“จริงเหรอครับคุณลุง พวกเราเข้าใจคุณพ่อผิดมาตลอดจริงๆ สินะครับ”
“ใช่ เป็นอย่างที่นลินบอกลุงเลย แต่...มีเรื่องสำคัญที่ลุงต้องบอกนลิน”
“ครับ มีอะไรเหรอครับ”
“พ่อของนลินไม่ได้เพิ่งตามหานลินหรอกนะ เขาตามหามาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ปู่ของนลินตาย พ่อของนลินก็เริ่มส่งคนให้ออกตามหาโดยไม่ให้พราวรุ้งรู้ แต่ที่เขาเร่งหาตอนนี้เพราะเขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
“ครับ? คุณพ่อเป็นอะไรครับ”
“มะเร็งกระดูกน่ะ ลุงใช้เส้นสายไปลองสืบที่โรงพยาบาลที่ลาภิณรักษาตัว เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งกระดูกมาตั้งแต่สองปีก่อน แล้วก็รักษามาโดยตลอด แต่เมื่อเดือนก่อนพบว่ามันลุกลาม ลาภิณจึงตัดสินใจร่วมกับหมอว่าจะหยุดการรักษา และเขาตั้งใจใช้ช่วงเวลาสุดท้ายนี้เพื่อตามหาตฤนกับนลิน”
นลินขบกรามแน่นกลั้นความรู้สึกวูบโหวง ทั้งที่ความทรงจำวัยเยาว์ที่มีบิดานั้นเป็นเพียงระยะสั้นๆ แต่เขากลับรู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจที่บิดาเหลือเวลาน้อยนิดเสียเหลือเกิน เขาข่มอารมณ์ที่ไม่ปกติของตัวเองไว้
“คุณพ่อเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ครับ”
“เร็วสุดคือหกเดือน ช้าสุดคือหนึ่งปี”
“น้อยเหลือเกิน”
“นลินจะไปเจอพ่อเขาไหม”
“ครับ แต่ถ้านลินไปเจอคุณพ่อ คนที่ส่งคนไปทำร้ายนลินก็ต้องรู้แน่ว่านลินกับคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ และคุณแม่ก็คงไม่ปลอดภัย เขาเคยส่งคนไปทำร้ายนลินถึงบนเรือแม็กมารีนาซได้ นับประสาอะไรกับที่บ้านของแด๊ด คุณแม่คงไม่ปลอดภัยแน่ๆ”
“นลินจะทำยังไง”
“ต้องย่นระยะเวลาเพื่อรวบรวมทุกอย่างแล้วครับ”
“แล้วนลินจะบอกตฤนไหม”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ ถ้านลินบอกคุณแม่ตอนนี้ ท่านต้องรีบบินมาหาคุณพ่อ แล้วก็คงเข้าทางพราวรุ้งแน่ๆ”
“แต่ไม่มีหลักฐานเล่นงานเธอนะนลิน ผู้หญิงคนนั้น...”
“ถ้าไม่มีหลักฐานก็ทำให้มีหลักฐานสิครับ”
“นลินจะทำอะไร”
“เธอคิดจะจัดการนลิน คงคิดว่าถ้าจับตัวนลินแล้วจะล่อคุณแม่ให้ออกมาได้ นลินก็จะยอมเล่นตามน้ำ”
“แบบนั้นมันอันตรายนะนลิน”
“นลินรู้ครับคุณลุง แต่นลินมีแผนรับมือแล้ว”
ไตรทศมองแววตาแน่วแน่ของนลินก็ให้นึกอ่อนใจนัก นลินได้ส่วนผสมระหว่างนวมิณทร์และลาภิณ เอาจุดเด่นของทั้งคู่มาไว้ที่ตัวเองจนหมดแบบนี้ สมแล้วล่ะที่นวมิณทร์บ่นนักบ่นหนาว่านลินเป็นคนดื้อและไม่ยอมคน
“ขอบคุณนะครับคุณลุง นลินคงต้องปรึกษาแด๊ดก่อน หากตัดสินใจทำอะไรไม่บอก แด๊ดคงได้ลงโทษนลินไม่ให้ออกจากบ้านแน่เลยครับ แล้วก็คงเรียกตัวกลับทันที”
“คิดว่าบอกแล้วเทรนต์จะยอมให้นลินทำอย่างที่คิดเหรอ”
“นลินไม่ได้บอกว่าจะบอกแด๊ดหมดเสียหน่อย”
เอ่ยจบนลินก็ผุดลุกจากโซฟาห้องนั่งเล่นภายในบ้านใหญ่ของกิตติวรกานต์ เดินออกจากบ้านไปตามเฉลียงจนไปหยุดอยู่ที่สระบัวกว้าง เขาเม้มปากแน่นพลางทรุดกายนั่งบนม้านั่ง
แม้ต่อหน้าไตรทศนลินจะทำตัวเข้มแข็งอย่างไร แต่เมื่ออยู่คนเดียว...น้ำตาก็ไหลจากดวงตาเรียวคู่สวย นลินไม่เคยคิด...ไม่เคยคิดมาก่อนว่าบิดาผู้ให้กำเนิดจะอายุสั้นขนาดนี้
เหอะ! คู่แห่งโชคชะตามันไม่มีจริงเสียหน่อย
เมื่อครั้งเขาเด็กๆ บิดาและมารดาเคยเล่าถึงความรักดั่งคู่แห่งโชคชะตาว่าทั้งคู่ผูกพันกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เพียงบิดาได้กลิ่นฟีโรโมนของมารดาครั้งแรก ก็รู้เลยว่านี่คือคู่แห่งโชคชะตา
คู่แห่งโชคชะตาอะไรกันล่ะ?
ทั้งคู่ถูกโชคชะตาเล่นตลกให้มารดาเข้าใจบิดาผิดจนหนีไปถึงยี่สิบปี หลงเชื่อมาตลอดว่าบิดาเป็นคนเลวร้าย แต่แล้วเมื่อความจริงกำลังจะเปิดเผย โชคชะตาก็กำลังจากพรากบิดาไปจากเขาและมารดา
“คู่แห่งโชคชะตาอะไร? มันไม่มีจริง...ไม่มีจริงสักหน่อย โชคชะตาเฮงซวย!”
นลินตะโกนพลางขว้างก้อนหินลงในสระบัวเพื่อระบายอารมณ์ เขาพยายามเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม แต่ยิ่งพยายามปาดน้ำตามันกลับยิ่งไหลลงมาราวกับทำนบน้ำตาแตก
“นลินเป็นอะ...นลิน! ใครทำอะไรนลิน ร้องไห้ทำไม”
“พี่ตรี! ฮือ...ทำไมอะพี่ตรี...ทำไม...”
ตรีวิทย์ปล่อยให้นลินกอด ยืมอกของเขาซับน้ำตา มือใหญ่ที่ปล่อยนิ่งข้างตัวเมื่อครู่ เปลี่ยนมาลูบศีรษะของนลินด้วยความเป็นห่วง เขารู้จากบิดามาก่อนแล้วว่าลาภิณป่วยหนัก คราแรกเขาคิดว่านลินคงเข้มแข็งพอ คงไม่รู้สึกอะไรเพราะไม่เจอกันมายี่สิบปี แต่ไม่ใช่เลย...
สายใยของความเป็นพ่อลูก แม้จะไม่อยู่ด้วยกัน แม้จะเข้าใจผิดกัน แต่ความรักกลับยังคงถักทอ ยังมีสายใยพันผูกกันไว้ไม่สามารถตัดทิ้งได้ง่ายๆ
“ไม่เป็นไรนะนลิน พี่รู้ว่านลินเสียใจ พี่รู้ว่านลินรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่นลินยังมีเวลานะ”
“แค่หกเดือนเนี่ยนะพี่ตรี มันไปพออะไร หกเดือนกับยี่สิบปีมันทดแทนกันไม่ได้เลย”
น้ำตายังคงพรั่งพรูออกมาไม่หยุด นั่นทำให้ตรีวิทย์รู้ว่าภายนอกที่เข้มแข็งนั้นก็แค่เปลือกที่นลินเอาไว้ปกป้องตัวเอง เขาทรุดกายนั่งบนม้านั่งแล้วดึงญาติผู้น้องให้นั่งเคียงกัน ก่อนจะโอบกอดแล้วลูบศีรษะลูบหลังเพื่อปลอบโยน
“แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ด้วยกันนะ นลินไปเจอคุณอาเถอะนะ”
“ไม่ได้ ไม่ใช่ตอนนี้ ถ้าผู้หญิงคนนั้นรู้ คุณแม่...”
“พี่จะช่วยอีกแรง นลินไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ ที่อาเทรนต์ส่งนลินมาอยู่กับพวกเราก็เพราะรู้ว่าพวกเราจะช่วยนลินทุกอย่าง เพราะงั้นมีอะไรก็รีบบอกพี่นะ”
“นลินอยากไปหาคุณพ่อ อยากบอกคุณพ่อว่านลินไม่ได้โกรธคุณพ่อ ไม่เคยโกรธเลย”
“ถ้านลินอยากบอกก็ไปบอก พี่จะช่วย”
“ยังไงครับ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะคอยจับตาดูอยู่ จริงอยู่ที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่ยังไงเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ถ้าเกิดเขาไปเจอตอนนลินไปหาคุณพ่อ มันคงไม่ใช่เรื่องดีหรอกครับ นลินต้องวางแผนเพื่อจัดการเขาก่อน”
“แล้วนลินจะทำยังไง”
“นลินจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ จะกระจายข่าวลือว่านลินกลับมา เธอจะต้องโผล่หางออกมาให้เราจัดการแน่”
“นั่นมันอันตรายเกินไป”
“แต่มีแค่วิธีนี้ที่จะจัดการทุกอย่างได้รวดเร็ว”
“ไม่ได้ ยังไงพี่ก็ไม่ยอมหรอกนะ และถ้าคนอื่นรู้ก็คงไม่มีใครเห็นด้วยแน่”
“แต่พ่อของนลินมีเวลาไม่มากแล้ว พี่ตรีเข้าใจไหมว่าเวลามันเหลือน้อยแล้ว”
“มีสติหน่อยสินลิน” ตรีวิทย์เขย่าตัวนลินให้ตั้งสติ “นลินต้องใจเย็นก่อน ต้องคิดให้รอบคอบ เข้าใจพี่ไหมนลิน”
“ไม่! นลินไม่เข้าใจ พี่ตรีไม่เข้าใจนลินหรอก ไม่มีใครเข้าใจนลินหรอกว่าตอนนี้นลินเจ็บแค่ไหน แล้วถ้าคุณแม่รู้ความจริงจะต้องเจ็บปวดกว่านลินอีก ทำไม...”
“พี่ตรี!”
เสียงห้าวจากด้านหลังของตรีวิทย์ทำให้นลินเงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้าคมที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว นลินรีบปาดน้ำตาบนแก้มของตัวเองทันที
“พยัคฆ์มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พี่มาทำอะไรกับพี่เลี้ยงน้องพูห์ นี่พี่คงไม่ได้...”
“พูดเรื่องอะไรน่ะพยัคฆ์” ตรีวิทย์ขัดขึ้นเสียงขุ่น ก่อนจะก้มมองญาติผู้น้องที่ซุกหน้ากับบ่าของเขา “มันไม่ใช่อย่างที่พยัคฆ์เข้าใจหรอก”
“แน่ล่ะ ผมไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นล่ะ พี่ตรีนะพี่ตรี เป็นคนดีมาตั้งนาน มาตกม้าตายเพราะพี่เลี้ยงเด็กคนเดียวเนี่ยนะ”
“หยุดบ้าได้แล้วพยัคฆ์ พี่กับนลินไม่ได้มีอะไรกัน”
“ไม่มีอะไรกัน แต่พี่ก็ยังไม่ปล่อยเอวพี่เลี้ยงนั่นเลย”
ตรีวิทย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพยัคฆ์กระชากข้อมือของนลินไปอีกทาง เขากำลังจะเดินตามทว่านลินกลับส่ายศีรษะไม่ให้ตาม เขาจึงได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง
สภาพจิตใจของนลินตอนนี้ไม่ปกตินัก ทุกอย่างที่ประเดประดังเข้าหาอาจทำให้เรื่องระหว่างนลินและพยัคฆ์มันบานปลาย แม้เขาจะรู้ดีว่าเรื่องนี้พยนต์ไม่มีทางเข้าใจผิด แต่เพราะพยัคฆ์ไม่รู้ความจริง อาจทำให้อีกฝ่ายมองเขาในแง่ร้าย แล้วไปลงเอากับนลิน
ที่เขาเป็นห่วงตอนนี้...ก็คือนลิน
“ปล่อย! ลากมาทำอะไรของคุณเนี่ย”พยัคฆ์ขบกรามแน่นนึกโมโหนลินจนแทบคลั่งที่อีกฝ่ายมายืนกอดกับตรีวิทย์ ก็ไหนว่าเป็นเบต้า ไม่สนใจอัลฟ่าอย่างไรเล่า ที่แท้ก็แอบมาเป็นชู้กับพี่เขยของเขานี่เอง ทำเป็นรังเกียจเขา ทว่าความจริงคือตั้งใจจะจับตรีวิทย์ชัดๆปึก!ใบหน้าของนลินกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของคนที่ถูลู่ถูกังมาตลอดทาง ชายหนุ่มถูกกระแทกจนกระเด้งแล้วล้มลงกับพื้นนลินกัดริมฝีปากของตัวเองที่รู้สึกเจ็บ นี่มันวันบ้าอะไรของเขากันที่ต้องมาเจ็บทั้งตัวมาเจ็บทั้งใจ แค่เรื่องบิดาเขาก็เสียใจมากพอแล้ว ตั้งแต่จำความได้...นอกจากเสียใจเพราะคิดถึงบิดาครั้งที่ไปอยู่อเมริกาใหม่ๆ ก็ครั้งนี้นี่แหละที่เขาร้องไห้หนักขนาดนี้แล้วนี่อะไรกัน? เขายังต้องมาเจ็บตัวอีก“ไม่ต้องมาทำสำออย ลุกขึ้นมา!”นลินเงยหน้าขึ้นมองคนพาลอย่างหงุดหงิด เขาไม่ได้สำออยเสียหน่อย แต่เขาเบื่อหน่ายจนไม่อยากลุกไปต่อล้อต่อเถียงด้วยต่างหากชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิก่อนจะปัดเศษต่างๆ ออกจากมือและแขนราวกับไม่สนใจท่าทางเกรี้ยวกราด ปกติเขาก็ไม่ชอบคนไร้เหตุผล ไม่ชอบคนใช้อารมณ์แบบนี้อยู่แล้ว และยิ่งไม่ชอบคนที่เอาความโกรธมาลงกับเขาเพราะฉะนั้น...พยัคฆ์ไม่ใช่สเปกของเ
พยัคฆ์เดินไปเดินมาพลางชะเง้อดูแฝดผู้พี่ที่บอกว่าจะช่วยพูดกับนลินให้ ทว่าผ่านไปตั้งหลายนาทีแล้วกลับยังไม่เห็นวี่แววของทั้งคู่ เป็นเหตุให้ตรีวิทย์ที่กำลังเล่นต่อจิ๊กซอว์กับลูกชายลอบอมยิ้มขำ“คุณพ่อครับ ทำไมน้ายักษ์เดินไม่หยุด”“น้าพยัคฆ์รออานลินครับ”“รอทำไมครับ อานลินไปไหน อานลินทิ้งน้องพูห์เหรอ”“ไม่ใช่ครับ อานลินคุยอยู่กับคุณแม่ครับ”ภูวนัยเอียงคอก่อนจะผุดลุกเดินไปหาพยัคฆ์ แล้วจับมือใหญ่ของอีกฝ่าย เป็นเหตุให้พยัคฆ์ต้องหันมองหลานชายด้วยความฉงนใจ“น้องพูห์มีอะไรครับ”“ต่อจิ๊กซอว์กันครับ”“เดี๋ยวน้าไปต่อด้วยนะ น้าพยัคฆ์รออานลินของน้องพูห์อยู่”“น้ายักษ์เป็นเด็กไม่ดี ถ้าน้ายักษ์ดื้ออานลินจะไม่รักนะครับ”“หือ? น้องพูห์บอกว่าถ้าน้าพยัคฆ์ดื้อ อานลินจะไม่รักเหรอครับ”“ครับ อานลินบอกว่าอานลินรักน้องพูห์ น้องพูห์เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ”พยัคฆ์ขมวดคิ้วเข้มจนระหว่างคิ้วเป็นร่องลึก เขายอมเดินตามแรงน้อยๆ ของโอเมก้าวัยสามขวบไปนั่งบนพรมข้างพี่เขยที่ยังคงยิ้มกริ่ม“พี่ว่าพยัคฆ์คงไม่ได้แค่สนใจนลินแล้วล่ะ ถ้าชอบก็ลุยเลย ไม่งั้นนลินไปสนใจคนอื่นแน่”“พี่ตรีกับนลินไม่ได้...”“ไม่ใช่อย่างที่พยัคฆ์คิดหรอก พี่รู้
ประตูห้องนอนเพ้นต์เฮ้าส์เปิดออกขณะที่มือใหญ่ยังคงกอดเกี่ยวเอวบอบบางไว้ เช่นเดียวกับที่ริมฝีปากของทั้งคู่แนบสนิทกันไม่ยอมผละออกห่าง ราวกับโหยหากันและกัน กลิ่นฟีโรโมนของทั้งคู่ผสมผสานกันจนอบอวลไปทั่วห้อง นลินถูกไล่ต้อนจุมพิตพลางก้าวถอยหลังกระทั่งชนเข้ากับเตียงจนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงกว้างกลางห้องริมฝีปากของทั้งคู่ผละออกห่างกัน ลิ้นเล็กมีน้ำลายสีใสยืดเยิ้ม ดวงตาคู่สวยฉ่ำหวานด้วยแรงปรารถนาที่ขับเคลื่อนจากการกระตุ้นฟีโรโมน มองตามมือใหญ่ที่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด...ทีละเม็ด...ทว่าท่าทางอ้อยอิ่งเชื่องช้าของพยัคฆ์นั้นดูเหมือนจะไม่ทันใจของนลิน มือขาวจึงดึงอีกฝ่ายให้นอนอยู่ใต้ร่าง พยัคฆ์กึ่งนั่งกึ่งนอนขณะที่ร่างบอบบางคร่อมอยู่บนกายแกร่ง มือเรียวปลดกระดุมออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปลดเสื้อเชิ้ตออกจากบ่าแกร่ง แล้วโน้มหน้าลงจูบต้นคอแกร่ง ดูดเม้มจนขึ้นสีเข้มพยัคฆ์ปลดแขนเสื้อแล้วปล่อยให้เสื้อหล่นข้างเตียงขณะยันกายด้วยแขนข้างหนึ่งเพื่อเอนกาย อำนวยความสะดวกให้นลินที่ซุกไซ้ไปตามลำคอและลาดไหล่ เพราะรู้สึกอารมณ์ดีจึงทำให้กลิ่นฟีโรโมนดอกโบตั๋นนั้นหอมหวานไปด้วย เป็นเหตุให้นลินยังมัวเมาไปกลับกลิ่นนั้น“อืม.
“อื้อ! อา...แรงกว่านี้อีก...”เสียงกระเส่าเร่งคนด้านล่างที่สวนแท่งร้อนเข้ามาในกาย กลิ่นดอกลาเวนเดอร์อบอวลไปทั่วห้องจนคนที่ถูกขย่มจับเอวเล็กขาวที่เอาแต่บดเร่าเพื่อชะลอจังหวะที่เจ้าตัวเร่งเร้าไม่หยุดริมฝีปากสีพีชยามส่งเสียงครางนั้นเซ็กซี่จนคนมองตาพร่า เขายกกายขึ้นเพื่อซบใบหน้ากับบ่าบอบบางขาวหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่แม้จะทำให้ผ่อนคลาย แต่ก็ปลุกอารมณ์ปรารถนาของเขายิ่งขึ้นชายหนุ่มผิวสองสีไม่รู้ว่าโอเมก้าคนสวยคนนี้เป็นใคร แต่เพียงได้กลิ่น เพียงได้เห็นใบหน้าสวยนี่เขาก็อดใจไม่ไหว จนยอมตามแรงอีกฝ่ายที่ผลักเขาเข้าห้องนอน ดึงทึ้งเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่าแล้วมาอยู่ในท่านี้ริมฝีปากหนาแตะไล่ไปตามปลายคางที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อขณะที่สะโพกก็กระแทกสวนร่างที่ขยับขย่มบนกายเขาอย่างเอาแต่ใจเพื่อให้ตัวเองได้ปลดปล่อย และบรรเทาอาการฮีทของตัวเอง“คนสวย...ใจเย็นหน่อย...ของผมจะหักเอานะครับ”“อย่ามาทำตัวไก่อ่อน ผมไม่ชอบ!”เพียงได้ยินคำดูถูก...เจ้าของดวงหน้าคมเข้มก็ผลักร่างขาวอ้อนแอ้นลงกับเตียง แล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มเจ้าเล่ห์ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าดูถูกเขาขนาดนี้ เขาคงต้องแสดงให้เห็นเสียหน่อยแล้วว่าหากเขาเอาจริงจะเป็นอย่างไร
ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลแม็กมารีนาซ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นรถคูเป้สองประตูของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายกลับมาถึงบ้านแล้ว ชายวัยเกือบหกสิบเร่งสืบเท้าเข้าบ้านก่อนจะส่งกระเป๋าเอกสารให้แม่บ้าน“นลินกลับมาแล้วเหรอ”“ค่ะคุณท่าน คุณหนูกลับมาตั้งแต่เที่ยงแล้วค่ะ แต่เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานของคุณท่านไม่ยอมให้ใครเข้าไปเลยค่ะ”“หือ? ห้องทำงานฉันเหรอ? นลินก็มีห้องทำงานตัวเองนี่”“ใช่ค่ะ เอ่อ...คุณเบนนี่บอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นบนเรือเมื่อสัปดาห์ก่อน มีเรื่องอะไรร้ายแรงรึเปล่าคะ”“ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่องนั้นนลินโทร. มาบอกแล้ว แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียด” เทรนต์เอ่ยก่อนจะมองหาภรรยา “มินนี่อยู่ไหนครับ”“เพิ่งออกจากห้องทำงานคุณท่านเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่หน้าตาไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกับคุณหนูรึเปล่า”“ทะเลาะกัน? คู่นี้ทะเลาะกันแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ”พูดจบเทรนต์ก็สาวเท้าไวๆ ก้าวขึ้นชั้นสองตรงไปยังห้องทำงานของตัวเอง แล้วเปิดประตูเข้าไปเห็นใบหน้าขาวกำลังขมวดมุ่นเคร่งเครียด ดวงตาคู่สวยจับจ้องหน้าจอแท็บเล็ตอย่างจดจ่อ“นลิน”“แด๊ด! กลับมาแล้วเหรอครับ”“เพิ่งกลับนี่ล่ะ โ
สองสามีภรรยาวัยแปดสิบชะเง้อรอคนที่ทุกคนเฝ้ารอ รอแล้วรอเล่าก็ยังมาไม่ถึงเสียทีจนนึกหงุดหงิดเป็นเหตุให้ลูกชายและหลานชายที่เฝ้ารอผู้มาถึงต้องคอยปรามให้ใจเย็น“คุณพ่อคุณแม่ใจเย็นหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวหลานก็มาแล้ว”“ไหนบอกว่าเครื่องแลนด์ดิ้งตั้งแต่สายไง นี่จะเที่ยงแล้วยังไม่เห็นหน้าเลย ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม แม่บอกแล้วว่าให้ไปรับหลานเอง ให้มาเองแบบนี้จะมาถูกไหม หลานไม่อยู่เมืองไทยมายี่สิบปีแล้วนะตาไตร”“คุณย่าก็ใจเย็นหน่อยสิครับ คุณอาเองก็บอกแล้วว่าน้องนลินไม่ได้มาคนเดียว ถ้าเราไปรับเกิดมีใครสงสัย น้องนลินคงเป็นอันตราย ที่น้องกลับมาเมืองไทยก็เพราะคิดทำเรื่องอันตราย คุณย่าคงไม่อยากให้น้องมีอันตรายใช่ไหมครับ”“ใจเย็นก่อนนะคุณ” ป้องเกียรติเตือนภรรยาพลางกุมมือเสียงรถยนต์และเสียงฝีเท้าของแม่บ้านทำให้ผู้ใหญ่ทั้งห้าคนยิ้มกว้างทันที ด้วยวันนี้บ้านกิตติวรกานต์ไม่ต้อนรับแขกคนไหนทั้งนั้น นั่นทำให้พวกเขารู้ได้ทันทีว่าคนที่มาเยือนจะต้องเป็นคนที่พวกเขาเฝ้ารออย่างแน่นอน“คุณหนูนลินมาแล้วค่ะคุณท่าน” เสียงตื่นเต้นของแม่บ้านวัยเกือบเจ็ดสิบทำให้ทุกคนตื่นเต้นร่างบอบบางร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรที่สวมเสื้อยืดสีขาว
“ช่วยส่งเอกสารนี่ไปให้ฝ่ายการตลาด บอกพวกเขาด้วยว่าให้เตรียมแผนโปรโมตไตรมาสหน้า สัปดาห์หน้าประชุมนำเสนอผมด้วย”“ครับคุณพยัคฆ์”“เดี๋ยวคุณวิทวัสช่วยเรียกอลันมาให้ผมด้วยนะ”“ได้ครับ”คล้อยหลังหัวหน้าเลขานุการ ซีอีโอแห่งศตาวุทธิพงศ์กรุ๊ปก็เอนกายกับพนักพิง ก่อนจะหมุนเก้าอี้ออกไปมองนอกอาคารซึ่งเป็นผนังกระจก จนมองออกไปเห็นห้างสรรพสินค้าสตาร์ไลท์ที่ชื่อห้างฯ เด่นเป็นสง่าแม้จะเห็นตึกเพียงลิบๆเขานั่งตำแหน่งซีอีโอเป็นเดือนที่สามแล้ว และช่วงที่เขานั่งตำแหน่งนี้ผลประกอบการก็เติบโตขึ้นจากเดิมเกือบสี่เท่า แม้คนอื่นจะมองว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่สำหรับพยัคฆ์แล้วยังไม่พอใจนัก“หงุดหงิดอะไรวะพยัคฆ์ ตั้งแต่กลับจากล่องเรือเมื่อเดือนที่แล้วก็ดูขัดหูขัดตาไปหมดเลยนะ” นับสิบที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวเอ่ยถามทันทีพยัคฆ์หมุนเก้าอี้กลับมาจ้องหน้าเพื่อนรักที่ควบตำแหน่งบอดี้การ์ด พลางถลึงตามองอย่างนึกขวางหูขวางตา จริงอย่างที่นับสิบพูดนั่นแหละ เขาได้รับของขวัญจากคุณปู่ด้วยทริปล่องเรือสำราญที่ซีแอตเทิล ซึ่งเป็นทริปที่เขาอยากไปมากจนน่าประหลาด ทว่าเมื่อสิ้นสุดทริปเขากลับหงุดหงิดไม่ใช่เขาไม่รู้เหตุผล แต่เขาไม่รู้วิธีแก
นลินเหลือบมองร่างสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรที่มายืนซ้อนด้านหลัง เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงตั้งใจแน่ๆ ชายหนุ่มจึงรีบเช็ดมือกับผ้าขนหนู แล้วหมุนกายมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย“พี่พยัคฆ์มีธุระอะไรจะพูดกับนลินรึเปล่าครับ”“พี่ไม่ใช่เซ็กซ์ทอยของนลินนะครับ คิดจะใช้พี่แก้อาการฮีทแล้วก็ทิ้งกันแบบนั้น นลินไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ”“เซ็กซ์ทอยอะไร นลินไม่เคยรู้จักพี่พยัคฆ์มาก่อน” นลินตอบหน้าตายพลางกอดอก“หือ? จะบอกว่าคนที่ลากพี่เข้าห้องแล้วขึ้นขย่มคนนั้นไม่ใช่นลินเหรอ”“พี่พยัคฆ์จำสลับกับใครรึเปล่าครับ นลินเพิ่งเจอพี่พยัคฆ์นี่ล่ะครับ”“ถ้ายืนยันขนาดนี้พี่ก็คงต้องพิสูจน์หน่อยแล้วล่ะ”นลินเลิกคิ้วพลางเอียงคอสงสัย ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นดอกพีโอนีหรือดอกโบตั๋นจากพยัคฆ์ อยากจะต่อยคนตรงหน้าให้ล้มกองตรงนี้เสียจริงๆ กล้าดีอย่างไรมาปล่อยฟีโรโมนในบ้านที่มีแต่โอเมก้าแม้นลินจะชอบกลิ่นฟีโรโมนของพยัคฆ์แค่ไหน และอยากสูดดมมันมากเพียงใด แต่เขาก็จะอดทนไม่แสดงออกว่าได้กลิ่นมัน เขาต้องเป็นเบต้าที่ไม่รับรู้ถึงกลิ่นฟีโรโมนนี่พยัคฆ์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นคนตรงหน้ายังยืนกอดอกนิ่ง เขาใช้ฟีโรโมนอัลฟ่าข่มขนาดนี้แล้ว แต่นลินกลับไม่แ