พี่เอ็มลุกขึ้นมาจากโต๊ะเดินมารับฉันที่หน้าประตู เขาหวังดีแต่ฉันนี่สิเริ่มกลัวขึ้นมาจับใจ คุณคานส์เคยพูดว่าอยู่ข้างนอกเราคือคนแปลกหน้าสำหรับกันและกัน เราไม่รู้จักกัน เพราะฉะนั้นฉันก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยจริงไหม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พี่เอ็มถาม ทำให้ฉันตั้งสติได้แล้วละสายตาจากคุณคานส์มามองพี่เอ็มแทน “เปล่าค่ะ” “ไปครับ พี่หิวจะแย่แล้ว” ไม่พูดเปล่าพี่เอ็มยังจับมือฉันพาเดินมาที่โต๊ะอีกด้วย ถึงฉันจะบริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ทว่าพอเผลอไปมองคุณคานส์ก็เห็นเขาจ้องเขม็งที่หน้าของฉัน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนตัวสั่นอีกครั้ง ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกผิดแบบนี้นะ ทั้งที่ระหว่างฉันกับเขามันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะต้องมารู้สึกผิดอะไรนี่ “อลิชจะกินอะไรสั่งได้เลยนะครับ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” “พี่เอ็มสั่งเลยค่ะ อลิชยังไม่หิว” ฉันต้องปฏิเสธเพราะกลัวว่าถ้าสั่งอาหารมากินอาการแพ้ท้องมันจะกำเริบอีก “ทำไมล่ะครับ พี่นึกว่าอลิชจะมากินข้าวด้วยกันซะอีก” พี่เอ็มถามอย่างผิดหวัง “อลิชกินมาแล้วค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จไปดูหนังกันไหมครับ” “เอ่อ….” “นานๆ ทีพี่มากรุงเทพอลิชคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม ?” “ค่ะ ไป
คุณคานส์ถามเขาใช้สายตาดุดันมองหน้าฉันเขม็ง“เธออยู่ที่บ้านของฉัน แปลว่าเธอคือผู้หญิงของฉัน ถ้าไม่ใช่ก็อย่ามาเรียกร้องไห้ฉันรับผิดชอบ” “อลิชไม่ได้อยากให้คุณคานส์รับผิดชอบตั้งแต่แรกนี่คะ ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อ” ฉันตอบตามความจริง ไม่รู้ว่าเขาจะพูดเรื่องรับผิดชอบขึ้นมาอีกทำไม ในเมื่อเราตกลงกันไปแล้วแท้ๆ “แล้วยังไง ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ที่บ้านของใคร ?” “คุณคานส์เป็นอะไรคะ จะโกรธอลิชเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ทำไม อลิชเคยพูดเรื่องอิสระ เราควรมีระยะห่างให้กันไม่ใช่หรือไงคะ” “อิสระฉันให้เธอแน่ แต่ไม่ใช่การไปไหนมาไหนกับผู้ชายแบบนั้น” “แล้วถ้าเป็นคุณคานส์ไปกับผู้หญิงล่ะคะ จะผิดแบบนี้ไหม” “อย่ามายอกย้อนฉัน!!”“อลิชไม่ได้ยอกย้อน แค่อยากจะรู้ก็เท่านั้น…”“……” เขาไม่ได้ตอบ นั่นแปลว่าตัวเขาจะทำอะไร จะไปกับผู้หญิงคนไหนมันก็ไม่ผิด ต่างกับฉันที่แค่ขยับตัวจะทำอะไรมันก็ผิดหมดทุกอย่าง “คุณคานส์เป็นพ่อของลูกก็จริง แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตอลิชนะคะ” ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะกล้าพูดแบบนี้ออกไป ไม่เคยมีใครทำให้ฉันเหลืออดได้นอกจากผู้ชายที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของฉันตอนนี้ “ตอนนี้เธอคือผู้หญิงของฉัน จะเถียงเอาอะ
ตอนนี้ฉันกำลังยืนมองตัวเองที่หน้ากระจกในห้องน้ำ เนื้อตัวมันเต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำๆ แทบจะไม่มีที่ว่าง นั้งแต่เนินหน้าอกจนถึงเรียวขาอ่อน ฉันไม่ได้พูดเวอร์เกินจริง แต่คุณคานส์เขาทำรอยบนตัวของฉันแบบนั้นจริงๆ มันเป็นรอยที่มองแล้วน่าเกลียดที่สุด ฉันจะไม่มีทางให้รอยพวกนี้มันมาอยู่บนตัวของฉันอีกแน่ โชคดีที่รอยพวกนี้มันอยู่ในร่มผ้า ถ้ามีรอยที่คอหรือแขนฉันคงไม่กล้าไปไหนจนกว่ารอยพวกนี้จะหายแน่ๆ วันต่อมา ฉันถูกสั่งให้อยู่ที่บ้านเหมือนเดิม ได้ไปทำงานแค่ครึ่งวันเอง ถ้าเจอหน้าโมเมอีกครั้งฉันเองก็ไม่รู้จะตอบไปว่ายังไงเหมือนกัน นี่ฉันเพิ่งวางสายจากพ่อไปเมื่อกี้เอง พ่อโทรมาถามว่าคุณคานส์เขาดูแลฉันดีหรือเปล่า ซึ่งฉันเองก็ตอบไปว่าเขาดูแลฉันดีมาก ฉันไม่ได้โกหกเรื่องที่คุณคานส์ดูแลดี มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มาอยู่ที่นี่ฉันไม่ต้องหยิบจับอะไรเลย มีคนคอยทำให้ จะติดก็แค่เรื่องคำพูดของเขา และเรื่องเซ็กส์ที่เขามีความต้องการมากจนเกินไป แต่เรื่องนี้ฉันไม่ได้บอกพ่อ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะบอก ตอนนี้ฉันออกมาหาแพรวันนี้เธออยู่ที่คอนโดไม่ได้เปิดร้าน “แกไม่แพ้ท้องแล้วหรออลิช” “ก็มีแพ้บ้าง” “กินข้าวมาหรือยัง ม
ฉันได้แต่นั่งเงียบเพราะมันยังตกใจกับคำพูดของพ่อคุณคานส์อยู่ ไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรถึงได้คิดจะให้ฉันกับคุณคานส์แต่งงานกัน ซึ่งถ้าถามความต้องการของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น “แกไม่ได้บอก แต่ฉันสั่ง!!” พ่อคุณคานส์บอกในเชิงบังคับ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้คุณคานส์ไม่พอใจเอามากๆ เขาลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับพ่อของตัวเองอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว “ผมโตแล้ว พ่อไม่มีสิทธิ์บังคับแบบนี้”“ใช่แกโตแล้ว ที่ผ่านมาฉันปล่อยให้แกทำตามอำเภอใจทุกอย่าง หึ!! แล้วเป็นยังไงผลลัพธ์ที่ได้ แกทำผู้หญิงท้อง นี่สินะคำที่บอกว่าโตแล้วของแก” “ผมจัดการเรื่องนี้เองพ่อไม่ต้องมายุ่ง” “เรื่องนี้ฉันคงไม่ยุ่งไม่ได้ เพราะนั่นก็หลานของฉันเหมือนกัน” “หลานก็ส่วนหลาน มันไม่เกี่ยวอะไรกับการแต่งงาน” “แกควรแสดงความเป็นลูกผู้ชายให้มากกว่านี้นะตาคานส์ ถ้าแม่แกยังอยู่คงจะผิดหวังที่มีลูกชายอย่างแก” “ผมก็รับผิดชอบเธอไปแล้วด้วยการจดทะเบียนสมรส รับมาดูแลที่บ้าน แค่นี้มันก็มากพ่อแล้วจะแต่งงานประกาศให้คนอื่นรู้ไปเพื่ออะไรครับ ถ้าเด็กในท้องเธอไม่ใช่ลูกผมคนที่น่าอับอายมากที่สุดก็คือคุณพ่อ ไม่ใช่ผม ห่วงชื่อเสียงของตัวเองมากไม่ใช่หรือไงครับ”คุณคานส์ยั
คุณคานส์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หลังจากที่ฉันถาม ก่อนที่เขาจะบอกเสียงแข็ง “ถ้าไม่บอกก็ไม่ต้องไป” คุณคานส์นี่ก็แปลก จะอยากรู้ไปทำไมถึงกับพูดว่าถ้าฉันไม่บอกก็ไม่ต้องไป เฮ้อ… ฉันได้แต่นึกบ่นในใจจากนั้นก็บอกคุณคานส์ว่าห้องแพรเพื่อนสนิทที่ฉันจะไปนอนกับเธออยู่ที่ไหน แล้วพอเขารู้ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก หันหลังเดินเข้าไปในตัวบ้านเลย เขาอยากจะรู้แค่นี้จริงๆ สิเนอะ เช้าวันต่อมา ฉันเก็บเสื้อผ้าสองชุดใส่กระเป๋าเป้สะพาย เพื่อจะไปนอนกับแพร เมื่อคืนได้โทรบอกแพรเอาไว้เรียบร้อยแล้ว “พี่เจจะไปส่งหรอคะ” มันแปลกใจพอเดินออกมาจากบ้านก็เห็นว่าพี่เจกำลังยืนรออยู่ที่รถแล้ว“ใช่ครับ นายสั่งให้ผมไปส่ง และห้ามให้คุณอลิชไปเองเด็ดขาด” พี่เจพูดดักไว้เพราะรู้ว่าฉันคงต้องขอให้เขาไม่ต้องไปส่งแน่ๆ “ค่ะ ไปก็ไป” พูดจบฉันก็เดินมาเปิดประตูรถเข้ามานั่งด้านใน ก่อนที่รถหรูจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้านช้าๆ #คอนโดแพร ฉันเอาของวางไว้แล้วนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อปล่อยวางความคิดฟุ้งซ่านที่ทำให้ตัวเองเครียด “แกมาอยู่กับฉันแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เลยใช่ไหมอลิช” แพรถาม เมื่อคืนเธอก็ถามประโยคนี้แต่ฉันปฏิเสธออกไป
หลังจากวงสายฉันก็เดินกลับเข้ามาในคลับ ตอนนี้คุณคานส์กำลังมารับ “ไปนานจัง” แพรท้วงขึ้นมาเมื่อฉันนั่งลงที่เดิม “แพรฉันต้องกลับแล้วนะ” “หื้อ! กลับอะไรของแกเราเพิ่งมาเองนะ” “ฉันขอโทษ เมื่อกี้คุณคานส์โทรมา ขะ เขากำลังมารับฉัน” “เดี๋ยวนะอลิช! เขารู้หรอว่าแกอยู่ที่นี่” “อื้อ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้ได้ยังไง”“ต้องให้คนคอยสะกดรอยตามแกแหงๆ เลย” “……” ถ้าคุณคานส์ทำแบบที่แพรว่ามันก็แย่มากเลยนะ การให้คนคอยสะกดรอยตามมันเหมือนเป็นการคุกคามชีวิตส่วนตัวของฉัน“ทำอย่างกับหวงแกมาก นี่ถ้าผู้ชายไม่สนใจคงไม่ตามถูกมะ” “ก็ฉันท้องลูกของเขาอยู่ไง” ฉันหาเหตุผลมาหักล้างคำว่าหวงที่แพรบอก ไม่มีทางที่คุณคานส์จะหวงฉันหรอก “แต่เขาไม่เชื่อว่าเด็กในท้องเป็นลูกตัวเองถึงขนาดจะต้องขอตรวจดีเอ็นเอ แบบนี่เรียกหวงเหอะอย่ามาอ้างว่าแกท้องเลย”“ไปกันใหญ่แล้วแพร เลิกพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว” ครืด~ โทรศัพท์ในมือของฉันสั่นขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่าคุณคานส์โทรมา ฉันจึงรีบบอกแพร“แกจะกลับเลยไหมคุณคานส์เขาโทรมาแล้ว”“อีกสักพักเดี๋ยวฉันก็กลับ ขอนั่งต่ออีกสักหน่อย”“ขอโทษนะที่ต้องทิ้งแกแบบนี้” ฉันบอกเพื่อนอย่างรู้สึกผิด “ไม่ต้
คุณคานส์กดจูบลงมาบนริมฝีปากของฉัน แปลกที่ครั้งนี้ฉันไม่ขัดขืน ยอมให้เขาจูบแถมยังใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทำไมกัน ทำไมคำพูดพวกนั้นถึงทำให้ฉันหวั่นไหวได้มากขนาดนี้ คุณคานส์สอดมือเข้ามาในเสื้อ เขาเลื้อยลูบไล้บริเวณหน้าท้องของฉันแล้วเลื้อยขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าอกอวบอิ่มทั้งสองเต้าฝ่ามือใหญ่บีบเคล้นหน้าอกของฉันพร้อมกับลมหายใจร้อนผ่าวของคุณคานส์ที่เริ่มไม่คงที่ บ่งบอกว่าเขาเริ่มมีอารมณ์ “อื้อ~” ฉันร้องประท้วงในลำคอเพราะถูกคุณคานส์งับเขี้ยวฟันลงมาบนริมฝีปาก เขาเกิดนึกบ้าอะไรขึ้นมาอีก สิ้นสุดเสียงร้องท้วงจากฉันคุณคานส์ก็ผละริมฝีปากออก สีหน้าของเขาไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด คุณคานส์หยัดตัวขึ้น เขาถอดเสื้อออกเผยให้เห็นกล้ามที่แขนและซิกแพคเรียงรายสวยงานที่หน้าท้อง มันไม่ได้มีเยอะจนน่ากลัว แต่มันน่าสัมผัสต่างห่าง นะ นี่ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยู่ !ฉันกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเบือนหน้าหนี หลังจากที่คุณคานส์ถอดเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จเขาก็ปลดกางเกงของฉันลง และฉันก็ยังนอนนิ่งอยู่ ทั้งที่ควรห้าม เมื่อร่างกายของฉันและคุณคานส์ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่แล้วเขาก็แทรกตัวมาตรงกลางระหว่างขอของฉัน “ทะ ทำเบาๆ นะคะ”
ฉันเดินมาทางห้องน้ำโดยมีคุณคานส์เดินตามหลังมาติดๆ ฉันจึงหันไปมองเขาด้วยความระแวงกลัวว่าเขาคิดจะทำอะไรไม่ดีที่ตามมาแบบนี้ พรึบ! “โอ้ย!!” ด้วยความที่เอาแต่หันมองคุณคานส์ พอหันหน้ามาก็ชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งอย่างจังจนเกือบจะล้ม โชคดีที่คุณคานส์รับไว้ทัน “ไม่มีตาหรือไงห๊ะ! ถึงไม่เห็นว่ามีคนเดินอยู่” คุณคานส์ตวาดถามคนที่ชนกับฉันเสียงดังลั่น เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องโกรธมากขนาดนั้น“คุณคานส์คะ อลิชผิดเองที่ไม่ได้มอง” ฉันรีบบอกเพราะกลัวว่าคุณคานส์จะหาเรื่องผู้ชายคนนั้นไปมากกว่านี้“ขอโทษครับผมไม่ทันมอง” เขาตอบแล้วรีบเดินหนีไปเลย หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นเดินไปคุณคานส์ก็มองฉันด้วยสายตาที่ดุดันราวกับว่าฉันเพิ่งทำอะไรที่มันผิดเอามากๆ“ทำไมไม่รู้จักมองทาง ถ้าพลาดล้มขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น”“……”“เธอควรดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ ถ้าลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” “…….” ตึกตัก! ตึกตัก! หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวพอได้ฟังคำพูดนั้น เขายอมรับแล้วอย่างนั้นหรอว่าในท้องของฉันคือลูกเขา ทั้งที่อยากจะตรวจดีเอ็นเอเพราะไม่มั่นใจไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงพูดว่าลูกตัวเองอย่างไม่ลังเล