แชร์

บทที่ 10

หลิ่วฟู่อวี่ก็เป็นคนที่ไม่พูดมากแต่โหดเหี้ยมเช่นกัน ภายใต้ความโมโหอย่างรุนแรง ก็เงื้อมือขึ้นคิดจะตบหน้ามู่หรงยิ่น

มู่หรงยิ่นไม่ใช่คนที่ฝึกฝนวรยุทธ์ จึงไม่มีการระวังตัวแม้แต่น้อย

แต่หลินหยางที่ยืนอยู่ข้างกายของเธอจะมองอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร เขาจับข้อมือของหลิ่วฟู่อวี่ไว้

มู่หรงยิ่นคิดไม่ถึงว่าหลิ่วฟู่อวี่จะใช้กำลังเอาแต่ใจเช่นนี้ ถึงกับลงมือตบเธอ

“เธอยังคิดจะลงมือทำร้ายคนด้วย?”

ในดวงตาอันงดงามของมู่หรงยิ่นมีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา

“ตบเธอแล้วเป็นอย่างไร? คุณหนูแบบฉันคิดจะตบใคร ก็ตบคนนั้น! วันนี้ฉันจะตบปากเหม็นๆ ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของเธอให้แตกไปเลย”

หลิ่วฟู่อวี๋ออกแรงคิดจะหลุดพ้นจากมือของหลินหยาง แล้วลงมือกับมู่หรงยิ่นต่อ

แต่กลับพบว่ามือของหลินหยางราวกับคีมเหล็กก็ไม่ปาน ยากที่จะหลุดพ้นได้

“ไอ้คนไร้ประโยชน์แซ่หลิน ปล่อยฉันนะ!”

หลิ่วฟู่อวี่เลิกคิ้วเรียวดุจใบหลิว ร้องด่าว่า

“หลิ่วฟู่อวี่ มีบางคนที่คุณหาเรื่องไม่ไหวหรอกนะ” หลินหยางพูดพลางปล่อยมือ

“พวกเธอสองคนคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฉันมีเรื่องด้วยไม่ไหว? คนไร้ประโยชน์แซ่หลิน คำพูดนี้ของนายจะทำให้คนขำตายแล้ว!”

หลิ่วฟู่อวี่พูดกับมู่หรงยิ่นอย่างหยิ่งยโสว่า “เธอรู้ว่าฉันเป็นใครไหม? จะบอกให้ตกใจตาย พ่อของฉันคือหลิ่วเฉิงจื้อ ตอนนี้เธอใช่รู้สึกว่าตัวเองถึงจะเป็นตัวตลกหรือเปล่าล่ะ?”

“เธอตบหน้าตัวเองสองครั้ง จากนั้นขอขมาฉัน วันนี้คุณหนูเช่นฉันก็จะปล่อยเธอไป”

มู่หรงยิ่นส่ายหน้า ไม่สนใจการข่มขู่ของหลิ่วฟู่อวี่แม้แต่น้อย พูดกับหลินหยางว่า “ยังดีที่คุณไม่ได้แต่งงานกับเธอ ผู้หญิงที่โง่เง่าแบบนี้แต่งกลับไปบ้าน ช่างเป็นหายนะเหลือเกิน”

หลินหยางลูบจมูกกล่าวว่า “พอฟังคุณพูดแบบนี้ ผมยังควรขอบคุณที่สกุลหลิ่วผิดคำสัญญายกเลิกการหมั้นหมายแล้ว”

หลิ่วฟู่อวี่เห็นมู่หรงยิ่นกับหลินหยางยังมีอารมณ์พูดเล่นกัน ไม่เห็นเธออยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เพลิงโทสะก็ยิ่งโหมกระหน่ำ

“น่าแค้นนัก วันนี้ถ้าฉันไม่สั่งสอนสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่นี้อย่างพวกแก ฉัน หลิ่วฟู่อวี๋จะเขียนชื่อกลับด้านเลย”

“หลิ่วเจี๋ย นายยังมัวยืนนิ่งอยู่อีกทำไม? ตีขาสุนัขของหลินหยางให้หัก จากนั้นตบปากผู้หญิงคนนี้ให้เละ ให้พวกมันได้รู้ว่า ฉันถึงจะเป็นคนที่พวกมันล่วงเกินไม่ได้!”

หลิ่วฟู่อวี่หันไปตะโกนใส่ผู้ชายมากับเธอ

หลิ่วเจี๋ยเป็นลูกพี่ลูกน้องในตระกูลหลิ่วฟู่อวี่ เขามาจากชนบทเพื่อมาขอพึ่งพา จึงถูกหลิ่วเฉิงจื้อมอบหมายให้ไปเป็นลูกน้องคอยถือกระเป๋าให้หลิ่วฟู่อวี่และเป็นบอดีการ์ดพาร์ทไทม์ไปในตัว

นิสัยออกจะทึ่มทื่ออยู่บ้าง ทว่าทนรับความลำบากได้ เขามีเรี่ยวแรงมาก และได้ฝึกวิชาการต่อสู้มาบ้าง

หลิ่วเจี๋ยเดินตรงเข้ามา เฝิงอวี๋เจียวที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดอย่างคนที่กำลังดูเรื่องสนุกและมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่นว่า “คุณหนูหลิ่วยอดเยี่ยมมากค่ะ คนแบบพวกเขาก็ต้องสั่งสอนแรงๆ แบบนี้”

หลินหยางรู้ว่ามู่หรงยิ่นไม่รู้วิชาการต่อสู้แม้แต่น้อย จึงยืนบังอยู่ด้านหน้าของเธอเสียเลย

“อาศัยตัวไร้ประโยชน์แบบนาย ยังกล้าก้าวออกมาอีก! หลิ่วเจี๋ย ลงมือ ทำให้เขาพิการถาวรไปเลย!”

หลิ่วฟู่อวี่สองมือกอดอก ออกคำสั่ง

หลิ่วเจี๋ยวชกหมัดเข้ามา หลินหยางเพียงยกมือปัดออกไป ก็ปัดหมัดของเขาจนเบี่ยงออกไป

ร่างกายของหลิ่วเจี๋ยเอนเอียง จึงถือโอกาสนี้ซัดหมัดกวาดเข้ามา หลินหยางใช้แรงเพียงเล็กน้อย ก็กระแทกหลิ่วเจี๋ยจนถอยกลับไป

หลิ่วเจี๋ยคำรามเสียงต่ำครั้งหนึ่ง รวบรวมพละกำลังอันแข็งแกร่งทั่วร่าง ต่อยหมัดเข้าโจมตีอีกครั้ง

หลินหยางกับออกหมัดโต้ตอบ กำปั้นสั่นสะเทือน ทั่วทั้งร่างของหลิวเจี๋ยลอยกระเด็นกลับไป กระแทกลงบนพื้น กลิ้งไปหลายตลบจนชนเข้ากับกำแพงจึงได้หยุดลง

สองมือของเขาสูญเสียความรู้สึกไปจนหมด ถูกพละกำลังของหลินหยางสะกดไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่ความสามารถในระดับเดียวกันแม้แต่น้อย

หลิ่วฟู่อวี่กับเฝิงอวี้เจียวเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงไม่หยุด ไม่กล้าเชื่อว่าหลินหยางจะมีความสามารถเช่นนี้

“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาร้ายกาจมาก อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับสาม”

หลิ่วเจี๋ยปีนขึ้นมาจากพื้น กล่าวอย่างหดหู่

ที่หลิ่วเจี๋ยฝึกเป็นวิชาการต่อสู้แบบปะทะ อาศัยความแข็งแกร่งของร่างกาย พอใจฝืนเทียบกับระดับพลังยุทธ์ชั้นโฮ่วเทียนได้

“พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก! แม้แต่ตัวขี้ขลาดไร้ประโยชน์ก็สู้ไม่ได้ ไสหัวไปอยู่ด้านข้างซะ”

หลิ่วฟู่อวี่โอ้อวดไม่สำเร็จ สีหน้าจึงไม่น่ามอง ดุด่าหลิวเจี๋ยไปรอบหนึ่ง

“คิดไม่ถึงว่าสองปีมานี้ นายจะแอบฝึกวิชาการต่อสู้”

หลิ่วฟู่อวี่ยังคงโอหังอวดดี กล่าวว่า “แต่ฉันขอบอกนายไว้เลย ฉันยังคงดูถูกนาย แค่นักสู้ระดับสามนับเป็นอะไรได้ มีเงินต่างหากถึงจะเป็นเจ้าคน! บ้านฉันมีเงินมีอำนาจ การจัดการกับนายเป็นเรื่องไม่กี่นาทีเท่านั้น”

หลินหยางหัวเราะเบาๆ ว่า “นักสู้ระดับสาม. ไม่นับว่าเป็นอะไรจริงๆ”

“รู้ก็ดี! พวกเธอสองคนรีบตบหน้าตัวเองสองครั้ง ขอขมาฉันซะ ฉันก็จะไว้ชีวิตพวกเธอ! ไม่อย่างนั้นฉันโทรแค่กริ๊งเดียว ก็จะเรียกยอดฝีมือระดับห้าของครอบครัวมา ถึงเวลานั้น พวกเธอทั้งสองคนไม่ตายก็ต้องพิการ”

หลิ่วฟู่อวี่ไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อย ยังคงอาศัยอำนาจข่มขู่ผู้คนต่อไป

ในใจของมู่หรงยิ่นหัวเราะเยาะหลิ่วฟู่อวี่ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ยอดฝีมือระดับห้าของสกุลหลินเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยางก็แค่นักเลงบ้านนอกคนหนึ่ง รับไม่ไหวแม้แต่การโจมตีเดียว

ในเวลานี้เอง เถ้าแก่ของร้านกุชชี่โหวกุ้ยเหวินก็เข้ามาอย่างเร่งร้อน ร่างกายอ้วนเตี้ยที่วิ่งมาตลอดทาง เหน็ดเหนื่อยจนหอบหายใจ

ประธานโหว คุณมาได้ยังไงกันคะ?

เฝิงอวี้เจียวเห็นโหวกุ้ยเหวินวิ่งเข้ามา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ

โหวกุ้ยเหวินกลับไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย อ้อมผ่านหน้าของเธอไป เดินไปที่เบื้องหน้าของมู่หรงยิ่นโดยตรง ค้อมเอวกับศีรษะลงเล็กน้อย

“ท่านประธานยิ่น ไม่ทราบว่าคุณมา ไม่ได้มาต้อนรับให้ดีรู้สึกเสียมารยาทเหลือเกินครับ”

ท่าทางเช่นนี้ของโหวกุ้ยเหวิน ทำให้เฝิงอวี้เจียวและพนักงานในร้านคนอื่นๆ ตาค้างไปในทันที แม้แต่หลิ่วฟู่อวี่ก็ประหลาดใจอย่างมาก

ต่อให้เป็นเธอที่เป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลหลิ่ว ก็ไม่มีเกียรติที่สูงส่งเช่นนี้ ถึงกับทำให้โหวกุ้ยเหวินอ่อนน้อมถ่อมตนได้ขนาดนี้

“กิจการของประธานโหวยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การวางก้ามยิ่งมาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นแล้วเช่นกัน”

มู่หรงยิ่นกล่าวเสียงเย็น

“มิกล้า มิกล้า! อยู่ต่อหน้าคุณ ผมจะกล้าวางก้ามได้อย่างไรครับ หลังจากได้รับสายจากเลขาของคุณ ผมก็รีบเร่งมาโดยไม่หยุด ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อยเลยครับ”

โหวกุ้ยเหวินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ฉันพาเพื่อนมาซื้อเสื้อผ้าที่ร้านของคุณ แต่กลับถูกพนักงานของคุณใส่ร้ายด่าว่า ใส่ความว่าเป็นหัวขโมย แถมยังจะไล่พวกเราออกไปอีก คุณลองพูดดู เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร?”

โหวกุ้ยเหวินเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจจบใบหน้าอ้วนๆ ซีดขาว เหงื่อที่เช็ดจนแห้งแล้ว เพียงครู่เดียวก็ผุดออกมาอีก

“เป็นใครกล้าหาญชาญชัยขนาดนั้นกัน ถึงกับกล้าล่วงเกินท่านประธานยิ่น ไสหัวออกมาให้ฉัน ดูว่าฉันจะไม่ถลกหนังของแกซะ!”

โหวกุ้ยเหวินรีบหมุนตัวไปทันที ตะคอกใส่พนักงานในร้านด้วยสีหน้าดุร้าย

เมื่อก่อนโหวกุ้ยเหวินเป็นพวกนักเลงอันธพาล บนร่างมีกลิ่นอายของอันธพาล บรรดาพนักงานต่างก็หวาดกลัวเขา

พนักงานทั้งหมดต่างตกใจจนตัวสั่น ไม่กล้าส่งเสียง มีพนักงานที่พึ่งมาฝึกงานใหม่แทบจะถูกทำให้ตกใจจนร้องไห้ออกมาแล้ว!

เฝิงอวี้เจียวก็แทบจะหวาดกลัวจนฉี่ราดแล้วเช่นกัน ในตอนที่เธอเห็นโหวกุ้ยเหวินเอาอกเอาใจมู่หรงยิ่นถึงเพียงนั้น เธอก็รู้ว่าตัวเองเตะเอาของแข็งเข้าแล้ว จะจบเห่แล้ว!

“ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เป็นใคร ก้าวออกมาเอง!”

เฝิงอวี้เจียวทนต่อไม่ไหวแล้ว คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง หวาดกลัวจนร้องไห้ออกมา

“คุณโหว ขอโทษด้วยค่ะ ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นเพื่อนของคุณค่ะ! ขอให้คุณเห็นแก่หน้าของเยว่จิน ให้อภัยฉันสักครั้งเถอะค่ะ”

เยว่จินเป็นผู้จัดการของโหวกุ้ยเหวิน และเป็นแฟนของเฝิงอวี้เจียว

โหวกุ้ยเหวินโมโหจนฉี่เล็ดแล้ว แทบอยากจะเตะเฝิงอวี้เจียวให้ตาย ล่วงเกินใครไม่ทำ ดันไปล่วงเกินมู่หรงยิ่น ผู้หญิงคนนี้มีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ หรือ?

ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นแค่แฟนสาวของลูกน้อง ต่อให้เป็นลูกชายแท้ๆ ก็ไม่มีไมตรีให้ต้องพูดอีก!

“หล่อนไม่ต้องมาขอโทษฉัน รีบไสหัวไปขอโทษท่านประธานยิ่นเดี๋ยวนี้ ถ้าท่านประธานยิ่นไม่ยอมให้อภัยหล่อน ฉันจะโยนหล่อนกับไอ้เยว่จินลงแม่น้ำลั่วไปเป็นอาหารปลาเสียเลย!”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status