Share

บทที่ 4

อีกฝ่ายเป็นฝ่ายกล่าวขอโทษ หลินหยางก็ไม่ได้คิดหยุมหยิมอีกต่อไป คุกเข่าต่อหน้าหลุมศพของพ่อกับแม่ต่อไป

มู่หรงจางพาบอดี้การ์ดกับมู่หรงหว่านเอ๋อร์เดินไปด้านข้าง

“พ่อคะ ไอ้หมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้วนะคะ พ่อไม่รู้อะไร เขาเป็นผีพนัน ติดหนี้พนันก้อนโต ยังเสพยาจนถูกจับ เพราะฉะนั้นเลยถูกตระกูลหลิ่วยกเลิกงานหมั้น ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีผู้หญิงที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างฉินโม่หนง ทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยนั้นของพ่อแม่เขา ก็คงถูกเขาเอาไปเล่นพนันจนเกลี้ยงแล้ว

“อีกทั้งถ้าหากไม่มีฉินโม่หนงคอยปกป้องเขา เขาคงจะถูกเจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหดฟันตายไปตั้งนานแล้ว!”

“หนูเดาว่าจะต้องเป็นเพราะฉินโม่หนงไม่ยอมให้เงินเขาไปเล่นพนันกับเสพยาแน่นอน ดังนั้นเขาเลยด่าชาวบ้านว่าจิตใจโหดเหี้ยม อันที่จริง เขานั่นแหละที่เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมที่แท้จริง”

“ลูกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน?” มู่หรงจางกล่าวถาม

“ฉินโม่หนงกับตระกูลพวกเรามีความร่วมมือทางธุรกิจกัน หนูเคยเจอหน้าเธออยู่หลายครั้ง ค่อนข้างนับถือเธอเลยทีเดียว เลยได้ยินเรื่องนินทาเกี่ยวกับตระกูลหลินมานิดหน่อยค่ะ”

“ฉินโม่หนง...พ่อเองก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีฝีมือและความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ว่า เรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

มู่หรงจางกล่าว

ตอนนี้หลินหยางเป็นปรมาจารย์ระดับเบิกฟ้า หูตาว่องไว คำพูดเหล่านี้ของมู่หรงหว่านเอ๋อร์ เขาได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ฉินโม่หนงตัวดี แกเป็นแม่พระ ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่กลับทำลายชื่อเสียงของฉัน แกโหดร้ายนัก!”

หลินหยางกำหมัดแน่น คิดว่าชื่อเสียงของตนเองในวงสังคมตอนนี้ คงจะย่อยยับป่นปี้ไปตั้งนานแล้วแน่ ๆ

เขาแทบอยากจะจัดการกับนางมารร้ายอย่างฉินโม่หนงให้เจ็บแสบอีกสักยก เพื่อกำจัดเพลิงโทสะในหัวใจ

หลินหยางนั่งอยู่หน้าหลุมศพอยู่นาน ถึงได้ลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะเดินออกไป

ในเวลานี้ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของมู่หรงหว่านเอ๋อร์ดังลอยมาจากบริเวณไม่ไกลนัก

“คุณพ่อ พ่อเป็นอะไรไป? ท่านรีบฟื้นซิคะ!”

เขาใช้พลังเนตรคู่ไปดู ภายในชั่วพริบตาก็นำภาพเหตุการณ์ที่ห่างออกไปร้อยเมตรดึงเข้ามาใกล้ที่ตรงหน้า

เห็นมู่หรงจางหมดสติไป ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ น้ำลายฟูมปาก แล้วก็มีอาการชักกระตุกตามมา

มู่หรงจางอาการป่วยกำเริบกะทันหัน ทำให้มู่หรงหว่านเอ๋อร์กับเจียงจั่วเฟิงที่เป็นบอดี้การ์ดตกใจ

“เร็วเข้า ส่งพ่อไปโรงพยาบาลที”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว เจียงจั่วเฟิงแบกมู่หรงจาง มุ่งหน้าวิ่งไปที่ลานจอดรถ

“จากตรงนี้ถึงโรงพยาบาล อย่างเร็วสุดก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง อาการป่วยนี้ของเขา ถ้าไม่ได้รับการรักษาภายในสิบนาที ก็อาจจะตายได้”

ตอนที่พวกเขาเดินผ่านข้างกาย หลินหยางก็เอ่ยปากพูดขึ้น

“พูดจาเหลวไหล! นายไม่ใช่หมอสักหน่อย นายจะเข้าใจอะไร?”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์เดือดดาล

“ผมไม่ใช่หมอ แต่ผมรู้วิธีการรักษา ตอนนี้มีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้” หลินหยางกล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ

“นายเก่งมาจากไหน? นายมันก็แค่ผีพนัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายเป็นใคร”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์ดูถูกหลินหยางจากก้นบึ้งของหัวใจ กล่าวกับเจียงจั่วเฟิง “พี่จั่วเฟิง พวกเราไปกันเถอะ”

“ให้เวลาผมสามนาที ถ้าหากผมช่วยชีวิตเข้าไม่ได้ พวกคุณจัดการผมได้ตามสบาย ไม่อย่างนั้นพวกคุณลงเขารีบไปโรงพยาบาลทั้งแบบนี้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน”

คำพูดของหลินหยาง ทำให้มู่หรงหว่านเอ๋อร์กับเจียงจั่วเฟิงหยุดชะงักลงอีกครั้ง

“คุณหนูหว่านเอ๋อร์ ถ้าไม่อย่างนั้นลองดูสักหน่อยไหมครับ?”

เจียงจั่วเฟิงเห็นท่าทางที่สุขุมของหลินหยาง จึงกล่าวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“คำพูดของผีพนันแบบนี้ เชื่อถือไม่ได้หรอกมั้ง? อาการแบบนี้ของพ่อฉัน จะชักช้าไม่ได้นะคะ”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์ไม่เชื่อหลินหยางเลิกสักนิด

“ผมพูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็แล้วแต่พวกคุณ”

หลินหยางสาวเท้าเดิน มุ่งหน้าเดินลงเขาเช่นกัน

“พี่จั่วเฟิง รีบไปกันเถอะ จะชักช้าไม่ได้แล้ว”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์กล่าวเร่งเร้า

เจียงจั่วเฟิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤต ขวางหลินหยางเอาไว้

“ผมให้คุณลองดู มีเวลาเพียงแค่สามนาที ถ้าหากภายในสามนาทีคุณช่วยชีวิตไม่ได้ ผมจะหักคอของคุณทันที!”

หลินหยางเยาะหยันอยู่ในใจ ถ้าหากลงมือขึ้นมาจริง ๆ นายยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน

“พี่จั่วเฟิง...” มู่หรงหว่านเอ๋อร์อยากขัดขวาง

เจียงจั่วเฟิงกล่าว “คุณหนูหว่านเอ๋อร์ ถ้าหากนายท่านเกิดเรื่องขึ้น ผมจะฆ่าเจ้าหมอนี่เอง จากนั้นจะใช้ความตายเป็นการขอโทษ ตอนนี้ จำเป็นต้องลองเสี่ยงดูสักตั้ง”

เจียงจั่วเฟิงพูดจบ วางมู่หรงจางลง

“ให้เขานอนราบ ถอดเสื้อผ้าออก”

ถึงแม้ว่าหลินหยางจะได้รับการสืบทอดความรู้ทางด้านแพทยศาสตร์ของท่านอาจารย์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่ได้ลงมือรักษา เขาตื่นเต้นเล็กน้อย ในระหว่างที่พูดก็หยิบเข็มทองออกมา

จากนั้นเล็งตรงไปที่จุดลมปราณ นำเข็มทองที่มีความสั้นยาวไม่เท่ากันจำนวนห้าเล่มปักลงไปที่กลางจุดลมปราณของมู่หรงจางตามลำดับ

นี่เป็นวิชาฝังเข็มวาสนาฝืนลิขิตที่ท่านอาจารย์นักปราชญ์แห่งการแพทย์ของเขาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ถือเป็นวิธีการฝังเข็มวิธีแรกของโลก มีผลลัพธ์มหัศจรรย์ทั้งฝืนชะตาสวรรค์ เปลี่ยนชะตา ปลูกถ่ายเนื้อและกระดูก ฟื้นชีพคนตาย

หลินหยางใช้นิ้วมือสองนิ้วหนีบเข็มทองเอาไว้เบา ๆ ยกขึ้นยกลง

เจียงจั่วเฟิงที่อยู่ด้านข้างสายตาแหลมคม เขามองเห็นนิ้วสองนิ้วของหลินหยางไม่ได้สัมผัสโดนเข็มทองจริง ๆ แต่เข็มทองกลับสามารถขยับขึ้นลงเองได้

เจียงจั่วเฟิงแอบตกใจ แอบคิด “หรือว่านี่คือการใช้พลังชี่ในการฝังเข็ม? คิดถึงไม่เลยว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับเบิกฟ้า?!”

“เป็นไปไม่ได้! เขาดูอายุเพิ่งจะยี่สิบต้น ๆเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่จะบรรลุไปถึงระดับเบิกฟ้า!”

เจียงจั่วเฟิงก็พอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ฝึกฝนอย่างยากลำบากมายี่สิบกว่าปี ตอนนี้เพิ่งจะบรรลุถึงมานะสร้างระดับหกเท่านั้น ยากที่จะเชื่อว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ จะเป็นปรมาจารย์ระดับเบิกฟ้า

“ใกล้จะครบสามนาทีแล้ว ทำไมพ่อของฉันถึงยังไม่ฟื้นอีก? ฉันรู้อยู่แล้ว ว่านายมันคนหลอกลวง!”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาล “พี่จั่วเฟิง ฆ่าเขาซะ!”

“หุบปาก อย่าโวยวาย!”

หลินหยางตะคอกเสียงเย็นชา “เธอจะรีบกลับไปเกิดใหม่หรือไง? ยังไม่ถึงสามนาที เธอจะรีบร้อนทำไม?”

“นาย!”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์กระหืดกระหอบ คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะด่าตัวเองแบบนี้ น่ารังเกียจเหลือเกิน!

“คุณหนูหว่านเอ๋อร์ อย่าเพิ่งใจร้อน” เจียงจั่วเฟิงกล่าวเตือน

“ได้! ยังเหลือเวลาอีกสามสิบวินาทีสุดท้าย อีกเดี๋ยวฉันจะดูว่านายจะเล่นลิ้นยังไง”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์จ้องมองนาฬิกาข้อมือเพื่อจับเวลา แต่หลินหยางได้เริ่มถอนเข็มออกแล้ว

“ทำไมยังไม่ฟื้นอีก? ฉันรู้อยู่แล้วว่านายมันคนหลอกลวง!” มู่หรงหว่านเอ๋อร์ด่าทอเสียงดัง

ในเวลานี้ มู่หรงจางไอออกมาอย่างรุนแรงสองที ฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ !

มู่หรงหว่านเอ๋อร์กับเจียงจั่วเฟิงอ้าปากค้างเบิกตากว้าง อย่างเหลือเชื่อทันที

“พ่อ! ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ?”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์รีบประคองมู่หรงจางขึ้นมา

“เมื่อครู่นี้จู่ ๆ พ่อก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หน้าอก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

มู่หรงจางลุกขึ้น ในเวลานี้กลับไม่ได้รู้สึกมีความผิดปกติอะไร

“คุณมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน”

หลินหยางที่อยู่ด้านข้างกล่าวอธิบาย

เจียงจั่วเฟิงเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง มู่หรงจางถึงได้รู้ว่า หลินหยางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

“ขอบใจน้องชายที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อน ช่วยชีวิตผมเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่า คุณอายุยังน้อย แต่ฝีมือการรักษาของคุณกลับล้ำเลิศแบบนี้ เป็นพวกผมที่ตาต่ำ”

มู่หรงจางโค้งคำนับหลินหยาง สีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

“เขามีฝีมือการรักษาอะไรกัน? หนูว่าก็แค่แมวตาบอดเจอหนูตาย[footnoteRef:1]เท่านั้น อาจจะเป็นแค่เพียงหมดสติกะทันหันเท่านั้น ไม่ได้รุนแรงอะไรสักนิด ถูกเขาใช้ประโยชน์มากกว่า” [1: แมวตาบอดเจอหนูตาย หมายถึง โชคเข้าข้าง]

มู่หรงหว่านเอ๋อร์ยังคงไม่เชื่อว่าผีพนันอย่างหลินหยางจะมีฝีมือการรักษาโรคที่น่ามหัศจรรย์แบบนี้ รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก รีบพูดจาเยาะหยันเขาทันที

“เธอหมายความว่าฉันเป็นแมวตาบอดก็ไม่เป็นไร แต่ความหมายประโยคนี้ของเธอคือ พ่อของเธอเป็นหนูตายงั้นหรือ?”

หลินหยางกล่าวยอกย้อนอย่างประชดประชัน

“นายรนหาที่ตาย!”

มู่หรงหว่านเอ๋อร์เกรี้ยวกราด ยกมือขึ้นชี้หลินหยาง ดวงตางามเบิกกว้างด้วยความโกรธ กำลังจะลงมือสั่งสอนหลินหยาง

“หยุดพูดได้แล้ว!”

มู่หรงจางตะคอกด้วยน้ำเสียงโมโห “รีบกล่าวขอโทษน้องชายท่านนี้เดี๋ยวนี้เลย!”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status