มิ่งขวัญเม้มริมฝีปากแน่น มือที่จับกระดาษแผ่นนั้นสั่นเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้สืบเรื่องของเธอและลูกด้วยเช่นนั้นหรือ โอ้...นี่หรือคนมีเงิน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ใช้สิ่งนี้แลกมาได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณของความเป็นคน
“ขอบคุณในความเมตตา แต่คุณกรุณาเอาเช็คนี่กลับไปเถิดค่ะ”คำพูดของมิ่งขวัญมีพลังพอที่จะทำให้ดวงตาของผู้ยื่นข้อเสนอวาวโรจน์และยิ่งเมื่อกระดาษแผ่นน้อยถูกวางกลับคืนที่เดิมอย่างไม่ใยดียิ่งทำให้คุณหญิงแทบเต้น
“นี่เธอ!....อ้อ...ใช่สิ ฉันลืมไป ตัวลูกชายของฉันคงจะมีค่ามากกว่าเงินหนึ่งล้านนี่เป็นแน่แท้ พวกเธอมันก็นักธุรกิจเหมือนกันนี่ คนต่อเงิน เธอก็คิดได้เหมือนกันรึ ฉันคิดว่าคนเป็นครูให้ความรู้เด็กจะไม่รู้จักคิดเรื่องการต่อรอง ฉันประมาณพวกเธอผิดไปมาก”
มิ่งขวัญกลืนน้ำลายลงคอที่เหมือนตีบตันมากขึ้นทุกขณะ ผู้หญิงคนนี้มองเธอเป็นอะไร เอาเงินมาใช้เป็นเครื่องต่อรอง พอถูกปฏิเสธกลับพูดจาหมิ่นแคลนราวกับคนที่ตนกำลังสนทนาอยู่ด้วยไม่มีเลือดเนื้อความเป็นมนุษย์ หญิงวัยกลางคนพยายามเก็บความเจ็บปวดนั้นให้อยู่ลึกลงไปใต้จิตสำนึก ยังไว้แต่ความเข้มแข็งเป็นเกราะป้องกันตนเองแม้มันจะเปราะบางก็ตามที
“ค่ะ....ดิฉันเป็นครู งานของดิฉันคือการให้ความรู้แก่เด็ก สั่งสอนเขาให้รู้จักค่าของความเป็นคน อย่าตีราคาคนอื่นให้เป็นแค่วัตถุ โตขึ้นเขาจะได้เป็นมนุษย์ที่เป็นเจ้าของจิตใจอันงดงาม ไม่รู้จักดูถูกคนอื่น ไม่ใช้ความดีของคนอื่นมาเป็นเครื่องทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ใช่ค่ะ....ดิฉันไม่ใช่นักธุรกิจจึงไม่รู้จักการตีค่าลูกของตัวเองเป็นของมีราคาค่างวด เพราะคนเป็นครูเยี่ยงฉันลูกเป็นสิ่งสูงค่าเกินกว่าจะไปเที่ยวบอกใครต่อใครว่าเขามีค่าตัวเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้บอกใครต่อใครว่าความดีที่ฉันสั่งสอนให้เขาทำมีมากแค่ไหน ฉันยินดีจะบอก”
“นี่เธอกำลังพูดส่อเสียดฉัน หาว่าฉันตีค่าลูกชายตัวเองเป็นเงินทอง เธอกล้าดียังไงมาใช้วาจาเหน็บแนมฉันแบบนี้!”
“มิได้ค่ะ คุณหญิงปารมี ดิฉันจะไปกล้าพูดจาเสียดสีคนมียศถาบรรดาศักดิ์เช่นคุณได้อย่างไร ดิฉันเจียมตัวค่ะว่าเป็นแค่ครูจนๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีธุรกิจพันล้าน ไม่ได้มีเงินทองล้นฟ้า...คุณหญิงวางใจเถิดค่ะ ลูกชายของคุณหญิงจะได้พบกับคนที่คู่ควร และคนๆ นั้น ....จะไม่ใช่ลักษมีลูกสาวของดิฉันอย่างแน่นอน”
มิ่งขวัญเพียรกลืนก้อนที่แล่นขึ้นมาจากในลำคออย่างยากลำบาก ยากเหลือเกินที่จะกลั้นหยาดน้ำใสในดวงตาไว้ได้เมื่ออีกฝ่ายจากไปพร้อมความพึงพอใจในคำมั่นสัญญาที่นางมีให้ โลกนี้ช่างอยุติธรรม คนรวยกับคนจนหาได้ต่างจากผืนน้ำที่ไม่มีวันบรรจบกับแผ่นฟ้าไม่ นับจากนี้สิ่งที่ยากลำบากสำหรับมิ่งขวัญคือการที่ต้องปรับความเข้าใจกับบุตรสาวในเรื่องที่แม่ย่อมรู้ดีว่าลูกไม่มีวันเข้าใจ
“อะไรนะคะ....แม่ว่าอะไรนะคะ”ลักษมีวางช้อนกับส้อมในมือลงทั้งที่ตักอาหารเข้าปากไม่ถึงสามคำ
“แม่บอกให้ลูกลาออกจากที่ทำงานที่ลูกทำอยู่ และเลิกคบกับนายราชนั่น”
“หนูหูฝาดใช่มั๊ยคะแม่ แต่แม่คะ แม่ไม่เคยเห็นราชเลยนะคะ แล้วแม่รู้......”
“ก็เพราะแม่รู้ไง” พูดพลางน้ำก็รื้นขึ้นมาที่ดวงตา “มีมี่ฟังแม่นะ วันนี้แม่ของผู้ชายคนนั้นไปหาแม่ที่โรงเรียน เขายืนยันกับแม่ว่าเขาไม่ต้องการให้ลูกเขาคบกับคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า....ลูกรู้ใช่มั๊ยว่าเขาหมายความว่ายังไง เขาก็หมายความอย่างที่เขาพูด ได้โปรดเถิดลูก ลูกต้องยอมรับความจริงว่าเรากับเขาต่างกันแค่ไหน เราไม่เหมือนเขา ลูก....ต้องเลิกกับผู้ชายคนนั้น”
น้ำเสียงสั่นเครือของคนเป็นแม่ยิ่งกว่าคำสั่งประหาร ลักษมีนั่งนิ่ง ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอย ความเจ็บปวดใดก็มิเทียบได้กับผู้เป็นแม่ มิ่งขวัญต้องสะกดความรู้สึกรวดร้าวภายในอย่างยิ่งยวดเพราะแต่ละคำที่พรั่งพรูออกมาก็เหมือนนางใช้ปลายมีดกรีดลงไปที่หัวใจตัวเองทีละแผลๆ ก็ไม่ปาน ลักษมีร้องไห้แต่ไม่ฟูมฟาย เธอยินดีทำตามที่มารดาขอร้องแม้นั่นจะหมายถึงการที่ต้องฉีกหัวใจตัวเองออกเป็นชิ้นๆ ก็ตาม แม้บุตรสาวจะมีทีท่าประหนึ่งว่ายอมรับความเจ็บปวดนั้นได้แล้ว ทว่ามิ่งขวัญกลับรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลักษมีไม่ได้เป็นลักษมีคนเดิมอีกต่อไป เวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาหัวใจที่แตกสลายดวงนั้นได้
ท่ามกลางความแออัดจอแจของการจราจรและผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา หญิงสาวในชุดแซกยาวกรอมเท้าผ้าป่านมัสลินสีน้ำเงินเข้มพาร่างแบบบางเดินไปตามทางเท้าอย่างเชื่องช้า ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นหางม้าอวดใบหน้าเนียนทว่าซีดราวกระดาษ ดวงตากลมโตคู่นั้นแลไปเบื้องหน้าแต่เหมือนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ริมฝีปากมีร่องรอยของลิปสติกสีอ่อนทอประกายเจือจาง นิ้วเรียวกุมสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น “มีมี่.....คุณพูดอะไรออกมา....เรา...เราเป็นแฟนกันนะ” เสียงทุ้มต่ำนั้นดังขึ้นในความคิด ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานชัดเจนอยู่ในภวังค์ของลักษมียิ่งนัก “แล้วมันจะสำคัญตรงไหนราช มีมี่จะบอกอะไรให้ จริงๆ แล้วมีมี่ไม่ได้ปลื้มผู้ชายช่างฝันอย่างคุณ เราไม่มีอะไรเหมาะสมกันสักนิด” “คุณไม่เคยเป็นแบบนี้นะมีมี่ เกิดอะไรขึ้น คุณกำลังจะบอกอะไรผม” “ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันเบื่อคุณ ฉันไม่ได้รักคุณอีกแล้ว ฟังนะราช ฉันแค่อยากลองคบกับคุณ แล้วฉันก็พบคำตอบว่าคุณไม่ใช่....แบบที่ฉันคาดหวัง” “แล้วคุณต้องเจอใครอีกสักกี่คนถึงจะเจออย่างที่คุณต้องการ” “ราช การที่เร
“แม่ปีบ....ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี้เอง โอ๊ย...แม่ปีบอย่ากอดผมแน่น ผมก็ดีใจที่เจอแม่ปีบเป็นคนแรก” รามกอดตอบหญิงวัยกลางคนอย่างรักใคร่พลางชะเง้อหน้ามองเลยเข้าไปหลังรั้วอัลลอยด์ “นี่แม่ปีบดีใจมากจนใจคอจะให้คนไกลยืนตากแดดคอยตรงนี้หรือไง แล้วคนอื่นล่ะ คุณแม่....เจ้าราช.....” ทันทีที่แม่ปีบเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของชายหนุ่ม เขาต้องชะงักไปชั่วขณะด้วยใบหน้าอวบอูมนั้นนองไปด้วยน้ำตา “แม่ปีบเป็นอะไร.....ร้องไห้ทำไม มีอะไรบอกผมสิครับ”อีกฝ่ายถอนสะอื้นก่อนจะเอ่ย “คุณราชค่ะ คุณราชกินยานอนหลับเกินขนาด ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล คุณหญิงท่านเป็นลมไปหลายรอบแล้ว คุณรามรีบตามไปดูก่อนเถิดค่ะ คุณพระคุณเจ้า...ขออย่าให้คุณราชเป็นอะไรไปเลย”ใบหน้าของรามเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มขบกรามแน่นสีหน้าเครียดเข้ม “ว่าไงวะราม.....มีอะไรรึเปล่า?” พีรพลตะโกนถามมาจากในรถ รามละล้าละลังมองแม่ปีบซึ่งเป็นแม่นมที่เคยเลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างชั่งใจ “คุณรามไปโรงพยาบาลนะคะ ไม่ต้องห่วงปีบ รีบไปดูแลคุณหญิง” แม่ปีบสะอื้นไห้พลางละล่ำละลักให้รามรีบไป ชายหนุ่มผละจากหญิงวัยกลางคนกลับเข้า
“ราม.....รามลูกแม่ รามกลับมาแล้วหรือลูก”เสียงหอบโหยของคุณหญิงดังขึ้นทันทีที่บุตรชายคนโตมาถึงหน้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ที่ตนเองนั่งรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดคาฟทานสีสด แม้อายุจะมากแล้วแต่ผิวพรรณก็ยังผุดผ่องอยู่บนเรือนร่างที่ยังบอบบาง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต่ยังคงมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ ผมดำขลับถูกรวบเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นเพชรอันน้อย คุณหญิงรีบถลาเข้าสู่อ้อมแขนของบุตรชายราวกับว่านี่เป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย “รามลูกแม่....ตาราช...ตาราช....”หญิงวัยกลางคนสะอื้นไห้ตัวโยนพูดพลางสะอื้นฮักก่อนจะใช้นิ้วเรียวที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่หลายวงประคองใบหน้าบุตรชายไว้คล้ายกลัวว่าสิ่งมีค่านี้จะหลุดหายไป “รามกลับมาอยู่กับแม่นะลูก รามไม่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว ถ้าตาราชเป็นอะไรไปแม่จะอยู่กับใคร” “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณแม่อย่ากังวล ราชจะปลอดภัย ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมจะอยู่กับคุณแม่” ชายหนุ่มปลอบประโลมมารดา สักครู่จึงเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงปารมี “สวัสดีครับ.......คุณราม”เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดสูทผ้
มิ่งขวัญยิ้มรับแทนคำตอบ ดวงตากลมบนใบหน้าเรียวเล็กจ้องมองบุตรสาวอย่างเลื่อนลอย มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาแสนเศร้าของหญิงวัยกลางคน นางถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาว “แม่ขอโทษลูก แม่ทำให้ลูกต้องลำบาก ชีวิตของแม่มีลูกอยู่คนเดียว แต่แม่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกของแม่มีความสุขได้ แม่ขอโทษ” “ไม่ค่ะแม่ แม่อย่าโทษตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความสมัครใจของหนูเอง ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าแม่ไม่เตือนหนู หนูก็คงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงเสียที” “โลกแห่งความจริงที่มันโหดร้าย....” “แต่หนูก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี...อย่าคิดถึงมันอีกเลยค่ะแม่ แม่ไม่สบายอยู่ แม่พักผ่อนมากๆ นะคะ เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำก่อน อ้อ...แม่ทานยารึยัง” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ คล้อยหลังที่บุตรสาวเดินเข้าห้องนางก้มลงมองผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือที่ค่อยๆ คลายออกหลังจากกำไว้แน่น บนเนื้อผ้าบางสีขาวมีรอยเลือดสีแดงสดหยดเล็กๆ ติดอยู่ น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาตามร่องแก้มที่มีริ้วรอยของการผ่านช่วงชีวิตมานาน มิ่งขวัญหลับตาลงหัวใจล่องลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันน
มิ่งขวัญเม้มริมฝีปากแน่น มือที่จับกระดาษแผ่นนั้นสั่นเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้สืบเรื่องของเธอและลูกด้วยเช่นนั้นหรือ โอ้...นี่หรือคนมีเงิน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ใช้สิ่งนี้แลกมาได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณของความเป็นคน “ขอบคุณในความเมตตา แต่คุณกรุณาเอาเช็คนี่กลับไปเถิดค่ะ”คำพูดของมิ่งขวัญมีพลังพอที่จะทำให้ดวงตาของผู้ยื่นข้อเสนอวาวโรจน์และยิ่งเมื่อกระดาษแผ่นน้อยถูกวางกลับคืนที่เดิมอย่างไม่ใยดียิ่งทำให้คุณหญิงแทบเต้น “นี่เธอ!....อ้อ...ใช่สิ ฉันลืมไป ตัวลูกชายของฉันคงจะมีค่ามากกว่าเงินหนึ่งล้านนี่เป็นแน่แท้ พวกเธอมันก็นักธุรกิจเหมือนกันนี่ คนต่อเงิน เธอก็คิดได้เหมือนกันรึ ฉันคิดว่าคนเป็นครูให้ความรู้เด็กจะไม่รู้จักคิดเรื่องการต่อรอง ฉันประมาณพวกเธอผิดไปมาก” มิ่งขวัญกลืนน้ำลายลงคอที่เหมือนตีบตันมากขึ้นทุกขณะ ผู้หญิงคนนี้มองเธอเป็นอะไร เอาเงินมาใช้เป็นเครื่องต่อรอง พอถูกปฏิเสธกลับพูดจาหมิ่นแคลนราวกับคนที่ตนกำลังสนทนาอยู่ด้วยไม่มีเลือดเนื้อความเป็นมนุษย์ หญิงวัยกลางคนพยายามเก็บความเจ็บปวดนั้นให้อยู่ลึกลงไปใต้จิตสำนึก ยังไว้แต่ความเข้มแข็งเป็นเกราะป้องกันตนเองแม้มันจะเปราะ
มิ่งขวัญยิ้มรับแทนคำตอบ ดวงตากลมบนใบหน้าเรียวเล็กจ้องมองบุตรสาวอย่างเลื่อนลอย มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาแสนเศร้าของหญิงวัยกลางคน นางถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาว “แม่ขอโทษลูก แม่ทำให้ลูกต้องลำบาก ชีวิตของแม่มีลูกอยู่คนเดียว แต่แม่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกของแม่มีความสุขได้ แม่ขอโทษ” “ไม่ค่ะแม่ แม่อย่าโทษตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความสมัครใจของหนูเอง ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าแม่ไม่เตือนหนู หนูก็คงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงเสียที” “โลกแห่งความจริงที่มันโหดร้าย....” “แต่หนูก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี...อย่าคิดถึงมันอีกเลยค่ะแม่ แม่ไม่สบายอยู่ แม่พักผ่อนมากๆ นะคะ เดี๋ยวหนูจะไปอาบน้ำก่อน อ้อ...แม่ทานยารึยัง” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ คล้อยหลังที่บุตรสาวเดินเข้าห้องนางก้มลงมองผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือที่ค่อยๆ คลายออกหลังจากกำไว้แน่น บนเนื้อผ้าบางสีขาวมีรอยเลือดสีแดงสดหยดเล็กๆ ติดอยู่ น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาตามร่องแก้มที่มีริ้วรอยของการผ่านช่วงชีวิตมานาน มิ่งขวัญหลับตาลงหัวใจล่องลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันน
“ราม.....รามลูกแม่ รามกลับมาแล้วหรือลูก”เสียงหอบโหยของคุณหญิงดังขึ้นทันทีที่บุตรชายคนโตมาถึงหน้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ที่ตนเองนั่งรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดคาฟทานสีสด แม้อายุจะมากแล้วแต่ผิวพรรณก็ยังผุดผ่องอยู่บนเรือนร่างที่ยังบอบบาง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต่ยังคงมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ ผมดำขลับถูกรวบเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นเพชรอันน้อย คุณหญิงรีบถลาเข้าสู่อ้อมแขนของบุตรชายราวกับว่านี่เป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย “รามลูกแม่....ตาราช...ตาราช....”หญิงวัยกลางคนสะอื้นไห้ตัวโยนพูดพลางสะอื้นฮักก่อนจะใช้นิ้วเรียวที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่หลายวงประคองใบหน้าบุตรชายไว้คล้ายกลัวว่าสิ่งมีค่านี้จะหลุดหายไป “รามกลับมาอยู่กับแม่นะลูก รามไม่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว ถ้าตาราชเป็นอะไรไปแม่จะอยู่กับใคร” “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณแม่อย่ากังวล ราชจะปลอดภัย ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมจะอยู่กับคุณแม่” ชายหนุ่มปลอบประโลมมารดา สักครู่จึงเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงปารมี “สวัสดีครับ.......คุณราม”เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดสูทผ้
“แม่ปีบ....ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี้เอง โอ๊ย...แม่ปีบอย่ากอดผมแน่น ผมก็ดีใจที่เจอแม่ปีบเป็นคนแรก” รามกอดตอบหญิงวัยกลางคนอย่างรักใคร่พลางชะเง้อหน้ามองเลยเข้าไปหลังรั้วอัลลอยด์ “นี่แม่ปีบดีใจมากจนใจคอจะให้คนไกลยืนตากแดดคอยตรงนี้หรือไง แล้วคนอื่นล่ะ คุณแม่....เจ้าราช.....” ทันทีที่แม่ปีบเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของชายหนุ่ม เขาต้องชะงักไปชั่วขณะด้วยใบหน้าอวบอูมนั้นนองไปด้วยน้ำตา “แม่ปีบเป็นอะไร.....ร้องไห้ทำไม มีอะไรบอกผมสิครับ”อีกฝ่ายถอนสะอื้นก่อนจะเอ่ย “คุณราชค่ะ คุณราชกินยานอนหลับเกินขนาด ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล คุณหญิงท่านเป็นลมไปหลายรอบแล้ว คุณรามรีบตามไปดูก่อนเถิดค่ะ คุณพระคุณเจ้า...ขออย่าให้คุณราชเป็นอะไรไปเลย”ใบหน้าของรามเปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มขบกรามแน่นสีหน้าเครียดเข้ม “ว่าไงวะราม.....มีอะไรรึเปล่า?” พีรพลตะโกนถามมาจากในรถ รามละล้าละลังมองแม่ปีบซึ่งเป็นแม่นมที่เคยเลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างชั่งใจ “คุณรามไปโรงพยาบาลนะคะ ไม่ต้องห่วงปีบ รีบไปดูแลคุณหญิง” แม่ปีบสะอื้นไห้พลางละล่ำละลักให้รามรีบไป ชายหนุ่มผละจากหญิงวัยกลางคนกลับเข้า
ท่ามกลางความแออัดจอแจของการจราจรและผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา หญิงสาวในชุดแซกยาวกรอมเท้าผ้าป่านมัสลินสีน้ำเงินเข้มพาร่างแบบบางเดินไปตามทางเท้าอย่างเชื่องช้า ผมยาวดำขลับถูกรวบเป็นหางม้าอวดใบหน้าเนียนทว่าซีดราวกระดาษ ดวงตากลมโตคู่นั้นแลไปเบื้องหน้าแต่เหมือนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเส้นทาง ริมฝีปากมีร่องรอยของลิปสติกสีอ่อนทอประกายเจือจาง นิ้วเรียวกุมสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น “มีมี่.....คุณพูดอะไรออกมา....เรา...เราเป็นแฟนกันนะ” เสียงทุ้มต่ำนั้นดังขึ้นในความคิด ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานชัดเจนอยู่ในภวังค์ของลักษมียิ่งนัก “แล้วมันจะสำคัญตรงไหนราช มีมี่จะบอกอะไรให้ จริงๆ แล้วมีมี่ไม่ได้ปลื้มผู้ชายช่างฝันอย่างคุณ เราไม่มีอะไรเหมาะสมกันสักนิด” “คุณไม่เคยเป็นแบบนี้นะมีมี่ เกิดอะไรขึ้น คุณกำลังจะบอกอะไรผม” “ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันเบื่อคุณ ฉันไม่ได้รักคุณอีกแล้ว ฟังนะราช ฉันแค่อยากลองคบกับคุณ แล้วฉันก็พบคำตอบว่าคุณไม่ใช่....แบบที่ฉันคาดหวัง” “แล้วคุณต้องเจอใครอีกสักกี่คนถึงจะเจออย่างที่คุณต้องการ” “ราช การที่เร