ภาพข่าวขาวดำที่ถูกเก็บไว้อย่างดีในกล่องเหล็กถูกเปิดออกดูซ้ำมาหลายครั้งหลายหนร่วมยี่สิบปี ชายวัยห้าสิบต้นๆ ยังคงหยิบจับลูบไล้มันซ้ำๆ ก่อนจะดูภาพครอบครัวสีซีดของตัวเองที่ถ่ายเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน และนี่คงเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้ถ่ายร่วมกับภรรยาและลูกชาย
เสียงเคาะประตูทำให้เขาชะงัก มือที่กำลังเก็บความทรงจำทุกอย่างใส่กล่องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก นั่นทำให้เขารู้ว่าคนที่เคาะประตูคือคนสนิท จึงส่งเสียงอนุญาต
“ได้เรื่องบ้างไหมพระลพ”
คนที่ถูกเรียกว่าพระลพมองกล่องเหล็กแกะสลักลายซึ่งดูเก่ามากแล้ว ทว่าเจ้าของกลับยังคงรักษาทุกอย่างไว้อย่างดีก็ให้นึกสงสารชายตรงหน้าที่ใบหน้าดูอายุร่วงโรยมากกว่าวัยที่แท้จริง
“ได้มาไม่มากเท่าไหร่ครับ หลังการจัดฉากอุบัติเหตุและเพลิงไหม้ครั้งนั้น ทั้งสองหนีไปอยู่อเมริกาและมีเศรษฐีในซีแอตเทิลคอยดูแล”
“เจาะจงกว่านั้นได้ไหม คนที่พวกเขาไปอยู่ด้วยเป็นใคร แล้วพวกเขาเป็นยังไงบ้าง สุขสบายดีไหม”
“ยังสืบเรื่องนั้นไม่ได้ครับ เพราะคุณตฤนปิดบังตัวตนเปลี่ยนชื่อใหม่ด้วย แถมยังตามหาผู้ชายโอเมก้าวัยยี่สิบสี่ไม่เจอด้วย ไม่รู้ว่าคุณตฤนปกปิดตัวตนคุณหนูนลินด้วยหรือเปล่า อาจต้องใช้เวลาหน่อยนะครับ แล้วเรื่องที่คุณท่านให้ผมตามสืบก่อนหน้านี้จะให้ทำยังไงครับ”
“ฉันอยากจะจัดการ แต่ก็เป็นห่วงตาภัค ถึงจะยังไงตาภัคก็เป็นลูกชายฉัน ส่วนนั่นก็เป็นแม่ของเขา และถึงเธอคิดจะทำร้ายตฤนกับนลิน แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้ทันลงมือ ไม่มีหลักฐานโยงไปหาเธอเลย”
ลาภิณก้มมองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง เขาพยายามมาหลายปีเพื่อตามหาภรรยาและลูกชายคนโต พยายามอย่างหนักมาหลายปี ทว่าสุดท้ายกลับไม่คืบหน้าเลยสักนิด เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว...เขาอยากจะเจอตฤนและนลินก่อนจะจากโลกนี้ไป
“คุณท่านอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะครับ พวกผมจะตามหาตัวคุณหนูนลินให้เร็วที่สุด”
“ขอบใจมากนะพระลพ”
“คุณท่านพักผ่อนก่อนดีไหมครับ”
“อยู่คุยกับฉันก่อนสิพระลพ มีแค่นายคนเดียวที่ฉันจะพูดเรื่องของตฤนและนลินได้”
“ทำไมคุณท่านไม่พูดเรื่องนี้กับคุณไตรล่ะครับ ถ้าคุณไตรรู้ความจริงจะต้องเข้าใจ”
“พี่ไตรไม่เปิดโอกาสให้ฉันเข้าไปพูดด้วยเลยสักนิด”
“ยี่สิบปีแล้วนะครับ คุณไตรไม่หายโกรธบ้างเหรอครับ”
“ถึงตฤนและนลินจะไม่ตาย แต่สำหรับพี่ไตรก็คงคิดว่าฉันเป็นคนฆ่าพวกเขาทั้งคู่ ถ้าสองคนนั่นไม่จัดฉากแกล้งตายก็คงตายไปแล้วจริงๆ แล้วทั้งหมดก็คงเป็นความผิดของฉัน”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณท่านนะครับ”
“แกพูดแบบนั้นเพราะรู้ทุกอย่าง แต่ครอบครัวกิตติวรกานต์ไม่ได้รู้ความจริงพวกนั้น พวกเขาคิดว่าฉันไม่รักตฤน ไม่รักนลิน คิดว่าฉันจะทำตามที่พ่อบอก...คิดว่าฉันจะทอดทิ้งตฤนและนลิน ถ้าตอนนั้นฉันปฏิเสธไปตรงๆ ไม่ลังเล ไม่แบ่งรับแบ่งสู้ ถ้าฉันกล้าลุกขึ้นสู้ กล้าต่อต้านพ่อ ตฤนกับนลินก็คงยังอยู่กับฉัน ตอนนี้ฉันก็คงมีสองคนนั้นอยู่เคียงข้าง”
“คุณท่าน...” พระลพเรียกเจ้านายพลางกุมมือของคนที่เลี้ยงดูมาวางบนศีรษะของตัวเอง
“ขอบใจแกมากนะพระลพ ถ้าไม่มีแกฉันคงเชื่อที่ทุกคนบอกว่าตฤนและนลินตายไปแล้ว”
“ไม่จริงหรอกครับ คุณท่านเชื่อมาตลอดว่าคุณตฤนและคุณหนูนลินยังอยู่”
“แต่พวกเขาคงไม่อยากเจอฉัน ตฤนรักฉันมาก...แต่เพราะฉันเอง ทั้งที่ตอนนั้นตฤนก็กังวลเรื่องที่พ่อฉันคิดจะให้ฉันแต่งงานการเมือง และเพราะความลังเลของฉัน สุดท้ายเขาก็เข้าใจผิดแล้วไปจากฉัน”
“สุดท้ายคุณตฤณและคุณหนูนลินจะต้องเข้าใจคุณท่าน”
“มันอาจจะไม่ทันแล้วก็ได้นะพระลพ แกก็รู้ว่าฉันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
“คุณท่านต้องอดทนนะครับ ผมจะตามหาทั้งคู่ให้เจอ ผมจะทำให้ทั้งสองคนเข้าใจคุณท่าน”
ลาภิณแค่นยิ้มออกมา เขารักตฤนมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งได้กลิ่นฟีโรโมนดอกกล้วยไม้ครั้งแรก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตฤนคือคนที่เขาจะใช้ชีวิตด้วยจนกว่าจะตายจากกัน ตฤนคือคนคนเดียวที่เขาจะรักและอยู่เคียงข้าง ทว่าโชคชะตาก็เล่นตลกกับเขา
สภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ส่งผลกระทบกับธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตทั้งหมดในเครือธาดากรุ๊ป บิดาของเขาจึงคิดจะให้เขาแต่งงานการเมืองกับพราวรุ้งเพื่อพยุงธุรกิจ เขาไม่อยากแต่งงานกับใครอีก ไม่อยากมีภรรยาอีกคน สำหรับเขาแล้ว...ตฤนคือคนเดียวที่เป็นภรรยา คือคนเดียวที่เขาอยากให้เป็นแม่ของลูก
ทว่าเพราะธุรกิจย่ำแย่งลงเรื่อยๆ เขาจึงไม่สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาด หากวันนั้นเขายอมลำบาก ยอมจับมือผ่านอุปสรรคไปกับตฤน ปฏิเสธบิดาอย่างเด็ดขาด เขาก็คงจะยังรักษาคนรักของตัวเองได้
เขาไม่โทษเลยหากตอนนี้ตฤนเลือกคนอื่น ไม่โทษเลยหากนลินจะมีคนอื่นทำหน้าที่บิดาแทนเขา ความผิดทั้งหมดเป็นเพราะความอ่อนแอของเขา เป็นเพราะความลังเลของเขา ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเขาคนเดียว
ลาภิณได้แต่หวังว่าเขาจะยังมีเวลาเหลือมากพอที่จะทันได้เห็นหน้าภรรยาที่เขารักและลูกชายที่เขาแสนคิดถึง ทว่าหากมันสายเกินไป เขาคงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานให้ชาติหน้ามีจริง เขาจะขอชดใช้ให้ทั้งคู่ในชาติหน้า จะขอเฝ้ารักตฤนไปทุกชาติ...
เสียงเคาะประตูดังขัดภวังค์ของลาภิณ เขาพยักหน้าให้พระลพเปิดประตูห้องนอน ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่มาหาคือแขกที่เขาไม่เจอหน้าถึงยี่สิบปี
“พี่ไตร...”
ไตรทศขมวดคิ้วมุ่น แม้จะได้ยินข่าวลือว่าลาภิณไม่สบาย เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แต่เขาไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะโทรมถึงขนาดนี้ ใบหน้าที่อดีตเคยเป็นหนุ่มหล่อ ตอนนี้กลับไม่เหลือเค้าเดิมสักนิด ทั้งยังดูแก่กว่าวัยไปอีกหลายปี นี่คงไม่ใช่ผลจากการอมทุกข์เพียงอย่างเดียวเสียแล้วสิ
“ไม่เจอกันมายี่สิบปี นายดูแก่ไปเยอะมากนะลาภิณ ข่าวลือนั่นคงเป็นจริงสินะ”
“รอสักครู่นะครับพี่ไตร พระลพไปบอกแม่บ้านให้เตรียมของว่างมาไป เดี๋ยวฉันกับพี่ไตรจะลงไปกินข้างล่าง”
“ครับคุณท่าน”
ไตรทศมองกล่องเหล็กสลักลายที่เขาจำได้ดีว่าเป็นของน้องชายของเขา และมันมีอายุมากกว่ายี่สิบปี ด้วยเป็นกล่องที่ตฤนเคยบรรจุของขวัญส่งข้ามน้ำข้ามทะเล ฝากให้เขานำมาให้ลาภิณเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อราวสามสิบปีก่อน
“นายยังเก็บกล่องนั่นไว้อีกเหรอ คิดว่าทิ้งไปพร้อมกับตอนที่ทิ้งตฤนซะอีก”
“ผมไม่เคยทิ้งตฤนนะครับ ไม่เคยเลย...”
น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยราวกับกำลังกลั้นสะอื้นทำให้ไตรทศขบกรามแน่น ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าลาภิณบรรจุความทรงจำทั้งหมดนั่นใส่กล่องอย่างดี และยิ่งไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นลาภิณเก็บกล่องเหล็กนั้นใส่ตู้เซฟฝังผนังราวกับเป็นของล้ำค่า
หรือสิ่งที่นลินเล่าจะเป็นความจริง?
ไตรทศไม่อยากจะคาดเดาเองอีกต่อไป แม้เขาจะยังไม่คลายความขุ่นเคืองใจที่สั่งสมมาถึงยี่สิบปี แต่เขาจะไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่อีก เขาสัญญากับนลินไว้แล้วว่าจะหาคำตอบที่แท้จริงไปให้ เขาก็จะไม่ทำให้หลานชายผิดหวังเด็ดขาด
“ออกไปข้างนอกกันเถอะครับ ห้องนอนของผมมีแต่กลิ่นยา แล้วก็อุดอู้ด้วย”
“นายไม่ได้อยู่กับพราวรุ้งเหรอ”
“ไม่ครับ เดิมทีผมก็ไม่ได้นอนห้องเดียวกับรุ้งอยู่แล้ว”
“ไม่นอนห้องเดียวกันแล้วภัคพลโผล่มาได้ยังไง ออกมาจากกระบอกไม้ไผ่หรือไง”
“เรื่องนั้นผมไม่แก้ตัวครับ แต่มันไม่ใช่ความตั้งใจของผม”
ไตรทศยอมเดินตามลาภิณที่เดินนำเขาไปยังศาลาซึ่งตั้งในสวนด้านหลัง และนั่นทำให้ไตรทศต้องตะลึงยิ่งขึ้น เมื่อรอบศาลาประดับด้วยกล้วยไม้นานาพันธุ์จนเต็มไปด้วยกลิ่นกล้วยไม้...กลิ่นเดียวกับฟีโรโมนของตฤน
“นี่มัน...”
“นั่งก่อนสิครับพี่ไตร เดี๋ยวเด็กก็คงนำของว่างมาให้”
“นายตั้งใจพาฉันมาที่นี่ เพราะอยากให้ฉันยกโทษให้เหรอไงลาภิณ” ไตรทศถามเสียงลอดไรฟัน
“ไม่ครับ แต่ที่นี่คือที่ที่ผมอยู่บ่อยๆ และเป็นสวนที่ตฤนสร้างไว้ตั้งแต่เราแต่งงานกัน ผมพยายามรักษามันให้ดีที่สุด”
“นายทำเหมือนว่ายังรักตฤนเลยนะ ทั้งที่นายเป็นคนฆ่าตฤนแท้ๆ”
ลาภิณสบตาไตรทศ เขารู้ว่าที่ไตรทศมาวันนี้คงไม่ได้เพียงเพื่อต่อว่าต่อขาน เขาเชื่อว่าไตรทศมีสาเหตุที่มาหาถึงนี่ หากไม่มีธุระสำคัญคงไม่มีวันเหยียบบ้านจิรพงศ์ธาดา และคงไม่ยอมมานั่งพูดคุยกับเขาแน่ เพราะตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาเขาเพียรพยายามเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย แม้แต่ยามออกงานไปเจอกัน ไตรทศยังไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา นั่นทำให้ลาภิณนึกหวั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตฤนหรือนลิน
“ตฤนกับนลินเป็นอะไรรึเปล่าครับพี่ไตรถึงมานี่”
“ถามแบบนี้แสดงว่ารู้แล้วว่าตฤนกับนลินยังมีชีวิตอยู่”
“ครับ ผมรู้มาหลายปีแล้วว่าอุบัติเหตุนั่นเป็นการจัดฉาก แต่พวกพี่ก็ปกปิดตัวตนของตฤนและนลินดีมาก ผมเพิ่งรู้ไม่กี่วันนี่เองว่าทั้งสองคนหนีไปอยู่อเมริกา และเพิ่งรู้วันนี้เองว่ามีเศรษฐีซีแอตเทิลช่วยดูแล ตฤนแต่งงานใหม่แล้วใช่ไหมครับ”
คำถามของลาภิณเหมือนไม้หน้าสามตีแสกกลางหน้าไตรทศ แม้คำถามจะสะเทือนใจแค่ไหน แต่ใบหน้าของลาภิณกลับไม่มีแววเสียใจเลยสักนิด
“เขาดูแลตฤนกับนลินดีไหมครับ”
“ก็ดี เขาแต่งงานอยู่ด้วยกันมาสิบเจ็ดปีแล้ว เขารักนลินมาก แล้วก็เลี้ยงดูนลินมาอย่างดี”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ นลินคงมีความสุขที่มีพ่อแบบนั้น และตฤนก็คงไม่ต้องทุกข์ใจที่ได้สามีที่รักเขา ไม่อ่อนแอแบบผม”
“นายรักตฤนจริงๆ นี่ แล้วทำไมตอนนั้น...” ไตรทศหยุดคำพูดเมื่อแม่บ้านวัยกลางคนนำเครื่องดื่มและของว่างมาวางบนโต๊ะระหว่างตฤนและลาภิณ
“ตอนนั้นทำไมเหรอครับ” ลาภิณเอ่ยถามเมื่อคล้อยหลังแม่บ้านไปแล้ว
“ก่อนฉันจะถาม นายรับปากมาก่อนว่าจะเล่าทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง จะไม่ปกป้องคนผิด”
ลาภิณเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง อย่างไรเสีย...บ้านกิตติวรกานต์ก็คงรู้ความจริงอยู่บ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มาหาเขา และชีวิตอันแสนสั้นของเขาก็ใกล้จะจบลงอยู่แล้ว ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย จะวันนี้หรือวันไหน สักวันหนึ่งก็คงถูกเปิดเผยอยู่ดี
“จริงๆ แล้ว แค่ผมรู้ว่าตฤนกับนลินมีความสุขดีแล้ว ผมก็คงไม่อยากได้อะไรอีก”
“แล้วนายจะปล่อยให้ตฤนเข้าใจนายผิดไปแบบนี้เหรอ”
“แต่ตอนนี้เขามีความสุขดีแล้ว มีครอบครัวใหม่แล้ว มีคนที่รักตฤนและนลินมากกว่าผม ผมก็คงตายตาหลับแล้ว”
“พูดอะไรแบบนั้นน่ะลาภิณ นายไม่รู้หรอกว่าเขาจะรักตฤนกับนลินมากกว่านายไหม ยังไงนายก็เป็นคนที่ตฤนรักมาก และนายก็เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดนลิน นายไม่คิดว่านลินจะอยากรู้ความจริงหรือไง”
“มันเป็นความผิดของผมจริงๆ นี่พี่ไตร ถ้าตอนนั้นผมไม่ลังเล ไม่อ่อนแอ แล้วตัดสินใจเด็ดขาด ตฤนก็คงไม่เข้าใจผิด เรื่องทุกอย่างก็ไม่เกิดขึ้น”
“แต่พี่เข้าใจนายนะ มันไม่ใช่เรื่องของนายคนเดียว ถ้าธุรกิจนายล้ม มีคนได้รับผลกระทบนับพันนับหมื่นคน ลูกน้องนายทั้งหมดจะถูกลอยแพ ว่างงาน แล้วไหนจะครอบครัวนายอีก ตอนนั้นครอบครัวพี่ก็ซัพพอร์ตนายไม่ได้ ไม่ผิดที่พ่อนายอยากให้นายแต่งพราวรุ้งเข้ามาอีกคน”
“แต่เธอไม่ได้อยากเป็นอีกคน เธออยากเป็นคนเดียว อยากแทนที่ตฤนจนถึงขั้นวางยาผมให้รัท ใช้น้ำหอมกลิ่นฟีโรโมนของตฤนให้ผมเข้าใจผิด ฉวยโอกาสที่ผมเข้าใจว่าตฤนกับนลินตายเพื่อมาแทนที่”
“นายจะบอกว่าที่เธอท้องเพราะตั้งใจวางยานายเหรอ”
“ใช่ครับ ผมพยายามอธิบายกับพี่มาตลอด”
“แล้วที่พี่ได้ยินมาว่านายส่งคนไปตัดสายเบรกรถของตฤนล่ะ”
“ผมไม่เคยทำนะครับพี่ไตร ผมสาบานเลยว่าต่อให้ผมลังเลเรื่องรุ้งแค่ไหน ผมก็ไม่เคยคิดทำร้ายตฤนกับนลิน ผมรักตฤนกับนลินมากนะครับ รักมาก...รักมาตลอด ผมไม่เคยลืมทั้งสองคนเลย ไม่มีวันไหนที่ผมจะลืมพวกเขาเลยนะครับ”
ไตรทศเม้มปากแน่น หากลาภิณพูดความจริง แผนทั้งหมดก็คงมาจากพราวรุ้ง และคนที่คิดร้ายกับนลินและตฤนมาตลอดก็คงเป็นผู้หญิงจิตใจชั่วร้ายคนนั้น คนที่ทำให้ตฤนต้องเปลี่ยนมาเป็นนวมิณทร์ก็คือผู้หญิงที่ชื่อพราวรุ้ง เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับลาภิณเลย เป็นอย่างที่นลินคิดไว้จริงๆ เสียด้วยสิ
ไตรทศมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามก็ให้รู้สึกผิดเสียเหลือเกิน หากวันนั้นเขาไม่ใช้อารมณ์ หากวันนั้นเขามีสติเช่นวันนี้ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น
“ลาภิณ...พี่ขอโทษนะ ถ้าวันนั้นที่พี่ได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วมาถามนาย นายก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้”
“ผมคงบุญน้อยเองล่ะครับจึงอยู่กับคนที่ผมรักไม่ได้”
“พี่จะบอกความจริงกับตฤน”
“อย่าเลยครับพี่ไตร ตฤนมีความสุขดีแล้ว จากนี้ผมจะไม่ตามหาเขาอีก จะไม่...” ลาภิณกลืนก้อนสะอื้นที่แล่นมาจุกอก
“ลาภิณ...นายทรมานมามากพอแล้วนะ นายทุกข์มาพอแล้ว นายควรมีความสุขได้แล้ว พี่จะเล่าให้ตฤนฟัง แล้วก็ขึ้นอยู่กับตฤนแล้วว่าจะตัดสินใจยังไง”
“ไม่ครับพี่ไตร อย่าให้เรื่องในอดีตทำให้ตฤนต้องทุกข์เลยนะครับพี่ไตร ถ้าตฤนเลือกผมมันก็ไม่เปลี่ยนอะไรอยู่ดี ผมเหลือเวลาไม่มากแล้ว ผมให้คนตามสืบเพราะอยากรู้ว่าทั้งคู่มีความสุขดีไหม แค่พี่ยืนยันว่าชีวิตทั้งคู่อยู่ดีมีสุข ผมก็พอใจแล้ว”
“นายจะมาตัดสินใจแทนคนอื่นไม่ได้นะลาภิณ ฉันเคยตัดสินใจแทนคนอื่นแล้วทำให้ทุกคนมีแต่ความทุกข์ นายก็อย่าทำซ้ำรอยพี่เลยนะ”
“ไม่ครับพี่ไตร ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน ผมมีเวลาอยู่แค่ครึ่งปี ถ้าตฤนกลับมาหาผม ตฤนก็จะทุกข์อีก ตอนนี้เขาไม่ต้องทุกข์แล้ว ให้เขามีความสุขแบบนั้นก็ดีแล้วครับ ถ้าชาติหน้ามีจริง...ผมก็จะยังคงรักตฤนอีกครั้ง และหวังว่าครั้งหน้าตฤนจะยังรักผม ให้ผมได้อยู่กับตฤนมากกว่าชาตินี้”
“นายป่วยเป็นอะไรกันแน่น่ะลาภิณ ทำไมถึงบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่นาน”
“มะเร็งกระดูกครับ คงเป็นเวรกรรมที่ผมทำให้ตฤนทุกข์ใจ” ลาภิณยิ้มอ่อนอย่างยอมรับชะตากรรม “ผมได้ยินว่าตฤนและนลินมีความสุขผมก็ตายตาหลับแล้วล่ะครับ อย่าบอกพวกเขาเลยนะครับ ถือว่าผมขอร้อง”
“แต่...”
“ผมขอล่ะครับพี่ไตร เดิมทีผมก็อยากเจอพวกเขาอีกครั้งก่อนตาย แต่พอรู้ว่าพวกเขามีความสุขดีแล้ว ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องทุกข์ใจอีก ให้เขาคิดว่าผมเป็นคนเลวร้ายแบบนี้ต่อไปเถอะครับ”
“แบบนั้นมัน...”
ลาภิณผุดลุกขัดคำพูดของไตรทศ “วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับพี่ไตร ผมดีใจนะครับที่ได้พูดสิ่งที่ผมอยากพูดกับพี่ไตรมาตลอด”
ไตรทศผุดลุกขึ้นยืนมองตามแผ่นหลังงองุ้มที่ก้าวเดินช้าๆ เข้าไปในบ้านก็ให้นึกสะท้อนในอก ได้แต่ตั้งคำถามว่าลาภิณต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน ต้องอยู่คนเดียวโดยไร้คนที่รักข้างกาย เมื่อครั้งยังมีบิดาท่านก็ไม่เข้าใจความปรารถนาของลาภิณ เห็นแก่ผลประโยชน์และธุรกิจจนไม่ได้นึกถึงจิตใจของลาภิณ จนทำให้ลาภิณต้องพรากจากคนรักมานานถึงยี่สิบปี
แล้วตอนนี้โชคชะตายังมาเล่นตลกให้ลาภิณมีอายุสั้นจนไม่อาจได้เจอคนที่รักสุดหัวใจทั้งสองคน ยินดีเป็นคนทุกข์และตายจากโลกนี้ไปเพียงลำพัง แบบนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเลย
ไตรทศเม้มปากแน่น เขาจะไปบอกนลินอย่างไรดี จะไปบอกว่าบิดาบังเกิดเกล้าของนลินกำลังจะตาย ไปบอกว่าเรื่องทั้งหมดลุงคนนี้เข้าใจผิดไปเอง แต่จะให้เขาทำตามลาภิณบอกก็เห็นจะไม่ได้ เขาทำผิดต่อนวมิณทร์และนลินมาถึงยี่สิบปี เขาจะไม่ทำเช่นนั้นอีก และนี่อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำให้ลาภิณได้ เขาจะทำให้ทั้งสามได้เจอกันอีกครั้งหนึ่ง
...เขาสัญญา!
รถคูเป้สองประตูสีดำสัญชาติยุโรปเลี้ยวผ่านบ้านหลังใหญ่มาจอดหน้าบ้านของตรีวิทย์และพยนต์ นั่นทำให้เจ้าของบ้านที่วันนี้ไม่ไปทำงานต้องเลิกคิ้วประหลาดใจ จริงอยู่ที่เป็นเรื่องปกติที่พยัคฆ์จะแวะมาหาพยนต์และภูวนัย ทว่าช่วงนี้จะแวะมาบ่อยเกินไปหรือเปล่านะ“ใครมาเหรอครับพี่ตรี”“พยัคฆ์น่ะสิ ช่วงนี้มาเกือบทุกวันเลยนะ ที่บ้านมีอะไรรึเปล่า”“ไม่มีหรอกครับ พยัคฆ์ไม่ได้มาหาพยนต์ด้วย”“หือ? ไม่ได้มาหาพยนต์แล้วมาหาใคร” ตรีวิทย์เอ่ยถามภรรยาด้วยความฉงนใจ“พี่ตรีลองสังเกตดูละกันนะครับว่าพยัคฆ์มาหาใคร”ตรีวิทย์เลิกคิ้วมองคนที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพับแขนขึ้นถึงข้อศอก กระดุมเสื้อเชิ้ตปลดจนเห็นแผ่นอกอย่างเซ็กซี่ กับกางเกงยีนส์เข้ารูปก็ให้นึกสงสัยว่าแต่งตัวล่อเหยื่อขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ไปเที่ยวกับเหล่าโอเมก้าของเจ้าตัว กลับเลือกมาบ้านของเขาในวันหยุดเช่นนี้หรือว่า...ตรีวิทย์หันกลับไปมองในห้องนั่งเล่นที่มีอาหลานกำลังต่อรางรถไฟเหาะตีลังกาซึ่งนลินหอบหิ้วมาจากอเมริกา นั่นทำให้เขาสบตาภรรยาราวกับจะถาม“พี่เข้าใจถูกใช่ไหมพยนต์”“ครับ แต่นลินดูไม่อยากยุ่งด้วยเท่าไหร่”“พี่เคยได้ยินอาเทรนต์กับอาตฤนเล่าว่าตอนอยู่โน่นนล
“จริงเหรอครับคุณลุง พวกเราเข้าใจคุณพ่อผิดมาตลอดจริงๆ สินะครับ”“ใช่ เป็นอย่างที่นลินบอกลุงเลย แต่...มีเรื่องสำคัญที่ลุงต้องบอกนลิน”“ครับ มีอะไรเหรอครับ”“พ่อของนลินไม่ได้เพิ่งตามหานลินหรอกนะ เขาตามหามาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ปู่ของนลินตาย พ่อของนลินก็เริ่มส่งคนให้ออกตามหาโดยไม่ให้พราวรุ้งรู้ แต่ที่เขาเร่งหาตอนนี้เพราะเขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”“ครับ? คุณพ่อเป็นอะไรครับ”“มะเร็งกระดูกน่ะ ลุงใช้เส้นสายไปลองสืบที่โรงพยาบาลที่ลาภิณรักษาตัว เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งกระดูกมาตั้งแต่สองปีก่อน แล้วก็รักษามาโดยตลอด แต่เมื่อเดือนก่อนพบว่ามันลุกลาม ลาภิณจึงตัดสินใจร่วมกับหมอว่าจะหยุดการรักษา และเขาตั้งใจใช้ช่วงเวลาสุดท้ายนี้เพื่อตามหาตฤนกับนลิน”นลินขบกรามแน่นกลั้นความรู้สึกวูบโหวง ทั้งที่ความทรงจำวัยเยาว์ที่มีบิดานั้นเป็นเพียงระยะสั้นๆ แต่เขากลับรู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจที่บิดาเหลือเวลาน้อยนิดเสียเหลือเกิน เขาข่มอารมณ์ที่ไม่ปกติของตัวเองไว้“คุณพ่อเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ครับ”“เร็วสุดคือหกเดือน ช้าสุดคือหนึ่งปี”“น้อยเหลือเกิน”“นลินจะไปเจอพ่อเขาไหม”“ครับ แต่ถ้านลินไปเจอคุณพ่อ คนที่ส่งคนไปทำร้ายนลินก็ต้องร
“ปล่อย! ลากมาทำอะไรของคุณเนี่ย”พยัคฆ์ขบกรามแน่นนึกโมโหนลินจนแทบคลั่งที่อีกฝ่ายมายืนกอดกับตรีวิทย์ ก็ไหนว่าเป็นเบต้า ไม่สนใจอัลฟ่าอย่างไรเล่า ที่แท้ก็แอบมาเป็นชู้กับพี่เขยของเขานี่เอง ทำเป็นรังเกียจเขา ทว่าความจริงคือตั้งใจจะจับตรีวิทย์ชัดๆปึก!ใบหน้าของนลินกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของคนที่ถูลู่ถูกังมาตลอดทาง ชายหนุ่มถูกกระแทกจนกระเด้งแล้วล้มลงกับพื้นนลินกัดริมฝีปากของตัวเองที่รู้สึกเจ็บ นี่มันวันบ้าอะไรของเขากันที่ต้องมาเจ็บทั้งตัวมาเจ็บทั้งใจ แค่เรื่องบิดาเขาก็เสียใจมากพอแล้ว ตั้งแต่จำความได้...นอกจากเสียใจเพราะคิดถึงบิดาครั้งที่ไปอยู่อเมริกาใหม่ๆ ก็ครั้งนี้นี่แหละที่เขาร้องไห้หนักขนาดนี้แล้วนี่อะไรกัน? เขายังต้องมาเจ็บตัวอีก“ไม่ต้องมาทำสำออย ลุกขึ้นมา!”นลินเงยหน้าขึ้นมองคนพาลอย่างหงุดหงิด เขาไม่ได้สำออยเสียหน่อย แต่เขาเบื่อหน่ายจนไม่อยากลุกไปต่อล้อต่อเถียงด้วยต่างหากชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิก่อนจะปัดเศษต่างๆ ออกจากมือและแขนราวกับไม่สนใจท่าทางเกรี้ยวกราด ปกติเขาก็ไม่ชอบคนไร้เหตุผล ไม่ชอบคนใช้อารมณ์แบบนี้อยู่แล้ว และยิ่งไม่ชอบคนที่เอาความโกรธมาลงกับเขาเพราะฉะนั้น...พยัคฆ์ไม่ใช่สเปกของเ
พยัคฆ์เดินไปเดินมาพลางชะเง้อดูแฝดผู้พี่ที่บอกว่าจะช่วยพูดกับนลินให้ ทว่าผ่านไปตั้งหลายนาทีแล้วกลับยังไม่เห็นวี่แววของทั้งคู่ เป็นเหตุให้ตรีวิทย์ที่กำลังเล่นต่อจิ๊กซอว์กับลูกชายลอบอมยิ้มขำ“คุณพ่อครับ ทำไมน้ายักษ์เดินไม่หยุด”“น้าพยัคฆ์รออานลินครับ”“รอทำไมครับ อานลินไปไหน อานลินทิ้งน้องพูห์เหรอ”“ไม่ใช่ครับ อานลินคุยอยู่กับคุณแม่ครับ”ภูวนัยเอียงคอก่อนจะผุดลุกเดินไปหาพยัคฆ์ แล้วจับมือใหญ่ของอีกฝ่าย เป็นเหตุให้พยัคฆ์ต้องหันมองหลานชายด้วยความฉงนใจ“น้องพูห์มีอะไรครับ”“ต่อจิ๊กซอว์กันครับ”“เดี๋ยวน้าไปต่อด้วยนะ น้าพยัคฆ์รออานลินของน้องพูห์อยู่”“น้ายักษ์เป็นเด็กไม่ดี ถ้าน้ายักษ์ดื้ออานลินจะไม่รักนะครับ”“หือ? น้องพูห์บอกว่าถ้าน้าพยัคฆ์ดื้อ อานลินจะไม่รักเหรอครับ”“ครับ อานลินบอกว่าอานลินรักน้องพูห์ น้องพูห์เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ”พยัคฆ์ขมวดคิ้วเข้มจนระหว่างคิ้วเป็นร่องลึก เขายอมเดินตามแรงน้อยๆ ของโอเมก้าวัยสามขวบไปนั่งบนพรมข้างพี่เขยที่ยังคงยิ้มกริ่ม“พี่ว่าพยัคฆ์คงไม่ได้แค่สนใจนลินแล้วล่ะ ถ้าชอบก็ลุยเลย ไม่งั้นนลินไปสนใจคนอื่นแน่”“พี่ตรีกับนลินไม่ได้...”“ไม่ใช่อย่างที่พยัคฆ์คิดหรอก พี่รู้
ประตูห้องนอนเพ้นต์เฮ้าส์เปิดออกขณะที่มือใหญ่ยังคงกอดเกี่ยวเอวบอบบางไว้ เช่นเดียวกับที่ริมฝีปากของทั้งคู่แนบสนิทกันไม่ยอมผละออกห่าง ราวกับโหยหากันและกัน กลิ่นฟีโรโมนของทั้งคู่ผสมผสานกันจนอบอวลไปทั่วห้อง นลินถูกไล่ต้อนจุมพิตพลางก้าวถอยหลังกระทั่งชนเข้ากับเตียงจนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงกว้างกลางห้องริมฝีปากของทั้งคู่ผละออกห่างกัน ลิ้นเล็กมีน้ำลายสีใสยืดเยิ้ม ดวงตาคู่สวยฉ่ำหวานด้วยแรงปรารถนาที่ขับเคลื่อนจากการกระตุ้นฟีโรโมน มองตามมือใหญ่ที่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด...ทีละเม็ด...ทว่าท่าทางอ้อยอิ่งเชื่องช้าของพยัคฆ์นั้นดูเหมือนจะไม่ทันใจของนลิน มือขาวจึงดึงอีกฝ่ายให้นอนอยู่ใต้ร่าง พยัคฆ์กึ่งนั่งกึ่งนอนขณะที่ร่างบอบบางคร่อมอยู่บนกายแกร่ง มือเรียวปลดกระดุมออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปลดเสื้อเชิ้ตออกจากบ่าแกร่ง แล้วโน้มหน้าลงจูบต้นคอแกร่ง ดูดเม้มจนขึ้นสีเข้มพยัคฆ์ปลดแขนเสื้อแล้วปล่อยให้เสื้อหล่นข้างเตียงขณะยันกายด้วยแขนข้างหนึ่งเพื่อเอนกาย อำนวยความสะดวกให้นลินที่ซุกไซ้ไปตามลำคอและลาดไหล่ เพราะรู้สึกอารมณ์ดีจึงทำให้กลิ่นฟีโรโมนดอกโบตั๋นนั้นหอมหวานไปด้วย เป็นเหตุให้นลินยังมัวเมาไปกลับกลิ่นนั้น“อืม.
นลินไม่ได้อยากจะยอมนั่งนิ่งๆ แบบนี้ แต่เพราะไม่มีแรงแม้แต่กระดิกนิ้ว ราวกับว่าพยัคฆ์กลัวจะซ้ำรอยเดิมจึงไม่ยอมให้เขาพัก ไม่ว่าจะโอดครวญว่าไม่ไหวแค่ไหน อีกฝ่ายก็ยังเอาแต่กระแทกจนเขาแทบจะสลบ เป็นครั้งแรกในชีวิตของนลินที่ต้องเจอเซ็กซ์ดุเดือดและยาวนานขนาดนี้ชายหนุ่มยังคงหลับตา ปล่อยให้พยัคฆ์นวดศีรษะสระผม และปล่อยให้อีกฝ่ายล้างแชมพูออกจากเส้นผม ก่อนจะยอมให้พยัคฆ์มานั่งด้วยกันในอ่างอาบน้ำ ยอมนั่งนิ่งๆ ในอ้อมกอดอีกฝ่าย“วันนี้ไม่หนีพี่แล้วใช่ไหม”“เอาแรงไหนไปหนี คุณ...อ๊ะ!”นลินสะดุ้งเมื่อพยัคฆ์กัดหมับบนบ่าของเขา แม้จะไม่แรงนักแต่ก็คงเป็นรอยฟันจนเขาต้องหันมองตาขวางอย่างไม่ชอบใจพยัคฆ์ลูบบนรอยฟันเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อน “พี่บอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกว่าคุณ เรียกว่าพี่พยัคฆ์นะครับ”“ถ้ากัดอีกทีนลินจะไม่พูดด้วยอีก”“นลินได้พี่แล้วจะทิ้งเหรอ ใช่สิ! นลินเคยทิ้งพี่ไปครั้งนึงแล้วนี่”“พูดไร้สาระอะไรเนี่ย”“จะปฏิเสธอีกเหรอว่าไม่ใช่โอเมก้าที่พี่เคยก
“อย่านะคะคุณมุกรวี!”ปึง!ประตูบานหนักเปิดออก ทุกคนในห้องประชุมพากันหันไปมองคนที่ขัดการประชุมสำคัญทันที ขณะที่ประธานการประชุมกลับนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้อย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ นั่นทำให้ทุกคนในที่ประชุมรู้ดีว่าควรทำตัวเช่นไร“ประชุมบอร์ดผู้บริหารแต่ทำไมถึงประชุมโดยไม่เรียกฉันล่ะ”“คุณมุกรวีคะ ออกไปเถอะค่ะ”“ใครปล่อยคนนอกเข้ามาในห้องประชุมทั้งที่บอร์ดผู้บริหารเขาประชุมกันอยู่ ถ้าความลับของสตาร์ไลท์หลุดรอดออกไป ใครจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้” พยัคฆ์เอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ“พวกเราพยายามห้ามแล้วค่ะคุณพยัคฆ์”“รปภ. คนไหนปล่อยขึ้นมา ให้รับผิดชอบในเรื่องนี้ซะ ฉันสั่งลงไปแล้วว่าถ้าผู้หญิงคนนี้ก้าวเข้ามาในบริษัท แล้วใครปล่อยเข้ามาจะไล่ออกทันที”“พยัคฆ์! นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ ฉันก็เป็นลูกคุณพ่อ เป็นป้าของแก”ดวงตาคมปลาบหันมองคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกของคุณปู่ และเป็นป้าของเขาทันที นั่นเป
ร่างอวบเดินเข้ามาในบ้านพลางมองหาแม่บ้านคนสนิท เมื่อไม่เห็นคนที่ควรจะออกมาต้อนรับจึงตะโกนเรียกด้วยความหงุดหงิด“นางจิ๋ว! จิ๋ว! แกอยู่ไหนเนี่ย”“ค่าคุณนาย จิ๋วมาแล้วค่ะ”ร่างผอมบางตัวเล็กวิ่งออกมาจากห้องครัวทันที ก่อนจะส่งแก้วน้ำให้คุณนายของบ้าน แล้วรับกระเป๋าถือของอีกฝ่ายวางบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น“ตาเพชรไปไหนล่ะ”“ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวข้างบนค่ะ”“อาบน้ำแต่งตัว? นี่มันจะออกไปเที่ยวข้างนอกอีกแล้วเหรอ”“ค่ะ คุณหนูก็ไปเที่ยวเกือบทุกวันเป็นเรื่องปกตินะคะ”“ปกติบ้านแกสินางจิ๋ว นี่ลูกชายฉันวันๆ เอาแต่เที่ยวมันปกติที่ไหนกัน สัปดาห์นึงแวะไปบริษัทกี่ครั้งกัน”“ไม่กี่ครั้ง แต่คุณหนูก็ช่วยงานคุณท่านได้ดีนะคะ”คุณนายของบ้านได้แต่หงุดหงิดเมื่อได้ยินคำพูดของคนสนิท นางยื่นแก้วน้ำให้อีกฝ่าย ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือของตัวเองก้าวขึ้นชั้นบนของบ้าน เคาะประตูห้องนอนของลูกชายทันที“ใครครับ”“แม่เองตาเพชร เ
เสียงเข้มที่กำลังโวยวายอยู่ในห้องทำงานชั้นล่างของคฤหาสน์ศตาวุทธิพงศ์ทำให้คนที่เพิ่งกลับมาถึงต้องชะงัก ไม่ได้ชะงักเพราะเสียงด้านใน แต่ชะงักเพราะเด็กทั้งหกคนที่กำลังยืนออกันหน้าห้อง เป็นเหตุให้ซีอีโอแห่งศตาวุทธิพงศ์กรุ๊ปในวัยเกือบสี่สิบกระแอมเรียกเจ้าเด็กทั้งหก“อะแฮ่ม! มาแอบฟังอะไรตรงนี้” พยัคฆ์แกล้งเอ่ยเสียงเข้ม“คุณพ่อ! กลับมาแล้วเหรอครับ” พลินทร์เอ่ยถามก่อนจะมองหน้าน้องๆ พลางย่นคอด้วยกลัวว่าจะถูกตำหนิ“กลับมาแล้วครับ มามะ! มาหาพ่อนี่มา”เด็กแฝดสามคู่วิ่งเข้าหาบิดาพลางยืนล้อมรอบ ก่อนพยัคฆ์จะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงของคุณนายแห่งศตาวุทธิพงศ์ยังคงอาละวาดลูกน้องคนสนิทในฐานะซีอีโอแห่งแม็กมารีนาซ ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งรับตำแหน่งนี้ไปเมื่อสี่ปีก่อน“คุณแม่โกรธลุงเบนนี่มากเลยฮะ” พริษฐ์เอ่ยพลางทำสีหน้าแหยงๆ“แม่เรากลับมานานแล้วเหรอ”“คุณแม่ไปรับพวกเราครับ ลุงเบนนี่เพิ่งมาเมื่อกี้ แล้วก็ระเบิดลงตู้มๆ เลยครับ”พยัคฆ์มองดวงตากลมโตของโอเม
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่บ่นว่านอนหลับไม่สนิททำให้ซีอีโอหนุ่มแห่งสตาร์ไลท์คลี่ยิ้ม ค่อยๆ ปิดหนังสือนิทานที่เขาไม่แน่ใจว่าอ่านให้ลูกหรือแม่ฟังกันแน่ ทว่าหากมันทำให้นลินหลับได้นานขึ้นสักนิดก็คงจะดีไม่น้อย เขารู้ว่าช่วงนี้นลินลำบากไม่น้อย หลังจากที่นลินเริ่มสร้างรังเมื่อเกือบเจ็ดเดือนก่อน ตอนนี้เข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนกำหนดคลอด นลินก็ยิ่งทั้งกลัว ทั้งกังวล กอปรกับเจ้าก้อนตัวยักษ์ในท้องนลินที่แข็งแรงจนพากันดิ้นถี่ขึ้นทำให้นลินแทบไม่ได้พักผ่อนเลยพยัคฆ์ค่อยๆ ประคองศีรษะของนลินเพื่อให้หนุนหมอนดีๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออกเบาๆ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้คนที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาช่วยเขาดูแลนลินตั้งแต่นลินท้องเข้าสู่เดือนที่เจ็ด‘หลับแล้วเหรอ’นวมิณทร์เอ่ยถามพยัคฆ์โดยไม่มีเสียง พยัคฆ์พยักหน้ารับก่อนจะใช้หมอนสำหรับคนท้องช่วยประคองให้นลินได้หลับสบายขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆ ผุดลุกจากเตียงทั้งสองค่อยๆ ย่องออกจากห้องนอนใหญ่แห่งศตาวุทธิพงศ์ พยัคฆ์ปิดประตูห้องอย่างเบามือ ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจที่นลินหลับได้เสียที“นลินหลับนาน
“ไหวแน่นะครับคุณหนู”“อือ ไปจัดการที่เหลือเถอะไป มีปัญหาอะไรก็โทร. มาละกัน”“อยู่คนเดียวได้แน่นะครับ วันนี้คุณพยัคฆ์ไม่อยู่ใช่ไหมครับ หรือว่าจะไปโรงพยาบาล”“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงล่ะพาร์ดี้ ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนเบนนี่บ่นอีกหรอก”“แต่ว่าคุณหนูดูไม่ดีเลยนะครับ”เสียงพูดคุยของเจ้านายหนุ่มและลูกน้องทำให้หญิงสูงวัยที่ควบตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านและพี่เลี้ยงของสองหลานชายแห่งศตาวุทธิพงศ์รีบเดินออกมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“เกิดอะไรขึ้นคะคุณนลิน ทำไมวันนี้กลับเร็วจังล่ะคะ”“ปวดหัวนิดหน่อยครับ ว่าจะกลับมานอนพักหน่อย ป้าเปลวไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” นลินตอบคำถามพลางยิ้มอ่อน ก่อนจะหันกลับไปสั่งงานลูกน้องคนสนิท “ไปได้แล้วพาร์ดี้ ตรวจสอบทุกอย่างให้ดีด้วย”“ครับคุณหนู” พาร์ดี้รับคำทว่าไม่วายละล้าละลังด้วยความเป็นห่วง“ไปเดี๋ยวนี้เลยพาร์ดี้” นลินออกคำสั่งอีกครั้งพาร์ดี้จึงได้แต่หมุนกายออกวิ่งไปที่รถ
กลิ่นอากาศสดชื่น บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงกิ่งไม้เสียดสี ต้นไม้สูงล้อมรอบบ้านทำให้คนที่ต้องการพักกายพักใจยอมรับว่าที่นี่เหมาะเป็นบ้านพักตากอากาศจริงๆ ทว่า...หัวใจของเขาตอนนี้มันยังไม่สามารถกลับมาสดชื่นได้เลยสักนิดดวงตาเรียวสวย หางตายกขึ้นเล็กน้อยขณะหลับตาเพื่อสูดอากาศเย็นยามเช้าตรู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นขณะกอดอก สายตาเหลือบเห็นกำไลหินโกเมนสีแดงดำบนข้อมือก็ต้องเม้มปากอีกครั้งการจากไปของลาภิณ...บิดาผู้ให้กำเนิดอย่างไม่มีวันกลับนั้นไม่ได้ผิดไปจากที่ทุกคนคาดสักนิด หลังงานแต่งงานของนลินและพยัคฆ์เพียงสามวัน วันที่สี่ในช่วงเช้าตรู่นวมิณทร์ก็เป็นคนโทร. มาบอกนลินว่าบิดาของเขาจากไปอย่างสงบ เพียงหลับไปในช่วงกลางคืนแล้วไม่ตื่นอีกเลยนลินไม่รู้ว่ามารดาของเขาต้องเจ็บปวดแค่ไหน ที่ต้องพบว่าคนที่พูดคุยด้วยก่อนเข้านอนจะหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกในเช้าตรู่วันถัดมา ตลอดการจัดงานศพเจ็ดวันนั้น มารดาของเขามักจะแอบร้องไห้อยู่เงียบๆ ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าซีดเซียวที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามารดาของเขาเสียใจแค่ไหน และเป็นเรื่องดีแล้วที่หลังจากเสร็จสิ้นงานไม่กี่วันเทรนต์ก็พานวมิณท
เมื่อพิธีกรประกาศให้บ่าวสาวลงจากเวทีได้ ทั้งคู่จึงเลือกจะเดินไปหาคนที่ได้รับช่อดอกไม้ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ผุดลุกจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าแตกตื่น“พี่ไม่คิดว่าเพชรกับคุณลุงจะมาร่วมงานด้วย เพราะพี่กับนลินทำให้แม่ของเพชร...”“ไม่ครับ” เพชรอันดารีบค้านพลางส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่พยัคฆ์กับคุณนลินไม่ผิดนี่ครับ”“เรียกนลินเฉยๆ หรือจะเรียกว่าน้องนลินก็ได้ครับ ยังไงเราก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน” นลินเอ่ยพลางระบายยิ้ม“ขอบคุณนะครับที่ยอมรับเพชรเป็นคนในครอบครัว ทั้งที่คุณแม่ของเพชรทำเรื่องเลวร้ายกับพี่พยัคฆ์และน้องนลินไปเยอะเลย เพชรเองก็เคยทำไม่ดีกับนลินด้วย”“นลินเข้าใจพี่เพชรนะครับ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกครับ ทุกคนมีข้อด้อยและเคยผิดพลาดกันทั้งนั้น นลินกับพี่พยัคฆ์เองก็เคยทำเรื่องไม่ดีมาเยอะ แต่พี่เพชรก็ยังคิดได้ ยังคิดกลับตัว ตอนนี้พี่เพชรก็เข้าไปช่วยงานคุณลุง แล้วก็พยายามดูแลตัวเองกับลูก นลินเชื่อว่าพี่เพชรจะเป็นแม่ที่ดีแน่ๆ ครับ”“และพี่ก็เชื่อว่าสักวันหนึ่ง เพชรคงไ
งานแต่งงานกลางแจ้งถูกเนรมิตขึ้นที่คฤหาสน์จิรพงศ์ธาดา ซึ่งเป็นความคิดของนวมิณทร์ที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ลาภิณมากที่สุด แม้คราแรกพยัคฆ์ต้องการจะให้มีการแต่งงานใหญ่โตในโรงแรม ทว่าเมื่อนลินบอกความต้องการ พยัคฆ์ก็พร้อมจะเปลี่ยนให้ แต่พยัคฆ์ก็ยังคงเป็นพยัคฆ์ แม้จะเป็นการจัดงานในคฤหาสน์จิรพงศ์ธาดา ก็ไม่วายเชิญนักข่าวและแขกเหรื่อเกือบห้าร้อยคนมาร่วมงาน โดยใช้พื้นที่หน้าคฤหาสน์ได้อย่างคุ้มค่ารั้วคฤหาสน์ถูกแต่งด้วยดอกโบตั๋นหลากสีอันเป็นกลิ่นฟีโรโมนของพยัคฆ์ บริเวณหน้าคฤหาสต์ตกแต่งด้วยทางเดินพุ่มลาเวนเดอร์ และมีโต๊ะจีนกว่าห้าสิบโต๊ะซึ่งกลางโต๊ะประดับแจกันดอกโบตั๋นแซมดอกลาเวนเดอร์อันเป็นฟีโรโมนของคู่บ่าวสาวในวันนี้พิธีแบบไทยถูกจัดขึ้นภายในห้องโถงของคฤหาสน์จิรพงศ์ธาดา ซึ่งทางเจ้าภาพขอจัดแบบส่วนตัวเฉพาะคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดร่างสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรผิวสองสีที่อยู่ในชุดแต่งงาน เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทหรูสามชิ้นสีครีมเข้มและโบหูกระต่ายสีเดียวกัน ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตจัดแต่งทรงอย่างดี เปิดหน้าผากให้เห็นใบหน้าคม คิ้วเข้มหนา ดวงตาคมปลาบ เสริมให้พยัคฆ์ยิ่งดูห
นวมิณทร์คลี่ยิ้มเมื่อเห็นลาภิณยังคงนั่งหลับตาในศาลาแปดเหลี่ยมที่ล้อมรอบด้วยกล้วยไม้นานาพันธุ์ ซึ่งครึ่งหนึ่งนั้นเขาเป็นคนดูแลเมื่อในอดีต เขาคิดว่าที่นี่จะถูกทำลายหรือรื้อไปจนหมด กระทั่งได้กลับมาเห็นอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าที่นี่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี“น้องตฤนกลับมาแล้วเหรอ” ลาภิณทักทั้งที่ยังไม่ลืมตา“รู้ได้ไงครับว่าเป็นตฤน”“พี่จำเสียงฝีเท้าตฤนได้”นวมิณทร์ทรุดกายนั่งบนม้านั่งข้างรถเข็นของลาภิณก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายไว้ นั่นทำให้ลาภิณลืมตาขึ้นมองพลางวาดยิ้ม ทุกครั้งที่ลืมตามาแล้วเห็นนวมิณทร์ ลาภิณมักคิดเสมอว่าเขากำลังอยู่ในห้วงฝันดี“พี่ลาภิณมีความสุขไหมครับ”ลาภิณพยักหน้า “พี่มีความสุขสิ มีความสุขที่ตฤนยังอยู่ตรงนี้ มีความสุขที่ลูกของเราเองก็มีความสุข”“ตฤนก็มีความสุขครับ”“สำหรับพี่แล้ว...แค่ตฤนกับนลินมีความสุข พี่ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”“แน่นอนครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ตฤนจะจดจำช่วงเวลานี้ไว้ไปตลอดชีวิต และตฤนจะรักษาสั
นลินลอบยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทางของคนรักที่อยู่ไม่นิ่ง ตั้งแต่วันที่พยัคฆ์วิดีโอคอลหาเทรนต์ ก็ดูขยาดยามพูดถึงจนเขานึกอยากรู้เสียเหลือเกินว่าพูดคุยกันอีท่าไหน ทว่าทุกครั้งที่พยายามถามพยัคฆ์ก็เอาแต่บ่ายเบี่ยง ไม่ก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียจนเขาขี้เกียจจะซักไซ้ ทว่าวันนี้บิดาของเขาบินมาแล้ว หากถามจากพยัคฆ์ไม่ได้ เขาก็แค่ถามเอากับบิดา“พี่พยัคฆ์ทำตัวเหมือนเด็กเลยนะครับ แด๊ดไม่ได้จะมาฆ่าพี่พยัคฆ์ซะหน่อย”“น้อยไปน่ะสินลิน”“ตกลงว่าพี่พยัคฆ์ได้คุยกับแด๊ดจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”“ก็เพราะคุยแล้วไง อาเทรนต์คาดโทษพี่ไว้ พี่ต้องตายแน่ๆ เลยนลิน นลินต้องช่วยพี่นะครับ”น้ำเสียงออดอ้อนของคนรักทั้งสายตาเหมือนหมาน้อยก็ทำให้นลินนึกสงสารตามไปด้วย มือใหญ่ดึงมือเล็กมาแนบกับแก้ม ก่อนจะเอียงหน้าเข้าหา นลินจึงลูบแก้มอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอย่างนึกเอ็นดู“นลินจะช่วยพี่พยัคฆ์เองครับ พี่พยัคฆ์เป็นของนลิน คนอื่นห้ามรังแก นลินรังแกได้คนเดียว”“พี่จะยอมให้นลินรังแกคนเดียว”นับสิบที่ติดตามมาด้ว
พยัคฆ์นอนมองเพดานสีขาวด้วยความรู้สึกหงุดหงิด นลินเงียบหายไปตั้งแต่วันที่เขาได้สติ เขาได้รับข้อความตอบกลับสั้นๆ ในวันนั้นเพียงว่าดูแลตัวเองดีๆ และนับแต่นั้นมาอีกฝ่ายก็เงียบหายไป ไม่ว่าเขาจะเพียรส่งข้อความแค่ไหน หรือโทร. หาอย่างไรก็ไม่มีการตอบรับ ยอมแม้กระทั่งถ่างตารอดึกดื่น ด้วยรู้ว่าเวลาที่แตกต่างกันถึงสิบห้าชั่วโมง ทว่าจนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็ยังไม่ติดต่อกลับมา“ห้าวันแล้วนะนลิน ทำไมนลินใจร้ายกับพี่จังเลย โทร. หาก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน”“เลิกบ่นเถอะไอ้พยัคฆ์ มึงบ่นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ นี่กูมาเฝ้ามึงสามวัน มึงก็บ่นสามวัน กูจะไม่มาเฝ้ามึงแล้วนะ”“ก็ดี กูอยากกลับบ้านแล้ว กูจะบินไปหานลิน”“คลั่งรักเหลือเกินนะพ่อ ใจเย็นหน่อยสิวะไอ้พยัคฆ์ ยังไงน้องนลินของมึงก็ต้องกลับมา พ่อเขาอยู่นี่ ยังไงเขาก็ต้องพาแม่เขามา”“แล้วทำไมเขาไม่ติดต่อกูมาล่ะ แค่ตอบข้อความกูนี่มันยุ่งยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ ส่งมาสักคำก็ยังดี นี่อะไรเงียบหายไปเลยตั้งแต่วันนั้น หรือว่านลินจะทิ้งกูวะไอ้นับ”&ldquo