ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณคานส์ถึงชอบใช้คำพูดร้ายๆ แบบนั้น เขาควรใช้คำพูดที่ดีกว่านี้ ถึงจะไม่ชอบคำพูดของเขาเท่าไหร่แต่ฉันก็ยอมลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินตามคุณคานส์ไปที่ห้องของผู้บริหารอยู่ดี #ภายในห้องผู้บริหาร “นั่งลง” เขาออกคำสั่งอีกครั้ง ฉันจึงรีบนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ ภายในห้องผู้บริหารนั้นกว้างขวางเอามากๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังมีอีกห้องที่แยกออกไปเป็นห้องนอน ที่ฉันรู้ว่าเป็นห้องนอนก็เพราะว่าห้องนั้นเป็นกระจกใส จึงมองเห็น “ทำไมถึงมีห้องนอนด้วยล่ะคะ” ฉันถามคุณคานส์อย่างแปลกใจ “คิดดูสิ ว่าทำไมถึงมี” คำตอบที่ได้คือคำถามที่ชวนให้ฉันคิด ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ในขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มหน้าคิดอยู่ คุณคานส์ก็เดินมาหยุดตรงหน้า ฝ่ามือใหญ่จับปลายคางของฉันให้เงยขึ้น จากนั้นคุณคานส์ก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมา ฉันจึงรีบปัดมือเขาออกแล้วขยับตัวหนี สมองมันคิดถึงเรื่องนั้น ที่เขากับฉันเกินเลยกันเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะคิด เขาทำให้ฉันคิดด้วยสายตาคู่นั้นคุณคานส์กระตุกยิ้มมุมปาก เขาล้วงมือหยิญโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูด แถมในขณะที่พูดสายอยู่สายตาก็เอาแต่จับจ้องใบหน้าของฉั
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวเมื่อมองเห็นการกระทำของคุณคานส์แบบนั้น เขาคิดจะทำเรื่องอย่างว่ากับฉันอีกแล้วใช่ไหม ทำไมถึงได้เป็นคนหมกหมุนเรื่องกามมากขนาดนี้กัน รู้ทั้งรู้ว่าฉันท้องอยู่“มะ ไม่ค่ะ ไม่ทำแบบนั้น” ฉันดีดตัวขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องนอนราบไปอีกครั้งเพราะถูกคุณคานส์กดให้นอนลง เขาขึ้นมาค่อมตัวฉันเอาไว้พร้อมกับแววตาที่เป็นประกาย ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้ ใกล้จนฉันต้องเบือนหน้าหนี แต่มันเหมือนว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เขากดจูบลงมาบนต้นคอแทนน้ำเสียงกระเส่าของคุณคานส์เอ่ยถามขึ้น “แบบนั้น เธอหมายถึงคือแบบไหน หื้ม~” พูดจูบคุณคานส์ก็กดจูบลงมาบนต้นคอของฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาค่อยๆ ลากไล้ริมฝีปากไปมาเป็นสัมผัสที่ชวนทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว “อื้อ มันจั๊กจี้นะคะ” ฉันใช้มือดันอกแกร่งไว้ ไม่ให้แผงอกทาบลงมาสัมผัสกับหน้าอกของตัวเอง “ฉันถามทำไมถึงไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่องทำไม” คุณคานส์ถามในขณะที่กำลังใช้ริมฝีปากลากไล้ไปมาบนซอกคอ “ก็แล้วคุณคานส์คิดจะทำอะไรล่ะคะ”สิ้นสุดคำถามของฉันคุณคานส์ก็เงยหน้าขึ้น เขามองหน้าฉันครู่หนึ่งแล้วถามเสียงเย็น “นั่นสิ ฉันคิดจะทำอะไร ?”“……” ฉันค่อยๆ เม้มปากแน่น สา
คุณคานส์ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบทิชชูมาให้ฉัน แถมตอนนี้เขายังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอีกด้วย ฉันจึงรีบเบือนหน้าหนี แล้วค่อยๆ ดึงผ้าห่มมาปิดคลุมเรียวขาอ่อนของตัวเอง ทิชชูในมือของคุณคานส์ถูกเขาโยนลงมาข้างๆ ตัวของฉัน “รีบๆ เช็ด” สิ้นสุดคำสั่งกร้าวฉันก็ค่อยๆ หยิบทิชชูมา แล้วใช้มันเช็ดคราบน้ำสีขาวขุ่นออกจากหน้าท้องของตัวเอง หลังจากที่ฉันกับคุณคานส์จัดการกับตัวเองเสร็จแล้ว เราทั้งคู่ก็เดินออกมาและได้เห็นว่าอาหารมาเสริฟเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของฉันเริ่มชาหนึบ สมองมันเริ่มคิดว่าคนที่เข้ามาเสริฟอาหารจะได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า แค่คิดก็รู้สึกอับอายเอามากๆ แล้ว “มากินข้าว” เสียงคุณคานส์ออกคำสั่ง ซึ่งฉันก็รีบเดินไปนั่งลงบนโซฟาแล้วเปิดกล่องอาหารเพราะหิวมากๆ มันแปลกที่ในตอนนี้ฉันสามารถกินข้าวได้แล้วโดยไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้สึกคลื่นไส้ ไม่มีอาการเหม็นอาหารเหมือนก่อนหน้านี้ “กินเสร็จแล้วฉันจะให้ไอ้เจไปส่งที่บ้าน”“แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนะคะ” “ขืนปล่อยให้เธอไปทำงานต่อคนทั้งบริษัทคงได้รู้ว่าเธอท้อง” “……” อะไรกัน ก็เขาเป็นคนออกคำสั่งให้ฉันมาทำงานเองนี่นา ตอนนี้จะมาหงุดหงิดทำไมล่ะ “แล้วพรุ่งนี้…”
พี่เอ็มลุกขึ้นมาจากโต๊ะเดินมารับฉันที่หน้าประตู เขาหวังดีแต่ฉันนี่สิเริ่มกลัวขึ้นมาจับใจ คุณคานส์เคยพูดว่าอยู่ข้างนอกเราคือคนแปลกหน้าสำหรับกันและกัน เราไม่รู้จักกัน เพราะฉะนั้นฉันก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยจริงไหม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พี่เอ็มถาม ทำให้ฉันตั้งสติได้แล้วละสายตาจากคุณคานส์มามองพี่เอ็มแทน “เปล่าค่ะ” “ไปครับ พี่หิวจะแย่แล้ว” ไม่พูดเปล่าพี่เอ็มยังจับมือฉันพาเดินมาที่โต๊ะอีกด้วย ถึงฉันจะบริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ทว่าพอเผลอไปมองคุณคานส์ก็เห็นเขาจ้องเขม็งที่หน้าของฉัน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนตัวสั่นอีกครั้ง ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกผิดแบบนี้นะ ทั้งที่ระหว่างฉันกับเขามันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะต้องมารู้สึกผิดอะไรนี่ “อลิชจะกินอะไรสั่งได้เลยนะครับ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” “พี่เอ็มสั่งเลยค่ะ อลิชยังไม่หิว” ฉันต้องปฏิเสธเพราะกลัวว่าถ้าสั่งอาหารมากินอาการแพ้ท้องมันจะกำเริบอีก “ทำไมล่ะครับ พี่นึกว่าอลิชจะมากินข้าวด้วยกันซะอีก” พี่เอ็มถามอย่างผิดหวัง “อลิชกินมาแล้วค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จไปดูหนังกันไหมครับ” “เอ่อ….” “นานๆ ทีพี่มากรุงเทพอลิชคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม ?” “ค่ะ ไป
คุณคานส์ถามเขาใช้สายตาดุดันมองหน้าฉันเขม็ง“เธออยู่ที่บ้านของฉัน แปลว่าเธอคือผู้หญิงของฉัน ถ้าไม่ใช่ก็อย่ามาเรียกร้องไห้ฉันรับผิดชอบ” “อลิชไม่ได้อยากให้คุณคานส์รับผิดชอบตั้งแต่แรกนี่คะ ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อ” ฉันตอบตามความจริง ไม่รู้ว่าเขาจะพูดเรื่องรับผิดชอบขึ้นมาอีกทำไม ในเมื่อเราตกลงกันไปแล้วแท้ๆ “แล้วยังไง ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ที่บ้านของใคร ?” “คุณคานส์เป็นอะไรคะ จะโกรธอลิชเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ทำไม อลิชเคยพูดเรื่องอิสระ เราควรมีระยะห่างให้กันไม่ใช่หรือไงคะ” “อิสระฉันให้เธอแน่ แต่ไม่ใช่การไปไหนมาไหนกับผู้ชายแบบนั้น” “แล้วถ้าเป็นคุณคานส์ไปกับผู้หญิงล่ะคะ จะผิดแบบนี้ไหม” “อย่ามายอกย้อนฉัน!!”“อลิชไม่ได้ยอกย้อน แค่อยากจะรู้ก็เท่านั้น…”“……” เขาไม่ได้ตอบ นั่นแปลว่าตัวเขาจะทำอะไร จะไปกับผู้หญิงคนไหนมันก็ไม่ผิด ต่างกับฉันที่แค่ขยับตัวจะทำอะไรมันก็ผิดหมดทุกอย่าง “คุณคานส์เป็นพ่อของลูกก็จริง แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตอลิชนะคะ” ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะกล้าพูดแบบนี้ออกไป ไม่เคยมีใครทำให้ฉันเหลืออดได้นอกจากผู้ชายที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของฉันตอนนี้ “ตอนนี้เธอคือผู้หญิงของฉัน จะเถียงเอาอะ
ตอนนี้ฉันกำลังยืนมองตัวเองที่หน้ากระจกในห้องน้ำ เนื้อตัวมันเต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำๆ แทบจะไม่มีที่ว่าง นั้งแต่เนินหน้าอกจนถึงเรียวขาอ่อน ฉันไม่ได้พูดเวอร์เกินจริง แต่คุณคานส์เขาทำรอยบนตัวของฉันแบบนั้นจริงๆ มันเป็นรอยที่มองแล้วน่าเกลียดที่สุด ฉันจะไม่มีทางให้รอยพวกนี้มันมาอยู่บนตัวของฉันอีกแน่ โชคดีที่รอยพวกนี้มันอยู่ในร่มผ้า ถ้ามีรอยที่คอหรือแขนฉันคงไม่กล้าไปไหนจนกว่ารอยพวกนี้จะหายแน่ๆ วันต่อมา ฉันถูกสั่งให้อยู่ที่บ้านเหมือนเดิม ได้ไปทำงานแค่ครึ่งวันเอง ถ้าเจอหน้าโมเมอีกครั้งฉันเองก็ไม่รู้จะตอบไปว่ายังไงเหมือนกัน นี่ฉันเพิ่งวางสายจากพ่อไปเมื่อกี้เอง พ่อโทรมาถามว่าคุณคานส์เขาดูแลฉันดีหรือเปล่า ซึ่งฉันเองก็ตอบไปว่าเขาดูแลฉันดีมาก ฉันไม่ได้โกหกเรื่องที่คุณคานส์ดูแลดี มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มาอยู่ที่นี่ฉันไม่ต้องหยิบจับอะไรเลย มีคนคอยทำให้ จะติดก็แค่เรื่องคำพูดของเขา และเรื่องเซ็กส์ที่เขามีความต้องการมากจนเกินไป แต่เรื่องนี้ฉันไม่ได้บอกพ่อ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะบอก ตอนนี้ฉันออกมาหาแพรวันนี้เธออยู่ที่คอนโดไม่ได้เปิดร้าน “แกไม่แพ้ท้องแล้วหรออลิช” “ก็มีแพ้บ้าง” “กินข้าวมาหรือยัง ม
ฉันได้แต่นั่งเงียบเพราะมันยังตกใจกับคำพูดของพ่อคุณคานส์อยู่ ไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรถึงได้คิดจะให้ฉันกับคุณคานส์แต่งงานกัน ซึ่งถ้าถามความต้องการของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น “แกไม่ได้บอก แต่ฉันสั่ง!!” พ่อคุณคานส์บอกในเชิงบังคับ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้คุณคานส์ไม่พอใจเอามากๆ เขาลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับพ่อของตัวเองอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว “ผมโตแล้ว พ่อไม่มีสิทธิ์บังคับแบบนี้”“ใช่แกโตแล้ว ที่ผ่านมาฉันปล่อยให้แกทำตามอำเภอใจทุกอย่าง หึ!! แล้วเป็นยังไงผลลัพธ์ที่ได้ แกทำผู้หญิงท้อง นี่สินะคำที่บอกว่าโตแล้วของแก” “ผมจัดการเรื่องนี้เองพ่อไม่ต้องมายุ่ง” “เรื่องนี้ฉันคงไม่ยุ่งไม่ได้ เพราะนั่นก็หลานของฉันเหมือนกัน” “หลานก็ส่วนหลาน มันไม่เกี่ยวอะไรกับการแต่งงาน” “แกควรแสดงความเป็นลูกผู้ชายให้มากกว่านี้นะตาคานส์ ถ้าแม่แกยังอยู่คงจะผิดหวังที่มีลูกชายอย่างแก” “ผมก็รับผิดชอบเธอไปแล้วด้วยการจดทะเบียนสมรส รับมาดูแลที่บ้าน แค่นี้มันก็มากพ่อแล้วจะแต่งงานประกาศให้คนอื่นรู้ไปเพื่ออะไรครับ ถ้าเด็กในท้องเธอไม่ใช่ลูกผมคนที่น่าอับอายมากที่สุดก็คือคุณพ่อ ไม่ใช่ผม ห่วงชื่อเสียงของตัวเองมากไม่ใช่หรือไงครับ”คุณคานส์ยั
คุณคานส์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หลังจากที่ฉันถาม ก่อนที่เขาจะบอกเสียงแข็ง “ถ้าไม่บอกก็ไม่ต้องไป” คุณคานส์นี่ก็แปลก จะอยากรู้ไปทำไมถึงกับพูดว่าถ้าฉันไม่บอกก็ไม่ต้องไป เฮ้อ… ฉันได้แต่นึกบ่นในใจจากนั้นก็บอกคุณคานส์ว่าห้องแพรเพื่อนสนิทที่ฉันจะไปนอนกับเธออยู่ที่ไหน แล้วพอเขารู้ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก หันหลังเดินเข้าไปในตัวบ้านเลย เขาอยากจะรู้แค่นี้จริงๆ สิเนอะ เช้าวันต่อมา ฉันเก็บเสื้อผ้าสองชุดใส่กระเป๋าเป้สะพาย เพื่อจะไปนอนกับแพร เมื่อคืนได้โทรบอกแพรเอาไว้เรียบร้อยแล้ว “พี่เจจะไปส่งหรอคะ” มันแปลกใจพอเดินออกมาจากบ้านก็เห็นว่าพี่เจกำลังยืนรออยู่ที่รถแล้ว“ใช่ครับ นายสั่งให้ผมไปส่ง และห้ามให้คุณอลิชไปเองเด็ดขาด” พี่เจพูดดักไว้เพราะรู้ว่าฉันคงต้องขอให้เขาไม่ต้องไปส่งแน่ๆ “ค่ะ ไปก็ไป” พูดจบฉันก็เดินมาเปิดประตูรถเข้ามานั่งด้านใน ก่อนที่รถหรูจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้านช้าๆ #คอนโดแพร ฉันเอาของวางไว้แล้วนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อปล่อยวางความคิดฟุ้งซ่านที่ทำให้ตัวเองเครียด “แกมาอยู่กับฉันแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เลยใช่ไหมอลิช” แพรถาม เมื่อคืนเธอก็ถามประโยคนี้แต่ฉันปฏิเสธออกไป