เรื่องที่จะต้องไปสืบคดีตามคำสั่งของเสด็จลุงนั้นเซวียนซานหลางไม่ได้บอกเล่ารายละเอียดอะไรให้บิดาฟังมากนัก เซวียนชินอ๋องเองก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกนับวันยิ่งค่อนข้างห่างเหินเป็นอย่างมาก
ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะออกเดินทาง อย่างไรเสียตอนนี้เสิ่นเหวยอันหัวหน้าสำนักบูรพาก็ยังไม่กลับมาจากนอกเมือง ยอมต้องรอไปก่อน
ระหว่างนี้ดูเหมือนว่าจวนชินอ๋องจะเตรียมจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเซวียนชินอ๋องบิดาของเขา ทุกๆปีท่านพ่อมักจะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทั้งที่ไม่ได้ทำงานหาเงินแต่กลับใช้เงินมือเติบ จัดงานเลี้ยงเชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เขาเองคร้านจะสนใจ จึงไม่ได้เอ่ยทัดทานอันไร เพราะรู้นิสัยบิดาของตนดี
ช่วงนี้เหมือนว่าอวี้หลิงจะไม่ได้คิดก่อคลื่นลมอะไรให้เขาเลยแม้แต่น้อย ด้วยกำลังน้อยนิดและสมองทึมทื่อของนางย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว แต่เซวียนซานหลงก็ไม่เคยวางใจ ยังคงระแวดระวังตนเองเป็นอย่างดี
ในเมืองหลวงยามนี้ค่อนข้างคึกคักคึกครื้น เพราะวันนี้ในเมืองหลวงจัดงานเทศกาลหยวนเซียว ผู้คนออกจากบ้านไปชมโคมไฟและกินขนมมงคล ในจวนชินอ๋องอวี้หลิงก็สั่งให้สาวใช้ทำขนมบัวลอยแจกจ่ายให้คนในจวนกินเพื่อความโชคดี เดิมทีเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ปฏิบัติกันมาหลายปี แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแปลกไป
"ท่านพี่กินขนมบัวลอยเร็วเข้า จะได้โชคดีตลอดปี"
เซวียนซานหลางมองดูขนมบัวลอยในถ้วยที่เซวียนเจ๋อนำมามอบให้พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น แป้งบัวลอยถูกปั้นเป็นรูปเต่า รูปหมู รูปกบและรูปสัตว์อีกสารพัดชนิด อีกทั้งยังปั้นเป็นรูปดอกไม้ รูปผักอีกด้วย
"เจ้าเป็นคนปั้นพวกมันหรือ"
เขาเอ่ยถามน้องชายพลางตักขนมในถ้วยกินไปพลาง
"ที่ไหนกันเล่า นี่เป็นฝีมือของหรานหร่านเชียวนะ พี่ใหญ่ท่านดูสิ นางปั้นพวกมันออกมาได้น่ารักน่าชังมากเลย ข้าลองชิมแล้วแป้งไม่เหนียวเกินไป รสชาติก็หวานกำลังดี จะว่าไปหรานหร่านนางก็มีีฝีมือเหมือนกันนะเนี่ย เหตุใดข้าไม่เคยรู้เลย"
"แค่กแค่ก"
เซวียนซานหลางรู้สึกเหมือนขนมติดคอขึ้นมาทันที เขาไม่ชอบหน้ามู่หลานเฟินแต่กลับมากินขนมที่นางทำ ไม่รู้ว่านางจะแอบใส่สิ่งใดเข้าไปหรือไม่
"พี่ใหญ่ ขนมติดคอหรือ ข้าจะช่วยท่าน!"
ไม่รอช้าเซวียนเจ๋อรีบพุงเขาไปหาพี่ชาย ก่อนจะยกมือทุบกลางหลังเซวียนซานหลางเต็มแรง จนขนมบัวลอยหลุดกระเด็นออกมาจากปากของเขา
ให้ตายเถอะ เขาเชื่อสนิทใจแล้วว่ามู่หลานเฟินดวงไม่สมพงศ์กับเขาจริงๆ!
ด้านมู่หลานเฟินที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นดวงพิฆาตตอนนี้กำลังแต่งตัวเตรียมจะออกไปเดินเล่นในงานเทศกาลหยวนเซียว นางนัดกับเซวียนเจ๋อเอาไว้แล้วอย่างไรนางก็เพิ่งมาที่นี่ย่อมไม่รู้จักเส้นทาง ทางที่ดีให้เจ้าถิ่นพาเดินเที่ยวเล่นจะดีกว่า
เซวียนชินอ๋องนับว่าเป็นคนใจกว้างไม่เบาเลย เขามอบตั๋วเงินให้นางมากมาย บอกให้นางเที่ยวเล่นกับเซวียนเจ๋อได้ตามใจชอบ มู่หลานเฟินดีใจเผลอยิ้มออกมาจนดวงตายกโค้งจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว รออยู่ไม่นานเซวียนเจ๋อก็กลับมา ก่อนหน้านี้เขาเอาขนมไปให้เซวียนซานหลาง
"มาแล้วหรือ เร็วเข้า ข้าอยากไปเที่ยวแล้ว เอ๋?เหตุใดสิีหน้าท่านดูไม่สู้ดีเลยเล่า"
นางเอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย เซวียนเจ๋อหันมามองมู่หลานเฟิน ก่อนจะเอ่ย
"หรานหร่าน เมื่อครู่พี่ใหญ่สำลักขนมบัวลอยเกือบตาย ข้าสงสารพี่ใหญ่"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ลอบหัวเราะในใจ
สมน้ำหน้า ในที่สุดเขาก็มีวันที่ไม่สงบสุขเหมือนกันหรือนี่
มู่หลานเฟินคร้านจะสนใจว่าเซวียนซานหลางจะขนมติดคอหรือไม่ นางรีบดึงแขนเซวียนเจ๋อไปที่รถม้าและมุ่งหน้าไปที่งานเทศกาลโคมไฟทันที
เมื่อมาถึงก็พบว่างานเทศกาลหยวนเซียวค่อนข้าคึกคักเป็นอย่างมาก ชาติก่อนๆนางก็เคยเที่ยวชมงานเช่นนี้ เพียงแต่ไม่เคยเห็นงานเทศกาลหยวนเซียวที่จัดยิ่งใหญ่เช่นนี้เลยสักครั้ง บนท้องฟ้ามีโคมหลากสีที่ถูกปล่อยขึ้นมา อาบย้อมท้องนภาดำมืดให้กลายเป็นสีทองราวแดนสวรรค์ ช่างงดงามเกินคำบรรยาย ครั้งนี้นับว่านางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ภายในงานมีโคมไฟหลากหลายแบบ สวยงามเป็นอย่างมาก ผู้คนตางเดินเล่นและซื้อของกินติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนเฒ่าคนแก่ที่จวนของตน สตรีน้อยมากมายที่แต่งตัวงดงามออกมาเที่ยวเล่น อีกทั้งเหล่าบุรุษก็ยังถือโอกาศนี้มาแอบชื่นชมเหล่าสตรีน้อยในงานโคมไฟ หวังจะได้ผูกวาสนาด้ายแดงกับสตรีที่ตนหมายปอง
ภายในงานสายตาของสตรีน้อยเหล่านั้นที่มองมาทางมู่หลานเฟินออกจะไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก ความทรงจำของร่างเดิมบอกว่ามู่หลานเฟินคนเก่าเป็นคนหยิ่งยโส ใครมองหน้านางนิดหน่อยนางก็ตรงเขาไปตบตีไม่ละเว้น ทำให้ไม่มีคุณหนูตระกูลไหนอยากคบหาเป็นสหายกับนาง
ให้ตายเถอะ มู่หลานเฟินเจ้ามันตัวน่ารังเกียจขนานแท้เลย
ยิ่งดึกบรรยากาศภายในงานก็ยิ่งคึกคัก แต่ทว่าในขณะที่เทศกาลหยวนเซียวกำลังดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน กลับมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เมื่อมู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อหันไปมองก็พบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งที่ใช้ผ้าปิดหน้าปิดตาสวมชุดดำกำลังจับตัวสตรีน้อยนางหนึ่งเอาไว้และใช้มีดจ่อไปที่ลำคอของนาง ปลายมีดแหลมคมทิ่มแทงลำคอขาวเนียนของสตรีน้อยนางนั้นจนโลหิตไหลซึมเป็นทางยาว
"ฮือ ช่วยข้าด้วย"
"ให้ตายเถอะ จะฆ่ากันแล้ว!"
เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างวิ่งหนีจนหัวหด ภายในงานชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาในทันที มู่หลานเฟินมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะจ้องบุรุษชุดดำด้วยแววตาที่เย็นเยียบ
ท่าทางเช่นนี้เป็นนักฆ่าแน่นอน อีกทั้งยังฝีมือไม่ธรรมดาอีกด้วย!
เซวียนเจ๋อที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็มีท่าทางร้อนรนขึ้นมาทันที
"หรานหร่าน พวกเรารีบกลับกันเถอะ ภายในงานไม่ปลอดภัยแล้ว"
"ท่านรอข้าตรงนี้ แล้วก็อย่าส่งเสียง"
"หรานหร่าน เจ้าจะทำอะไร"
มู่หลานเฟินไม่ตอบ นางค่อยๆขยับกายไปด้านหลังนักฆ่าคนนั้น ก่อนจะคว้าหยิบก้อนหินขนาดเหมาะมือมขึ้นมาก้อนหนึ่ง และออกแรงดีดมันไปที่หลังต้นคอของนักฆ่าผู้นั้นอย่างรวดเร็ว แรกเริ่มนางไม่มั่นใจเท่าใดนักเพราะร่างนี้บอบบาง หลังจากทะลุมิติมานางก็พยายามฝึกฝนอย่างเงียบๆทุกครั้งที่มีโอกาศ ก็นับว่าไม่เสียเปล่า
แรงของก้อนหินไม่เบาเลย ทำเอานักฆ่าถึงกับสะดุ้งและเสียสมาธิ เดิมทีหินก้อนเดียวไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่ไม่รู้ว่ามีคนใจกล้าจากที่ไหนปาทรายใส่ดวงตาเขาอย่างจัง ทำให้เขาแสบตาและต้องปล่อยเหยื่อที่ถูกจับเป็นตัวประกันไปทันที
มู่หลานเฟินคว้าร่างของสตรีน้อยนางนั้นและออกแรงผลักนางเบาๆไปยังที่ปลอดภัย ก่อนที่นางจะตรงเข้าไปหาบุรุษผู้นั้นและยกเท้าถีบเข้าที่กลางอกของมันจนมันเสียการทรงตัวและล้มลง แต่ดูเหมือนมันจะมีฝีมือไม่น้อยเลย เพียงไม่นานก็กลับมาตั้งหลักได้ และพุ่งเข้าใส่มู่หลานเฟินอย่างรวดเร็ว
มู่หลานเฟินระแวดระวังตนเองเป็นอย่างดี แค่มองเพียงปราดเดียวนางก็มองออกว่าวรยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามสูงส่งเป็นอย่างมาก แต่วรยุทธ์ที่นางเรียนรู้มาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
หญิงสาวคว้าด้ามไม้ไผ่ขนาดเหมาะมือมาถือเอาไว้ อาศัยจังหวะนี้หลอกล่อศัตรูและใช้ไม้ไผ่ฟาดไปตามลำตัวของฝ่ายตรงข้าม นางลงมือรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่นานนักนักฆ่าตรงหน้าก็เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ แต่มันกลับต้านรับได้ทันและชักดาบออกมาฟันไม้ไผ่ในมือนางจนขาดครึ่ง ก่อนจะหันปลายดาบเข้าหาตัวนางหมายจะสังหารให้ตายในดาบเดียว มู่หลานเฟินเบี่ยงกายหลบ ก่อนจะยกฝ่ามือฟาดเข้าที่กลางหลังของมันเต็มแรง
นักฆ่าซวนเซเพราะบาดเจ็บจากการถูกตีอย่างไม่ยั้งมือจึงคิดจะหนี มาคิดเลยว่าสตรีร่างบางนางนี้จะลงมือรวดเร็วและอำมหิตเช่นนี้
แต่มู่หลานเฟินกลับไม่ยอมปล่อยโอกาศให้มันหนีรอดไปได้ นางรีบเตะเท้าของมันจนล้มลง ก่อนจะยกเท้าเหยียบกลางหลังมันเอาไว้ไม่ให้หลบหนีไปได้
"ก่อเรื่องแล้วคิดจะหนีหรือ บัดซบจริงๆพี่ชาย"
นักฆ่าสบถออกมาอย่างหัวเสีย สตรีน้อยนางนี้เป็นใครกันร่างกายก็ดูบอบบางทว่าลงมือแต่ละครั้งไม่ออมแรงสักนิด
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับมองหน้ากันไปมา พวกเขารู้จักสตรีนางนี้ดี นางคือมู่หลานเฟิน หลานสาวคนงามของพระชายาเอกจวนชินอ๋อง ชื่อเสียงฉาวโฉ่ ตบตีคนไม่ไว้หน้า แต่เหตุใดคืนนี้นางจึงดูโดดเด่นเช่นนี้เล่า
ด้านเซวียนซานหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในจวน เมื่อได้ทราบข่าวจากองค์รักษ์ลับว่ามีนักโทษกบฏลอบหลบหนีออกมาคุกหลวงซ้ำยังก่อเรื่องในเทศกาลหยวนเซียว เขาจึงรีบออกจากจวนมาจัดการทันที แต่ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบเรื่องที่เหนือความคาดหมายเข้าให้
ตอนนี้มู่หลานเฟินกำลังยืนใช้เท้าเหยียบกลางหลังนักโทษ เมื่อสอบถามคนที่เห็นเหตุการณ์ก็ได้ทราบว่านางเป็นคนที่จัดการกับนักโทษเองกับมือ
นี่มันเรื่องอันใดกัน!
"หลีกทางหน่อย ใต้เท้าเสิ่นมาแล้ว!"
เสียงเกือกเท้าม้าดังใกล้เข้ามา เหล่าชาวบ้านต่างแหวกทางให้ผู้มาใหม่ มู่หลานเฟินที่กำลังจับตัวนักฆ่ากดลงบนพื้นรีบหันไปมอง ก่อนจะพบกับบุรุษผู้มาใหม่
ชายหนุ่มกระโดดลงมาจากหลังม้า ก่อนจะมองนางสลับกับมองนักโทษคนนั้นที่นอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง แววตาของชายหนุ่มเจือความสงสัยชั่ววูบหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหานาง
"แม่นาง ส่งคนให้ข้าได้หรือไม่ เขาคือนักโทษกบฏจากต่างแคว้น มีความผิดติดตัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้ทางการจะจัดการเอง"
"อ้อ ได้สิ"
เมื่อได้ยินอย่างนั้นมู่หลานเฟินก็พยักหน้า ก่อนจะเอาเท้าออกจากกลางหลังนักโทษ ในขณะที่นางเพิ่งจะขยับตัวได้ไม่นาน นักโทษคนนั้นก็ถือโอกาศชักมีดสั้นที่แอบซ่อนไว้ออกมา หมายจะสังหารนาง แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็มีมีดสั้นอีกเล่มพุ่งเข้าไปปักที่ข้อมือของมันเสียก่อน
มู่หลานเฟินรีบหันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นเซวียนซานหลางนั่นเอง
มู่หลานเฟินรู้สึกว่าตัวของนางคล้ายจะหดลงไปไม่น้อยยามที่ได้เจอกับเซวียนซานหลาง คนผู้นี้ไอสังหารดุดันเกินไป นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกทั้งสายตาที่เขาใช้มองนางตอนนี้ก็มีทั้งความเย็นชาและสงสัยอยู่เต็มไปหมด
"คารวะซื่อจื่อ ขอบคุณมากที่มาช่วยอีกแรง"
ชายหนุ่มผู้มาใหม่เอ่ยจบก็ยกมือขึ้นสั่งให้คนมาลากตัวนักโทษผู้นี้กลับไปไต่สวนต่อ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับมู่หลานเฟิน
"แม่นางท่านนี้ ข้าได้ยินว่าท่านเป็นคนช่วยจับคนร้าย เหล่าชาวบ้านพูดกันเซ็งแซ่ว่าเจ้ามีความสามารถ ไม่ทราบว่าเจ้ามีชื่อแซ่ว่าอันใดกัน เป็นบุตรสาวจากตระกูลไหน ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทเพื่อตกรางวัลให้เจ้า"
"เอ่อ.."
"นางเป็นคนของจวนชินอ๋อง ไม่รบกวนให้ใต้เท้าเสิ่นออกหน้าแทนหรอก"
มู่หลานเฟินยังไม่ทันเอ่ยตอบ เซวียนซานหลางก็เป็นฝ่ายพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน มู่หลานเฟินรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างบุรุษสองคนนี้มันแปลกประหลาดไม่น้อยเลย
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ยกยิ้มมุมปาก เขาทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เซวียนซานหลางพูด แต่กลับหันมาเอ่ยกับมู่หลานเฟินแทน
"แม่นาง ข้าทีนามว่าเสิ่นเหวยอัน เป็นหัวหน้าศาลต้าหลี่ ข้ามาเพื่อจับคนร้ายกลับไปไต่สวน วันนี้โชคดีได้แม่นางยื่นมือช่วยเหลือจึงจับคนร้ายได้สำเร็จ ไว้วันหน้าพบกันข้าจะถามชื่อเจ้าอีกครั้ง วันนี้ขอตัวก่อน"
เสิ่นเหวยอันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างสุภาพ เดิมทีเขาปกปิดหน้าที่ของตนเอง การทำภารกิจลับให้ฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยตัวตนได้โดยพละการ หลายปีมานี้ไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตาหัวหน้าสำนักบูรพา เหล่าขุนนางต่างบอกว่าหัวหน้าสำนักบูรพาเป็นคนลึกลับไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด อีกทั้งยามเข้าเฝ้าหน้าท้องพระโรงยังชอบสวมหน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าอีกด้วย
ที่เขาต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและทำให้การปฏิบัติงานแต่ละครั้งราบรื่นไร้อุปสรรค จึงต้องปลอมตนแฝงตัวอยู่ในศาลต้าหลี่ คอยจับตาดูพวกขุนนางชั่วทั้งหลายที่คิดจะโกงกินบ้านเมือง เป็นหูเป็นตาแทนฮ่องเต้
"หรานหร่าน ข้าตกใจแทบตาย เจ้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ไม่อย่างนั้นท่านแม่ได้ตีข้าขาหักแน่"
เสิ่นเหวยอันที่กำลังจะหันหลังเดินจากไป พลันชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มเขายกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ
หน้างาม นามไพเราะ
หรานหร่านหรือ
เป็นชื่อที่ดียิ่ง
เมื่อทุกอย่างคลี่คลายผู้คนต่างแยกย้าย มู่หลานเฟินหันไปมองเซวียนซานหลาง ก็พบว่าตอนนี้เขากำลังจ้องนางเขม็ง ก่อนจะเดินเข้ามาหานาง
"เหตุใดข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้ามีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้ คนที่เจ้าจัดการจนหมอบราบคาบเป็นถึงนักฆ่าฝีมือดีอันนับหนึ่งของต่างแคว้นที่ลอบเข้ามาสังหารเชื้อพระวงศ์ ถูกทหารของแคว้นเราจับตัวมาไต่สวนเมื่อไม่นานมานี้ ทหารในคุกหลวงยังต้านเขาไม่อยู่ แต่เจ้ากลับทำได้ มู่หลานเฟิน เจ้าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อยเลย?"
มู่หลานเฟินลอบกลืนน้ำลายลงคอ มารดามันเถอะ! ไม่ใช่เขาคิดไปไกลว่านางเป็นนักฆ่าที่จะสังหารเขาหรอกกระมัง
ไม่น่าเลย ไม่น่าเปิดเผยฝีมือเลย!
มู่หลานเฟินยังไม่ทันได้เอ่ยตอบก็ได้ยินเสียงของสตรีน้อยนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"มู่หลานเฟิน ข้าขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือข้า"
มู่หลานเฟินหันไปมอง ก่อนจะพบกับสตรีใบหน้างดงามนางหนึ่ง เป็นหญิงสาวที่นางช่วยเหลือเอาไว้ก่อหน้านี้ คราแรกยังเห็นหน้านางไม่ชัด ตอนนี้เมื่อได้เห็นในระยะใกล้ อยู่ๆความทรงจำของร่างเดิมก็ปรากฏภาพของสตรนางนี้ในหัวของมู่หลานเฟิน
นางมีนามว่าสวีเมิ่งเหยา เป็นบุตรสาวของท่านราชครู และเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษในเมืองหลวง เป็นสตรีที่งดงามและมีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง และที่สำคัญนางหมายปองเซวียนซานหลาง อีกทั้งยังใช้ความอารมณ์ร้ายของมู่หลานเฟินจนเกิดประโยชน์ หลอกล่อให้มู่หลานเฟินทำไม่ดีต่อหน้าเซวียนซานหลาง ให้เขาไม่ชอบหน้านางหนักเข้าไปอีก
อ้อ ที่แท้ก็ศัตรูหัวใจของนางหรือนี่!
ถุย!ศัตรูหัวใจเจ้าของร่างเดิมสิไม่ใช่ของนางเสียหน่อย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมู่หลานก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ย
"ไม่เป็นอันใด ช่วยคนนับว่าได้บุญ"
"ขอบคุณเจ้ามาก เอ่อ ซื่อจื่อ โอ๊ย"
อยู่ๆสวีเมิ่งเหยาก็ซวนเซล้มลงไปในอ้อมแขนของเซวียนซานหลาง มู่หลานเฟินที่เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับย่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย
อันใดกัน เมื่อครู่ตอนเดินมายังดีดีอยู่เลย พอเห็นผู้ชายหล่อเข้าหน่อยขาของสวีเมิ่งเหยาก็อ่อนแรงขึ้นมาทันที ให้ตายเถอะ
สวีเมิ่งเหยาแกล้งทำเป็นเซไปซบอกเซวียนซานหลาง ก่อนจะเงยหน้ามาส่งยิ้มเยาะหยันให้กับมู่หลานเฟิน มู่หลานเฟินที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา
แม่นางคนนี้ร้ายกาจจริงๆ ข้าไม่น่าช่วยนางเลย น่าจะให้นางโดนปาดคอตายไปเสีย!
หากมู่หลานเฟินคนเก่ายังอยู่ป่านนี้คงได้ตบกับสนั่นหวั่นไหวไปนานแล้ว แต่ประทานโทษนะ นางไม่ใช่มู่หลานเฟินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เซวียนเจ๋อที่เห็นอย่างนั้นก็หันขวับมามองญาติผู้น้องของตน ก่อนจะยื่นมือมาดึงแขนของมู่หลานเฟินเอาไว้
"หรานหร่าน เจ้าห้ามตบตีคนนะ!"
ไม่เพียงเซวียนเจ๋อเท่านั้น เซวียนซานหลางเองก็จ้องมู่หลานเฟินเขม็ง เพราะเกรงว่ามู่หลานเฟินจะเกิดคลุ้มคลั่งจนตบตีคนขึ้นมาอีก ชายหนุ่มคิดจะผลักสวีเมิ่งเหยาออก แต่นางกลับกอดแขนเขาแน่น จนชายหนุ่มเริ่มโมโห
มู่หลานเฟินส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเซวียนเจ๋อ
"ข้าไม่มีเวลาว่างมาตบตีคนหรอก กลับกันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว"
เอ่ยจบนางก็เดินตรงไปที่รถม้า เซวียนเจ๋อดีใจที่มู่หลานเฟินไม่ก่อเรื่อง เซวียนซานหลางเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน
ด้านสวีเมิ่งเหยาก็งงเป็นไก่ตาแตกที่วันนี้มู่หลานเฟินไม่ลงมือตบตีตน
มู่หลานเฟินเดินมาถึงรถม้า นางรู้สึกไม่คอยสบายตัวเท่าใดนัก แม้ร่างนี้จะแข็งแรง แต่กลับไม่ได้มีทักษะในการฝึกยุทธ์เท่าใดนัก แม้นางจะแอบฝึกอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง นางรับรู้ได้ในทันทีว่าลมปราณภายในกำลังเสียหาย
ด้านเซวียนซานหลางที่สลัดสวีเมิ่งเหยาได้แล้วก็รีบเดินตามคนทั้งสองมาที่รถม้าทันที เมื่อมาถึงเขาก็ยื่นมือมาคว้าแขนของมู่หลานเฟินเอาไว้
"เจ้ากับข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกัน"
"อั๊ก!"
ไม่ทันที่มู่หลานเฟินจะเอ่ยตอบ นางก็กระอักโลหิตออกมาคำโต ก่อนจะหมดสติไป เซวียนซานหลางรีบประคองนางเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
ดูเหมือนว่าภายในจะได้รับความกระทบกระเทือนไม่น้อยเลย
แทนที่จะได้ไต่สวนนาง กลับกลายเป็นว่าเขาต้องพานางกลับจวนและให้เซวียนเจ๋อเร่งตามหมอมารักษานางแทน
กลางดึกคืนนั้นจวนชินอ๋องค่อนข้างวุ่นวายเป็นอย่างมาก เพราะมู่หลานเฟินได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ท่านหมอที่ทำการรักษาได้ฝังเข็มและตรวจอาการของนางอย่างละเอียด อีกทั้งยังบอกอีกว่าเพราะร่างกายของนางบอบบาง แต่กลับฝืนใช้วรยุทธ์ทั้งที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ทำให้ได้รับผลกระทบลมปราณภายในแปรปรวน จึงกระอักโลหิตออกมา นับว่าโชคดีที่เป็นเช่นนี้ หากมู่หลานเฟินไม่กระอักโลหิตออกมา อาจจะทำให้ภายในเสียหาย และอาจล้มป่วยจนถึงแก่ชีวิตได้หลังจากจัดเทียบยาเรียบร้อย ท่านหมอก็จากไป อวี้หลิงที่ได้ทราบเรื่องจากปากของเซวียนเจ๋อก็ถึงกับร้อนใจ มู่หลานเฟินหลานสาวตัวดีของนางไม่เห็นเคยบอกนางเลยว่ามีวรยุทธ์ หากรู้แต่แรกนางจะได้ไม่ต้องเสียเวลาให้มู่หลานเฟินยั่วยวนเซวียนซานหลาง แต่ให้ลงมือฆ่าเขาเสียเลย!ด้านเซวียนซานหลางนั้น ตอนที่เห็นว่ามู่หลานเฟินจัดการนักฆ่า เขาก็มีความสงสัยอยู่ภายในใจเต็มไปหมด แม้จะรู้จักนางได้ไม่นาน แต่ภูมิหลังและความเป็นไปของนางเขาล้วนสืบมาอย่างละเอียด นางเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลคหบดี วันๆเอาแต่แต่งหน้าทาปากยั่วยวนบุรุษ แต่งตัวงดงามเดินเตร็ดเตร่เพียงเท่านั้นแต่ที่เขาเห็นนั้นฝีมือของนางไม่ธรรมดาเลย คล้ายกับ
ผ่านมาร่วมหลายวัน ที่จวนชินอ๋องก็มีงานใหญ่ นั่นก็คืองานวันเกิดของเซวียนชินอ๋อง เหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่า เซวียนชินอ๋องผู้นี้ แม้จะดูเหมือนไม่เอาอันใด ทำสิ่งใดก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ซ้ำร้ายยังถูกพี่ชายที่เป็นฮ่องเต้ก่นด่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างไรก็ไม่อาจจะล่วงเกินเขาได้ เพราะเซวียนซานหลางบุตรชายของเขานั้นมีอำนาจทหารอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีความดีความชอบนานับประการ พูดได้ว่าหากจวนชินอ๋องไม่มีเซวียนซานหลางที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ค่อยหยัดรากลงดินค้ำจุนเอาไว้ ป่านนี้เซวียนชินอ๋องอ๋องก็ไม่นับเป็นตัวอะไร อีกทั้งเซวียนซานหลางผู้นั้นยังเป็นหลานสุดที่รักของฝ่าบาท ทางที่ดีอย่าไปล่วงเกินพวกเขาจะดีที่สุดก็เพราะเป็นเช่นนี้ในงานเลี้ยงวันเกิดทุกปีของเซวียนชินอ๋องเหล่าขุนนางจึงนำของขวัญชั้นดีมามอบให้เซวียนชินอ๋องอยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบหน้าเขามากเพียงใดก็ตามแขนเสื้อยาวย่อมร่ายรำได้งดงาม คนเราแม้จะไม่เป็นที่รักใคร่แต่ขอเพียงมีเงินมีอำนาจย่อมทำสิ่งใดได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือเซวียนชินอ๋องคนหน้าหนาไม่ได้รู้สึกอันใดทั้งสิ้น เขาคิดเพียงว่า เซวียนซานหลางมีหน้าที่กตัญญูต่อเขาที่เป็นบิดา การทำให้เขามีห
ภายในงานเลี้ยงผู้คนต่างกินดื่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังร่วมกันอวยพรให้เซวียนชินอ๋องอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เซวียนชินอ๋องรู้สึกมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก มู่หลานเฟินที่สลัดเซวียนซานหลางออกมาได้แล้วก็กลับมาหาเซวียนเจ๋อ นางไม่มีสหายเป็นสตรีสักคน ทำได้เพียงตัวติดกันอยู่กับเซวียนเจ๋อญาติผู้พี่สองคน ต่างคนต่างรินสุราให้กัน เซวียนเจ๋อนั้นคออ่อน ดื่มไปเพียงไม่กี่จอกก็เมาเสียแล้ว นางจึงสั่งให้คนพาเขากลับไปพักที่เรือนนอนเสีย ส่วนตนก็นั่งมองสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่ทะเลาะกันครั้งนั้นอวี้หลิงป้ามหาภัยก็ไม่บังคับอะไรนางอีก แม้จะด่าทอนางและเซวียนเจ๋ออยู่บ้าง แต่ดูเหมือนจะลารามือไปบ้างแล้ว"เจ้าดูสิ คนเราน่ะ ไม่มีสหายคบหาก็เป็นเช่นนี้ละ ต้องนั่งโดดเดี่ยว เล่นกับก้อนหินใบหญ้า ช่างน่าสงสารยิ่งนัก"อยู่ๆก็มีเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมา มู่หลานเฟินเงยหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นเหล่าสตรีน้อยที่มาร่วมงาน หนึ่งในนั้นมีสวีเมิ่งเหยารวมอยู่ด้วยสวีเมิ่งเหยายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้าจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ไปทำไมกัน นางน่ะน่าเห็นใจออก นอกจากจะไม่มีคนคบหาแล้ว ฐานะยังต่ำต้อย ตระกูลคหบดีน่ะเทียบไม่ได้
งานเลี้ยงก็จบลงเช่นนี้ เซวียนชินอ๋องดื่มจนเมามายไม่ได้สติ อวี้หลิงก็ออกคำสั่งให้บ่าวไพร่ในจวนเก็บกวาดลานเรือนให้เรียบร้อย ส่วนมู่หลานเฟินก็เดินกลับเรือน ระหว่างทางนางเดินผ่านสระบัว หญิงสาวหยุดมองดูมันพลางครุ่นคิด นี่คือสระบัวที่มู่หลานเฟินคนก่อนตกลงไปและถึงแก่ชีวิตจนจากโลกนี้ไปแล้วนางก็ได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทนมู่หลานเฟินมองเงาของตนที่สะท้อนบนผิวน้ำ แสงจันทร์ยามค่ำคืนทำให้นางมองเห็นภาพสะท้อนของตนเองบนผิวน้ำได้อย่างชัดเจน ใบหน้านี้งดงามอ่อนเยาว์ นางเหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปในโลกอนาคตที่ตนเองจากมาอีกครั้งไม่รู้ว่าผ่านมากี่ครั้งแล้วที่นางทะลุมิติไปเป็นคนนั้นทีคนนี้ที เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นบุรุษบ้างนับว่าครั้งนี้ได้เป็นตัวเองเสียที แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้ได้อีกนานเท่าใดนัก เพราะจากหลายๆเหตุการณ์ในชาติก่อนๆ นางนั้นมีอายุไม่ยืนยาวสักเท่าใดนักหญิงสาวถอนหายใจออกมา ยังไม่ทันจะเดินกลับเรือนก็ได้ยินเสียงของป้ามหาภัยเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"หลานสาวตัวดี เจ้ายังมีอารมณ์มายืนชมนกชมไม้ ชมสระบัวอยู่อีกหรือ"มู่หลานเฟินกลอกตาไปมา ก่อนจะหันมามองอวี้หลิงอย่างเอือมระอา"ข้าจะไปนอนแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วเซวียนซานหลางก็จำต้องให้มู่หลานเฟินติดตามไปด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เรื่องการสืบคดีนับว่าเป็นงานราชการลับที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ เพราะอย่างนี้เซวียนซานหลางจึงไม่ได้บอกกับผู้ใดแม้กระทั่งบิดาของตน อีกทั้งยังกำชับมู่หลานเฟินอีกด้วยว่าห้ามนางปากเปราะ หลายวันมานี้มู่หลานเฟินแทบจะกระดิกตัวทำสิ่งใดไม่ได้ เพราะมีคนของเขาจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลาหลายวันต่อมา เซวียนซานหลางบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าเขามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการที่นอกเมืองหลวง อีกทั้งจะออกครั้งนี้เดินทางไปนานเสียหน่อยไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด และยังต้องการให้สาวใช้ติดตามไปคอยรับใช้สักคนสองคนเพื่อดูแลเรื่องความเป็นอยู่ หากจะไปหาซื้อสาวใช้ที่นอกเมืองหลวงเกรงว่าจะทำงานไม่ได้เรื่องเท่าสาวใช้ที่ได้รับการฝึกฝนในจวนใหญ่ อวี้หลิงเมื่อได้ทราบเรื่องก็รีบไปบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าอยากให้มู่หลานเฟินติดตามไปคอยดูแลเซวียนซานหลางด้วย เซวียนชินอ๋องเองก็ตกปากรับคำ อย่างไรเขาก็อยากให้บุตรชายแต่งงานกับมู่หลานเฟินอยู่แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงไปบอกเรื่องนี้กับบุตรชายทันทีเซวียนซานหลางเมื่อได้ฟังก็แสร้งทำทีเป็นคัดค้านเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า
คนทั้งหมดเดินทางเข้ามาเมืองถงหวางอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่จะเดินทางมา เซวียนซานหลางได้ให้องค์รักษ์ของตนมาสำรวจลู่ทางของที่นี่เรียบร้อยแล้ว อาต่งองค์รักษ์ของเขาได้ซื้อบ้านเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตลาด เป็นร้านของอดีตเถ้าแก่ร้านขายอาหาร แต่เพราะในเมืองถงหวางเกิดเรื่องมากมาย เถ้าแก้ร้านจึงย้ายออกไปอยู่เมืองอื่นพร้อมกับบุตรสาวของตนบ้านหลังนี้ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปพอให้พักกันได้สบายๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เซวียนซานหลางจึงให้มู่หลานเฟินพักอยู่ในห้องเดียวกัน และยังตั้งกฎกับนางว่าห้ามล้ำเส้นเขา ไม่อย่างนั้นดาบในมือของเขาอาจจะพลาดพลั้งบั่นคอนางขาดได้ มู่หลานเฟินลอบเบ้ปาก เขาจะหลงตนเองเกินไปแล้วกระมัง นางมีหรือจะอยากเข้าใกล้เขาขนาดนั้น แค่หายใจร่วมกันยังแทบจะหายใจไม่ออก นี่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกันอีก ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะไขคดีจบสิ้น นางอึดอัดจะตายอยู่แล้วด้านเซวียนเจ๋อนั้นก็พักอยู่อีกห้องหนึ่งใกล้ๆกับลั่วเหมย เพราะเซวียนซานหลางสั่งห้ามไม่ให้เขาแต่งเป็นบุรุษ เขาจึงต้องยืมเสื้อผ้าของลั่วเหมยมาสวมใส่ โชคดีที่ตัวของเขาผอมบางจึงใส่เสื้อผ้าของลั่วเหมยได้ ลั่วเหมยถึงกับหมดอาลัยตายอยาก
เซวียนซานหลางเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาเองไม่ได้กลิ่นอันใด แต่เสียงที่มู่หลานเฟินบอกนั้นตลอดหลายคืนมานี้เขาจะพอจะได้ยินอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เขาไปสอบถามเสิ่นเหวยอันก็ได้ความว่าเสิ่นเหวยอันก็ได้ยินเช่นเดียวกันการเดินทางเข้าเมืองถงหวางครั้งนี้เขาไม่ได้แจ้งต่อท่านเจ้าเมือง เพราะต้องการสืบคดีให้แน่ชัด การที่มีคนนอกล่วงรู้เรื่องนี้มากเกินไปอาจไม่ส่งผลดีต่อรูปคดีที่สำคัญตัวตนของเขาพวกเขาได้ถูกปิดบังอย่างชัดเจนแล้ว ก่อนเข้าเมืองก็ได้จัดการเอกสารหลักฐานที่ใช้เข้าเมืองได้อย่างแนบเนียนไม่มีพิรุธ"คืนนี้ข้าจะไปตรวจดูรอบๆเมือง เจ้าอยู่ในบ้านปิดหน้าต่างและประตูให้ดี""ข้าไปด้วยสิ"มู่หลานเฟินรีบอ้อนวอนเซวียนซานหลาง แต่ชายหนุ่มกลับมองนางเหมือนมองตัวปัญหา"อย่าเป็นตัวถ่วงข้า""ตัวถ่วงอันใดกันเล่า ท่านลืมไปแล้วหรือว่าจมูกดีมาก หูข้ารึก็ดีกว่าท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ท่านและพี่เสิ่นตามเบาะแสของคนร้ายได้ ข้ารับรองว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านแน่นอน ไม่ต้องกังวล""ไม่...""ที่น้องหรานหร่านเอ่ยมาก็นับว่ามีเหตุมีผล ซื่อจื่อ ท่านก็อย่าเอาแต่ใจนักเลย"เสียงที่คุ้นเคยทำให้เซวียนซานหลางถึงกับหัวเสีย เป
ข่าวการตายของสตรีนางนั้นรวมไปถึงหญิงสาวต่างหมู่บ้านอีกหลายคนเริ่มลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น สตรีทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านล้วนหวาดกลัว ไม่แต่งงาน แม้แต่เหล่าบุรุษก็ยังไม่กล้าสู่ขอสตรีอันเป็นที่รักของตนแต่งงานด้วย เพราะเกรงว่าพวกนางจะถูกวิญญาณร้ายมาเอาตัวไป ชาวบ้านต่างปักใจเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวนางนั้น แต่มู่หลานเฟินกลับไม่คิดเช่นนั้น จากร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย นางมั่นใจเต็มร้อยว่ามันเป็นการฆาตรกรรมอำพรางฆาตรกรลงมืออำมหิตเป็นอย่างมาก ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกินสิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นก็คือพวกนางไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้คนที่เดินวนไปเวียนมาอยู่รอบกายของนางใครกันแน่คือฆาตรกรตัวจริงเช้าวันนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เซวียนซานหลางและเสิ่นเหวยอันยังคงไปสืบหาเบาะแสของคดีอย่างเช่นที่เคยทำ ส่วนมู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อก็อยู่ที่ร้านเพื่อรอฟังข่าวคราว เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยที่ได้รับรู้เรื่องราวน่าหวาดหวั่นก็ไม่กล้าทำตัววุ่นวายเท่าใดนัก"หรานหร่าน เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของวิญญาณผีสาวตนนั้นหรือไม่"เซวียนเจ๋อเอ่ยถามนางในขณะที่มือก็แกะเมล็ดถั่วกินไปด้
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ
เสียงน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง เซวียนซานหลางที่ได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันที เมิื่อเห็นว่ามู่หลานเฟินตกน้ำลงไปพร้อมกับสวีเมิ่งเหยาเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่านางลอบยักคิ้วให้เขาหนึ่งครั้ง เซวียนซานหลางก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออกนี่นางกำลังจะทำอันใดกันเซวียนเจ๋อที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบร้อนวิ่งมาหาเซวียนซานหลาง"พี่ใหญ่ รีบช่วยหรานหร่านเร็วเข้า"ด้านฮ่องเต้เซวียนจงและเฉินฮองเฮาก็เริ่มร้อนใจแล้ว แม้แต่อวี้หลิงก็ยังนั่งไม่ติดที่สวีเมิ่งเหยาที่ถูกมู่หลานเฟินลากลงน้ำมาด้วยกันเริ่มมีโทสะขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยกับมู่หลานเฟินอย่างไม่พอใจ"นังสารเลว เจ้าคิดจะทำอันใด""เจ้าอยากกล่าวโทษข้า ว่าข้าผลักเจ้าตกน้ำไม่ใช่หรือ""เจ้ารู้ได้เช่นไร""เหอะ สวีเมิ่งเหยา เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดมากนักหรือ แผนการเช่นนี้ข้ามองปราดเดียวก็กระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากเล่นข้าก็จะเล่นด้วย พวกเรามาเล่นกันเถอะ"เอ่ยจบนางก็คว้ามือของสวีเมิ่งเหยามากดหัวตนเองให้จมน้ำ พร้อมกับทำท่าทางจะเป็นจะตาย สวีเมิ่งเหยาเลิกลั่กแล้ว มู่หลานเฟินไม่เพียงดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน แต่นางยังใช้มืออีกข้างยื่นมาหยิกที่เอวของสวีเมิ่งเหยาอย่างแรง
เช้าวันต่อมา มู่หลานเฟินตื่นนอนแต่เช้า นางไปหาอวี้หลิงและเซวียนเจ๋อที่พักอยู่อีกเรือนหนึ่ง เพื่อร่วมกินมื้อเช้า เช้าวันนี้ฮ่องเต้เซวียนจงไม่ได้สั่งให้พวกนางไปร่วมมื้อเช้าด้วย มู่หลานเฟินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะนางก็ไม่อยากจะพบร่วมโต๊ะกับพวกเขาเท่าใดนักระยะนี้อวี้หลิงดูเหมือนจะมีท่าทางแปลกไป นอกจากจะไม่ก่อคลื่นลมใดแล้ว ในแววตายังดูเหมือนมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา มู่หลานเฟินเองไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดและไม่ได้วางใจเช่นกัน การที่อวี้หลิงไม่ก่อคลื่นลมไม่ได้แปลว่าพวกนางจะวางใจได้หลังจากผ่านพ้นมื้อเช้าไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้เซวียนจงก็มีรีบสั่งให้เซวียนซานหลางไปสนทนาที่ตำหนักใหญ่ มู่หลานเฟินไม่ได้ตามไปด้วย นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กับเซวียนเจ๋ออากาศที่นี่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย มองไปทางใดก็เห็นเหล่ามวลผกาออกดอกล้อเล่นลม ป่าไผ่รอบข้างก็เขียวขจีสดชื่น แม้แต่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ยังงดงามราวกับภาพวาด เซวียนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างกายมู่หลานเฟิน พลันเอ่ยถามญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย"หรานหร่าน หากพี่ใหญ่แต่งงานกับสวีเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร เจ้าจะยอมแต่งเป็นภรรยาของเขาหร
หลายวันต่อมา มู่หลานเฟินที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็ทำทีเป็นว่าทราบเรื่องที่วัดสือฉีเปิดให้หญิงสาวไปผูกดวงขอความรัก นางจึงเดินทางไปที่วัดแห่งนั้นและเขียนดวงชะตาของตนเองผูกเอาไว้เพราะเข้าสู่ช่วงกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแล้ว ฮ่องเต้เซวียนจงจึงมีรับสั่งว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนด้านนอกเมืองหลวง ที่นั่นบรรยากาศดีและเย็นสบายกว่าเมืองหลวง อีกทั้งยังตรัสว่าให้เหล่าขุนนางชั้นสูงติดตามไปด้วย เหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต้องติดตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอันใด เพราะบ้านพักของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้ๆกับพระราชวังฤดูร้อนอยู่แล้วแน่นอนว่าคนในจวนชินอ๋องย่อมต้องติดตามไปด้วยเพราะเป็นเครือญาติและเชื้อพระวงศ์ อวี้หลิงพระชายาเอกนั้นได้สั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมของให้พร้อมสรรพ ก่อนที่นางจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตนเองเพื่อพักผ่อนเมื่อนั่งอยู่เพียงลำพังแล้ว อวี้หลิงก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เมื่อสองคืนก่อนนางได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายบอกว่า มีเบาะแสที่สามารถชี้ตัวคนร้ายที่สังหารน้องสาวและน้องเขยของนางได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งนั่นก็คือ นางจะต้องสังหารเซวียนซานหลางเสีย