“นายครับคุณธนามารอแล้วครับ” ในขณะที่ฉันกำลังเกร็งจนฉี่จะลาดอยู่นั้น เสียงของใครสักคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ เขารีบวิ่งมาหาคุณคานส์ราวกับมีธุระด่วน
พระเจ้าช่วยฉันแล้ว!! “ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบสับขาเดินฉับๆ ไม่สนใจเลยว่าจะถูกสายตาของคุณคานส์มองแบบไหน ตอนนี้ขอเพียงแค่ได้เดินออกมาไกลจากเขา เมื่อเดินเข้ามาในลิฟต์ได้แล้วฉันก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เหตุการณ์เมื่อครู่มันยิ่งตอกย้ำว่าฉันควรจะลาออก เมื่อเดินมาถึงที่โต๊ะทำงานฉันวางของไว้แล้วรีบไปเขียนใบลาออกไปยื่น เสร็จแล้วก็กลับมาเก็บของที่โต๊ะ “อลิชเก็บของทำไม” โมเมเธอคืิเพื่อนในบริษัทที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ กับฉัน เธอเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่เก็บของ “ฉันลาออกแล้วน่ะ” ฉันตอบก่อนจะยิ้มแห้งแล้วก้มหน้าเก็บของต่อ “ห๊ะ! เธอลาออกทำไม มีปัญหาอะไรหรือเปล่าอลิช” “ปะ เปล่าๆ ฉันแค่อยากกลับไปทำงานใกล้บ้านมากกว่า จะได้ดูแลพ่อด้วย” “แบบนี้ฉันจะคุยกับใครล่ะ เธอไม่ลาออกไม่ได้หรอ” โมเมเธอทำหน้าเศร้า เพราะปกติตอนอยู่ที่บริษัทเรามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยที่สุด ถึงจะเพิ่งรู้จักยังไม่ถึงปีแต่เธอก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน “ฉันบอกพ่อเอาไว้แล้วละสิ” ฉันอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ ไม่อยากจะทิ้งเพื่อนแบบนี้ แต่ฉันมีเหตุผลที่ไม่สามารถบอกใครได้ เหตุผลที่ไม่สามารถทำงานที่นี่ได้ ฉันหันหน้ามาเก็บของอีกครั้ง แล้วเห็นว่าคุณคานส์กำลังเดินมาทางนี้กับใครสักคน เมื่อเห็นหน้าเขาฉันก็รีบนั่งลงแอบที่ใต้โต๊ะทำงานทันที ร่างกายมันเป็นไปเองฉันไม่ได้ตั้งใจ แถมพอฉันลงมาแอบใต้โต๊ะแบบนี้ก็ทำให้ถูกพนักงานคนอื่นๆ ในแผนกมองอย่างแปลกใจ โดยเฉพาะโมเม “อลิชเธอลงไปนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น” “…..” ฉันส่ายหน้ารัวๆ ใครจะกล้ายืนคืนหากคุณคานส์เดินมาที่โต๊ะแล้วฉันจะทำยังไง “อลิชเธอเป็นอะไรของเธอ กลัวอะไร”“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ ?”
สะ เสียงนั่น เสียงคุณคานส์ เสียงของเขามันใกล้มาก เหมือนเขากำลังถามโมเมอยู่ ต้องใช่แน่ๆ เพราะตอนนี้โมเมก้มมองมาที่ฉัน เห็นแบบนั้นฉันจึงรีบส่ายหน้ารัวๆ เพื่อไม่ให้โมเมเธอพูดชื่อฉัน ฉันคิดว่าคุณคานส์ต้องจำชื่อของฉันได้แน่ๆ บ้าที่สุด! ทำไมเขาต้องทำเหมือนสนใจขนาดนี้ด้วยล่ะ “พอดีฉันคุยโทรศัพท์อยู่น่ะค่ะท่านประธาน” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินโมเมบอกแบบนั้น ไม่ได้ยินเสียงของคุณคานส์พูดต่อ สักพักโมเมก็ก้มลงมาบอกฉัน “คุณคานส์ไปแล้ว” ฉันค่อยๆ ยืนคุณ และครั้งนี้ก็ถูกทุกคนมองด้วยความสงสัยหนักกว่าเดิม “เธอปลื้มคุณคานส์ถึงขนาดไม่กล้ามองหน้าเขาจนต้องลงไปแอบใต้โต๊ะเชียวหรอ” โมเมถาม โชคดีที่โมเมคิดแบบนั้นไม่ได้คิดไปเป็นอื่น แต่มันก็ไม่แปลกที่เธอจะคิดแบบนั้น เพราะพนักงานผู้หญิงในบริษัทหากได้เห็นคุณคานส์ใกล้ๆ ก็มักจะเสียอาการทุกราย รวมทั้งฉัน แต่มันไม่ใช่กับเวลานี้ฉันมาหาแพรเพื่อนสนิทที่ร้านคอฟฟี่ ซึ่งเป็นร้านของเธอเอง แพรเป็นเพื่อนฉันตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยและเราสนิทกันมากจนถึงตอนนี้ แพรเธอเป็นลูกเศรษฐีนะแต่ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมากกว่า “ลมอะไรหอบแกมาถึงที่นี่ ไม่ทำงานหรือไง” แพรเดินมาหาฉันที่นั่งรออยู่พร้อมกับเอาเค้กช็อกโกแลตที่ฉันชอบมาให้ “ฉันลาออกแล้ว” “ห๊ะ! แกลาออก ทำไมเป็นงั้นล่ะออกทำไม ไหนแกบอกว่างานดีเงินดี” แพรตกใจมากที่ได้ยินฉันบอกแบบนั้น“ฉันอยากกลับไปทำงานใกล้บ้านมากกว่าน่ะ” “แกไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคนในบริษัทใช่ไหมอลิช”“จะบ้าหรือไง! อย่างฉันจะไปกล้ามีปัญหากับใครได้” “วันก่อนแกโทรมาถามฉันเรื่องที่เปิดบริสุทธิ์จะรู้สึกยังไง นี่อย่าบอกนะว่าแก….” แพรยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วมองหน้าฉันตาค้าง “บะ บ้าหรือไง หยุดความคิดบ้าๆ ของแกเดี๋ยวนี้เลยนะ”พอฉันบอกแบบนั้นแพรก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วมองฉันด้วยสายตาจับผิด “ดูเหมือนกับว่าแกกำลังมีอะไรที่ปิดบังฉันอยู่นะอลิช” เฮือก!! ว่าแล้วไงถ้าอยู่ต่อหน้าฉันต้องพลาดท่าทำตัวมีพิรุธให้แพรจับได้แน่ๆ “แกเถอะทำไมถึงรู้ว่าเปิดบริสุทธิ์เป็นยังไง แกเคยแล้วใช่ไหม” ฉันถามกลับเพราะกลัวจะถูกจับพิรุธได้ และมันก็
ฉันไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยว หลังจากอ้วกเสร็จก็ขอพี่เอ็มกลับมาที่บริษัทเลย เมื่อมาถึงโต๊ะทำงานฉันก็ฟุบหน้าหลับที่โต๊ะเพราะรู้สึกเพลียเอามากๆ นอนหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ฉันต้องสะดุ้งตื่นเพราะมีคนมาสะกิด ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าเป็นพี่เอ็ม และในตอนนี้พนักงานคนอื่นๆ ก็มานั่งประจำที่ที่โต๊ะทำงานกันหมดแล้ว “อะ อลิชขอโทษค่ะ” ฉันรีบก้มหน้าขอโทษพี่เอ็มเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองนอนหลับ ไม่ได้ตั้งใจทำงาน “พี่ไม่ได้ว่าอะไร ลางานครึ่งวันไหมตอนนี้หน้าอลิชซีดมากเลยนะ”“ไม่เป็นไรค่ะอลิชไหว” “ตอนเที่ยงอ้วกขนาดนั้นจะไหวได้ยังไง กลับบ้านก่อนพี่อนุญาตให้ลาหยุดพรุ่งนี้ด้วย”“แต่อลิช…”“อย่าฝืนร่างกายตัวเองสิอลิช พี่เป็นห่วง” สายตาของพี่เอ็มที่มองอยู่มันทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นเอามากๆ “ขอบคุณค่ะ ถ้าอลิชหายดีแล้วจะรีบกลับมาทำงานนะคะ ^_^” “รีบๆ หายล่ะ ไม่เจอหน้าอลิชพี่คงเหงาแย่”“พี่เอ็มก็ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อยเลยนะคะ” “พี่พูดจริงๆ นะครับ” ฉันนิ่งไปเมื่อได้เห็นสีหน้าที่จริงจังของพี่เอ็ม จู่ๆ มันก็รู้สึกมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก “งะ งั้นอลิชกลับบ้านก่อนนะคะ”“เดี๋ยวพี่เดินไปส่งที่รถ”“มะ ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันหยิบก
เมื่อรู้ผลว่าตัวเองท้อง ตอนนี้เหมือนกับว่าทุกสั่งรอบๆ ตัวของฉันมันหยุดนิ่ง เหมือนโลกหยุดหมุน ฉันสะตั้นไปนานพอสมควรพร้อมกับหยดน้ำตาที่มันไหลลงมาอาบแก้ม เมื่อตั้งสติได้แล้วฉันก็กลัวไปหมด กลัวว่าพ่อจะรู้ กลัวว่าพ่อจะด่า เรื่องแบบนี้พ่อต้องไม่ยินดีแน่ๆ “ทำไมฉันถึงพลาดท่าแบบนี้ได้” ฉันก้มหน้าลงเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม แต่ยิ่งเช็ดน้ำตามันก็ยิ่งไหลลงมาอาบแก้ม ฉันท้องนั่นหมายความว่าท้องไม่มีพ่อ ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าใครคือพ่อของเด็กในท้อง แต่ฉันก็ไม่สามารถไปเรียกร้องไห้เขามารับผิดชอบอะไรได้ ฉันกำที่ตรวจครรภ์ในมือแน่น มันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวว่าฉันควรจะ ‘ทำแท้ง’ “อึก~ ฉันจะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง มันบาปนะ” ตอนนี้ฉันกำลังเถียงกับความคิดของตัวเอง แน่นอนว่าฉันไม่กล้าทำแท้ง ฉะ ฉันควรจะทำยังไงดี นี่มันเป็นความผิดพลาดที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ตอนนี้ฉันยังไม่กล้าบอกพ่อแน่ๆ แต่มีหนึ่งคนที่ฉันอยากจะปรึกษานั่นคือแพร ( ฮาย! ว่าไงแกฉันเพิ่งปิดร้านเสร็จนี่เอง ) ( แพร อึก ) พอได้ยินเสียงเพื่อนฉันก็เริ่มสะอื้นหนักขึ้น ทำให้แพรถามอย
ฉันพยายามเรียกสติของตัวเองกลับมา เพราะกลัวว่าจะถูกพ่อสงสัยหากร้องไห้จนตาบวม หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาอะไรเรียบร้อยแล้วฉันก็ออกมาข้างนอกเพื่อสูดอากาศ สมองจะได้โล่งๆ ฉันเครียดมาจะครึ่งวันแล้ว จะปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ไม่ได้ “พ่อ กะ กลับมาแล้วหรอคะ” เดินออกมาไม่ทันไม่ต้องจัว พอเห็นพ่อขึ้นบ้านมาฉันจึบทำตัวไม่ถูก “เอ้อๆ วันนี้งานเสร็จเร็ว” พ่อเดินมานั่งที่โซฟา ฉันจึงรีบไปเอาน้ำมาให้ “แล้วนี่อลันมันจะกลับมาบ้านเมื่อไหร่ ไอ้ลูกคนนี้พ่อโทรไปก็ไม่ยอมรับสาย” “คงปิดเทอมนั่นแหละพ่อ”“ให้มันได้แบบนี้สิ ไม่คิดถึงพ่อกับพี่สาวบ้างเลยหรือไง” ฉันเอาแก้วน้ำวางไว้ให้พ่อ จากนั้นก็นั่งลง ใจมันเต้นรัวๆ เมื่อคิดว่าจะถามเรื่องท้อง แค่เห็นหน้าพ่อปากฉันมันก็ไม่กล้าขยับแล้ว “แล้วนี่หายป่วยหรือยัง พ่อบอกจะพาไปโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไป” “หะ หายแล้วค่ะ” “หายแล้วรึ แต่หน้าลูกยังซีดอยู่เลยนะ” พ่อมองหน้าฉันอย่างเป็นห่วง “เดี๋ยวพ่อโทรให้หมอมาตรวจที่บ้านดีไหมถ้าลูกไม่อยากนั่งรถไป” “พ่อคะ หนูโอเคแล้วค่ะสบายมาก ^_^” “ได้ยินแบบนี้พ่อก็ค่อยหายหวงขึ้นมาหน่อย” “พะ พ่อคะ คือว่า อลิชอยากจะถามอะไรพ่อสักอย่าง”“ว่ามาสิ ถามอ
พ่อโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทำให้ฉันที่กำลังกอดขาพ่อไว้อยู่รู้สึกกลัวจนตัวสั่น “พ่อถามทำไมถึงไม่ยอมตอบ!!” พ่อผลักฉันออก ดีที่แพรมาประคองไว้ “ลูกไม่มีแฟน ทำไมถึงท้องได้หรือมีแฟนแล้วไม่ยอมบอกพ่อ” “อึก อลิช อึก~ ไม่มีแฟนค่ะ” “ไม่มีแฟนแล้วลูกจะท้องได้ยังไง !!” พ่อตวาดถามเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าท้องไม่มีพ่อ” “อลิชขอโทษ อึก~” “อลิชทำไมแกไม่พูดความจริง แกยอมรับแบบนี้ได้ยังไง” แพรถามเพราะฉันไม่ค้านอะไรทั้งนั้นเรื่องที่พ่อถามว่าฉันท้องไม่มีพ่อ “เห็นแต่ลูกคนอื่นไม่เคยคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้กับลูกตัวเอง ทำแบบนี้แล้วพ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” “อึก~” ฉันก้มหน้าสะอื้นออกมาจนสุดเสียง เกร็งไปหมดทั้งตัว “บอกพ่อมาว่าได้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร พ่อจะไปลากตัวมันมารับผิดชอบ พ่อไม่ยอมให้ลูกท้องไม่มีพ่อแบบนี้แน่ๆ!!”“…….” ฉันไม่ยอมบอกว่าผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กในท้องคือ ‘คุณคานส์’“อลิช!! บอกพ่อมาลูกจะปกป้องมันทำไม อยากอายชาวบ้านเขาหรือไง”“พะ พ่อคะ เด็กคนนี้อลิชจะเลี้ยงเขาเอง อึก~” “ไม่มีทาง! ใครที่มันทำกับลูกสาวกำนันเพิ่มแบบนี้ มันจะต้องรับผิดชอบ” พ่อประกาศกร้าว ท่าทางไม่ยอมลดละง่ายๆ แน่ “พ่อ อึก~” “อยากท
“ฉันขอโทษนะอลิชที่พูดไปแบบนั้น ถ้าฉันไม่พูดพ่อแกก็จะยิ่งโมโหมากกว่านี้แน่ๆ”“อึก ~ แกไม่ควรบอกแบบนั้นแพร ไม่ควรพูด” ฉันตำหนิเพื่อน ถึงจะรู้ว่าแพรทำไปเพราะเป็นห่วง แต่ฉันก็ไม่อยากให้พ่อรู้อยู่ดีกว่าคุณคานส์คือพ่อของเด็กในท้อง “เขาทำ เขาก็ต้องรับผิดชอบนะอลิช”“อึก~” “ฉันพูดไปแล้ว พ่อแกรู้แล้ว นี่คือความจริง ฉันอาจจะยุ่งวุ่นวายมากไป แต่ที่ฉันทำก็เพราะกลัวว่าพ่อแกจะทำอะไรแกไปมากกว่านี้นะ” “แต่ฉันไม่ได้อยากให้เขามารับผิดชอบ อึก~” “แกเป็นห่วงตัวเองบ้างไหมอลิช เฮ้อ” แพรตอบฉันนานหลายชั่วโมง ที่ฉันร้องไห้เพราะมันเสียใจ เสียใจที่ทำให้พ่อผิดหวัง รู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเข้าใจฉันเลยว่าฉันไม่ต้องการให้คุณคานส์มารับผิดชอบ เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ ทุกอย่างมันมืดมนไปหมด ฉันไม่อยากให้พ่อรู้ที่อยู่ของคุณคานส์ ไม่อยากให้พ่อไปที่นั่น ฉันควรจะทำยังไงดี เช้าวันต่อมา… เสียงเคาะห้องดังสนั่นขึ้นตามด้วยเสียงพ่อที่ตะโกนเรียกฉัน ฉันที่เพิ่งลุกขึ้นมาอ้วกในห้องน้ำเสร็จก็ต้องรีบมาเปิดประตูให้พ่อ “พะ พ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ” “ไปแต่งตัว”“ปะ ไปไหนคะ”“ไม่ต้องถามมาก พ่อบอ
สิ้นสุดคำพูดของพ่อคุณคานส์ก็มองหน้าฉัน คิ้วของเขาขมวดชนกันยุ่งเหยิง จากสายตาที่เขามองอยู่เหมือนไม่จำเรื่องคืนนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คุณคานส์สั่งให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกายตัวเองขึ้นไปบนห้อง แน่นอนว่าทั้งคู่ต้องมีปัญหากันแน่ๆ เพราะพ่อประกาศลั่นไปแบบนั้น แต่ที่น่าแปลกใจคือเธอไม่โวยวายอะไร แถมยังยอมขึ้นห้องตามคำสั่งของคุณคานส์อย่างว่าง่ายหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปแล้ว คุณคานส์ก็บอกให้ฉันกับพ่อตามเขามาที่ห้องรับแขก “หยุดร้องซะ!!” พ่อหันมาตวาดฉันด้วยน้ำเสียงดุดัน ฉันจึงพยายามฮึบเสียงสะอื้นไว้แล้วยกมือปาดน้ำตาแบบลวกๆ อีกทั้งยังเดินกอดแขนพ่อไปตลอดทาง เพราะกลัวว่าพ่อจะยิงคุณคานส์เข้า #ภายในห้องรับแขก “เชิญนั่งครับ” คุณคานส์ผายมือให้ฉันกับพ่อนั่งลงตรงข้ามกับเขา พ่อกับฉันยอมนั่งลงแต่โดยดี “จะเอายังไงว่ามา!!” เมื่อนั่งลงแล้วพ่อก็ถามกับคุณคานส์เสียงเข้มทันที “ผมไม่เคยพลาดทำผู้หญิงคนไหนท้อง” นี่คือคำตอบของคุณคานส์ น้ำเสียงและสายตาของเขาที่กำลังมองมา มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของฉันเต้นรัวไม่เป็นท่า“พูดแบบนี้แกจะไม่รับผิดชอบลูกสาวฉันใช่ไหม!!” พ่อยกปืนขึ้นมาชี้ไปยังคุณคานส์ ทำให้ลู
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นใจตอบ “ใช่! เป็นฉันเอง” หากว่าเขาไม่ดูถูก ฉันก็คงไม่พูดออกไปหมดเปลือกแบบนี้ ไม่คิดว่าเขาจะจำฉันไม่ได้ เพราะเมื่อเดือนก่อนตอนที่เจอเขาที่บริษัทยังทำเหมือนคุ้นๆ กับฉันอยู่เลย หากรู้ว่าจะลืมง่ายขนาดนี้ฉันคงไม่ต้องลาออกจากงาน “แกจะเอายังไง ลูกสาวฉันท้อง ถึงจะเป็นความผิดพลาดยังไงก็ต้องรับผิดชอบ!!” พ่อประกาศลั่นอีกครั้ง “ตอนนี้ผมยุ่งกับงานที่บริษัท…” “พูดแบบนี้แปลว่าแกจะไม่รับผิดชอบใช่ไหม” พ่อลุกขึ้นพรวดจ้องหน้าคุณคานส์อย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อเห็นว่าพ่อลุกขึ้นฉันก็รีบจับแขนพ่อไว้เพราะกลัวว่าพ่อจะไปทำอะไรเขา ฉันไม่ได้เป็นห่วงคุณคานส์แต่เป็นห่วงพ่อ นี่มันบ้านของเขาหากพ่อทำอะไรไป เขาคงไม่เอาพ่อไว้แน่ๆ ดูจากที่บ้านมีลูกน้องมากมายก็พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นคนที่มีอิทธิพลมากขนาดไหน สายตาของคุณคานส์ไม่ได้มองพ่อ เขากลับเอาแต่มองหน้าฉัน สายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนั้นมันทำให้ฉันต้องก้มหน้าลง เพราะไม่อยากถูกจ้องมอง “ผมยังไม่ได้พูดว่าจะไม่รับผิดชอบ อีกสองวันธุระที่บริษัทจะเสร็จ ผมจะไปเคลียร์เรื่องนี้ที่บ้านของคุณ” “พูดแบบนี้แปลว่าแกจะชิ่ง!!” พ่อยังคงไม่เชื่อคำพูดของผู้ช