ด้านมู่หลานเฟินนั้น นางเดินเตร็ดเตร่มาตามทางเดินที่ปูลาดด้วยหินกรวด พลางสอดส่ายสายตามองไปโดยรอบ
ที่จวนชินอ๋องแห่งนี้ตกแต่งงดงามใช้ได้ ต้นไม้ดอกไม้ออกดอกงดงามตามฤดูกาล ให้ความรู้สึกเย็นสบายสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
ชีวิตของนางผ่านการทะลุมิติมาหลายชาติภพ มีชาติหนึ่งทะลุเข้าไปเป็นแม่ครัว ได้เรียนการทำอาหารมาไม่น้อย แต่ละครั้งที่ทะลุมิตินั้นจะไม่ซ้ำสถานที่กันเลยสักครั้ง พบเจอบุคคลมากหน้าหลายตา หลายสิ่งหลายอย่างช่วยขัดเกลาให้นางกลายเป็นคนที่เข้าใจโลกมากขึ้น
มู่หลานเฟินไม่รู้เลยว่า การทะลุมิติมาในครั้งนี้จะมีชีิวิตอยู่รอดอีกนานเท่าไหร่และจะอายุสั้นเหมือนชาติก่อนๆหรือไม่
หญิงสาวทิ้งกายลงนั่งที่ชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะไกวมันไปมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ร่างนี้มีอายุสิบหกปีแล้ว ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมบอกนางว่าชีวิตความเป็นอยู่ก่อนหน้านี้ของมู่หลานเฟินคนเก่าไม่ได้ดีมากเท่าใดนัก
บ้านตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี มีบุตรสาวสามคน คนโตคืออวี้หลิง ส่วนแม่ของนางเป็นบุตรสาวคนรอง และมีบุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากอนุนามว่าอวี้หลัน
ไม่นานแม่ของมู่หลานเฟินได้แต่งงานกับพ่อค้าตระกูลมู่และให้กำเนิดนางออกมา แต่หลายปีต่อมาพ่อแม่ของนางตายก็ป่วยตายจากไป นางจึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับอวี้หลันผู้เป็นน้าสาว อีกทั้งสามีของอวี้หลันยังจ้องจะทำไม่ดีไม่ร้ายนางอยู่ตลอดเวลา อวี้หลิงป้ามหาภัยนางนั้นเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและบอกว่าหากมู่หลานเฟินมาช่วยงานนางจะต้องสุขสบายไปทั้งชาติแน่นอน
มู่หลานเฟินคนเก่านั้นมีนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูง ขอเพียงได้ใช้ชีวิตบนความสุขสบายเจ้าตัวล้วนทำได้ทุกอย่าง จึงตอบตกลงโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน
ไม่รู้ว่าจะนับเป็นความโชคดีได้หรือไม่ แม้อวี้หลิงจะบังคับให้นางทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อผลประโยชน์แอบแฝงแต่กลับไม่เคยทุบตีนางจริงจังเลยสักครั้ง แม้ปากจะด่า ที่ลงโทษมากสุดก็เพียงให้อดข้าวเท่านั้น
ที่สำคัญนางยังมีญาติผู้พี่ที่อายุห่างกันหนึ่งปีนามว่าเซวียนเจ๋อ ซึ่งก็คือบุตรชายของอวี้หลิง น้องชายแท้ๆของเซวียนซานหลาง นางยังไม่ได้พบเจอเขาเลย แต่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยามที่นึกถึงเซวียนเจ๋อนั้น ไม่ได้มีความเกลียดชังหรือมีความคิดใดแอบแฝงเลยแม้แต่น้อย
เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋ออายุห่างกันหลายปี ลั่วเหมยบอกนางว่าปีนี้เซวียนซานหลางอายุยี่สิบสองปีแล้ว แต่ทว่าเขายังไม่แต่งงานหรือชอบพอสตรีคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว ท่าทางเย็นชาวางตัวสูงส่งของเขามันทำให้มู่หลานเฟินรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หญิงสาวยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้ว ช่างเถอะ จะว่าไปแล้ว ชาตินี้นางก็มีชีวิตสุขสบายกว่าชาติก่อนๆมากนัก ใช้ชีิวิตให้เป็นไปตามครรลองเถอะ จะเกิดสิ่งใดขึ้นก็แล้วแต่สวรรค์จะกำหนด
นั่งเล่นอยู่นาน ในที่สุดมู่หลานเฟินก็รู้สึกเบื่อ จึงเดินกลับมาที่เรือน เมื่อมาถึงก็พบกับป้าของตนที่กำลังนั่งรออยู่ด้านในเรือน แววตาที่มองมาฉายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าอวี้หลิงคงจะรู้แล้วว่าแผนการที่สั่งให้นางทำไม่สำเร็จ
มู่หลานเฟินไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาของป้าตนเองเลยแม้แต่น้อย
"หรานหร่าน เจ้าทำไม่สำเร็จกี่ครั้งแล้ว เห็นทีข้าคงต้องอดข้าวเจ้าจริงจังเสียแล้ว"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองอวี้หลิง ก่อนจะเอ่ย
"ท่านป้า ข้าขอเตือนท่านหน่อย เซวียนซานหลางไม่ใช่คนที่พวกเราจะล่วงเกินได้ง่ายๆ วันนี้เขาถึงกับขู่จะฆ่าข้า ท่านก็ระวังตัวเอาไว้บ้างเถอะ"
อวี้หลิงเมี่ื่อได้ฟังก็ถึงกับลมออกหู นางก้าวเข้ามาหาหลานสาวก่อนจะยกนิ้วชี้จิ้มหน้าผากของมู่หลานเฟินอย่างไม่พอใจ
"นังโง่! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเซวียนเจ๋อจะต้องลำบากเพียงใดในวันหน้า หากซานหลางได้ตำแหน่งชินอ๋องเมื่อใด เขาไม่มีทางปล่อยพวกเราเอาไว้แน่"
“เช่นนั้นก็ไปหาที่อยู่ใหม่เสียสิ ยากตรงไหนกัน สิ่งใดที่ไม่ใช่ของตนเอง ท่านจะพยายามแย่งชิงไปเพื่ออะไรกัน ข้าไม่ช่วยท่านแล้ว ข้าเหนื่อยข้าเบื่อ"
"เจ้า!"
อวี้หลิงง้างฝ่ามือหมายจะตบสั่งสอนหลานสาว แต่เมื่อเห็นมู่หลานเฟินเงยหน้ามามองตนอย่างไม่เกรงกลัว อีกทั้งแววตาคู่งามยังแสดงออกถึงความรำคาญอย่างไม่ปิดบัง อวี้หลิงก็ลดมือลงก่อนจะส่งเสียงฮึดอัดออกมา
มู่หลานเฟินเป็นบุตรสาวที่เกิดจากน้องสาวที่นางรักที่สุด ซ้ำยังมีใบหน้าคล้ายกันยิ่งนัก ก่อนตายน้องสาวได้ส่งคนแอบนำจดหมายมามอบให้นาง ขอร้องให้นางช่วยเลี้ยงดูมู่หลานเฟิน พามู่หลานเฟินออกมาจากบ้านตระกูลอวี้ด้วย น้องสาวของนางตายอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คนอื่นเห็น เรื่องนี้อาจเกี่ยวพันกับอวี้หลันและสามีชั่วของนาง น่าเจ็บใจนักที่อวี้หลันเชื่อสามีมากกว่าพี่น้อง และนางเองยังหาหลักฐานไม่ได้ จึงไม่อาจสะสางหนี้แค้นแทนน้องสาวได้
นางไม่มีทางทำร้ายมู่หลานเฟินได้ลงคอ แม้ปากจะบ่นด่าแต่นางไม่อาจทำใจดำกับหลานแท้ๆของตนเองได้ลง
"เหอะ เจ้ารู้จักกลัวด้วยหรือ จำไว้นะหรานหร่าน หากแผนสำเร็จ ข้าสบายเจ้าก็สบายไปด้วย อย่าโง่ให้มาก แล้วก็อย่าได้คิดหลงรักซานหลางเข้าจริงๆ"
เอ่ยจบอวี้หลิงก็จากไปทันที มู่หลานเฟินพรูลมหายใจออกมา ก่อนจะทิ้งกายลงนอนบนเตียง
ใช้ชีวิตก็ยากแล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก น่าปวดหัวจริงๆ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามเย็น เป็นเวลาที่ต้องกินมื้อเย็นร่วมกัน ที่จวนชินอ๋องมีกฎระเบียบซึ่งปฏิบัติอย่างเคร่งครัดนั้นก็คือ มื้อเย็นคนในครอบครัวจะต้องกินอาหารพร้อมหน้า ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว ที่ทำเช่นนี้เพื่อจะได้กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้แลกเปลี่ยนสุขทุกข์ที่พบเจอในแต่ละวันให้คนในครอบครัวได้รับรู้
มู่หลานเฟินเดินตามป้าของตนมาที่เรือนใหญ่พร้อมกับญาติผู้พี่นั่นก็คือเซวียนเจ๋อ
การได้พบกับเซวียนเจ๋อนับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลย นิสัยของเซวียนเจ๋อแตกต่างจากมารดาของตนเองราวฟ้ากับเหว หน้าตาของเขาหล่อเหลามีส่วนคล้ายกับเซวียนซานหลางถึงสิบส่วน อีกทั้งยังมีนิสัยร่าเริง พูดคุยไม่หยุด และยังชอบชวนนางทำอะไรที่แปลกใหม่ ที่จวนแห่งนี้ไม่น่าเบื่อก็เพราะมีเซียวเจ๋อ
เมื่อมาถึงทุกคนก็กินอาหารกันพร้อมหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หลานเฟินได้พบกับเซวียนชินอ๋อง ถึงแม้เขาจะอายุมากแล้วแต่กลับมีใบหน้าหล่อเหลา นางไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบุตรชายสองคนของเขาถึงรูปงามเช่นนี้ ก็เพราะมีบิดารูปหล่ออย่างไรเล่า
มู่หลานเฟินกินอาหารไปก็ชำเลืองมองเซวียนซานหลางเป็นระยะ แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่ได้ปรายตามองนางเลยด้วยซ้ำ เขากินอาหารอย่างเงียบๆ ทุกท่วงท่างดงามและชวนมองเป็นอย่างมาก
มู่หลานเฟินคีบหมูสามชั้นเข้าปาก พบว่ารสชาติดีไม่น้อยเลย
อยู่ๆนางก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนเอาเท้าสะกิดขาของนาง เมื่อหันไปมองโดยรอบก็พบว่าอวี้หลิงกำลังขยับตาให้นาง และทำท่าทางบอกให้นางคืบอาหารให้เซวียนซานหลาง มู่หลานเฟินกลอกตาไปมา ป้ามหาภัยนี่แม้ยามกินข้าวก็ยังไม่ให้นางได้สงบสุข เอาเท้าสะกิดขานางอยู่นั่น!
มู่หลานเฟินใช้ตะเกียบคีบหมูสามชั้นวางลงในถ้วยข้าวของเซวียนซานหลางอย่างลวกๆ ชายหนุ่มปรายตามองนาง ก่อนจะจัดการใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูเหล่านั้นไปวางใส่เอาไว้ในถ้วยอีกใบโดยไม่กินแม้แต่คำเดียว ท่าทีเหมือนรังเกียจเสียเต็มประดา
"นางมีน้ำใจคีบอาหารให้เจ้า เหตุใดไม่ชิมสักคำเล่า ไร้มรรยาทเสียจริง"
เซวียนชินอ๋องเอ่ยกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เซวียนซานหลางวางตะเกียบลง ก่อนจะลุกขึ้นยืน
"ลูกอิ่มแล้ว จะกลับไปจัดการงานที่เรือน ขอตัวก่อน"
เอ่ยจบเขาก็เดินจากไปทันที ก่อนจากยังไม่ลืมส่งสายตาไม่พอใจมาให้มู่หลานเฟินอย่างไม่ปิดบัง เซวียนชินอ๋องส่ายหน้าไปมารู้สึกจนปัญญากับนิสัยเย็นชาของบุตรชาย ตั้งแต่เขามีภรรยาใหม่ เซวียนซานหลางก็ทำตัวห่างเกินกับเขามาโดยตลอด ทำราวกับไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี เขายังไม่แก่ชรา ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวย่อมรู้สึกเปล่าเปลี่ยว วันใดที่เซวียนซานหลางมีภรรยาจะต้องเข้าใจเขาในสักวัน
ส่วนมู่หลานเฟินนั้นก็ไม่สนใจสิ่งใด นางยังคงคีบอาหารเข้าปากอย่างสบายอารมณ์
ช่างสิใครไม่กินก็เรื่องของเขาแต่นางจะกิน
ส่วนอวี้หลิงก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างคิดไม่ตก
อาหารมื้อเย็นของวันนี้ผ่านไปอย่างไม่คอยราบรื่นเท่าใดนัก หลังจากกินอิ่มแล้วเซวียนเจ๋อก็ตรงไปหาเซวียนซานหลางที่เรือนของพี่ชายทันที ในมือของเขามีขนมหวานถ้วยหนึ่ง ตั้งใจเอามาให้พี่ชายได้ลองชิม
เซวียนเจ๋อรักใคร่พี่ชายคนนี้มาก เขามองเซวียนซานหลางเป็นแบบอย่างที่ดีมาตลอด เซวียนเจ๋อรู้ทุกการกระทำของมารดา แต่เขากลับทำเป็นมองไม่เห็น และไม่อยากมีส่วนร่วม เขาไม่อยากเป็นซื่อจื่อ การได้ใช้ชีวิตอิสระต่างหากคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน
"พี่ใหญ่"
เซวียนซานหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเซวียนเจ๋อเขาก็วางตำราในมือลง ก่อนจะกวักมือเรียกน้องชายให้เข้าไปหา เซวียนเจ๋อที่เห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปทันที
แม้เขากับอวี้หลิงจะมีความสัมพันธ์ที่พร้อมทำลายกันและกันอยู่ตลอดเวลา แต่กับเซวียนเจ๋อนั้น เซวียนซานหลางกลับเอ็นดูไม่น้อย
เขารู้ดีว่าเซวียนเจ๋อไม่เคยคิดจะทำร้ายเขา แต่สิ่งที่เขากังวลก็คือ สักวันเซวียนเจ๋ออาจจะถูกความโลภของมารดาตนทำร้ายเข้าสักวัน
"พี่ใหญ่ ข้าเอาขนมหวานมาให้ท่าน เห็นท่านรีบร้อนลุกออกจากโต๊ะอาหารยังไม่ได้กินขนมเลย ชิมสักคำสิ ข้าทำเองกับมือเลยนะ"
เซวียนเจ๋อวางถ้วยขนมลงตรงหน้าพี่ชาย เซวียนซานหลางมองขนมถ้วยนั้น ก่อนจะเอ่ยกับน้องชาย
"เป็นบุรุษเช่นใดกันจึงเข้าครัวเยี่ยงสตรี การเรียนเข้าก็ไม่เอาไหน อาเจ๋อ วันหน้าเจ้าจะทำมาหากินอันใดกัน"
"ไม่ทำหรอก ข้ามีพี่ชายเก่งกาจเช่นท่าน ก็เกาะท่านกินไปตลอดชีวิตเสียก็สิ้นเรื่อง"
เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินก็ส่ายหน้าไปมาและยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหยิบถ้วยขนมขึ้นมาชิม รอจนพี่ชายกินอิ่มแล้ว เซวียนเจ๋อจึงเอ่ยขึ้นมา
"พี่ใหญ่ ท่านอย่างถือสาหรานหร่านเลยนะ นางก็ถูกท่านแม่ข้าบังคับมาอีกต่อหนึ่ง เดิมทีนางก็แค่หลงรักท่าน มีจิตใจฝันสูง ท่านไม่ชอบนางก็ช่างเถอะ แต่ได้โปรดไว้ชีวิตนางด้วย ส่วนท่านแม่ข้า หากนางทำผิดต่อท่านจริง ข้าก็จะไม่เข้าข้าง คนเราเกิดมาควรเดินบนความถูกต้อง"
เซวียนเจ๋อเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ พี่ชายของเขาแม้จะไม่เคยด่าทอเขารุนแรง แต่เขาก็ค่อนข้างเกรงใจอยู่ไม่น้อย
เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินที่น้องชายเอ่ยขึ้นมาก็ลอบถอนหายใจด้วยความเวทนา อวี้หลิงโลภมาก จิตใจสกปรก แต่กลับคลอดบุตรชายที่มีนิสัยแตกต่างจากนางมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
"ช่างเถอะ หากพวกนางไม่ก่อความวุ่นวายให้ข้ามากไปกว่านีิ ข้าเองก็จะไม่ถือสา"
"ขอบคุณพี่ใหญ่ ไว้ข้าจะมาทำขนมให้ท่านกินอีก ข้ารักท่านนะ"
เอ่ยจบเจ้าเด็กแสบเซวียนเจ๋อก็รีบวิ่งกลับเรือนของตนเองไปทันที เซวียนมองตามแผ่นหลังของน้องชายพร้อมกับยิ้มออกมา
อวี้หลิงที่เห็นว่าบุตรชายกลับมาแล้วก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ชีวิตนางช่างดีนัก บุตรชายรักใคร่พี่ชายต่างมารดาออกปานนั้น หลานสาวก็เริ่มไม่เชื่อฟัง นี่นางทำเวรกรรมอันใดมากัน ทั้งลูกทั้งหลานไม่ได้ดั่งใจเลยสักคน!
เช้าวันต่อมาเซวียนซานหลางตื่นแต่เช้าและเดินทางไปร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงพร้อมกับบิดาของเขา เซวียนชินอ๋องนั้นเดิมทีเป็นพวกไม่เอาไหน นอกจากร่ายบทกวี ร่ำสุราและชื่นชมสาวงามแล้วเขาก็ไม่มีความสามารถอื่นใดอีก แตกลับให้กำเนิดบุตรชายที่เพรียบพร้อมเช่นเซวียนซานหลางออกมาเดิมทีความสามารถเหล่านี้ เซวียนซานหลางล้วนได้มาจากมรรดาทั้งสิ้น ท่านแม่ของเขาเป็นถึงบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ หลังจากท่านแม่ตายไป ท่านตาก็ล้มป่วย เพราะท่านเป็นบุตรสาวคนเดียว เมื่อท่านตาและท่านแม่สิ้นอำนาจทางการทหารทั้งหมดจึงตกมาอยู่ในมือของเขาทั้งหมด ท่านตาเป็นคนสั่งสอนวรยุทธ์ให้เขา หลายปีมานี้ เซวียนซานหลางรบทัพจับศึกอยู่ชายแดน มีความดีความชอบไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นที่รักใครของฮ่องเต้ในวังหลวงเป็นอย่างมากการประชุมยามเช้าไม่ได้มีเรื่องสำคัญใดมากนัก นอกจากเรื่องปากท้องของราษฎร ช่วงนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างเย็นสบายเซวียนซานหลางมักชอบสวมใส่ชุดสีขาวและสีดำเพียงเท่านั้น เขาก็ไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นอีก มีครั้งหนึ่งเซวียนชินอ๋องถามบุตรชายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่สวมเสื้อผ้าสีอื่นบ้าง แต่กลับได้คำตอบที่น่าเจ็บปวดมาแทนว่า
เรื่องที่จะต้องไปสืบคดีตามคำสั่งของเสด็จลุงนั้นเซวียนซานหลางไม่ได้บอกเล่ารายละเอียดอะไรให้บิดาฟังมากนัก เซวียนชินอ๋องเองก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกนับวันยิ่งค่อนข้างห่างเหินเป็นอย่างมาก ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะออกเดินทาง อย่างไรเสียตอนนี้เสิ่นเหวยอันหัวหน้าสำนักบูรพาก็ยังไม่กลับมาจากนอกเมือง ยอมต้องรอไปก่อนระหว่างนี้ดูเหมือนว่าจวนชินอ๋องจะเตรียมจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเซวียนชินอ๋องบิดาของเขา ทุกๆปีท่านพ่อมักจะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทั้งที่ไม่ได้ทำงานหาเงินแต่กลับใช้เงินมือเติบ จัดงานเลี้ยงเชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เขาเองคร้านจะสนใจ จึงไม่ได้เอ่ยทัดทานอันไร เพราะรู้นิสัยบิดาของตนดีช่วงนี้เหมือนว่าอวี้หลิงจะไม่ได้คิดก่อคลื่นลมอะไรให้เขาเลยแม้แต่น้อย ด้วยกำลังน้อยนิดและสมองทึมทื่อของนางย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว แต่เซวียนซานหลงก็ไม่เคยวางใจ ยังคงระแวดระวังตนเองเป็นอย่างดีในเมืองหลวงยามนี้ค่อนข้างคึกคักคึกครื้น เพราะวันนี้ในเมืองหลวงจัดงานเทศกาลหยวนเซียว ผู้คนออกจากบ้านไปชมโคมไฟและกินขนมมงคล ในจวนชินอ๋องอวี้หลิงก็สั่งให้สาวใช้ทำขนมบัวลอยแจกจ่ายให้ค
กลางดึกคืนนั้นจวนชินอ๋องค่อนข้างวุ่นวายเป็นอย่างมาก เพราะมู่หลานเฟินได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ท่านหมอที่ทำการรักษาได้ฝังเข็มและตรวจอาการของนางอย่างละเอียด อีกทั้งยังบอกอีกว่าเพราะร่างกายของนางบอบบาง แต่กลับฝืนใช้วรยุทธ์ทั้งที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ทำให้ได้รับผลกระทบลมปราณภายในแปรปรวน จึงกระอักโลหิตออกมา นับว่าโชคดีที่เป็นเช่นนี้ หากมู่หลานเฟินไม่กระอักโลหิตออกมา อาจจะทำให้ภายในเสียหาย และอาจล้มป่วยจนถึงแก่ชีวิตได้หลังจากจัดเทียบยาเรียบร้อย ท่านหมอก็จากไป อวี้หลิงที่ได้ทราบเรื่องจากปากของเซวียนเจ๋อก็ถึงกับร้อนใจ มู่หลานเฟินหลานสาวตัวดีของนางไม่เห็นเคยบอกนางเลยว่ามีวรยุทธ์ หากรู้แต่แรกนางจะได้ไม่ต้องเสียเวลาให้มู่หลานเฟินยั่วยวนเซวียนซานหลาง แต่ให้ลงมือฆ่าเขาเสียเลย!ด้านเซวียนซานหลางนั้น ตอนที่เห็นว่ามู่หลานเฟินจัดการนักฆ่า เขาก็มีความสงสัยอยู่ภายในใจเต็มไปหมด แม้จะรู้จักนางได้ไม่นาน แต่ภูมิหลังและความเป็นไปของนางเขาล้วนสืบมาอย่างละเอียด นางเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลคหบดี วันๆเอาแต่แต่งหน้าทาปากยั่วยวนบุรุษ แต่งตัวงดงามเดินเตร็ดเตร่เพียงเท่านั้นแต่ที่เขาเห็นนั้นฝีมือของนางไม่ธรรมดาเลย คล้ายกับ
ผ่านมาร่วมหลายวัน ที่จวนชินอ๋องก็มีงานใหญ่ นั่นก็คืองานวันเกิดของเซวียนชินอ๋อง เหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่า เซวียนชินอ๋องผู้นี้ แม้จะดูเหมือนไม่เอาอันใด ทำสิ่งใดก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ซ้ำร้ายยังถูกพี่ชายที่เป็นฮ่องเต้ก่นด่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างไรก็ไม่อาจจะล่วงเกินเขาได้ เพราะเซวียนซานหลางบุตรชายของเขานั้นมีอำนาจทหารอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีความดีความชอบนานับประการ พูดได้ว่าหากจวนชินอ๋องไม่มีเซวียนซานหลางที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ค่อยหยัดรากลงดินค้ำจุนเอาไว้ ป่านนี้เซวียนชินอ๋องอ๋องก็ไม่นับเป็นตัวอะไร อีกทั้งเซวียนซานหลางผู้นั้นยังเป็นหลานสุดที่รักของฝ่าบาท ทางที่ดีอย่าไปล่วงเกินพวกเขาจะดีที่สุดก็เพราะเป็นเช่นนี้ในงานเลี้ยงวันเกิดทุกปีของเซวียนชินอ๋องเหล่าขุนนางจึงนำของขวัญชั้นดีมามอบให้เซวียนชินอ๋องอยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบหน้าเขามากเพียงใดก็ตามแขนเสื้อยาวย่อมร่ายรำได้งดงาม คนเราแม้จะไม่เป็นที่รักใคร่แต่ขอเพียงมีเงินมีอำนาจย่อมทำสิ่งใดได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือเซวียนชินอ๋องคนหน้าหนาไม่ได้รู้สึกอันใดทั้งสิ้น เขาคิดเพียงว่า เซวียนซานหลางมีหน้าที่กตัญญูต่อเขาที่เป็นบิดา การทำให้เขามีห
ภายในงานเลี้ยงผู้คนต่างกินดื่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังร่วมกันอวยพรให้เซวียนชินอ๋องอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เซวียนชินอ๋องรู้สึกมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก มู่หลานเฟินที่สลัดเซวียนซานหลางออกมาได้แล้วก็กลับมาหาเซวียนเจ๋อ นางไม่มีสหายเป็นสตรีสักคน ทำได้เพียงตัวติดกันอยู่กับเซวียนเจ๋อญาติผู้พี่สองคน ต่างคนต่างรินสุราให้กัน เซวียนเจ๋อนั้นคออ่อน ดื่มไปเพียงไม่กี่จอกก็เมาเสียแล้ว นางจึงสั่งให้คนพาเขากลับไปพักที่เรือนนอนเสีย ส่วนตนก็นั่งมองสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่ทะเลาะกันครั้งนั้นอวี้หลิงป้ามหาภัยก็ไม่บังคับอะไรนางอีก แม้จะด่าทอนางและเซวียนเจ๋ออยู่บ้าง แต่ดูเหมือนจะลารามือไปบ้างแล้ว"เจ้าดูสิ คนเราน่ะ ไม่มีสหายคบหาก็เป็นเช่นนี้ละ ต้องนั่งโดดเดี่ยว เล่นกับก้อนหินใบหญ้า ช่างน่าสงสารยิ่งนัก"อยู่ๆก็มีเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมา มู่หลานเฟินเงยหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นเหล่าสตรีน้อยที่มาร่วมงาน หนึ่งในนั้นมีสวีเมิ่งเหยารวมอยู่ด้วยสวีเมิ่งเหยายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้าจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ไปทำไมกัน นางน่ะน่าเห็นใจออก นอกจากจะไม่มีคนคบหาแล้ว ฐานะยังต่ำต้อย ตระกูลคหบดีน่ะเทียบไม่ได้
งานเลี้ยงก็จบลงเช่นนี้ เซวียนชินอ๋องดื่มจนเมามายไม่ได้สติ อวี้หลิงก็ออกคำสั่งให้บ่าวไพร่ในจวนเก็บกวาดลานเรือนให้เรียบร้อย ส่วนมู่หลานเฟินก็เดินกลับเรือน ระหว่างทางนางเดินผ่านสระบัว หญิงสาวหยุดมองดูมันพลางครุ่นคิด นี่คือสระบัวที่มู่หลานเฟินคนก่อนตกลงไปและถึงแก่ชีวิตจนจากโลกนี้ไปแล้วนางก็ได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทนมู่หลานเฟินมองเงาของตนที่สะท้อนบนผิวน้ำ แสงจันทร์ยามค่ำคืนทำให้นางมองเห็นภาพสะท้อนของตนเองบนผิวน้ำได้อย่างชัดเจน ใบหน้านี้งดงามอ่อนเยาว์ นางเหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปในโลกอนาคตที่ตนเองจากมาอีกครั้งไม่รู้ว่าผ่านมากี่ครั้งแล้วที่นางทะลุมิติไปเป็นคนนั้นทีคนนี้ที เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นบุรุษบ้างนับว่าครั้งนี้ได้เป็นตัวเองเสียที แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้ได้อีกนานเท่าใดนัก เพราะจากหลายๆเหตุการณ์ในชาติก่อนๆ นางนั้นมีอายุไม่ยืนยาวสักเท่าใดนักหญิงสาวถอนหายใจออกมา ยังไม่ทันจะเดินกลับเรือนก็ได้ยินเสียงของป้ามหาภัยเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"หลานสาวตัวดี เจ้ายังมีอารมณ์มายืนชมนกชมไม้ ชมสระบัวอยู่อีกหรือ"มู่หลานเฟินกลอกตาไปมา ก่อนจะหันมามองอวี้หลิงอย่างเอือมระอา"ข้าจะไปนอนแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วเซวียนซานหลางก็จำต้องให้มู่หลานเฟินติดตามไปด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เรื่องการสืบคดีนับว่าเป็นงานราชการลับที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ เพราะอย่างนี้เซวียนซานหลางจึงไม่ได้บอกกับผู้ใดแม้กระทั่งบิดาของตน อีกทั้งยังกำชับมู่หลานเฟินอีกด้วยว่าห้ามนางปากเปราะ หลายวันมานี้มู่หลานเฟินแทบจะกระดิกตัวทำสิ่งใดไม่ได้ เพราะมีคนของเขาจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลาหลายวันต่อมา เซวียนซานหลางบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าเขามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการที่นอกเมืองหลวง อีกทั้งจะออกครั้งนี้เดินทางไปนานเสียหน่อยไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด และยังต้องการให้สาวใช้ติดตามไปคอยรับใช้สักคนสองคนเพื่อดูแลเรื่องความเป็นอยู่ หากจะไปหาซื้อสาวใช้ที่นอกเมืองหลวงเกรงว่าจะทำงานไม่ได้เรื่องเท่าสาวใช้ที่ได้รับการฝึกฝนในจวนใหญ่ อวี้หลิงเมื่อได้ทราบเรื่องก็รีบไปบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าอยากให้มู่หลานเฟินติดตามไปคอยดูแลเซวียนซานหลางด้วย เซวียนชินอ๋องเองก็ตกปากรับคำ อย่างไรเขาก็อยากให้บุตรชายแต่งงานกับมู่หลานเฟินอยู่แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงไปบอกเรื่องนี้กับบุตรชายทันทีเซวียนซานหลางเมื่อได้ฟังก็แสร้งทำทีเป็นคัดค้านเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า
คนทั้งหมดเดินทางเข้ามาเมืองถงหวางอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่จะเดินทางมา เซวียนซานหลางได้ให้องค์รักษ์ของตนมาสำรวจลู่ทางของที่นี่เรียบร้อยแล้ว อาต่งองค์รักษ์ของเขาได้ซื้อบ้านเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตลาด เป็นร้านของอดีตเถ้าแก่ร้านขายอาหาร แต่เพราะในเมืองถงหวางเกิดเรื่องมากมาย เถ้าแก้ร้านจึงย้ายออกไปอยู่เมืองอื่นพร้อมกับบุตรสาวของตนบ้านหลังนี้ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปพอให้พักกันได้สบายๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เซวียนซานหลางจึงให้มู่หลานเฟินพักอยู่ในห้องเดียวกัน และยังตั้งกฎกับนางว่าห้ามล้ำเส้นเขา ไม่อย่างนั้นดาบในมือของเขาอาจจะพลาดพลั้งบั่นคอนางขาดได้ มู่หลานเฟินลอบเบ้ปาก เขาจะหลงตนเองเกินไปแล้วกระมัง นางมีหรือจะอยากเข้าใกล้เขาขนาดนั้น แค่หายใจร่วมกันยังแทบจะหายใจไม่ออก นี่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกันอีก ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะไขคดีจบสิ้น นางอึดอัดจะตายอยู่แล้วด้านเซวียนเจ๋อนั้นก็พักอยู่อีกห้องหนึ่งใกล้ๆกับลั่วเหมย เพราะเซวียนซานหลางสั่งห้ามไม่ให้เขาแต่งเป็นบุรุษ เขาจึงต้องยืมเสื้อผ้าของลั่วเหมยมาสวมใส่ โชคดีที่ตัวของเขาผอมบางจึงใส่เสื้อผ้าของลั่วเหมยได้ ลั่วเหมยถึงกับหมดอาลัยตายอยาก
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ
เสียงน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง เซวียนซานหลางที่ได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที เมิื่อเห็นว่ามู่หลานเฟินตกน้ำลงไปพร้อมกับสวีเมิ่งเหยาเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่านางลอบยักคิ้วให้เขาหนึ่งครั้ง เซวียนซานหลางก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออกนี่นางกำลังจะทำอันใดกันเซวียนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาเซวียนซานหลาง"พี่ใหญ่ รีบช่วยหรานหร่านเร็วเข้า"ด้านฮ่องเต้เซวียนจงและเฉินฮองเฮาก็เริ่มร้อนใจแล้ว แม้แต่อวี้หลิงก็ยังนั่งไม่ติดที่สวีเมิ่งเหยาที่ถูกมู่หลานเฟินลากลงน้ำมาด้วยกันเริ่มมีโทสะขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างไม่พอใจ"นังสารเลว เจ้าคิดจะทำอันใด""เจ้าอยากกล่าวโทษข้า ว่าข้าผลักเจ้าตกน้ำไม่ใช่หรือ""เจ้ารู้ได้เช่นไร""เหอะ สวีเมิ่งเหยา เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดมากนักหรือ แผนการเช่นนี้ข้ามองปราดเดียวก็กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากเล่นข้าก็จะเล่นด้วย พวกเรามาเล่นกันเถอะ"เอ่ยจบนางก็คว้ามือของสวีเมิ่งเหยามากดหัวตนเองให้จมน้ำ พร้อมกับทำท่าทางจะเป็นจะตาย สวีเมิ่งเหยาเลิกลั่กแล้ว มู่หลานเฟินไม่เพียงดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน แต่นางยังใช้มืออีกข้างยื่นมาหยิกที่เอวของสวีเมิ่งเหยาอย่างแรง
เช้าวันต่อมา มู่หลานเฟินตื่นนอนแต่เช้า นางไปหาอวี้หลิงและเซวียนเจ๋อที่พักอยู่อีกเรือนหนึ่ง เพื่อร่วมกินมื้อเช้า เช้าวันนี้ฮ่องเต้เซวียนจงไม่ได้สั่งให้พวกนางไปร่วมมื้อเช้าด้วย มู่หลานเฟินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางก็ไม่อยากจะพบร่วมโต๊ะกับพวกเขาเท่าใดนักระยะนี้อวี้หลิงดูเหมือนจะมีท่าทางแปลกไป นอกจากจะไม่ก่อคลื่นลมใดแล้ว ในแววตายังดูเหมือนมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มู่หลานเฟินเองไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดและไม่ได้วางใจเช่นกัน การที่อวี้หลิงไม่ก่อคลื่นลมไม่ได้แปลว่าพวกนางจะวางใจได้หลังจากผ่านพ้นมื้อเช้าไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้เซวียนจงก็มีรีบสั่งให้เซวียนซานหลางไปสนทนาที่ตำหนักใหญ่ มู่หลานเฟินไม่ได้ตามไปด้วย นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กับเซวียนเจ๋ออากาศที่นี่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย มองไปทางใดก็เห็นเหล่ามวลผกาออกดอกล้อเล่นลม ป่าไผ่รอบข้างก็เขียวขจีสดชื่น แม้แต่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ยังงดงามราวกับภาพวาด เซวียนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างกายมู่หลานเฟิน พลันเอ่ยถามญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย"หรานหร่าน หากพี่ใหญ่แต่งงานกับสวีเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร เจ้าจะยอมแต่งเป็นภรรยาของเขาหร
หลายวันต่อมา มู่หลานเฟินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็ทำทีเป็นว่าทราบเรื่องที่วัดสือฉีเปิดให้หญิงสาวไปผูกดวงขอความรัก นางจึงเดินทางไปที่วัดแห่งนั้นและเขียนดวงชะตาของตนเองผูกเอาไว้เพราะเข้าสู่ช่วงกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแล้ว ฮ่องเต้เซวียนจงจึงมีรับสั่งว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนด้านนอกเมืองหลวง ที่นั่นบรรยากาศดีและเย็นสบายกว่าเมืองหลวง อีกทั้งยังตรัสว่าให้เหล่าขุนนางชั้นสูงติดตามไปด้วย เหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต้องติดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอันใด เพราะบ้านพักของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังฤดูร้อนอยู่แล้วแน่นอนว่าคนในจวนชินอ๋องย่อมต้องติดตามไปด้วยเพราะเป็นเครือญาติและเชื้อพระวงศ์ อวี้หลิงพระชายาเอกนั้นได้สั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมของให้พร้อมสรรพ ก่อนที่นางจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนเมื่อนั่งอยู่เพียงลำพังแล้ว อวี้หลิงก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เมื่อสองคืนก่อนนางได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายบอกว่า มีเบาะแสที่สามารถชี้ตัวคนร้ายที่สังหารน้องสาวและน้องเขยของนางได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งนั่นก็คือ นางจะต้องสังหารเซวียนซานหลางเสีย