“แม่ปีบ....ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี้เอง โอ๊ย...แม่ปีบอย่ากอดผมแน่น ผมก็ดีใจที่เจอแม่ปีบเป็นคนแรก” รามกอดตอบหญิงวัยกลางคนอย่างรักใคร่พลางชะเง้อหน้ามองเลยเข้าไปหลังรั้วอัลลอยด์
“นี่แม่ปีบดีใจมากจนใจคอจะให้คนไกลยืนตากแดดคอยตรงนี้หรือไง แล้วคนอื่นล่ะ คุณแม่....เจ้าราช.....”
ทันทีที่แม่ปีบเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของชายหนุ่ม เขาต้องชะงักไปชั่วขณะด้วยใบหน้าอวบอูมนั้นนองไปด้วยน้ำตา
“แม่ปีบเป็นอะไร.....ร้องไห้ทำไม มีอะไรบอกผมสิครับ”
อีกฝ่ายถอนสะอื้นก่อนจะเอ่ย “คุณราชค่ะ คุณราชกินยานอนหลับเกินขนาด ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล คุณหญิงท่านเป็นลมไปหลายรอบแล้ว คุณรามรีบตามไปดูก่อนเถิดค่ะ คุณพระคุณเจ้า...ขออย่าให้คุณราชเป็นอะไรไปเลย”
ใบหน้าของรามเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มขบกรามแน่นสีหน้าเครียดเข้ม
“ว่าไงวะราม.....มีอะไรรึเปล่า?” พีรพลตะโกนถามมาจากในรถ รามละล้าละลังมองแม่ปีบซึ่งเป็นแม่นมที่เคยเลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างชั่งใจ
“คุณรามไปโรงพยาบาลนะคะ ไม่ต้องห่วงปีบ รีบไปดูแลคุณหญิง” แม่ปีบสะอื้นไห้พลางละล่ำละลักให้รามรีบไป ชายหนุ่มผละจากหญิงวัยกลางคนกลับเข้าไปในรถ
“มีอะไรกัน นั่นแม่นมปีบเขาดีใจที่แกกลับมาถึงกับร่ำไห้ขนาดนั้นเชียวหรือวะ”
“เจ้าราชกินยานอนหลับเกินขนาด ตอนนี้มันอยู่โรงพยาบาล ฉันต้องรีบไปดูมันก่อน นี่มันอะไรกันวะ เมื่อกี้เกือบจะขับรถชนคน นี่มาถึงบ้านไม่ทันได้เข้าบ้านก็มีเรื่องอีกแล้ว” รามสบถอย่างหัวเสียรีบถอยรถแล้วบึ่งออกไปทิ้งแม่ปีบยืนร่ำไห้อยู่ข้างหลัง
“อย่าบอกนะเพื่อน ว่าที่มันกินยาตายเพราะว่า....” เสียงของพีรพลขาดหายไปในลำคอ ในเวลาเช่นนี้อะไรจะดีไปกว่าความเงียบและได้แต่มองมือหนาใหญ่ของเพื่อนรักที่กุมพวงมาลัยไว้แน่น เส้นทางที่ทอดตัวอยู่ข้างหน้าราวจะยืดยาวไปไม่สิ้นสุด หัวใจของรามเต้นแรงขึ้นๆ ทุกขณะ น้องจะเป็นเช่นไรบ้าง ทำไมถึงได้คิดสั้นแบบนี้ คำถามที่ไม่มีคำตอบวนเวียนไปมาอยู่ในหัวตลอดเวลา ชายหนุ่มเร่งความเร็ว แต่ยิ่งเร็วมากเท่าใดหัวใจก็ยิ่งหวั่นหวาดมากเท่านั้น แสงแดดแผดแรงในยามนี้ก็คงไม่ร้อนเท่าสิ่งที่ปะทุอยู่ภายใน
“พี่.....ตอนนี้ผมเจอคนที่ใช่แล้วนะ”แวบหนึ่งในความคิดนั้นได้ยินเสียงของน้องชายทางโทรศัพท์ชัดเจน “ผมไม่เคยรักใครเลยนะพี่ นี่เป็นรักแรกของผมจริงๆ เธอสวย ฉลาด อบอุ่น ผมอยากใช้ชีวิตกับเธอจริงๆ เสียดายที่ตอนนี้พี่อยู่เชียงใหม่ ถ้าพี่อยู่กับผมที่นี่ผมจะพาเธอมารู้จักกับพี่”
แม้ไม่เห็นหน้ารามก็ยังนึกออกว่าน้องชายจริงจังมากแค่ไหนกับความรักครั้งนี้ ราชเป็นน้องชายคนเดียวของราม ทั้งคู่เป็นบุตรชายของคุณหญิงปารมี อยู่ในตระกูลวิเศษณ์ธาดาที่ร่ำรวยมหาศาล บิดานั้นจากเขาไปตั้งแต่วัยเยาว์ มารดาของทั้งสองย้ายครอบครัวจากเชียงใหม่มาตั้งรกรากอยู่ที่ภูเก็ต คุณหญิงปารมีใช้เงินส่วนหนึ่งเปิดรีสอร์ทหรูริมทะเลเป็นที่รู้จักกันดีในนาม ดิย่ารีสอร์ท รามและราชมีนิสัยแตกต่างกันมากแม้จะมีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน พี่ชายเป็นคนแข็งกร้าวไม่ยอมคนในขณะที่น้องชายเยียบเย็นและช่างฝัน
รามไม่ปรารถนาให้ใครมองเห็นความสำเร็จของตนภายใต้เงื้อมเงาของมารดาจึงปลีกวิเวกไปบุกเบิกรีสอร์ทของตนเองที่เชียงใหม่เพียงลำพัง เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี อัคนีรีสอร์ทของชายหนุ่มวัยสามสิบก็กลายเป็นรีสอร์ทในหุบเขาที่มีชื่อเสียงไม่น้อยไปกว่ารีสอร์ทริมทะเลของมารดา หลายปีแล้วที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมสันไม่ได้กลับบ้าน จังหวะชีวิตนั้นไม่หวือหวาอย่างคนเมืองด้วยอยู่กลางป่ากลางเขาแม้สตรีใดไม่เคยข้องแวะ ความแวดล้อมเช่นนี้เองได้หล่อหลอมให้บุตรชายคนหัวปีของคุณหญิงปารมีกลายเป็นคนเย็นชาและดุดันเพราะจุดมุ่งหมายในชีวิตของราม วิเศษณ์ธาดาคืองานและงานเท่านั้น
“ความรักทำให้คนดีเป็นคนบ้า ตาสว่างก็มืดบอด คนเป็นก็กลายเป็นคนตาย เจ้าราชมันอ่อนแอ มันยอมให้ความหลอกลวงนั่นมามีอำนาจเหนือมัน ฉันคนหนึ่งจะไม่มีวันให้สิ่งบังตามาทำให้ฉันอ่อนแอเช่นนั้น ฉันจะไม่มีวันทุ่มเทความรักให้ใครจนไม่เหลืออะไรไว้ให้ตัวเองเด็ดขาด”
ไม่นานก็เห็นป้ายโรงพยาบาลอยู่ลิบๆ แม้ภายนอกที่ดูเข้มแข็งของรามจะทำให้ดูเหมือนว่าเขาไม่หวาดหวั่นสักแค่ไหน แต่หัวใจนั้นกลับร้อนรนทั้งยังกังวลหนักหนา หากมีอะไรเกิดขึ้นคนที่เขาต้องเป็นห่วงมากที่สุดคือคุณหญิงปารมีมารดาของเขาเองเพราะหลังจากที่บิดาได้จากไปแล้ว ในชีวิตของคุณหญิงก็เหลือเพียงเขาและน้องชายเท่านั้น
“ราม.....รามลูกแม่ รามกลับมาแล้วหรือลูก”เสียงหอบโหยของคุณหญิงดังขึ้นทันทีที่บุตรชายคนโตมาถึงหน้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ที่ตนเองนั่งรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดคาฟทานสีสด แม้อายุจะมากแล้วแต่ผิวพรรณก็ยังผุดผ่องอยู่บนเรือนร่างที่ยังบอบบาง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต่ยังคงมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ ผมดำขลับถูกรวบเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นเพชรอันน้อย คุณหญิงรีบถลาเข้าสู่อ้อมแขนของบุตรชายราวกับว่านี่เป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย “รามลูกแม่....ตาราช...ตาราช....”หญิงวัยกลางคนสะอื้นไห้ตัวโยนพูดพลางสะอื้นฮักก่อนจะใช้นิ้วเรียวที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่หลายวงประคองใบหน้าบุตรชายไว้คล้ายกลัวว่าสิ่งมีค่านี้จะหลุดหายไป “รามกลับมาอยู่กับแม่นะลูก รามไม่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว ถ้าตาราชเป็นอะไรไปแม่จะอยู่กับใคร” “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณแม่อย่ากังวล ราชจะปลอดภัย ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมจะอยู่กับคุณแม่” ชายหนุ่มปลอบประโลมมารดา สักครู่จึงเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงปารมี “สวัสดีครับ.......คุณราม”เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดสูทผ้
มิ่งขวัญยิ้มรับแทนคำตอบ ดวงตากลมบนใบหน้าเรียวเล็กจ้องมองบุตรสาวอย่างเลื่อนลอย มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาแสนเศร้าของหญิงวัยกลางคน นางถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาว “แม่ขอโทษลูก แม่ทำให้ลูกต้องลำบาก ชีวิตของแม่มีลูกอยู่คนเดียว แต่แม่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกของแม่มีความสุขได้ แม่ขอโทษ” “ไม่ค่ะแม่ แม่อย่าโทษตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความสมัครใจของหนูเอง ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าแม่ไม่เตือนหนู หนูก็คงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงเสียที” “โลกแห่งความจริงที่มันโหดร้าย....” “แต่หนูก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี...อย่าคิดถึงมันอีกเลยค่ะแม่ แม่ไม่สบายอยู่ แม่พักผ่อนมากๆ นะคะ เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำก่อน อ้อ...แม่ทานยารึยัง” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ คล้อยหลังที่บุตรสาวเดินเข้าห้องนางก้มลงมองผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือที่ค่อยๆ คลายออกหลังจากกำไว้แน่น บนเนื้อผ้าบางสีขาวมีรอยเลือดสีแดงสดหยดเล็กๆ ติดอยู่ น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาตามร่องแก้มที่มีริ้วรอยของการผ่านช่วงชีวิตมานาน มิ่งขวัญหลับตาลงหัวใจล่องลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันน
มิ่งขวัญเม้มริมฝีปากแน่น มือที่จับกระดาษแผ่นนั้นสั่นเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้สืบเรื่องของเธอและลูกด้วยเช่นนั้นหรือ โอ้...นี่หรือคนมีเงิน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ใช้สิ่งนี้แลกมาได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณของความเป็นคน “ขอบคุณในความเมตตา แต่คุณกรุณาเอาเช็คนี่กลับไปเถิดค่ะ”คำพูดของมิ่งขวัญมีพลังพอที่จะทำให้ดวงตาของผู้ยื่นข้อเสนอวาวโรจน์และยิ่งเมื่อกระดาษแผ่นน้อยถูกวางกลับคืนที่เดิมอย่างไม่ใยดียิ่งทำให้คุณหญิงแทบเต้น “นี่เธอ!....อ้อ...ใช่สิ ฉันลืมไป ตัวลูกชายของฉันคงจะมีค่ามากกว่าเงินหนึ่งล้านนี่เป็นแน่แท้ พวกเธอมันก็นักธุรกิจเหมือนกันนี่ คนต่อเงิน เธอก็คิดได้เหมือนกันรึ ฉันคิดว่าคนเป็นครูให้ความรู้เด็กจะไม่รู้จักคิดเรื่องการต่อรอง ฉันประมาณพวกเธอผิดไปมาก” มิ่งขวัญกลืนน้ำลายลงคอที่เหมือนตีบตันมากขึ้นทุกขณะ ผู้หญิงคนนี้มองเธอเป็นอะไร เอาเงินมาใช้เป็นเครื่องต่อรอง พอถูกปฏิเสธกลับพูดจาหมิ่นแคลนราวกับคนที่ตนกำลังสนทนาอยู่ด้วยไม่มีเลือดเนื้อความเป็นมนุษย์ หญิงวัยกลางคนพยายามเก็บความเจ็บปวดนั้นให้อยู่ลึกลงไปใต้จิตสำนึก ยังไว้แต่ความเข้มแข็งเป็นเกราะป้องกันตนเองแม้มันจะเปราะ
ท่ามกลางความแออัดจอแจของการจราจรและผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา หญิงสาวในชุดแซกยาวกรอมเท้าผ้าป่านมัสลินสีน้ำเงินเข้มพาร่างแบบบางเดินไปตามทางเท้าอย่างเชื่องช้า ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นหางม้าอวดใบหน้าเนียนทว่าซีดราวกระดาษ ดวงตากลมโตคู่นั้นแลไปเบื้องหน้าแต่เหมือนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ริมฝีปากมีร่องรอยของลิปสติกสีอ่อนทอประกายเจือจาง นิ้วเรียวกุมสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น “มีมี่.....คุณพูดอะไรออกมา....เรา...เราเป็นแฟนกันนะ” เสียงทุ้มต่ำนั้นดังขึ้นในความคิด ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานชัดเจนอยู่ในภวังค์ของลักษมียิ่งนัก “แล้วมันจะสำคัญตรงไหนราช มีมี่จะบอกอะไรให้ จริงๆ แล้วมีมี่ไม่ได้ปลื้มผู้ชายช่างฝันอย่างคุณ เราไม่มีอะไรเหมาะสมกันสักนิด” “คุณไม่เคยเป็นแบบนี้นะมีมี่ เกิดอะไรขึ้น คุณกำลังจะบอกอะไรผม” “ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันเบื่อคุณ ฉันไม่ได้รักคุณอีกแล้ว ฟังนะราช ฉันแค่อยากลองคบกับคุณ แล้วฉันก็พบคำตอบว่าคุณไม่ใช่....แบบที่ฉันคาดหวัง” “แล้วคุณต้องเจอใครอีกสักกี่คนถึงจะเจออย่างที่คุณต้องการ” “ราช การที่เร
มิ่งขวัญเม้มริมฝีปากแน่น มือที่จับกระดาษแผ่นนั้นสั่นเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้สืบเรื่องของเธอและลูกด้วยเช่นนั้นหรือ โอ้...นี่หรือคนมีเงิน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ใช้สิ่งนี้แลกมาได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณของความเป็นคน “ขอบคุณในความเมตตา แต่คุณกรุณาเอาเช็คนี่กลับไปเถิดค่ะ”คำพูดของมิ่งขวัญมีพลังพอที่จะทำให้ดวงตาของผู้ยื่นข้อเสนอวาวโรจน์และยิ่งเมื่อกระดาษแผ่นน้อยถูกวางกลับคืนที่เดิมอย่างไม่ใยดียิ่งทำให้คุณหญิงแทบเต้น “นี่เธอ!....อ้อ...ใช่สิ ฉันลืมไป ตัวลูกชายของฉันคงจะมีค่ามากกว่าเงินหนึ่งล้านนี่เป็นแน่แท้ พวกเธอมันก็นักธุรกิจเหมือนกันนี่ คนต่อเงิน เธอก็คิดได้เหมือนกันรึ ฉันคิดว่าคนเป็นครูให้ความรู้เด็กจะไม่รู้จักคิดเรื่องการต่อรอง ฉันประมาณพวกเธอผิดไปมาก” มิ่งขวัญกลืนน้ำลายลงคอที่เหมือนตีบตันมากขึ้นทุกขณะ ผู้หญิงคนนี้มองเธอเป็นอะไร เอาเงินมาใช้เป็นเครื่องต่อรอง พอถูกปฏิเสธกลับพูดจาหมิ่นแคลนราวกับคนที่ตนกำลังสนทนาอยู่ด้วยไม่มีเลือดเนื้อความเป็นมนุษย์ หญิงวัยกลางคนพยายามเก็บความเจ็บปวดนั้นให้อยู่ลึกลงไปใต้จิตสำนึก ยังไว้แต่ความเข้มแข็งเป็นเกราะป้องกันตนเองแม้มันจะเปราะ
มิ่งขวัญยิ้มรับแทนคำตอบ ดวงตากลมบนใบหน้าเรียวเล็กจ้องมองบุตรสาวอย่างเลื่อนลอย มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาแสนเศร้าของหญิงวัยกลางคน นางถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาว “แม่ขอโทษลูก แม่ทำให้ลูกต้องลำบาก ชีวิตของแม่มีลูกอยู่คนเดียว แต่แม่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกของแม่มีความสุขได้ แม่ขอโทษ” “ไม่ค่ะแม่ แม่อย่าโทษตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความสมัครใจของหนูเอง ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าแม่ไม่เตือนหนู หนูก็คงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงเสียที” “โลกแห่งความจริงที่มันโหดร้าย....” “แต่หนูก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี...อย่าคิดถึงมันอีกเลยค่ะแม่ แม่ไม่สบายอยู่ แม่พักผ่อนมากๆ นะคะ เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำก่อน อ้อ...แม่ทานยารึยัง” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ คล้อยหลังที่บุตรสาวเดินเข้าห้องนางก้มลงมองผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือที่ค่อยๆ คลายออกหลังจากกำไว้แน่น บนเนื้อผ้าบางสีขาวมีรอยเลือดสีแดงสดหยดเล็กๆ ติดอยู่ น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาตามร่องแก้มที่มีริ้วรอยของการผ่านช่วงชีวิตมานาน มิ่งขวัญหลับตาลงหัวใจล่องลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันน
“ราม.....รามลูกแม่ รามกลับมาแล้วหรือลูก”เสียงหอบโหยของคุณหญิงดังขึ้นทันทีที่บุตรชายคนโตมาถึงหน้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ที่ตนเองนั่งรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดคาฟทานสีสด แม้อายุจะมากแล้วแต่ผิวพรรณก็ยังผุดผ่องอยู่บนเรือนร่างที่ยังบอบบาง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต่ยังคงมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ ผมดำขลับถูกรวบเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นเพชรอันน้อย คุณหญิงรีบถลาเข้าสู่อ้อมแขนของบุตรชายราวกับว่านี่เป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย “รามลูกแม่....ตาราช...ตาราช....”หญิงวัยกลางคนสะอื้นไห้ตัวโยนพูดพลางสะอื้นฮักก่อนจะใช้นิ้วเรียวที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่หลายวงประคองใบหน้าบุตรชายไว้คล้ายกลัวว่าสิ่งมีค่านี้จะหลุดหายไป “รามกลับมาอยู่กับแม่นะลูก รามไม่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว ถ้าตาราชเป็นอะไรไปแม่จะอยู่กับใคร” “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณแม่อย่ากังวล ราชจะปลอดภัย ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมจะอยู่กับคุณแม่” ชายหนุ่มปลอบประโลมมารดา สักครู่จึงเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงปารมี “สวัสดีครับ.......คุณราม”เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดสูทผ้
“แม่ปีบ....ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี้เอง โอ๊ย...แม่ปีบอย่ากอดผมแน่น ผมก็ดีใจที่เจอแม่ปีบเป็นคนแรก” รามกอดตอบหญิงวัยกลางคนอย่างรักใคร่พลางชะเง้อหน้ามองเลยเข้าไปหลังรั้วอัลลอยด์ “นี่แม่ปีบดีใจมากจนใจคอจะให้คนไกลยืนตากแดดคอยตรงนี้หรือไง แล้วคนอื่นล่ะ คุณแม่....เจ้าราช.....” ทันทีที่แม่ปีบเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของชายหนุ่ม เขาต้องชะงักไปชั่วขณะด้วยใบหน้าอวบอูมนั้นนองไปด้วยน้ำตา “แม่ปีบเป็นอะไร.....ร้องไห้ทำไม มีอะไรบอกผมสิครับ”อีกฝ่ายถอนสะอื้นก่อนจะเอ่ย “คุณราชค่ะ คุณราชกินยานอนหลับเกินขนาด ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล คุณหญิงท่านเป็นลมไปหลายรอบแล้ว คุณรามรีบตามไปดูก่อนเถิดค่ะ คุณพระคุณเจ้า...ขออย่าให้คุณราชเป็นอะไรไปเลย”ใบหน้าของรามเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มขบกรามแน่นสีหน้าเครียดเข้ม “ว่าไงวะราม.....มีอะไรรึเปล่า?” พีรพลตะโกนถามมาจากในรถ รามละล้าละลังมองแม่ปีบซึ่งเป็นแม่นมที่เคยเลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างชั่งใจ “คุณรามไปโรงพยาบาลนะคะ ไม่ต้องห่วงปีบ รีบไปดูแลคุณหญิง” แม่ปีบสะอื้นไห้พลางละล่ำละลักให้รามรีบไป ชายหนุ่มผละจากหญิงวัยกลางคนกลับเข้า
ท่ามกลางความแออัดจอแจของการจราจรและผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา หญิงสาวในชุดแซกยาวกรอมเท้าผ้าป่านมัสลินสีน้ำเงินเข้มพาร่างแบบบางเดินไปตามทางเท้าอย่างเชื่องช้า ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นหางม้าอวดใบหน้าเนียนทว่าซีดราวกระดาษ ดวงตากลมโตคู่นั้นแลไปเบื้องหน้าแต่เหมือนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ริมฝีปากมีร่องรอยของลิปสติกสีอ่อนทอประกายเจือจาง นิ้วเรียวกุมสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น “มีมี่.....คุณพูดอะไรออกมา....เรา...เราเป็นแฟนกันนะ” เสียงทุ้มต่ำนั้นดังขึ้นในความคิด ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานชัดเจนอยู่ในภวังค์ของลักษมียิ่งนัก “แล้วมันจะสำคัญตรงไหนราช มีมี่จะบอกอะไรให้ จริงๆ แล้วมีมี่ไม่ได้ปลื้มผู้ชายช่างฝันอย่างคุณ เราไม่มีอะไรเหมาะสมกันสักนิด” “คุณไม่เคยเป็นแบบนี้นะมีมี่ เกิดอะไรขึ้น คุณกำลังจะบอกอะไรผม” “ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันเบื่อคุณ ฉันไม่ได้รักคุณอีกแล้ว ฟังนะราช ฉันแค่อยากลองคบกับคุณ แล้วฉันก็พบคำตอบว่าคุณไม่ใช่....แบบที่ฉันคาดหวัง” “แล้วคุณต้องเจอใครอีกสักกี่คนถึงจะเจออย่างที่คุณต้องการ” “ราช การที่เร