อพระวงศ์ อวี้หลิงพระชายาเอกนั้นได้สั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมของให้พร้อมสรรพ ก่อนที่นางจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนเมื่อนั่งอยู่เพียงลำพังแล้ว อวี้หลิงก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เมื่อสองคืนก่อนนางได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายบอกว่า มีเบาะแสที่สามารถชี้ตัวคนร้ายที่สังหารน้องสาวและน้องเขยของนางได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งนั่นก็คือ นางจะต้องสังหารเซวียนซานหลางเสีย