ท่ามกลางความแออัดจอแจของการจราจรและผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา หญิงสาวในชุดแซกยาวกรอมเท้าผ้าป่านมัสลินสีน้ำเงินเข้มพาร่างแบบบางเดินไปตามทางเท้าอย่างเชื่องช้า ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นหางม้าอวดใบหน้าเนียนทว่าซีดราวกระดาษ ดวงตากลมโตคู่นั้นแลไปเบื้องหน้าแต่เหมือนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ริมฝีปากมีร่องรอยของลิปสติกสีอ่อนทอประกายเจือจาง นิ้วเรียวกุมสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น
“มีมี่.....คุณพูดอะไรออกมา....เรา...เราเป็นแฟนกันนะ”
เสียงทุ้มต่ำนั้นดังขึ้นในความคิด ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานชัดเจนอยู่ในภวังค์ของลักษมียิ่งนัก
“แล้วมันจะสำคัญตรงไหนราช มีมี่จะบอกอะไรให้ จริงๆ แล้วมีมี่ไม่ได้ปลื้มผู้ชายช่างฝันอย่างคุณ เราไม่มีอะไรเหมาะสมกันสักนิด”
“คุณไม่เคยเป็นแบบนี้นะมีมี่ เกิดอะไรขึ้น คุณกำลังจะบอกอะไรผม”
“ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันเบื่อคุณ ฉันไม่ได้รักคุณอีกแล้ว ฟังนะราช ฉันแค่อยากลองคบกับคุณ แล้วฉันก็พบคำตอบว่าคุณไม่ใช่....แบบที่ฉันคาดหวัง”
“แล้วคุณต้องเจอใครอีกสักกี่คนถึงจะเจออย่างที่คุณต้องการ”
“ราช การที่เราต้องคบกับคนๆ เดียวนานๆ มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย มีมี่แค่อยากพบอะไรใหม่ๆ ในชีวิต และอยากบอกคุณสั้นๆ นะว่า...... เราเลิกกันเถอะ”ประโยคสุดท้ายที่ทำให้คนฟังหน้าซีดเผือดในขณะที่คนพูดรู้สึกราวหัวใจตัวเองถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ หญิงสาวหยุดกึกพร้อมๆ กับภาพที่อยู่ในหัวสลายไปกลับได้ยินเสียงแตรรถดังลั่นมาแทนที่ สติสัมปชัญญะถูกกระชากคืนมาเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองยืนจังงังอยู่กลางถนน
“นี่คุณ!.........เดินแบบนี้โดนรถชนตายจะว่าไง”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ชายหนุ่มร่างสูงในชุดกางเกงสแล็คเสื้อเชิ้ตสีขาวก้าวลงจากรถเก๋งด้านคนขับอย่างหัวเสีย ทว่าเมื่อร่างบางระหงที่เกือบถูกชนเมื่อครู่หันมาทำให้ชายหนุ่มผงะงันไปชั่วครู่ ใบหน้างดงามแต่ซูบซีดราวกระดาษ ดวงตาคู่นั้นมีน้ำรื้นและดูหม่นหมองยิ่ง
“ขอโทษค่ะ....ฉันขอโทษ”
“เดี๋ยวคุณ!!.......”
ลักษมีวิ่งข้ามไปอีกฝั่งของถนนก่อนจะเดินลับหายไป
“อะไรกันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย” ชายหนุ่มงงงันแต่ก็ต้องรีบก้าวฉับๆ กลับมาที่รถเก๋งคันใหญ่สีดำเป็นมันปลาบก่อนจะรีบสตาร์ทเครื่องอย่างว่องไว
“แกขับรถเร็วหรือแม่สาวสวยคนนั้นเดินช้าวะ ราม”เสียงคนที่นั่งข้างๆ ถามอย่างขำๆ
“ภูเก็ตนี่น้า....ไม่ใช่เชียงใหม่ ไอ้พี”รามส่ายหน้าดิกก่อนใช้มือบังคับเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง แม้รถเก๋งคันหรูจะเคลื่อนตัวออกจากที่นั่นนานแล้วแต่ในใจของชายหนุ่มยังคงกระหวัดคิดถึงใบหน้าหมดจดที่ดูหม่นหมองนั้น
“คุณหญิงปารมีคงดีใจมากที่ลูกชายคนโตของท่าน นายราม วิเศษณ์ธาดา กลับมาช่วยดูแลรีสอร์ทหรูของท่านเสียที” พีรพลเอ่ยขึ้นมากลบความเงียบภายในรถ
“ฉันกลับมาดูหน้าเจ้าน้องชายของฉันต่างหาก”
“นายราชน่ะเรอะ จะมาดูมันทำไม นี่ที่แกหายหัวไปอยู่เชียงใหม่หลายปีแล้วเพิ่งกลับมาเพราะคิดถึงน้องชายคนเดียวของแกเนี่ยนะ”
“ถ้ามันสบายดีฉันคงไม่ห่วง” หยุดพูดสีหน้าครุ่นคิด “คุณแม่โทรไปหาฉันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บอกว่ามันกินเหล้าทุกวันไม่เป็นอันทำงานทำการอะไร วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง”
พีรพลชักสีหน้าสงสัย “ฉันอยู่ที่นี่แต่ไม่ได้เจอน้องแกนานแล้ว มันมีปัญหาอะไรนักหนา เงินทองรึก็มีใช้สบาย แม่แกรึก็เป็นคนกว้างขวางของที่นี่”
“เรื่องผู้หญิง” รามถอนหายใจยาวก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“มันถูกผู้หญิงบอกเลิก ผู้หญิงอะไรกันร้ายกาจ ใจดำเป็นที่สุด ทำให้ผู้ชายหัวหมุน ถ้าฉันเป็นเจ้าราชฉันต้องเอาคืนจากผู้หญิงคนนั้น”
“พอดีว่าแกไม่ใช่เจ้าราช มันเลยมานั่งตีอกชกตัวจะเป็นจะตาย เดี๋ยวไปถึงบ้านแกพี่พีคนนี้จะบอกเองว่าน้องราชจะเศร้าโศกาไปใย ผู้หญิงนั้นไซร้ มีมากกว่าฝูงลิง”
“แกต้องได้บอกแน่....นี่ไง...ถึงแล้ว” รามพูดก่อนจะหักพวงมาลัยพารถเข้าไปจอดหน้าประตูรั้วที่กั้นกลางระหว่างถนนภายนอกและตัวบ้านหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นในรูปแบบบาหลี ชายหนุ่มต้องประหลาดใจที่บีบแตรหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เห็นเงาใครสักคน
“ทำไมบ้านแกเงียบจังวะราม นี่เพิ่งบ่ายสามเอง”
พีรพลพลิกข้อมือดูนาฬิกาแล้วหันไปมองเพื่อนเห็นเพียงเสี้ยวหน้าหล่อเหลาที่จ้องตรงไปข้างหน้าอย่างใช้ความคิด สักครู่ก็มีใครคนหนึ่งพาร่างอวบท้วมในชุดเสื้อคอบัวสีอ่อนตัดกับผ้าถุงลายดอกฉูดฉาดพลางเดินพลางวิ่งออกมาชะเง้อที่ร่องลายฉลุประตูรั้วก่อนจะเปิดประตูบานเล็กที่รั้วบ้านออกมา
“คุณราม!!...”เจ้าของเสียงแหบโหยวิ่งออกมาในขณะที่ชายหนุ่มผลักประตูรถออก ทันที่ที่ร่างสูงใหญ่ลงมาจากตัวรถหญิงวัยกลางคนร่างอวบก็รีบโผเข้ากอดทันที
“คุณราม โอ้......คุณรามของปีบ คุณรามมาเมื่อไหร่ ปีบดีใจที่สุดเลย”
“แม่ปีบ....ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี้เอง โอ๊ย...แม่ปีบอย่ากอดผมแน่น ผมก็ดีใจที่เจอแม่ปีบเป็นคนแรก” รามกอดตอบหญิงวัยกลางคนอย่างรักใคร่พลางชะเง้อหน้ามองเลยเข้าไปหลังรั้วอัลลอยด์ “นี่แม่ปีบดีใจมากจนใจคอจะให้คนไกลยืนตากแดดคอยตรงนี้หรือไง แล้วคนอื่นล่ะ คุณแม่....เจ้าราช.....” ทันทีที่แม่ปีบเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของชายหนุ่ม เขาต้องชะงักไปชั่วขณะด้วยใบหน้าอวบอูมนั้นนองไปด้วยน้ำตา “แม่ปีบเป็นอะไร.....ร้องไห้ทำไม มีอะไรบอกผมสิครับ”อีกฝ่ายถอนสะอื้นก่อนจะเอ่ย “คุณราชค่ะ คุณราชกินยานอนหลับเกินขนาด ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล คุณหญิงท่านเป็นลมไปหลายรอบแล้ว คุณรามรีบตามไปดูก่อนเถิดค่ะ คุณพระคุณเจ้า...ขออย่าให้คุณราชเป็นอะไรไปเลย”ใบหน้าของรามเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มขบกรามแน่นสีหน้าเครียดเข้ม “ว่าไงวะราม.....มีอะไรรึเปล่า?” พีรพลตะโกนถามมาจากในรถ รามละล้าละลังมองแม่ปีบซึ่งเป็นแม่นมที่เคยเลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างชั่งใจ “คุณรามไปโรงพยาบาลนะคะ ไม่ต้องห่วงปีบ รีบไปดูแลคุณหญิง” แม่ปีบสะอื้นไห้พลางละล่ำละลักให้รามรีบไป ชายหนุ่มผละจากหญิงวัยกลางคนกลับเข้า
“ราม.....รามลูกแม่ รามกลับมาแล้วหรือลูก”เสียงหอบโหยของคุณหญิงดังขึ้นทันทีที่บุตรชายคนโตมาถึงหน้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ที่ตนเองนั่งรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดคาฟทานสีสด แม้อายุจะมากแล้วแต่ผิวพรรณก็ยังผุดผ่องอยู่บนเรือนร่างที่ยังบอบบาง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต่ยังคงมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ ผมดำขลับถูกรวบเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นเพชรอันน้อย คุณหญิงรีบถลาเข้าสู่อ้อมแขนของบุตรชายราวกับว่านี่เป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย “รามลูกแม่....ตาราช...ตาราช....”หญิงวัยกลางคนสะอื้นไห้ตัวโยนพูดพลางสะอื้นฮักก่อนจะใช้นิ้วเรียวที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่หลายวงประคองใบหน้าบุตรชายไว้คล้ายกลัวว่าสิ่งมีค่านี้จะหลุดหายไป “รามกลับมาอยู่กับแม่นะลูก รามไม่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว ถ้าตาราชเป็นอะไรไปแม่จะอยู่กับใคร” “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณแม่อย่ากังวล ราชจะปลอดภัย ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมจะอยู่กับคุณแม่” ชายหนุ่มปลอบประโลมมารดา สักครู่จึงเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงปารมี “สวัสดีครับ.......คุณราม”เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดสูทผ้
มิ่งขวัญยิ้มรับแทนคำตอบ ดวงตากลมบนใบหน้าเรียวเล็กจ้องมองบุตรสาวอย่างเลื่อนลอย มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาแสนเศร้าของหญิงวัยกลางคน นางถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาว “แม่ขอโทษลูก แม่ทำให้ลูกต้องลำบาก ชีวิตของแม่มีลูกอยู่คนเดียว แต่แม่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกของแม่มีความสุขได้ แม่ขอโทษ” “ไม่ค่ะแม่ แม่อย่าโทษตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความสมัครใจของหนูเอง ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าแม่ไม่เตือนหนู หนูก็คงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงเสียที” “โลกแห่งความจริงที่มันโหดร้าย....” “แต่หนูก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี...อย่าคิดถึงมันอีกเลยค่ะแม่ แม่ไม่สบายอยู่ แม่พักผ่อนมากๆ นะคะ เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำก่อน อ้อ...แม่ทานยารึยัง” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ คล้อยหลังที่บุตรสาวเดินเข้าห้องนางก้มลงมองผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือที่ค่อยๆ คลายออกหลังจากกำไว้แน่น บนเนื้อผ้าบางสีขาวมีรอยเลือดสีแดงสดหยดเล็กๆ ติดอยู่ น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาตามร่องแก้มที่มีริ้วรอยของการผ่านช่วงชีวิตมานาน มิ่งขวัญหลับตาลงหัวใจล่องลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันน
มิ่งขวัญเม้มริมฝีปากแน่น มือที่จับกระดาษแผ่นนั้นสั่นเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้สืบเรื่องของเธอและลูกด้วยเช่นนั้นหรือ โอ้...นี่หรือคนมีเงิน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ใช้สิ่งนี้แลกมาได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณของความเป็นคน “ขอบคุณในความเมตตา แต่คุณกรุณาเอาเช็คนี่กลับไปเถิดค่ะ”คำพูดของมิ่งขวัญมีพลังพอที่จะทำให้ดวงตาของผู้ยื่นข้อเสนอวาวโรจน์และยิ่งเมื่อกระดาษแผ่นน้อยถูกวางกลับคืนที่เดิมอย่างไม่ใยดียิ่งทำให้คุณหญิงแทบเต้น “นี่เธอ!....อ้อ...ใช่สิ ฉันลืมไป ตัวลูกชายของฉันคงจะมีค่ามากกว่าเงินหนึ่งล้านนี่เป็นแน่แท้ พวกเธอมันก็นักธุรกิจเหมือนกันนี่ คนต่อเงิน เธอก็คิดได้เหมือนกันรึ ฉันคิดว่าคนเป็นครูให้ความรู้เด็กจะไม่รู้จักคิดเรื่องการต่อรอง ฉันประมาณพวกเธอผิดไปมาก” มิ่งขวัญกลืนน้ำลายลงคอที่เหมือนตีบตันมากขึ้นทุกขณะ ผู้หญิงคนนี้มองเธอเป็นอะไร เอาเงินมาใช้เป็นเครื่องต่อรอง พอถูกปฏิเสธกลับพูดจาหมิ่นแคลนราวกับคนที่ตนกำลังสนทนาอยู่ด้วยไม่มีเลือดเนื้อความเป็นมนุษย์ หญิงวัยกลางคนพยายามเก็บความเจ็บปวดนั้นให้อยู่ลึกลงไปใต้จิตสำนึก ยังไว้แต่ความเข้มแข็งเป็นเกราะป้องกันตนเองแม้มันจะเปราะ