“หมายความว่ายังไงที่บอกว่ายังไม่ได้ข่าว”
“ทั้งสามคนเงียบหายไปเป็นเดือนแล้วครับ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนอยู่ที่โน่นรึเปล่าครับ คุณผู้หญิงจะให้พวกเราทำยังไงครับ”
มือขาวกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ไม่คิดสักนิดว่าตัวเองที่นำหน้าสามี ตามหาคนที่หายไปร่วมยี่สิบปีเจอจะต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง นางได้ข่าวจากคนรู้จักว่าเคยเห็นอดีตภรรยาของสามีอยู่ในเมืองซีแอตเทิล ก็รีบส่งลูกน้องของบิดาให้ไปจับตัวผู้ชายที่คิดว่าน่าจะเป็นลูกชายของสามี
แต่แล้วข่าวคราวกลับเงียบหายไป
“เช็กเรื่องการเดินทางมันหรือยัง”
“ผมเช็กไปที่โรงแรม เขาว่ามีคนมาเช็กเอ้าท์ออกไปแล้ว แล้วก็มีการยกเลิกการจองเที่ยวบิน เงียบหายไปแบบนี้...ผมว่าอาจถูกเก็บไปแล้วก็ได้ครับ”
“แค่เด็กผู้ชายคนเดียวมันจะทำอะไรได้”
“ถ้าเป็นอย่างที่ไอ้พวกนั้นตามสืบ คนที่ดูแลผู้ชายคนนั้นก็ระดับบิ๊กของซีแอตเทิล เป็นผู้มีอิทธิพลคนนึงเลยนะครับ และคงใหญ่กว่าจิรพงศ์ธาดาเสียอีกครับ”
“ไร้สาระ! ถึงจะมีคนดูแลยังไงก็ทำตามอำเภอใจไม่ได้หรอกนะ กฎหมายที่นั่นจะไม่ทำอะไรเลยหรือไง”
“คงไม่ต่างกับที่นี่หรอกครับ ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็น และมีเงินมากพอ ก็ไม่มีหลักฐานโยงถึงผู้กระทำผิดจริงๆ”
หญิงวัยสี่สิบห้าได้แต่เม้มปากแน่น นางรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร เมื่อยี่สิบปีก่อนนางก็เป็นคนลงมือทำเรื่องเลวร้าย ทั้งที่แน่ใจว่าทั้งสองคนต้องตายไปในกองเพลิงจากอุบัติเหตุจนไฟลุกไหม้ทั้งคัน ทว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นางกลับพบว่าสามีของนางส่งคนไปตามหาทั้งคู่จนรู้ว่าทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นทำให้นางต้องเร่งสืบเพื่อให้รู้เรื่องทั้งหมดก่อนสามี
“ถ้าพวกมันถูกเก็บจริงๆ ฉันก็เสียเงินเปล่าประโยชน์น่ะสิ”
“อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพวกนั้นอยู่ในซีแอตเทิลนะครับ”
“ส่งคนไปใหม่ ไปสืบต่อจากตรงนั้น ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งของของฉัน”
“ได้ครับคุณผู้หญิง”
คนถูกเรียกว่าคุณผู้หญิงเม้มปากแน่น นางทำทุกอย่างแม้แต่ยอมเป็นตัวแทนเพื่อตั้งครรภ์และให้กำเนิดทายาทจิรพงศ์ธาดา ทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานมายี่สิบปีเพื่อเป็นภรรยาที่ถูกสามีรังเกียจ นอนแยกห้อง จนกระทั่งบิดาของนางเสียชีวิต นางจึงแยกบ้านอยู่กับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากเจ็บปวดอีก
แต่แล้วลาภิณก็ยังใจร้ายกับนางด้วยการส่งคนไปตามหาอดีตภรรยาและลูกชายที่ควรตายไปในกองเพลิงนั่น เขาไม่เคยรักนาง ไม่เคยรักลูกชายของนางเลย ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาเอาแต่คิดถึงคนที่ควรตายไปแล้วตลอดเวลา
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนได้แต่กำมือแน่น และหากนางเจอทั้งคู่ ครั้งนี้นางจะต้องเห็นกับตาและลงมือจัดการทั้งคู่ด้วยมือของนางเอง
ในเมื่อนางไม่มีความสุข...ใครก็อย่าหวังจะมีความสุข อย่าหวังมาแย่งของของนาง!
นลินจ้องโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นานสองนาน สิ่งที่ได้รับรู้จากลูกน้องทั้งสองคนซึ่งติดตามมาจากซีแอตเทิลก็ให้ต้องกัดกระพุ้งแก้มเบาๆ แม้จะเป็นอย่างที่เขานึกสงสัย แต่เขาก็อยากแน่ใจมากกว่านี้
ชายหนุ่มหยิบล็อกเก็ตออกมาจากกระเป๋าเสื้อคาร์ดิแกน เปิดมันออกดูภาพถ่ายสีซีดด้านใน แม้เขาจะยังเด็กมาก แต่ความทรงจำเรื่องบิดาผู้ให้กำเนิดยังคงชัดเจน
รอยยิ้มใจดีอ่อนโยนที่มอบให้เขา จุมพิตอบอุ่นที่คอยจูบยามกลับมาถึงบ้าน อ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกเหล่านั้นยังชัดเจน และเขาตั้งใจจดจำมันมาตลอดยี่สิบปีราวกับกลัวว่าจะลืมเลือน
แม้มารดาจะไม่เคยโกหกเขา ไม่เคยปิดบังทุกเรื่องราวจากเขา แต่เขากลับเชื่อความรู้สึกของตัวเอง เขาเชื่อว่าความรู้สึกเหล่านั้นไม่โกหกเขาเช่นกัน และหากบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้โกหกเขาก็ไม่มีวันทำเรื่องใจร้ายด้วยการสั่งฆ่าเขาและมารดาเป็นแน่
นลินถูกเทรนต์สอนมาตลอดว่าไม่ให้มองภาพมุมเดียว ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ หากไม่ได้ยินกับหู ไม่ได้เห็นกับตา ตราบใดที่เป็นเรื่องมาจากบุคคลที่สาม เขาก็จะไม่ปักใจเชื่อเด็ดขาด
แม้แต่เรื่องของบิดาผู้ให้กำเนิดที่ออกมาจากปากมารดาของเขาเองก็ตาม
เขาไม่คิดว่ามารดาจะกล่าวหาบิดาลอยๆ ไม่เคยนึกโทษที่มารดามองบิดาในแง่ร้าย แต่เพราะความรัก เพราะนวมิณทร์รักลาภิณมาก รักมากจึงเสียใจมากจนไม่ได้ฟังความจริงจากเจ้าตัว ด้วยตอนนั้นเป็นห่วงนลินยิ่งกว่าสิ่งใด จึงหวังเพียงแค่ขอให้นลินปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไรเลย
“นลินคิดอะไรอยู่”
คนถูกเรียกรีบเก็บล็อกเก็ตใส่กระเป๋าเสื้อคาร์ดิแกนก่อนจะส่งยิ้มให้คนที่ทรุดกายนั่งข้างๆ มือใหญ่ลูบเส้นผมนิ่มสีดำชาร์โคลพลางส่งยิ้มใจดีให้หลานชาย
“คุณลุงช่วยเล่าเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนให้นลินฟังได้ไหมครับ”
“จะอยากรู้ไปทำไมเรื่องเลวๆ แบบนั้น นลินจำแค่...”
“คุณลุงคิดว่าพ่อของนลินจะทำแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ เขาดูเป็นคนใจร้ายใจดำได้เหรอครับ คุณตาบอกว่าครอบครัวจิรพงศ์ธาดาและครอบครัวกิตติวรกานต์รู้จักกันตั้งแต่พวกคุณลุงยังเด็ก และเพราะรู้จักกันนี่แหละที่คุณแม่และคุณพ่อรักกันมาตลอดจนถึงขั้นแต่งงานกัน”
“ถ้าถามลุง...ลาภิณไม่ใช่คนที่ทำร้ายใครได้ เขาเป็นสุภาพบุรุษและอ่อนโยนมากโดยเฉพาะกับตฤน หลังจากตฤนเรียนจบจากต่างประเทศกลับมาทั้งคู่ก็แต่งงานกันเลย เพราะหมั้นหมายกันตั้งแต่ก่อนตฤนไปเรียนเมืองนอก และลาภิณก็รักษาสัญญามาตลอด ไม่เคยนอกใจตฤนเลย ขยันส่งจดหมายไปหา ลุงก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ลาภิณเปลี่ยนไป คงเพราะอยากนั่งเก้าอี้ซีอีโอนั่นแหละ”
“แล้วคุณลุงได้ข่าวคุณพ่อช่วงนี้ไหมล่ะครับ”
“เห็นว่าไม่สบาย อาจเพราะเหตุนี้มั้งถึงได้ตามหาตฤนกับนลิน”
ไตรทศพูดจบก็หันมองใบหน้าหลานชาย ดวงหน้าสวยหวานไม่ต่างจากผู้หญิงนั้นเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ นั่นทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไปรู้อะไรมา
“นลินอยากให้ลุงช่วยอะไรก็บอกลุงมาได้เลยนะ”
“นลินอยากให้ลุงไปหาคุณพ่อที่บ้านครับ”
“หมายความว่ายังไงน่ะนลิน”
“นลินให้คนตามสืบประวัติบ้านจิรพงศ์ธาดาหลังคุณแม่พานลินออกมา มีจุดน่าสงสัยหลายอย่าง”
“เรื่องอะไร”
“คุณพ่อมีลูกอีกคนชื่อภัคพลใช่ไหมครับ”
ไตรทศพยักหน้า “แม่เขาดูภาคภูมิใจมากตอนคลอดลูกออกมาแล้วเป็นอัลฟ่า ถึงขั้นจัดงานเลี้ยงฉลองเปิดตัวทายาทจิรพงศ์ธาดาเลยด้วยซ้ำ เรื่องนั้นตฤนก็รู้นะ”
“ครับ แม่เคยเล่า แม่เสียใจมาก ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้จักกับแด๊ด แม่บอกว่าแม่หายมาจากพ่อไม่ถึงปีคุณพ่อก็มีลูกคนใหม่ แม่เข้าใจว่าคุณพ่อนอกใจคุณแม่มาตั้งแต่คุณแม่ยังอยู่กับคุณพ่อ แต่แม่ไม่ได้รู้ว่าคุณพ่อไม่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนั้น”
“นลินหมายความว่ายังไง”
“คุณลุงคงไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหมครับ”
“ไม่ ตั้งแต่ช่วยตฤนให้พานลินออกนอกประเทศ บ้านเรากับบ้านนั้นก็ตัดขาดกันเลย ไม่แม้แต่จะไปเผาศพตาแก่บ้านนั้น”
“หมายถึงคุณปู่น่ะเหรอครับ”
“ใช่ เพราะตาแก่นั่นเห็นแก่ผลประโยชน์ทางธุรกิจจึงดึงผู้หญิงนั่นเข้ามาในชีวิตของตฤนและลาภิณ ลุงก็พอจะรู้แหละว่าลาภิณไม่ได้เต็มใจนัก ตอนงานแต่งงานของลาภิณกับผู้หญิงคนนั้น หน้าตาเหมือนคนอมทุกข์”
“บางที...สิ่งที่คุณแม่และคุณลุงได้ยินอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้นะครับ”
“นลินไปรู้อะไรมาจริงๆ ใช่ไหม”
“นลินสั่งเบนนี่และพาร์ดี้ตั้งแต่อยู่ซีแอตเทิลแล้วว่าให้สืบประวัติของจิรพงศ์ธาดาทั้งหมดหลังแม่กับนลินออกมา”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“มันย้อนแย้งกับสิ่งที่นลินรู้มาตลอดยี่สิบปีน่ะสิครับ”
“จะบอกว่าพวกเราเข้าใจลาภิณผิดเหรอ”
“ก็อาจจะครับ” นลินเม้มปากแน่น “เพราะนลินเองก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รู้มาเป็นความจริงแค่ไหน เลยอยากให้คุณลุงไปพบคุณพ่อไงครับ นลินอยากรู้ว่าสิ่งที่นลินรู้มากับสิ่งที่ออกมาจากปากคุณพ่อน่ะตรงกันไหม”
“นลินรู้อะไรมา”
“คุณพ่อกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้นอนห้องเดียวกันครับ นลินไม่รู้ว่าเธอทำยังไงจึงได้ท้อง แต่เพราะเธอท้องคุณพ่อจึงยอมแต่งงานด้วย ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับคุณปู่ด้วยไหม แต่ถึงจะแต่งงานกันคุณพ่อก็ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับเธอ ไม่ยอมทำพันธะ และพอพ่อของเธอตาย พ่อก็ไม่ห้ามที่เธอย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน แต่เธอก็ยังไปๆ มาๆ เพราะลูกของเธอยังอยู่ที่บ้านคุณพ่อ”
“นลินหมายความว่าทั้งหมดไม่ใช่เจตนาของลาภิณ แต่เป็นเพียงความรับผิดชอบเพราะเป็นพ่อของตาภัคเหรอ”
“พ่อคงคิดว่าเด็กคนนั้นไม่ผิดที่เกิดมา แม้พ่อจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เกิดมาเพราะคุณพ่อ”
“นั่นก็สมกับที่เป็นลาภิณล่ะนะ”
“คุณลุงช่วยนลินหน่อยนะครับ นลินอยากรู้ความจริง”
“ได้สิ ลุงจะช่วย ถ้าเป็นอย่างที่นลินบอก เราอาจเข้าใจลาภิณผิดมาตลอดยี่สิบปี และคนที่เป็นทุกข์ไม่ต่างจากพวกเราก็คือลาภิณ อาจจะทุกข์ยิ่งกว่าก็ได้ เพราะเขาคงคิดโทษตัวเองมาตลอดว่าตฤนกับนลินตายไปแล้ว”
“ไม่ก็พยายามตามหาพวกเรามาตลอดยี่สิบปี” นลินเอ่ยเสียงเบา
แม้ชายหนุ่มจะพยายามพูดเสียงเบาเพียงใด ทว่าเพราะนั่งชิดติดกันไตรทศจึงได้ยินมันเต็มสองหู หากเป็นเช่นที่นลินคิดแล้วล่ะก็...เขาเองก็ผิดที่ไม่ไตร่ตรองสาส์นที่รับมาให้ดีแล้วก็ปักใจเชื่อ จนทำให้ครอบครัวของน้องชายต้องแตกและพังทลายขนาดนี้
หากเป็นจริงเช่นที่นลินพูด แล้วกิตติวรกานต์ทั้งหมดเข้าใจลาภิณผิด เขาไม่ทำร้ายแต่ลาภิณ แต่ยังทำร้ายทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตฤนและนลินที่ต้องห่างจากคนที่รักนับยี่สิบปี สร้างบาดแผลให้แก่ทุกคนจนถึงทุกวันนี้
“ไม่รู้ว่าถ้าคุณพ่อไม่ผิด คุณแม่จะเจ็บปวดแค่ไหน” นลินเอ่ยขึ้นพลางหยิบล็อกเก็ตต่างหน้าบิดาออกจากกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง
“มันอาจเป็นชะตาลิขิตก็ได้นะนลิน” ไตรทศปลอบใจหลานชาย
“ชะตาเล่นตลกน่ะสิครับ ถ้าคุณพ่อไม่ผิด คุณแม่ก็คงโทษตัวเองที่ไปจากคุณพ่อ แล้วก็ต้องรู้สึกผิดที่ไม่เชื่อในความรักของคุณพ่อ แล้วกับแด๊ดเอง...คุณแม่เองก็รักเหมือนกัน ทั้งยังเป็นคนผ่าตัดเอารอยพันธะคุณพ่อออก ยอมให้แด๊ดทำรอยพันธะ แล้วหากเป็นอย่างนลินคิด คุณแม่จะทำยังไงล่ะครับ จะกลับมาอยู่กับคุณพ่อ หรือเลือกจะอยู่กับแด๊ด”
นลินแค่นหัวเราะ เขาเพียงแค่อยากตามล่าคนที่ทำร้ายเขา ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ หากบิดาเป็นคนเลวร้ายคงจะดีเสียกว่า เพราะการที่มารดาหนีไปถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่แบบนี้...
เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
“ลุงจะไปหาลาภิณ จะต้องรู้ความจริงให้ได้”
“ขอบคุณครับคุณลุง”
ไตรทศลูบศีรษะหลานชาย ก่อนจะผุดลุกเพื่อเข้าไปปรึกษาบิดามารดาในเรื่องนี้ ทิ้งให้นลินนั่งในสวนเพียงลำพัง โดยไม่รู้แลยว่ามีคนแอบดูมาครู่หนึ่งแล้วด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงดูสนิทสนมกับลุงไตรขนาดนั้นกันนะนลิน”
“อะแฮ่ม! มาแอบดูใครน่ะพยัคฆ์”
พยัคฆ์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปด้านหลังที่แฝดผู้พี่กำลังยืนยิ้มอย่างล้อเลียน แม้เขาจะไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาก็บอกพยนต์จนหมด
“พยนต์จะไม่ถามว่ารู้จักนลินมาก่อนไหม แต่จะถามพยัคฆ์ว่าช่วงนี้ที่แวะมาเกือบทุกวันเนี่ยไม่ใช่เพราะงาน ไม่ใช่เพราะคิดถึงหลาน แต่เพราะอยากเจอหน้านลินใช่ไหม”
“ก็รู้อยู่แล้วยังจะถามทำไม”
“พยัคฆ์จะมาทำเล่นๆ กับนลินไม่ได้หรอกนะรู้ไหม”
“ทำเล่นๆ อะไรล่ะ แค่เข้าใกล้ยังยากเลย แถมยังเอาแต่บอกพยัคฆ์ว่าเป็นเบต้า ไม่อยากยุ่งกับอัลฟ่า”
“ไม่มีเบต้าที่ไหนอยากยุ่งกับอัลฟ่าหรอกนะ”
“สวยๆ อย่างนลินไม่มีทางเป็นเบต้าหรอกนะพยนต์ พยัคฆ์ว่าเขาโกหกซะมากกว่า”
“พูดเหมือนรู้จักเขามาก่อนเลยนะ”
พยัคฆ์ไม่ตอบคำถาม ทว่าสายตายังคงจับจ้องแผ่นหลังบอบบางที่ก้มมองของบางอย่างในมือ ใช่ว่าเขาอยากจะทำเพียงเฝ้ามองเสียหน่อย แต่นลินไม่เปิดโอกาสให้เขาเอาเสียเลย
ก่อนหน้านี้เขาแค่ขอให้ได้เจอนลินอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าแค่เจออย่างเดียวคงไม่พอเสียแล้วสิ เขาอยากได้มากกว่านี้...อยากใกล้ชิดมากกว่านี้
และคนอย่างพยัคฆ์...อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม!
ภาพข่าวขาวดำที่ถูกเก็บไว้อย่างดีในกล่องเหล็กถูกเปิดออกดูซ้ำมาหลายครั้งหลายหนร่วมยี่สิบปี ชายวัยห้าสิบต้นๆ ยังคงหยิบจับลูบไล้มันซ้ำๆ ก่อนจะดูภาพครอบครัวสีซีดของตัวเองที่ถ่ายเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน และนี่คงเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้ถ่ายร่วมกับภรรยาและลูกชายเสียงเคาะประตูทำให้เขาชะงัก มือที่กำลังเก็บความทรงจำทุกอย่างใส่กล่องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก นั่นทำให้เขารู้ว่าคนที่เคาะประตูคือคนสนิท จึงส่งเสียงอนุญาต“ได้เรื่องบ้างไหมพระลพ”คนที่ถูกเรียกว่าพระลพมองกล่องเหล็กแกะสลักลายซึ่งดูเก่ามากแล้ว ทว่าเจ้าของกลับยังคงรักษาทุกอย่างไว้อย่างดีก็ให้นึกสงสารชายตรงหน้าที่ใบหน้าดูอายุร่วงโรยมากกว่าวัยที่แท้จริง“ได้มาไม่มากเท่าไหร่ครับ หลังการจัดฉากอุบัติเหตุและเพลิงไหม้ครั้งนั้น ทั้งสองหนีไปอยู่อเมริกาและมีเศรษฐีในซีแอตเทิลคอยดูแล”“เจาะจงกว่านั้นได้ไหม คนที่พวกเขาไปอยู่ด้วยเป็นใคร แล้วพวกเขาเป็นยังไงบ้าง สุขสบายดีไหม”“ยังสืบเรื่องนั้นไม่ได้ครับ เพราะคุณตฤนปิดบังตัวตนเปลี่ยนชื่อใหม่ด้วย แถมยังต
รถคูเป้สองประตูสีดำสัญชาติยุโรปเลี้ยวผ่านบ้านหลังใหญ่มาจอดหน้าบ้านของตรีวิทย์และพยนต์ นั่นทำให้เจ้าของบ้านที่วันนี้ไม่ไปทำงานต้องเลิกคิ้วประหลาดใจ จริงอยู่ที่เป็นเรื่องปกติที่พยัคฆ์จะแวะมาหาพยนต์และภูวนัย ทว่าช่วงนี้จะแวะมาบ่อยเกินไปหรือเปล่านะ“ใครมาเหรอครับพี่ตรี”“พยัคฆ์น่ะสิ ช่วงนี้มาเกือบทุกวันเลยนะ ที่บ้านมีอะไรรึเปล่า”“ไม่มีหรอกครับ พยัคฆ์ไม่ได้มาหาพยนต์ด้วย”“หือ? ไม่ได้มาหาพยนต์แล้วมาหาใคร” ตรีวิทย์เอ่ยถามภรรยาด้วยความฉงนใจ“พี่ตรีลองสังเกตดูละกันนะครับว่าพยัคฆ์มาหาใคร”ตรีวิทย์เลิกคิ้วมองคนที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพับแขนขึ้นถึงข้อศอก กระดุมเสื้อเชิ้ตปลดจนเห็นแผ่นอกอย่างเซ็กซี่ กับกางเกงยีนส์เข้ารูปก็ให้นึกสงสัยว่าแต่งตัวล่อเหยื่อขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ไปเที่ยวกับเหล่าโอเมก้าของเจ้าตัว กลับเลือกมาบ้านของเขาในวันหยุดเช่นนี้หรือว่า...ตรีวิทย์หันกลับไปมองในห้องนั่งเล่นที่มีอาหลานกำลังต่อรางรถไฟเหาะตีลังกาซึ่งนลินหอบหิ้วมาจากอเมริกา นั่นทำให้เขาสบตาภรรยาราวกับจะถาม“พี่เข้าใจถูกใช่ไหมพยนต์”“ครับ แต่นลินดูไม่อยากยุ่งด้วยเท่าไหร่”“พี่เคยได้ยินอาเทรนต์กับอาตฤนเล่าว่าตอนอยู่โน่นนล
“จริงเหรอครับคุณลุง พวกเราเข้าใจคุณพ่อผิดมาตลอดจริงๆ สินะครับ”“ใช่ เป็นอย่างที่นลินบอกลุงเลย แต่...มีเรื่องสำคัญที่ลุงต้องบอกนลิน”“ครับ มีอะไรเหรอครับ”“พ่อของนลินไม่ได้เพิ่งตามหานลินหรอกนะ เขาตามหามาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ปู่ของนลินตาย พ่อของนลินก็เริ่มส่งคนให้ออกตามหาโดยไม่ให้พราวรุ้งรู้ แต่ที่เขาเร่งหาตอนนี้เพราะเขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”“ครับ? คุณพ่อเป็นอะไรครับ”“มะเร็งกระดูกน่ะ ลุงใช้เส้นสายไปลองสืบที่โรงพยาบาลที่ลาภิณรักษาตัว เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งกระดูกมาตั้งแต่สองปีก่อน แล้วก็รักษามาโดยตลอด แต่เมื่อเดือนก่อนพบว่ามันลุกลาม ลาภิณจึงตัดสินใจร่วมกับหมอว่าจะหยุดการรักษา และเขาตั้งใจใช้ช่วงเวลาสุดท้ายนี้เพื่อตามหาตฤนกับนลิน”นลินขบกรามแน่นกลั้นความรู้สึกวูบโหวง ทั้งที่ความทรงจำวัยเยาว์ที่มีบิดานั้นเป็นเพียงระยะสั้นๆ แต่เขากลับรู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจที่บิดาเหลือเวลาน้อยนิดเสียเหลือเกิน เขาข่มอารมณ์ที่ไม่ปกติของตัวเองไว้“คุณพ่อเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ครับ”“เร็วสุดคือหกเดือน ช้าสุดคือหนึ่งปี”“น้อยเหลือเกิน”“นลินจะไปเจอพ่อเขาไหม”“ครับ แต่ถ้านลินไปเจอคุณพ่อ คนที่ส่งคนไปทำร้ายนลินก็ต้องร
“ปล่อย! ลากมาทำอะไรของคุณเนี่ย”พยัคฆ์ขบกรามแน่นนึกโมโหนลินจนแทบคลั่งที่อีกฝ่ายมายืนกอดกับตรีวิทย์ ก็ไหนว่าเป็นเบต้า ไม่สนใจอัลฟ่าอย่างไรเล่า ที่แท้ก็แอบมาเป็นชู้กับพี่เขยของเขานี่เอง ทำเป็นรังเกียจเขา ทว่าความจริงคือตั้งใจจะจับตรีวิทย์ชัดๆปึก!ใบหน้าของนลินกระแทกเข้ากับแผ่นหลังของคนที่ถูลู่ถูกังมาตลอดทาง ชายหนุ่มถูกกระแทกจนกระเด้งแล้วล้มลงกับพื้นนลินกัดริมฝีปากของตัวเองที่รู้สึกเจ็บ นี่มันวันบ้าอะไรของเขากันที่ต้องมาเจ็บทั้งตัวมาเจ็บทั้งใจ แค่เรื่องบิดาเขาก็เสียใจมากพอแล้ว ตั้งแต่จำความได้...นอกจากเสียใจเพราะคิดถึงบิดาครั้งที่ไปอยู่อเมริกาใหม่ๆ ก็ครั้งนี้นี่แหละที่เขาร้องไห้หนักขนาดนี้แล้วนี่อะไรกัน? เขายังต้องมาเจ็บตัวอีก“ไม่ต้องมาทำสำออย ลุกขึ้นมา!”นลินเงยหน้าขึ้นมองคนพาลอย่างหงุดหงิด เขาไม่ได้สำออยเสียหน่อย แต่เขาเบื่อหน่ายจนไม่อยากลุกไปต่อล้อต่อเถียงด้วยต่างหากชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิก่อนจะปัดเศษต่างๆ ออกจากมือและแขนราวกับไม่สนใจท่าทางเกรี้ยวกราด ปกติเขาก็ไม่ชอบคนไร้เหตุผล ไม่ชอบคนใช้อารมณ์แบบนี้อยู่แล้ว และยิ่งไม่ชอบคนที่เอาความโกรธมาลงกับเขาเพราะฉะนั้น...พยัคฆ์ไม่ใช่สเปกของเ
พยัคฆ์เดินไปเดินมาพลางชะเง้อดูแฝดผู้พี่ที่บอกว่าจะช่วยพูดกับนลินให้ ทว่าผ่านไปตั้งหลายนาทีแล้วกลับยังไม่เห็นวี่แววของทั้งคู่ เป็นเหตุให้ตรีวิทย์ที่กำลังเล่นต่อจิ๊กซอว์กับลูกชายลอบอมยิ้มขำ“คุณพ่อครับ ทำไมน้ายักษ์เดินไม่หยุด”“น้าพยัคฆ์รออานลินครับ”“รอทำไมครับ อานลินไปไหน อานลินทิ้งน้องพูห์เหรอ”“ไม่ใช่ครับ อานลินคุยอยู่กับคุณแม่ครับ”ภูวนัยเอียงคอก่อนจะผุดลุกเดินไปหาพยัคฆ์ แล้วจับมือใหญ่ของอีกฝ่าย เป็นเหตุให้พยัคฆ์ต้องหันมองหลานชายด้วยความฉงนใจ“น้องพูห์มีอะไรครับ”“ต่อจิ๊กซอว์กันครับ”“เดี๋ยวน้าไปต่อด้วยนะ น้าพยัคฆ์รออานลินของน้องพูห์อยู่”“น้ายักษ์เป็นเด็กไม่ดี ถ้าน้ายักษ์ดื้ออานลินจะไม่รักนะครับ”“หือ? น้องพูห์บอกว่าถ้าน้าพยัคฆ์ดื้อ อานลินจะไม่รักเหรอครับ”“ครับ อานลินบอกว่าอานลินรักน้องพูห์ น้องพูห์เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ”พยัคฆ์ขมวดคิ้วเข้มจนระหว่างคิ้วเป็นร่องลึก เขายอมเดินตามแรงน้อยๆ ของโอเมก้าวัยสามขวบไปนั่งบนพรมข้างพี่เขยที่ยังคงยิ้มกริ่ม“พี่ว่าพยัคฆ์คงไม่ได้แค่สนใจนลินแล้วล่ะ ถ้าชอบก็ลุยเลย ไม่งั้นนลินไปสนใจคนอื่นแน่”“พี่ตรีกับนลินไม่ได้...”“ไม่ใช่อย่างที่พยัคฆ์คิดหรอก พี่รู้
ประตูห้องนอนเพ้นต์เฮ้าส์เปิดออกขณะที่มือใหญ่ยังคงกอดเกี่ยวเอวบอบบางไว้ เช่นเดียวกับที่ริมฝีปากของทั้งคู่แนบสนิทกันไม่ยอมผละออกห่าง ราวกับโหยหากันและกัน กลิ่นฟีโรโมนของทั้งคู่ผสมผสานกันจนอบอวลไปทั่วห้อง นลินถูกไล่ต้อนจุมพิตพลางก้าวถอยหลังกระทั่งชนเข้ากับเตียงจนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงกว้างกลางห้องริมฝีปากของทั้งคู่ผละออกห่างกัน ลิ้นเล็กมีน้ำลายสีใสยืดเยิ้ม ดวงตาคู่สวยฉ่ำหวานด้วยแรงปรารถนาที่ขับเคลื่อนจากการกระตุ้นฟีโรโมน มองตามมือใหญ่ที่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด...ทีละเม็ด...ทว่าท่าทางอ้อยอิ่งเชื่องช้าของพยัคฆ์นั้นดูเหมือนจะไม่ทันใจของนลิน มือขาวจึงดึงอีกฝ่ายให้นอนอยู่ใต้ร่าง พยัคฆ์กึ่งนั่งกึ่งนอนขณะที่ร่างบอบบางคร่อมอยู่บนกายแกร่ง มือเรียวปลดกระดุมออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปลดเสื้อเชิ้ตออกจากบ่าแกร่ง แล้วโน้มหน้าลงจูบต้นคอแกร่ง ดูดเม้มจนขึ้นสีเข้มพยัคฆ์ปลดแขนเสื้อแล้วปล่อยให้เสื้อหล่นข้างเตียงขณะยันกายด้วยแขนข้างหนึ่งเพื่อเอนกาย อำนวยความสะดวกให้นลินที่ซุกไซ้ไปตามลำคอและลาดไหล่ เพราะรู้สึกอารมณ์ดีจึงทำให้กลิ่นฟีโรโมนดอกโบตั๋นนั้นหอมหวานไปด้วย เป็นเหตุให้นลินยังมัวเมาไปกลับกลิ่นนั้น“อืม.
“อื้อ! อา...แรงกว่านี้อีก...”เสียงกระเส่าเร่งคนด้านล่างที่สวนแท่งร้อนเข้ามาในกาย กลิ่นดอกลาเวนเดอร์อบอวลไปทั่วห้องจนคนที่ถูกขย่มจับเอวเล็กขาวที่เอาแต่บดเร่าเพื่อชะลอจังหวะที่เจ้าตัวเร่งเร้าไม่หยุดริมฝีปากสีพีชยามส่งเสียงครางนั้นเซ็กซี่จนคนมองตาพร่า เขายกกายขึ้นเพื่อซบใบหน้ากับบ่าบอบบางขาวหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่แม้จะทำให้ผ่อนคลาย แต่ก็ปลุกอารมณ์ปรารถนาของเขายิ่งขึ้นชายหนุ่มผิวสองสีไม่รู้ว่าโอเมก้าคนสวยคนนี้เป็นใคร แต่เพียงได้กลิ่น เพียงได้เห็นใบหน้าสวยนี่เขาก็อดใจไม่ไหว จนยอมตามแรงอีกฝ่ายที่ผลักเขาเข้าห้องนอน ดึงทึ้งเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่าแล้วมาอยู่ในท่านี้ริมฝีปากหนาแตะไล่ไปตามปลายคางที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อขณะที่สะโพกก็กระแทกสวนร่างที่ขยับขย่มบนกายเขาอย่างเอาแต่ใจเพื่อให้ตัวเองได้ปลดปล่อย และบรรเทาอาการฮีทของตัวเอง“คนสวย...ใจเย็นหน่อย...ของผมจะหักเอานะครับ”“อย่ามาทำตัวไก่อ่อน ผมไม่ชอบ!”เพียงได้ยินคำดูถูก...เจ้าของดวงหน้าคมเข้มก็ผลักร่างขาวอ้อนแอ้นลงกับเตียง แล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มเจ้าเล่ห์ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าดูถูกเขาขนาดนี้ เขาคงต้องแสดงให้เห็นเสียหน่อยแล้วว่าหากเขาเอาจริงจะเป็นอย่างไร
ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลแม็กมารีนาซ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นรถคูเป้สองประตูของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายกลับมาถึงบ้านแล้ว ชายวัยเกือบหกสิบเร่งสืบเท้าเข้าบ้านก่อนจะส่งกระเป๋าเอกสารให้แม่บ้าน“นลินกลับมาแล้วเหรอ”“ค่ะคุณท่าน คุณหนูกลับมาตั้งแต่เที่ยงแล้วค่ะ แต่เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานของคุณท่านไม่ยอมให้ใครเข้าไปเลยค่ะ”“หือ? ห้องทำงานฉันเหรอ? นลินก็มีห้องทำงานตัวเองนี่”“ใช่ค่ะ เอ่อ...คุณเบนนี่บอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นบนเรือเมื่อสัปดาห์ก่อน มีเรื่องอะไรร้ายแรงรึเปล่าคะ”“ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่องนั้นนลินโทร. มาบอกแล้ว แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียด” เทรนต์เอ่ยก่อนจะมองหาภรรยา “มินนี่อยู่ไหนครับ”“เพิ่งออกจากห้องทำงานคุณท่านเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่หน้าตาไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกับคุณหนูรึเปล่า”“ทะเลาะกัน? คู่นี้ทะเลาะกันแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ”พูดจบเทรนต์ก็สาวเท้าไวๆ ก้าวขึ้นชั้นสองตรงไปยังห้องทำงานของตัวเอง แล้วเปิดประตูเข้าไปเห็นใบหน้าขาวกำลังขมวดมุ่นเคร่งเครียด ดวงตาคู่สวยจับจ้องหน้าจอแท็บเล็ตอย่างจดจ่อ“นลิน”“แด๊ด! กลับมาแล้วเหรอครับ”“เพิ่งกลับนี่ล่ะ โ