Share

CHAPTER 3.1 : อยากเจอก็ต้องได้เจอ

“หมายความว่ายังไงที่บอกว่ายังไม่ได้ข่าว”

“ทั้งสามคนเงียบหายไปเป็นเดือนแล้วครับ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนอยู่ที่โน่นรึเปล่าครับ คุณผู้หญิงจะให้พวกเราทำยังไงครับ”

มือขาวกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ไม่คิดสักนิดว่าตัวเองที่นำหน้าสามี ตามหาคนที่หายไปร่วมยี่สิบปีเจอจะต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง นางได้ข่าวจากคนรู้จักว่าเคยเห็นอดีตภรรยาของสามีอยู่ในเมืองซีแอตเทิล ก็รีบส่งลูกน้องของบิดาให้ไปจับตัวผู้ชายที่คิดว่าน่าจะเป็นลูกชายของสามี

แต่แล้วข่าวคราวกลับเงียบหายไป

“เช็กเรื่องการเดินทางมันหรือยัง”

“ผมเช็กไปที่โรงแรม เขาว่ามีคนมาเช็กเอ้าท์ออกไปแล้ว แล้วก็มีการยกเลิกการจองเที่ยวบิน เงียบหายไปแบบนี้...ผมว่าอาจถูกเก็บไปแล้วก็ได้ครับ”

“แค่เด็กผู้ชายคนเดียวมันจะทำอะไรได้”

“ถ้าเป็นอย่างที่ไอ้พวกนั้นตามสืบ คนที่ดูแลผู้ชายคนนั้นก็ระดับบิ๊กของซีแอตเทิล เป็นผู้มีอิทธิพลคนนึงเลยนะครับ และคงใหญ่กว่าจิรพงศ์ธาดาเสียอีกครับ”

“ไร้สาระ! ถึงจะมีคนดูแลยังไงก็ทำตามอำเภอใจไม่ได้หรอกนะ กฎหมายที่นั่นจะไม่ทำอะไรเลยหรือไง”

“คงไม่ต่างกับที่นี่หรอกครับ ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็น และมีเงินมากพอ ก็ไม่มีหลักฐานโยงถึงผู้กระทำผิดจริงๆ”

หญิงวัยสี่สิบห้าได้แต่เม้มปากแน่น นางรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร เมื่อยี่สิบปีก่อนนางก็เป็นคนลงมือทำเรื่องเลวร้าย ทั้งที่แน่ใจว่าทั้งสองคนต้องตายไปในกองเพลิงจากอุบัติเหตุจนไฟลุกไหม้ทั้งคัน ทว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นางกลับพบว่าสามีของนางส่งคนไปตามหาทั้งคู่จนรู้ว่าทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นทำให้นางต้องเร่งสืบเพื่อให้รู้เรื่องทั้งหมดก่อนสามี

“ถ้าพวกมันถูกเก็บจริงๆ ฉันก็เสียเงินเปล่าประโยชน์น่ะสิ”

“อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพวกนั้นอยู่ในซีแอตเทิลนะครับ”

“ส่งคนไปใหม่ ไปสืบต่อจากตรงนั้น ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งของของฉัน”

“ได้ครับคุณผู้หญิง”

คนถูกเรียกว่าคุณผู้หญิงเม้มปากแน่น นางทำทุกอย่างแม้แต่ยอมเป็นตัวแทนเพื่อตั้งครรภ์และให้กำเนิดทายาทจิรพงศ์ธาดา ทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานมายี่สิบปีเพื่อเป็นภรรยาที่ถูกสามีรังเกียจ นอนแยกห้อง จนกระทั่งบิดาของนางเสียชีวิต นางจึงแยกบ้านอยู่กับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากเจ็บปวดอีก

แต่แล้วลาภิณก็ยังใจร้ายกับนางด้วยการส่งคนไปตามหาอดีตภรรยาและลูกชายที่ควรตายไปในกองเพลิงนั่น เขาไม่เคยรักนาง ไม่เคยรักลูกชายของนางเลย ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาเอาแต่คิดถึงคนที่ควรตายไปแล้วตลอดเวลา

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนได้แต่กำมือแน่น และหากนางเจอทั้งคู่ ครั้งนี้นางจะต้องเห็นกับตาและลงมือจัดการทั้งคู่ด้วยมือของนางเอง

ในเมื่อนางไม่มีความสุข...ใครก็อย่าหวังจะมีความสุข อย่าหวังมาแย่งของของนาง!

นลินจ้องโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นานสองนาน สิ่งที่ได้รับรู้จากลูกน้องทั้งสองคนซึ่งติดตามมาจากซีแอตเทิลก็ให้ต้องกัดกระพุ้งแก้มเบาๆ แม้จะเป็นอย่างที่เขานึกสงสัย แต่เขาก็อยากแน่ใจมากกว่านี้

ชายหนุ่มหยิบล็อกเก็ตออกมาจากกระเป๋าเสื้อคาร์ดิแกน เปิดมันออกดูภาพถ่ายสีซีดด้านใน แม้เขาจะยังเด็กมาก แต่ความทรงจำเรื่องบิดาผู้ให้กำเนิดยังคงชัดเจน

รอยยิ้มใจดีอ่อนโยนที่มอบให้เขา จุมพิตอบอุ่นที่คอยจูบยามกลับมาถึงบ้าน อ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกเหล่านั้นยังชัดเจน และเขาตั้งใจจดจำมันมาตลอดยี่สิบปีราวกับกลัวว่าจะลืมเลือน

แม้มารดาจะไม่เคยโกหกเขา ไม่เคยปิดบังทุกเรื่องราวจากเขา แต่เขากลับเชื่อความรู้สึกของตัวเอง เขาเชื่อว่าความรู้สึกเหล่านั้นไม่โกหกเขาเช่นกัน และหากบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้โกหกเขาก็ไม่มีวันทำเรื่องใจร้ายด้วยการสั่งฆ่าเขาและมารดาเป็นแน่

นลินถูกเทรนต์สอนมาตลอดว่าไม่ให้มองภาพมุมเดียว ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ หากไม่ได้ยินกับหู ไม่ได้เห็นกับตา ตราบใดที่เป็นเรื่องมาจากบุคคลที่สาม เขาก็จะไม่ปักใจเชื่อเด็ดขาด

แม้แต่เรื่องของบิดาผู้ให้กำเนิดที่ออกมาจากปากมารดาของเขาเองก็ตาม

เขาไม่คิดว่ามารดาจะกล่าวหาบิดาลอยๆ ไม่เคยนึกโทษที่มารดามองบิดาในแง่ร้าย แต่เพราะความรัก เพราะนวมิณทร์รักลาภิณมาก รักมากจึงเสียใจมากจนไม่ได้ฟังความจริงจากเจ้าตัว ด้วยตอนนั้นเป็นห่วงนลินยิ่งกว่าสิ่งใด จึงหวังเพียงแค่ขอให้นลินปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไรเลย

“นลินคิดอะไรอยู่”

คนถูกเรียกรีบเก็บล็อกเก็ตใส่กระเป๋าเสื้อคาร์ดิแกนก่อนจะส่งยิ้มให้คนที่ทรุดกายนั่งข้างๆ มือใหญ่ลูบเส้นผมนิ่มสีดำชาร์โคลพลางส่งยิ้มใจดีให้หลานชาย

“คุณลุงช่วยเล่าเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนให้นลินฟังได้ไหมครับ”

“จะอยากรู้ไปทำไมเรื่องเลวๆ แบบนั้น นลินจำแค่...”

“คุณลุงคิดว่าพ่อของนลินจะทำแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ เขาดูเป็นคนใจร้ายใจดำได้เหรอครับ คุณตาบอกว่าครอบครัวจิรพงศ์ธาดาและครอบครัวกิตติวรกานต์รู้จักกันตั้งแต่พวกคุณลุงยังเด็ก และเพราะรู้จักกันนี่แหละที่คุณแม่และคุณพ่อรักกันมาตลอดจนถึงขั้นแต่งงานกัน”

“ถ้าถามลุง...ลาภิณไม่ใช่คนที่ทำร้ายใครได้ เขาเป็นสุภาพบุรุษและอ่อนโยนมากโดยเฉพาะกับตฤน หลังจากตฤนเรียนจบจากต่างประเทศกลับมาทั้งคู่ก็แต่งงานกันเลย เพราะหมั้นหมายกันตั้งแต่ก่อนตฤนไปเรียนเมืองนอก และลาภิณก็รักษาสัญญามาตลอด ไม่เคยนอกใจตฤนเลย ขยันส่งจดหมายไปหา ลุงก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ลาภิณเปลี่ยนไป คงเพราะอยากนั่งเก้าอี้ซีอีโอนั่นแหละ”

“แล้วคุณลุงได้ข่าวคุณพ่อช่วงนี้ไหมล่ะครับ”

“เห็นว่าไม่สบาย อาจเพราะเหตุนี้มั้งถึงได้ตามหาตฤนกับนลิน”

ไตรทศพูดจบก็หันมองใบหน้าหลานชาย ดวงหน้าสวยหวานไม่ต่างจากผู้หญิงนั้นเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ นั่นทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไปรู้อะไรมา

“นลินอยากให้ลุงช่วยอะไรก็บอกลุงมาได้เลยนะ”

“นลินอยากให้ลุงไปหาคุณพ่อที่บ้านครับ”

“หมายความว่ายังไงน่ะนลิน”

“นลินให้คนตามสืบประวัติบ้านจิรพงศ์ธาดาหลังคุณแม่พานลินออกมา มีจุดน่าสงสัยหลายอย่าง”

“เรื่องอะไร”

“คุณพ่อมีลูกอีกคนชื่อภัคพลใช่ไหมครับ”

ไตรทศพยักหน้า “แม่เขาดูภาคภูมิใจมากตอนคลอดลูกออกมาแล้วเป็นอัลฟ่า ถึงขั้นจัดงานเลี้ยงฉลองเปิดตัวทายาทจิรพงศ์ธาดาเลยด้วยซ้ำ เรื่องนั้นตฤนก็รู้นะ”

“ครับ แม่เคยเล่า แม่เสียใจมาก ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้จักกับแด๊ด แม่บอกว่าแม่หายมาจากพ่อไม่ถึงปีคุณพ่อก็มีลูกคนใหม่ แม่เข้าใจว่าคุณพ่อนอกใจคุณแม่มาตั้งแต่คุณแม่ยังอยู่กับคุณพ่อ แต่แม่ไม่ได้รู้ว่าคุณพ่อไม่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนั้น”

“นลินหมายความว่ายังไง”

“คุณลุงคงไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหมครับ”

“ไม่ ตั้งแต่ช่วยตฤนให้พานลินออกนอกประเทศ บ้านเรากับบ้านนั้นก็ตัดขาดกันเลย ไม่แม้แต่จะไปเผาศพตาแก่บ้านนั้น”

“หมายถึงคุณปู่น่ะเหรอครับ”

“ใช่ เพราะตาแก่นั่นเห็นแก่ผลประโยชน์ทางธุรกิจจึงดึงผู้หญิงนั่นเข้ามาในชีวิตของตฤนและลาภิณ ลุงก็พอจะรู้แหละว่าลาภิณไม่ได้เต็มใจนัก ตอนงานแต่งงานของลาภิณกับผู้หญิงคนนั้น หน้าตาเหมือนคนอมทุกข์”

“บางที...สิ่งที่คุณแม่และคุณลุงได้ยินอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้นะครับ”

“นลินไปรู้อะไรมาจริงๆ ใช่ไหม”

“นลินสั่งเบนนี่และพาร์ดี้ตั้งแต่อยู่ซีแอตเทิลแล้วว่าให้สืบประวัติของจิรพงศ์ธาดาทั้งหมดหลังแม่กับนลินออกมา”

“แล้วเป็นยังไงบ้าง”

“มันย้อนแย้งกับสิ่งที่นลินรู้มาตลอดยี่สิบปีน่ะสิครับ”

“จะบอกว่าพวกเราเข้าใจลาภิณผิดเหรอ”

“ก็อาจจะครับ” นลินเม้มปากแน่น “เพราะนลินเองก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รู้มาเป็นความจริงแค่ไหน เลยอยากให้คุณลุงไปพบคุณพ่อไงครับ นลินอยากรู้ว่าสิ่งที่นลินรู้มากับสิ่งที่ออกมาจากปากคุณพ่อน่ะตรงกันไหม”

“นลินรู้อะไรมา”

“คุณพ่อกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้นอนห้องเดียวกันครับ นลินไม่รู้ว่าเธอทำยังไงจึงได้ท้อง แต่เพราะเธอท้องคุณพ่อจึงยอมแต่งงานด้วย ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับคุณปู่ด้วยไหม แต่ถึงจะแต่งงานกันคุณพ่อก็ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับเธอ ไม่ยอมทำพันธะ และพอพ่อของเธอตาย พ่อก็ไม่ห้ามที่เธอย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน แต่เธอก็ยังไปๆ มาๆ เพราะลูกของเธอยังอยู่ที่บ้านคุณพ่อ”

“นลินหมายความว่าทั้งหมดไม่ใช่เจตนาของลาภิณ แต่เป็นเพียงความรับผิดชอบเพราะเป็นพ่อของตาภัคเหรอ”

“พ่อคงคิดว่าเด็กคนนั้นไม่ผิดที่เกิดมา แม้พ่อจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เกิดมาเพราะคุณพ่อ”

“นั่นก็สมกับที่เป็นลาภิณล่ะนะ”

“คุณลุงช่วยนลินหน่อยนะครับ นลินอยากรู้ความจริง”

“ได้สิ ลุงจะช่วย ถ้าเป็นอย่างที่นลินบอก เราอาจเข้าใจลาภิณผิดมาตลอดยี่สิบปี และคนที่เป็นทุกข์ไม่ต่างจากพวกเราก็คือลาภิณ อาจจะทุกข์ยิ่งกว่าก็ได้ เพราะเขาคงคิดโทษตัวเองมาตลอดว่าตฤนกับนลินตายไปแล้ว”

“ไม่ก็พยายามตามหาพวกเรามาตลอดยี่สิบปี” นลินเอ่ยเสียงเบา

แม้ชายหนุ่มจะพยายามพูดเสียงเบาเพียงใด ทว่าเพราะนั่งชิดติดกันไตรทศจึงได้ยินมันเต็มสองหู หากเป็นเช่นที่นลินคิดแล้วล่ะก็...เขาเองก็ผิดที่ไม่ไตร่ตรองสาส์นที่รับมาให้ดีแล้วก็ปักใจเชื่อ จนทำให้ครอบครัวของน้องชายต้องแตกและพังทลายขนาดนี้

หากเป็นจริงเช่นที่นลินพูด แล้วกิตติวรกานต์ทั้งหมดเข้าใจลาภิณผิด เขาไม่ทำร้ายแต่ลาภิณ แต่ยังทำร้ายทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตฤนและนลินที่ต้องห่างจากคนที่รักนับยี่สิบปี สร้างบาดแผลให้แก่ทุกคนจนถึงทุกวันนี้

“ไม่รู้ว่าถ้าคุณพ่อไม่ผิด คุณแม่จะเจ็บปวดแค่ไหน” นลินเอ่ยขึ้นพลางหยิบล็อกเก็ตต่างหน้าบิดาออกจากกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง

“มันอาจเป็นชะตาลิขิตก็ได้นะนลิน” ไตรทศปลอบใจหลานชาย

“ชะตาเล่นตลกน่ะสิครับ ถ้าคุณพ่อไม่ผิด คุณแม่ก็คงโทษตัวเองที่ไปจากคุณพ่อ แล้วก็ต้องรู้สึกผิดที่ไม่เชื่อในความรักของคุณพ่อ แล้วกับแด๊ดเอง...คุณแม่เองก็รักเหมือนกัน ทั้งยังเป็นคนผ่าตัดเอารอยพันธะคุณพ่อออก ยอมให้แด๊ดทำรอยพันธะ แล้วหากเป็นอย่างนลินคิด คุณแม่จะทำยังไงล่ะครับ จะกลับมาอยู่กับคุณพ่อ หรือเลือกจะอยู่กับแด๊ด”

นลินแค่นหัวเราะ เขาเพียงแค่อยากตามล่าคนที่ทำร้ายเขา ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ หากบิดาเป็นคนเลวร้ายคงจะดีเสียกว่า เพราะการที่มารดาหนีไปถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่แบบนี้...

เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

“ลุงจะไปหาลาภิณ จะต้องรู้ความจริงให้ได้”

“ขอบคุณครับคุณลุง”

ไตรทศลูบศีรษะหลานชาย ก่อนจะผุดลุกเพื่อเข้าไปปรึกษาบิดามารดาในเรื่องนี้ ทิ้งให้นลินนั่งในสวนเพียงลำพัง โดยไม่รู้แลยว่ามีคนแอบดูมาครู่หนึ่งแล้วด้วยความสงสัย

“ทำไมถึงดูสนิทสนมกับลุงไตรขนาดนั้นกันนะนลิน”

“อะแฮ่ม! มาแอบดูใครน่ะพยัคฆ์”

พยัคฆ์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปด้านหลังที่แฝดผู้พี่กำลังยืนยิ้มอย่างล้อเลียน แม้เขาจะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาก็บอกพยนต์จนหมด

“พยนต์จะไม่ถามว่ารู้จักนลินมาก่อนไหม แต่จะถามพยัคฆ์ว่าช่วงนี้ที่แวะมาเกือบทุกวันเนี่ยไม่ใช่เพราะงาน ไม่ใช่เพราะคิดถึงหลาน แต่เพราะอยากเจอหน้านลินใช่ไหม”

“ก็รู้อยู่แล้วยังจะถามทำไม”

“พยัคฆ์จะมาทำเล่นๆ กับนลินไม่ได้หรอกนะรู้ไหม”

“ทำเล่นๆ อะไรล่ะ แค่เข้าใกล้ยังยากเลย แถมยังเอาแต่บอกพยัคฆ์ว่าเป็นเบต้า ไม่อยากยุ่งกับอัลฟ่า”

“ไม่มีเบต้าที่ไหนอยากยุ่งกับอัลฟ่าหรอกนะ”

“สวยๆ อย่างนลินไม่มีทางเป็นเบต้าหรอกนะพยนต์ พยัคฆ์ว่าเขาโกหกซะมากกว่า”

“พูดเหมือนรู้จักเขามาก่อนเลยนะ”

พยัคฆ์ไม่ตอบคำถาม ทว่าสายตายังคงจับจ้องแผ่นหลังบอบบางที่ก้มมองของบางอย่างในมือ ใช่ว่าเขาอยากจะทำเพียงเฝ้ามองเสียหน่อย แต่นลินไม่เปิดโอกาสให้เขาเอาเสียเลย

ก่อนหน้านี้เขาแค่ขอให้ได้เจอนลินอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าแค่เจออย่างเดียวคงไม่พอเสียแล้วสิ เขาอยากได้มากกว่านี้...อยากใกล้ชิดมากกว่านี้

และคนอย่างพยัคฆ์...อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม!

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status